เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ใจเป็นธรรมเสียอย่างเดียวอะไรเป็นธรรมไปหมด
ก่อนจังหัน
ฝนตกตั้งแต่ค่ำมาจนกระทั่งเมื่อเช้านี้ได้น้ำกะละมังหนึ่ง ได้น้ำกะละมังเดียว พวกพระเราทำความเพียรได้สักกี่ถ้วยกี่กะละมังไม่รู้นะ ทำความเพียรตั้งแต่ฉันจังหันแล้วเมื่อวานนี้จนกระทั่งถึงวันนี้ได้สักกะละมังไหม ฝนตกทั้งคืนเขาได้ถึงกะละมัง พระเราทำความเพียรมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แข่งกับฝน มันได้พอกะละมังไหม ความเพียรไม่ได้พอกะละมังมันเป็นยังไง เราไม่มีเวลาที่จะอบรมสั่งสอนพระเหมือนที่เคยปฏิบัติมา เพราะภาระก็มาก ธาตุขันธ์ก็อ่อนลงทุกวันๆ ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าแหละในสามโลกธาตุนี้ เราขึ้นฟัดขึ้นเหวี่ยงกันบนเวทีมาเรียบร้อยแล้ว พูดได้อย่างเต็มปากจากหัวใจ ไม่สงสัย ท่านทั้งหลายจะไปหาลูบหาคลำที่ไหนอีก หาของดิบของดีความสุขความเจริญ ความเลิศเลอ ถ้าไม่หาจากธรรมเป็นพื้นฐาน ธรรมเป็นพื้นฐานแล้วหน้าที่การงานความประพฤติทุกอย่างจะเรียบร้อยไปตามๆ กัน นี่เรียกว่าธรรมเป็นพื้นฐาน พื้นฐานอยู่ในหัวใจเรา
ถ้าลงมีธรรมเป็นพื้นฐานในหัวใจแล้ว ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีงามไปตามๆ กัน ถ้าเอากิเลสเป็นพื้นฐานดังที่เคยปฏิบัติมานี่ มองไปที่ไหนมีแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วก็ตื่นเงากิเลสหลอก บ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ เมืองนั้นเจริญ ซึ่งเจริญด้วยฟืนด้วยไฟทั้งนั้น แต่กิเลสมันไม่บอกว่าฟืนว่าไฟ หลอกไปเรื่อย สัตว์โลกก็ตัวโง่ชะมัดทีเดียว โง่ไปตามมันตลอด เอาธรรมฉุดลากเท่าไรไม่ยอมฟังเสียงธรรมนะ ถ้าไม่ฟังเสียงธรรมแล้วก็เขียนใบจมให้ทุกรายเลยเชียว เรื่องกิเลสไม่เคยไว้หน้าใครแหละ ธรรมเท่านั้นที่จะฉุดลากโลกขึ้นมาได้ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติธรรม
ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าเห็นแก่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมโดยถ่ายเดียว ความได้ความเสียมันอยู่กับเราเองนะ ดีดดิ้นไปไหนความได้ความเสียมาอยู่กับเรา ส่วนมากมีแต่ความเสีย ถ้าดีดดิ้นไปด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วได้ ได้เรื่อยๆ ทางโลกก็ไม่เสีย ทางธรรมก็สมบูรณ์ ถ้าดีดไปตั้งแต่ทางโลกแล้วจะมีแต่ความล่มจมทั้งนั้นแหละ
ศาสนาเวลานี้ยังมีอยู่ในเมืองไทยเรานี้มันเท่ากำปั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ รวมหมดทั้งเมืองไทย รวมทั้งพระทั้งเณรผู้ปฏิบัติศีลธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน รวมทั้งประชาชนผู้ต้องการจะไปสวรรค์นิพพาน รวมทั้งสองฝ่ายนี้ได้กำมือเดียว แต่กิเลสเท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทร เข้ากันไม่ได้นะ ให้คิดอ่านดูตัวของเราตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งถึงหลับ ความดีงามได้เท่าไรบ้าง ความชั่วช้าลามกได้เท่าไร เอามาเทียบ มันจะลงในหัวใจเรานะ ใจเราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมทุกอย่าง อยู่ที่นี่หมด ถ้าเราโง่ก็รับแต่ฟืนแต่ไฟด้วยความประพฤติชั่ว มีแต่ฟืนแต่แต่ไฟ อยู่ที่ไหนมีแต่หวังความสุขความเจริญ ก็ฟืนไฟเผาอยู่ในหัวอกจากการสร้างความชั่วของตัวเอง เราจะหาความสุขความเจริญมาจากที่ไหน พิจารณาคิดอ่านไตร่ตรองนะ
ศาสนาของพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอ กระเทือนสามแดนโลกธาตุมานานแล้ว เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ได้ ๒๕๐๐ กว่าปี มันกระเทือนหัวใจเราบ้างหรือเปล่า ธรรมะมาอย่างหนัก หนักด้วยความดีงามเลิศเลอทั้งนั้น แล้วมีธรรมเหล่านี้มาเฉียดหัวใจเราบ้างไหม หรือมีแต่กองมูตรกองคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง นั่นเหรอเต็มหัวใจ ถ้าอย่างนั้นอย่าไปหวังความสุขความเจริญที่ไหน ถ้าลงหัวใจได้สร้างแต่ฟืนแต่ไฟแล้ว จะมีแต่ไฟเผาตัวเอง ผลของมันก็คือความทุกข์ความทรมาน ภพใดชาติใดขึ้นอยู่กับหัวใจที่จะไปรับไปเสวยนะ
ใจดวงนี้เป็นนักท่องเที่ยวไม่มีคำว่าหยุดว่าถอย ตายจากภพนี้แล้วไปภพหน้า ภพหน้าได้สร้างความดีงามไว้อย่างไรบ้าง หรือสร้างนรกอเวจีไว้หัวใจอย่างไรบ้าง นี่ละจะออกตลาด หัวใจเรานี่ละจะไปออกตลาด ใครมีตลาดความดีงามหรือตลาดแห่งความชั่วช้าลามกฟืนไฟให้ดูหัวใจตัวเอง นี่สำคัญมากนะ ถ้าไม่ดูหัวใจนี้ผิดทั้งนั้นแหละ โลกธาตุนี่กว้างแสนกว้างเหยียบผิดพลาดหมด ถ้าไม่เข้าสู่หัวใจ เหยียบดูหัวใจเจ้าของว่ามีอะไร กลั่นกรองออกไปความไม่ดี แล้วขวนขวายเข้ามาความดีงามทั้งหลาย เราจะมีความสุขความเจริญ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ ให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานนี้ไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ออกจากนี้ผึงเลย สองชั่วโมงครึ่งพอดี รถ ๕ คัน อย่างนั้นละทำ ใส่ตูมเลย ดีไม่ดีภูเขาหงายเลย กลับมานี่สองชั่วโมง ๑๕ นาที รถมันเบา พระอยู่ที่นั่นดูเหมือน ๔๔ องค์ ที่นี่มันปาเข้าไป ๕๙ นะปีนี้ จึงได้ดุพระแหลกไปหมด หาอุบายทางออก ออกทางไหนตีไว้ๆ ตกลงยอมเรา คนนั้นขอคนนี้ขอคลานเข้ามาๆ ผู้รับภาระมันหัวอกจะแตกนี่ ต่อไปนี้พระก็จะได้ขยายออกไปนอกกำแพง นอกกำแพงก็มีแล้ว กุฏิ กระต๊อบๆ อยู่นอกกำแพง ทางด้านนี้เป็นทำเลคน ด้านทิศเหนือ มาตรงหน้าศาลา เป็นทำเลสาธารณะ จากนั้นไปก็เป็นที่อยู่ของพระทางด้านโน้น เป็นที่อยู่ของพระ เป็นที่อยู่ของหมา
พระไปอยู่ที่ไหนหมาก็ชอบนะ ติดตาม แล้วพระก็ชอบหมาด้วย ทั้งสองนี้เป็นเสี่ยวกัน หมากับพระของวัดป่าบ้านตาดเป็นเสี่ยวกันได้สนิท เวลาพระออกปัดตาด เขาจะรู้เขาสนิทกับใคร เขาจะด้อมตามคนนั้น องค์ไหนออกมาเขาจะด้อมออกมา องค์ไหนที่เป็นเสี่ยวเขาแล้วเขาปั๊บติดไปเลย
ไปวัดดอยธรรมเจดีย์รู้สึกว่าชื่นบานในธาตุในขันธ์ในจิตใจ แต่เราไม่ได้ขึ้นไป ไม่ขึ้นไปนานแล้ว แต่ก่อนไม่มีศาลาอย่างที่สร้างเอาไว้ ปลูกกระต๊อบเล็กๆ อยู่ข้างล่าง พระก็อยู่ข้างบน มาปั๊บขึ้นเลย เพราะข้างบนกับข้างล่าง พูดถึงเรื่องอากาศต่างกันมาก อยู่ข้างบนอากาศละเอียดลออมากที่สุด อยู่บนเขาอากาศสะดวกสบาย หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์นี้แห่งหนึ่ง เฉพาะวัดนี้เราไปพักอยู่ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เพราะเป็นทางภูเขา ภูเขาใหญ่ที่ทำเลเที่ยวจริงๆ อยู่ข้างบน ลงมานี้ก็เป็นวัดดอยธรรมเจดีย์ สุดนี้ไปก็เป็นท้องนาเขา นี้เป็นสุดท้ายของภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์
เราขึ้นไปอยู่บนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ รู้สึกว่าอากาศละเอียดลออมากทีเดียว แล้วห้วยทรายอีกแห่งหนึ่ง ห้วยทรายดูเป็นพรรษาแรก เราอยู่บนภูเขากับเณรหนึ่งอยู่ด้วยกัน ข้างล่างให้พระทั้งหลายอยู่ เราอยู่ข้างบน แต่ถึงเวลาประชุมเราก็ลงจากภูเขาไปวัด เดี๋ยวนี้มันถนนผ่านตั้งแต่กาฬสินธุ์ สี่แยกสมเด็จนั่นละ แยกนี้ตัดไปห้วยทราย ภูเขานั่นดี รู้สึกว่าละเอียดลออภายในธาตุในขันธ์อยู่เงียบๆ นะ กลางคืนเงียบๆ จึงเห็นได้ชัด วัดดอยธรรมเจดีย์ ที่ไหนก็ตามเถอะถ้าเป็นหลังภูเขาแล้วดีทั้งนั้น ไปเที่ยวที่ไหนหลังภูเขาๆ จะดีกว่าทุกแห่ง อากาศต่างกัน
เห็นว่างๆ บ้างเมื่อวานนี้คน แขกคนเมื่อวานนี้ว่าง ย้อนหลังนี้ โอ๊ย ยุ่งมากนะ เมื่อวานรู้สึกว่างๆ เราสลดสังเวชนะเรื่องกิเลสกล่อมใจสัตว์โลกให้มืดมิดปิดตาไปหมด ไม่อิ่มไม่พอไม่เข็ดไม่หลาบ กิเลสทรมานสัตว์โลกนี้เหมือนปิดประตูตีหมา ถ้าใครอยากทราบชัด เอ้า วาดภาพพจน์ขึ้น กิเลสทรมานสัตว์นี้เหมือนปิดประตูตีหมา พอปิดประตูแล้วก็เอาไม้หวดหมาซิ หมาร้องแง็กๆ วิ่งหาทางออกไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ปิดประตูตีหมาคือปิดประตูแล้วค่อยตี มันก็วิ่งไปวิ่งมา ตีไม่ถอยเลยขี้ทะลักออกมา ที่ออกได้คือขี้ของมัน ตัวมันออกไม่ได้ แต่ขี้มันออกได้ ทะลักออกมา นี่กิเลสทรมานหัวใจสัตว์โลก แต่หมามันเข็ดนะ วันหลังมันจะไม่ไปแถวนั้นมันกลัวจะถูกปิดประตูตี แต่คนไม่ยอมเข็ดหลาบ ยิ่งหมุนเข้าไปๆ ถ้าเข้าไปหากิเลสตัณหาแล้วไม่มีถอยเลยละ
เอาธรรมจับมันถึงได้สลดสังเวชนะ แต่ก่อนก็ท่านๆ เราๆ หัวใจพอๆ กัน ไม่คิดไม่คาด เพราะมันพอๆ กันหมด ความรู้สึกอะไรๆ มันก็พอๆ กัน เพราะภายในคือพื้นฐานจิตนี้กิเลสครอบไว้หมด ออกไปแบบคืบๆ คลานๆ ด้นๆ เดาๆ ไม่ได้ออกไปด้วยความสง่าผ่าเผย จิตใจที่ถูกกิเลสครอบงำเป็นอย่างนั้น ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน นี่ที่ทำให้คิดเอามากทีเดียว เวลาปฏิบัติธรรมเข้าไปๆ ธรรมะค่อยซักออกๆ กระจายความมืดทั้งหลายออกจากใจ
เฉพาะอย่างยิ่งที่เด่นมากที่สุดก็คือจิตตภาวนา นี้เด่นในหัวใจเลย มันค่อยเบิกออก ธรรมะอยู่ภายใน ทีแรกเราภาวนาก็สงบก่อน จากสงบแล้วก็ส่งรัศมีออกกระจายออกๆ จิตละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งซักยิ่งฟอกสิ่งมัวหมองมืดดำทั้งหลายออกเรื่อยๆ ทีนี้จิตก็ค่อยเบิกกว้างออกๆ มองเห็นไกลเข้าไปๆ จนกระทั่งเอากิเลสตัวมืดมิดปิดตานี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจนี้ เราจึงพูดด้วยความกล้าหาญ ไม่มีเจตนาว่าจะโอ้จะอวด ไม่มีเจตนาใดนอกจากความจริงที่แสดงอยู่ภายในใจและแสดงออกมา นี่ที่ว่าเหมือนฟ้าถล่ม คือฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา แต่ระหว่างขันธ์กับจิตละซิ คือจิตกับขันธ์มันอยู่ด้วยกัน เวลาระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน กิเลสตกเวทีขาดสะบั้นเหมือนฟ้าดินถล่ม
จิตถูกกดถ่วงมาเท่าไร มันถึงเห็นได้ชัด ถูกกดถ่วงจากกิเลส มันกดมันถ่วงไว้ตลอด ทีนี้พอตีนี้แตกกระจาย จิตดีดผึงขึ้น จึงเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ทีนี้ความรู้ความเห็นความเป็นไปในปัจจุบันนั้น ไม่เหมือนความรู้ใดละที่นี่ พอกิเลสออกแล้วสิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นเปิดจ้าออกรับกัน จึงได้อัศจรรย์ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีผู้ใดจะมาสอนให้เห็นอย่างนี้นะ ไม่มี พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เป็นแบบเดียวกัน สอนแบบเดียวกัน ถูกต้องแม่นยำที่สุด เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว คือรู้ชอบเห็นชอบ กระจ่างแจ้งทุกอย่างหายสงสัย ไม่มีอะไรติดใจเลย คำว่าสงสัยลูบคลำไม่มี จิตมันจ้าออกมาเท่านี้
จิตดวงนี้มันก็เป็นจิตเหมือนกัน ต่างภูมินิสัยวาสนากันเพียงเท่านั้น ภูมิของใครของเรามันก็ต้องแสดงเต็มเหนี่ยว เวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วจะแสดงเต็มเหนี่ยวทุกหัวใจ ความบริสุทธิ์เสมอกัน จ้าแบบเดียวกัน แต่กระจ่างออกไปอีก ละเอียดลออออกไปนั้นเป็นนิสัยวาสนา ทีนี้เวลาอันนี้มันจ้าขึ้นมาแล้วนั่นซิ ความรู้ความเห็นอันนี้ กับความรู้ความเห็นที่เป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันเกิดมา เราเหมือนเขา เขาเหมือนเรา ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน โลกอันนี้เป็นโลกแบบเดียวกัน ด้วยอำนาจกิเลสครอบงำเอาไว้ ทีนี้พอเปิดอันนี้ออกไปแล้ว มันเป็นโลกุตรธรรมไปแล้ว มันต่างกันซิที่นี่ ถึงได้ดูทุกอย่าง ไม่รู้ยังไงจิตเป็นนักรู้ พอเปิดออกมันรู้อยู่แล้ว มันกระจ่างออกไปๆ กระจ่างออกไปเรื่อย
นี่ละถึงว่าธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรเสมอในสามแดนโลกธาตุ ท่านจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือตลอดตั้งแต่พื้นๆ ของธรรม เหนือโลกทั้งนั้น จนกระทั่งถึงวิสุทธิธรรม ธรรมที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ในหัวใจของผู้ชำระได้ เช่น พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า อันนี้ล้วนๆ แล้ว นี่ธรรมที่เลิศเลอ ขอให้พี่น้องทั้งหลายนำไปคิดพิจารณาให้มาก อย่าเอาขี้ครอบหัวไว้นึกว่าเป็นหมวก แล้วเอาไปอวดเขาด้วย ขี้มันครอบหัวอยู่นั้น นึกว่าเราสั่งหมวกมาจากเมืองนอก เมืองนอกไหน คือนอกเรือนจำหรือ นอกเรือนจำมันก็เป็นแบบเดียวกัน เรือนจำนอก เรือนจำใน เรือนจำนอกก็ผู้ที่มีกิเลสตัณหาทั่วไป เรือนจำในก็คือผู้มีกิเลสหนาสาโหด พอเปิดออกจากนี้แล้วมันดูเห็นหมดนี่จะว่าไง นอกจากควรพูดหรือไม่ควรพูด โลกจะเข้าใจได้หรือไม่เข้าใจเท่านั้น ธรรมชาตินี้ปิดไม่อยู่ ความจริงนี้จ้าตลอดเวลา ที่จะนำมาเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยเพียงไรก็นำมาๆ พอที่จะเป็นคติเครื่องเตือนใจ ส่วนที่สุดวิสัยก็ยกไว้เสีย
เมื่อใครรู้เข้าไปแล้วจะเข้าใจอย่างเดียวกัน แต่ท่านไม่อัดไม่อั้นไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่ผลักไม่ดันในการพูดการจา เรื่องธรรมเสมอพอดีตลอด ถ้าไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วก็เหมือนไม่มี แต่เราแยกออกมาพูดก็ว่าจ้าอยู่อย่างนั้น เหมือนไม่มี แต่ถ้ามีแล้วมันก็รับกันๆ ตามสมมุติ นี่ละธรรม ท่านทั้งหลายได้พบพุทธศาสนาเรียกว่าเลิศเลอแล้วนะ ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจบืนนะ ไม่บืนออกไม่ได้ กิเลสนี้กล่อมได้ทุกแบบทุกฉบับ ละเอียดแหลมคมที่สุดคือกิเลส ครอบสัตว์โลกอยู่ในสามแดนโลกธาตุ อยู่ในอำนาจของกิเลส เป็นเรือนจำของกิเลสทั้งนั้น
ผู้พ้นจากเรือนจำนี้แล้ว จึงได้มาสนุกดูสามแดนโลกธาตุ เหนือไปแล้วก็ดูเห็นหมดละซิ ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะมาประกาศธรรมสอนโลกได้ถึงสามแดนโลกธาตุเหรอ ครอบไปหมดแล้ว เห็นหมดรู้หมด สมควรที่จะสงเคราะห์สัตว์ประเภทใดๆ พระองค์จะทรงทราบเองๆ ในพุทธกิจ ๕ นั่น ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ เล็งญาณดูสัตวโลก เล็งไปหมดเลยในปัจฉิมยามนั้น คือเอาจุดใหญ่ไว้เที่ยงคืน อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ทรงเทศนาว่าการแนะนำสั่งสอนและแก้ปัญหาพวกทวยเทพทั้งหลาย คือพวกเทวดาอินทร์พรหมรวมกันมาเป็นทวยเทพ เวลานั้นเป็นเวลาที่เทศน์สอนพวกเทพพวกกายทิพย์ มองไม่เห็นด้วยตา
ตั้งแต่ต้นมาในพุทธกิจ ๕ คือ ตอนบ่าย ๔ โมง เทศน์สอนประชาชนทั้งหลาย นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา จบลงแล้วตอนค่ำประทานโอวาท คือเทศน์สอนพระ ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ให้โอวาทสั่งสอนพระสงฆ์ทั้งหลายเวลาค่ำเข้าไป จากนั้นก็ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ พอเที่ยงคืนเทศน์อบรมสั่งสอนพวกเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย รวมมาอยู่นั้นหมดเรียกว่าทวยเทพ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา นี้ตอนเที่ยงคืน ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ หลังจากเที่ยงคืนเป็นปัจฉิมยามแล้วทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ใครมีอุปนิสัยปัจจัยหนักเบามากน้อยเพียงไร ควรจะสงเคราะห์เร็วหรือช้า พระองค์จะทรงพิจารณาเอง จากนั้นก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต ประชาชนทั้งหลายได้เห็นได้กราบไหว้บูชา ได้ทำบุญให้ทานกับพระองค์ เป็นมหามงคลๆ นี่ละที่ว่า ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ
นี่พุทธกิจ ๕ เรียกว่างานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ ไม่มีใครจะไปทำแทนได้ละงานอันนี้ จึงเรียกว่าพุทธกิจ ๕ หรือว่างานของศาสดาเรา ๕ ประการ ท่านสอนสัตว์โลกด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งในพระทัยครอบโลกธาตุ นี่ละธรรมอันนี้ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็วางสายทางเอาไว้ โอวาทคำสั่งสอนนี้คือสายทางที่เป็นไปเพื่อความสงบราบรื่นดีงาม จนทะลุถึงพระนิพพาน ออกไปจากสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ทั้งนั้นเลย ไม่มีผิดมีเพี้ยน ถ้าปฏิบัติตามธรรมของศาสดาแล้วมีหวัง สมหวังเรื่อยๆ ไป ถ้าเอียงไปตามกิเลสแล้วผิดหวังๆ ตลอดจนจม หมดคุณค่าทั้งๆ ที่มีลมหายใจอยู่
หายใจก็มีลม ลมก็มีอยู่ทั่วไป จะมาวิเศษวิโสอะไรลมหายใจของเรา ถ้าความดีไม่มีในใจลมหายใจก็ไม่มีความหมาย ถ้ามีความดีอยู่ในใจแล้ว ลมหายใจใครมีความหมายทั้งนั้น มีความหมายอยู่กับจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงสั่งสมหรืออบรมจิตใจของเราให้ดี ถ้าลงได้ปรากฏขึ้นในใจแล้วธรรมนี้จะดีดเรื่อยนะ ดีดเรื่อยบืนเรื่อยเลย ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอเหล่านี้ เป็นเรื่องของกิเลสครอบเอาไว้ เวลาเราจะประกอบความเพียรสิ่งเหล่านี้จะมาทันที เป็นข้าศึกกีดกันหวงห้ามทางเดินเพื่อความสุขความเจริญไม่ให้ก้าวเดินได้ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงทำความดีได้น้อยมาก ทำความชั่วนี้มากที่สุดเลย มันไหลลงได้ง่าย
การทำความดีนี้เหมือนว่าฉุดว่าลากขึ้น ทีนี้พอก้าวเข้าไปสู่ความดีงาม ได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นลำดับไปแล้ว อันนี้เป็นเครื่องดูดดื่ม พอใจที่จะทำบุญให้ทานตลอด หนุนตลอด ถ้าลงจิตได้เข้าขั้นดื่มด่ำในธรรมทั้งหลาย ทาน ศีล ภาวนา นี้จะเป็นอันเดียวกัน กลมกลืนกันไปหนุนจิตท่าเดียวๆ จิตดูดดื่มๆ แล้วไม่ถอยเสียด้วยนะ กำลังของธรรมนี้เมื่อสั่งสมให้มีกำลังขึ้นมาแล้วนี้ กำลังกิเลสที่เคยหนาแน่นบนหัวใจเรานี้จะตกลงพรวดพราดๆ ตกลงๆ ทางนี้ก็แสดงเด่นขึ้นมาๆ สุดท้ายแล้วอยู่ไม่ได้ นั่น สุดท้ายอยู่ไม่ได้ๆ
พอพูดถึงจุดนี้แล้ว ก็ทำให้คิดไปถึงเวลาเรียนหนังสืออยู่ พูดไปถึงพระนิพพาน บาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี นี่เป็นคำตายตัวเป็นคำถูกต้องแม่นยำ ของศาสดาที่สอนไว้ไม่ผิดเพี้ยนไปไหนเลย ใครจะลบล้างไม่ได้ ว่าบาปไม่มี-ลบล้างไม่ได้ บาปมีบุญมีลบล้างไม่ได้นะ ใครจะไปลบล้างว่าไม่มีไม่ได้ นี่ละที่นี่เรื่อยขึ้นไปจนกระทั่งถึงนิพพาน ทีนี้เราเรียนไปๆ นี้ มันก็ลดของมันโดยไม่มีเจตนานะ มันหากเป็นของมันเอง บาปมีจริงๆ เหรอ บุญมีจริงๆ เหรอ เอ๊ะ นรกมีจริงๆ เหรอ สวรรค์มีจริงๆ เหรอ อ่านไปตามความถูกต้องแม่นยำเรียกว่า สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ผู้อ่านนี่มันไม่ชอบเข้าใจไหม มันไปถกไปเถียงไปงัดไปแงะไปทำลายอยู่นั้นละ จนกระทั่งถึงนิพพาน หือ นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละความจำกิเลสครอบๆ จนถึงนิพพาน อ่านนิพพานทั้งๆ ที่มีกิเลสมันก็สงสัยนิพพาน อ่านในตำรานะ
พูดให้เห็นชัดเจนตัวเราเองมันเป็นอยู่ ไม่มากก็น้อยมันจับได้ทั้งนั้นน่ะ มันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เชื่อบาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพานเชื่อ เช่นเชื่อส่วนใหญ่ส่วนย่อยมันก็แบ่งกินของมันอยู่นั้นแหละ ไม่ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นิพพานมีจริงๆ เหรอ ทีนี้ย้อนเข้ามาการปฏิบัติ พอปฏิบัติเข้าไปความจริงฝังเข้าสู่ใจเกิดขึ้นเรื่อยๆ ความจริงนี้แน่วแน่ๆ เรื่อย จนก้าวเข้าสู่จิตตภาวนาขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นนี้พุ่งเลยนะ คำว่าบาปบุญนรกสวรรค์มีหรือไม่มีลบเลย จิตนี้คืบคลานข้ามเรื่อยบืนเรื่อยๆ ที่ว่านิพพานมีจริงๆ เหรอ ธรรมะขั้นนี้นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ
แต่ก่อนว่านิพพานมีจริงๆ เหรอ พอถึงธรรมขั้นนี้แล้วนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม อยู่ไหนไม่รู้แหละแต่ชั่วเอื้อมๆ มีแต่จะไปท่าเดียว นั่นมันประจักษ์อยู่ในจิต คำว่านิพพานมีหรือไม่มีนั้นหายสงสัย มีแต่นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ลืมหลับลืมนอนลืมทุกอย่าง นอนต้องบังคับให้นอนไม่บังคับไม่ได้ คือเวลาธรรมหมุนตัวที่จะให้หลุดพ้นถึงแดนแห่งนิพพาน มันจะหมุนเรื่อยเลย จนกระทั่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ทีนี้นิพพานมีหรือไม่มีที่เราอ่านแต่ก่อน นิพพานมีหรือไม่มีน้า พอถึงขั้นนี้แล้วลบหมดนิพพานมีหรือไม่มี นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เลย นั่นเห็นไหมล่ะ มันเป็นของมันเอง นี่ละที่ว่าเพลินในธรรม
สติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ คือเป็นเองๆ หมุนตัวตลอดเวลา เหมือนกับกิเลสเป็นอัตโนมัติหมุนหัวใจสัตว์โลกทั่วกันไป แต่ก่อนเราก็ไม่คิดนะ ว่ากิเลสมันหมุนอยู่ในหัวใจโลกโดยอัตโนมัติของมัน แต่พอธรรมนี้ขึ้นนี้รับกันเลย ธรรมแก้กิเลสเป็นอัตโนมัตินี้ มันก็ย้อนไปรู้กิเลส อ๋อ กิเลสทำงานทำงานบนหัวใจสัตว์นี้โดยอัตโนมัติ นั่นรู้แล้วนะที่นี่ เพราะธรรมนี้บอก ธรรมทำงานแก้กิเลสโดยอัตโนมัติๆ จนกระทั่งกิเลสพังหมดไม่มีอะไรเหลือ จากความเพียรอัตโนมัติ ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติถึงมหาสติมหาปัญญา สังหารกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง แล้วก็มาย้อนรู้ว่า อ๋อ กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติมาอย่างนี้ เช่นเดียวกับธรรมที่มีกำลังแล้ว ทำงานแก้กิเลสบนหัวใจของตนเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน มันจึงเสมอกัน มันก็จับมาเทียบได้ทันที
แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดว่ากิเลสอยู่บนหัวใจสัตว์นี้ ทำงานโดยอัตโนมัติ แต่พอธรรมมาเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทำงานแก้กิเลสโดยอัตโนมัตินี้มันถึงไปรับกัน อ๋อ กิเลสเขาทำงานบนหัวใจสัตว์เขาก็ทำงานอัตโนมัติเหมือนกัน ทีนี้เวลาธรรมแก้กันก็แก้โดยอัตโนมัติ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปเสียเท่านั้นเอง งานนี้ถึงจะยุติ ไม่บอกก็ยุติ กิเลสพังไปหมดแล้วทำอะไร แน่ะ มันชัดเจนอย่างนี้ เป็นความจริงทั้งนั้นเมื่อถึงขั้นที่ว่านี้แล้ว ใครก็เหมือนกันไม่ต้องถามใคร มันหากหมุนไปเองๆ แล้วก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เหมือนว่าจะเอาให้ได้เดี๋ยวนี้ เหมือนเดี๋ยวนี้วันนี้อยู่อย่างนั้น นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ชั่วเอื้อมอยู่ตลอด แล้วคำว่านิพพานมีหรือไม่มีนะหมด หมดเลยไม่มีเหลือ จนกระทั่งพุ่งของมัน แล้วนิพพานมีหรือไม่มีเลยหมดปัญหา
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ให้เอามาพยุงใจนะ ธรรมเหล่านี้พยุงใจสัตว์โลก ยกสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ได้มากมายก่ายกอง เราเป็นสัตว์โลกประเภทใด เอามาตรวจตราคัดเลือกตัวเองมันเป็นยังไง ถ้าจะทำความดีนี่มันจะมาละนะกิเลส เป็นยังไงมีหรือไม่มีดูเอา เวลาจะทำความดีงามนี้ มันมากีดมาขวางทางเดินไม่ให้ทำ เวลาธรรมเป็นอัตโนมัติความเพียรเป็นอัตโนมัติแล้ว ทีนี้ไม่ถามละพุ่งเลย พุ่งๆ ได้พูดชัดเจนถึงเรื่องเหล่านี้นะ คือมันเป็นขึ้นในหัวใจ เวทีแห่งความกระจายโลกกระจายธรรมอยู่ที่จิตตภาวนา เมื่อถึงขั้นกระจายแล้วกระจายออกหมด อันนี้ละรู้ธรรมรู้อย่างนี้
เราไปเรียนเมืองนอกเมืองนานั้น เป็นเรื่องของคนมีกิเลส ครูอาจารย์ที่สอนก็มีกิเลส สอนวิชามา ไปเรียนดอกเตอร์ดอกแต้อะไรเราก็ไม่รู้ละ มาแล้วก็มาทะนงตัว กิเลสมันชอบทะนง ยิ่งดินเหนียวติดหัวมาบ้างเท่านั้นละ โถ ลืมตัว เวลามาทำประโยชน์ให้โลก มันก็โกยเข้ามาหาพุงมันกิเลส ไม่ได้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างแท้จริงนะ มันโกยเข้ามา แล้วความเย่อหยิ่งจองหองพองตัวมาด้วยกัน นี่ละไปเรียนวิชาทางโลก โลกก็โลกกิเลส ผู้ไปเรียนก็คนมีกิเลส เรียนวิชากิเลสมามันก็เป็นกิเลสเต็มตัว
ทีนี้พลิกปั๊บเรียนวิชาธรรม คือปฏิบัติวิชาธรรม เรียนมาเท่าไรรู้มากเท่าไรยิ่งปลดออกปล่อยออกๆ ฟาดทะลุปึ๋งแล้วอ่อนนิ่มไปหมด หัวใจนิ่มต่อสัตว์โลก ด้วยพระเมตตาพระพุทธเจ้า ด้วยความเมตตาของพระอรหันต์ท่าน กระจายไปหมดนิ่มไปหมด คำว่าถือเนื้อถือตัวอย่างนี้ไม่มี อันเย่อหยิ่งจองหองอย่าเอามาพูดเลย เป็นอย่างนั้นนะมันต่างกัน วิชาธรรมที่เรียนมา พระพุทธเจ้าสาวกท่านเรียน ปฏิบัติสำเร็จมาแล้ว นี้เป็นผู้ให้ความร่มเย็นแก่โลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่ละวิชาธรรมกับวิชาทางโลกผิดกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้นใครจึงอย่าไปทะนง ว่าไปเรียนวิชาเมืองนั้นเมืองนี้ แล้วมาอวดศีลอวดธรรม อย่างที่เอาวิชาทางโลกเข้ามาเหยียบศาสนาทุกวันนี้ในเมืองไทยของเราลูกชาวพุทธนั่นแหละ คือไปเรียนวิชาทางโลกเอามูตรเอาคูถมาโปะธรรม ศาสนาพุทธอยู่ในเมืองไทยมันมาเหยียบย่ำทำลายหมด ศาสนาพุทธเลยกลายเป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็กไปหมด วิชาทางโลกทางสงสารกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง เหยียบศาสนาไปเวลานี้เต็มเมืองไทย เอาดูให้ดีฟังให้ดี เราเปิดออกมาจากหัวใจเรานี่ เวลามันรู้มันรู้จริงๆ นี่จะว่าไง ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านกับใคร ใครว่าโอ้ว่าอวดไม่สนใจ เอาความจริงมาพูดเลยมันเป็นอย่างนั้น เวลามันได้รู้ปิดไม่อยู่
ธรรมเต็มหัวใจแล้วอ่อนนิ่มไปหมด ไม่มีที่จะเป็นพิษเป็นภัย เราจึงกล้าพูดแม้จะตัวเท่าหนูก็ตาม บอกว่ากิริยาอาการของเราที่เป็นความเคลื่อนไหวออกมานี้ไม่มีภัย ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด การเทศนาว่าการไม่ว่าหนักเบามากน้อยไม่มีภัย เป็นคุณล้วนๆ ออกจากธรรมล้วนๆ ทั้งนั้น เมื่อใจเป็นธรรมเสียอย่างเดียวอะไรเป็นธรรมไปหมด ถ้าใจยังเป็นพิษเป็นภัยอะไรก็เป็นพิษ พากันจำเอานะ เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |