เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ถอดออกมาจากความเป็นของจิต
ก่อนจังหัน
ให้เน้นหนักนะนักปฏิบัติเรา ใครอยากเห็นมรรคผลนิพพานที่พระพุทธเจ้าประกาศกังวานมา เฉพาะองค์ศาสดาของเรานี้ ๒๕๐๐ กว่าปี สดๆ ร้อนๆ มรรคผลนิพพานอยู่ที่พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่อยู่ที่อื่น พูดยันเลยเทียว เอาความจริงออกพูด มรรคผลนิพพานอยู่ที่นี่ ดังที่สุภัททพราหมณ์เข้าไปทูลถามปัญหาตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานในคืนวันนั้นเอง แต่ก่อนถือทิฐิมานะว่าเป็นชาติอริยกะด้วยกัน แต่วัยขนาดเป็นปู่เป็นอะไรไปอย่างนั้น หาว่าสิทธัตถราชกุมารเป็นเด็ก ด้วยทิฐิมานะนี้เลยไม่ถามปัญหา ติดข้องอยู่เพียงไรก็ไม่ถาม แต่วันนั้นพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้ว ทำให้คิดถึงเรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องความข้องใจของตัวเอง กับเรื่องทิฐิมานะ ว่าวัยนั้นวัยนี้วัยแก่วัยอ่อนไม่มีความหมายอะไรเลย เวลานี้ท่านจะปรินิพพานแล้วในคืนวันนี้
พระพุทธเจ้ารับสั่งอะไรเคยมีสองที่ไหน วันนี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานคืนนี้ พระองค์จะปรินิพพานอย่างแท้จริงแล้วจะมาเหลาะแหละอยู่ยังไง จึงได้มาทูลถาม ถามถึงเรื่องศาสนา เรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องอะไรต่ออะไร ถามก็ถามตามเรื่องที่ศาสนามีอยู่ทั่วไปนั้นแหละ มันมากต่อมากแต่ไหนแต่ไรมา จะให้ถือศาสนาอะไร สุภัททพราหมณ์ถามจะให้ถือศาสนาอะไร เพราะศาสนามีมากต่อมากเต็มโลกเต็มสงสาร ไม่ทราบว่าจะให้ถือศาสนาใด เพราะศาสนาใดก็ว่าของตัวดีๆ เลยลงใจไม่ได้ว่าจะยึดศาสนาอะไร
พระองค์ก็ลงในจุดศูนย์กลางเลย ศาสนาใดมีอริยสัจ ๔ มีมรรค ๘ สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ คือพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อยู่ในศาสนานั้น อย่าถามมากไปเวลาเรามีน้อย เห็นไหมเวลาท่านมีน้อย ท่านจะนิพพานในคืนวันนี้ แล้วให้พระอานนท์บวชให้ พูดตัดเข้ามาๆ นะ และให้ไปปฏิบัติตนเองให้ได้สำเร็จเป็นปัจฉิมสาวกในคืนวันนี้ อย่ามากังวลกับเรื่องความเป็นความตายของเราตถาคต ความเป็นความตายของใครมีอยู่กับทุกคน เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่กับเธอนั้นแหละอริยสัจ ๔ ให้ออกไปปฏิบัติ อย่ามากังวลกับความเป็นความตายของเราซึ่งมีเท่ากันกับผู้มาศึกษานี้แหละ กับพราหมณ์นี้แหละ ให้ไปปฏิบัติให้ได้เป็นปัจฉิมสาวกของเราตถาคตในคืนวันนี้ พอรับสั่งแล้วก็เป็นอย่างที่ว่า พอถึงกาลเวลาแล้วพระองค์ก็ปรินิพพาน ปัจฉิมสาวกก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่พูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานท่านบอกว่า ศาสนาใดมีมรรค ๘ ศาสนาใดมีอริยสัจ ๔ ศาสนานั้นแลเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล สมณะที่หนึ่งที่สองที่สาม คือพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อยู่ในศาสนานั้น ท่านจะไปตำหนิศาสนาใดท่านก็ไม่ตำหนิ ท่านก็พูดตรงๆ ไปอย่างนั้น ศาสนาก็มีแต่พุทธศาสนานี้เท่านั้น แล้วศาสนานอกนั้นมีไหม ไม่มี พระองค์ก็ไม่ได้พูดให้กระทบกระเทือนกับศาสนาใด พ่อของใครแม่ของใครลูกของใคร ใครก็รักของตัวเอง จะผิดถูกชั่วดีเขาก็รักของเขา ถ้าเทียบศาสนาเป็นพ่อเป็นเป็นแม่ของสัตว์โลกทั้งหลายที่อาศัย ก็เทียบกันไปอย่างนั้น
ศาสนามีมากเท่าไรเราก็ไม่พูดมากแหละ พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้านี้สอนถูกต้องแม่นยำเรียบร้อยแล้วไม่เป็นที่สงสัย ถ้าสงสัยให้มาสงสัยตัวเอง ดูเรื่องของเราที่เป็นภาชนะรับอรรถรับธรรมพระพุทธเจ้า มันเป็นภาชนะแตกๆ ขาดๆ หักๆ พังๆ หรือภาชนะที่ดี เป็นยังไงใจของเราพอที่จะรับอรรถรับธรรมได้หรือยัง นี้จวนจะตายแล้วนะ พระเต็มบ้านเต็มเมืองอย่าให้ท่านยุ่งนะ เวลาตายแล้วไป กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับกุสลา คือกุศลผลทานใช้ไม่ได้นะ ให้รีบเร่งขวนขวายตั้งแต่บัดนี้ มรรคผลนิพพานจ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว อย่านอนหลับทับสิทธิ์ อย่าเป็นกบเฝ้ากอบัว ร้องเอ็บๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เรานอนกอดศาสนา ศาสนาอยู่กับตัวของเรา กายจิตเป็นภาชนะสำหรับรับรองศาสนาและมรรคผลนิพพานด้วยกันทุกคนนั่นแหละ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
สำหรับพระเราก็ให้เร่งขวนขวายต่ออรรถต่อธรรม พูดอยู่สม่ำเสมอไม่ละไม่ถอยว่าสติเป็นสำคัญ ถ้าสติตั้งอยู่แล้วกิเลสจะไม่เกิด ฟังข้อนี้ให้ดี มันจะหนาแน่นเท่ากับภูเขาก็ตามเถอะเรื่องกิเลสน่ะ สติต้านทานได้หมด ความคิดปรุงนั้นละคือกิเลสผึงออกมาแล้ว สติตีไว้นี้กิเลสจะไม่เกิด แม้มีอยู่ภายในก็ไม่เกิด ไม่เกิดก็คือว่าไม่ออกมาย้อนกลับเข้ามาทำลายเจ้าของ ออกไปกว้านหากินแหละกิเลส ผลที่ได้มาเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนแก่เราแก่สัตว์โลกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจึงตั้งสติให้ดี
ดูซิจิตของเราไม่ให้มันคิดทางกิเลส ให้คิดแต่อรรถธรรม เช่นบริกรรมคำใดก็ตาม พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ก็ได้ ให้มีสติติดอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ยอมให้ความคิดที่เป็นวัฏจักรวัฏวนเป็นกิเลสตัณหาออกมา เอาความคิดที่เป็นธรรมปิดกั้นเอาไว้ด้วยสติ ผนึกลงอีกทีหนึ่งๆ กิเลสจะไม่เกิด หนาขนาดไหนจะไม่แสดงตัวออกมาได้เลย และไม่ทำลายได้ถ้าใครมีสติดี แล้วสตินี้ละจะคุ้มครองจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นเมื่อปราศจากสิ่งรบกวน คือกิเลสนั่นละรบกวน เรารักษาด้วยอรรถด้วยธรรมคือคำบริกรรม
ผู้อยู่ในขั้นคำบริกรรมให้ตั้งคำบริกรรม ผู้อยู่ในฐานะใดขั้นใดธรรมบทใดสติเป็นสำคัญมาก แต่เวลาสูงขึ้นไปแล้วสติก็ไม่ค่อยได้พูดถึงกันละ ท่านหากรู้เป็นความจำเป็นของท่านผู้บำเพ็ญเอง เวลานี้ต้องถูต้องไถต้องบังคับบัญชา ทั้งขี้เกียจขี้คร้าน เหมือนเราบังคับให้เด็กทำงาน เวลาผู้ใหญ่บังคับอยู่เด็กก็ทำงาน พอผู้ใหญ่ลับตาไปเท่านั้นเด็กเถลไถลทันที นี้ก็เหมือนกัน เมื่อสติบังคับอยู่จิตก็ทำงาน ให้มีสติบังคับอยู่แล้วจิตก็ทำงาน ใจก็สงบเย็น
ใจที่จะเริ่มมีความสงบร่มเย็นเป็นรากเป็นฐาน เป็นตัวของตัวได้เป็นลำดับลำดา ขึ้นอยู่กับสติในภาวนานะ อยู่กับสติ อย่าเห็นสติเป็นของเล็กน้อยนะ ใหญ่โตมากที่สุด คิดดูกิเลสจะหนาแน่นยิ่งกว่าคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวงก็ตาม สติตั้งไว้อยู่เลย ถ้าสติบังคับไว้แล้วกิเลสจะไม่โผล่ขึ้นมาได้ นอกจากสติเผลอปั๊บกิเลสก็เหยียบเอาๆ หมด ไม่มีคุณค่าในคนๆ หนึ่ง ให้พากันจำให้ดี ต่อจากนี้ให้พร
หลังจังหัน
(พูดดุโยมที่ชอบรุมล้อมใกล้ๆ เป็นประจำ) พูดนี้เราก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้วัดรอยนะ เราพูดถึงเรื่องเทวดาเขามาห้อมล้อมอยู่เต็มหมด แล้วมีพระอะไรลืมชื่อแล้วมานั่งขวางหน้าอยู่นั่น พวกเทวดาเขาโกรธเขาแค้นให้พระองค์นั้น ขวางอยู่เหมือนนี่ พระพุทธเจ้าเลยรับสั่งให้หลีกไป เห็นไหมพวกเทพเขารออยู่นั้น เขาโกรธเขาแค้น ถ้าเป็นภาษาหลวงตาบัวแล้วจะว่า ดีที่เขาไม่เอาไม้เรียวตีหลังเอา พระองค์ไล่ออก พวกเทพทั้งหลายเขาอยากดู พระพุทธเจ้าเลยไล่พระองค์นั้นออก
เรื่องแปลกๆ เดี๋ยวนี้มันลืมแล้วแหละ ลืมเสียมากต่อมากจนจะไม่มีเหลือ ตำรับตำราพระไตรปิฎกเดี๋ยวนี้ลืมเกือบจะหมด ถ้าพูดไปสัมผัสปั๊บถึงจะออกมา ความจำเป็นอย่างนั้น ความจำจะถือเป็นสมบัติของเราไม่ได้ ความจริงต่างหากเป็นสมบัติของเรา พอรู้ปั๊บนี้จริงแล้วด้วย เป็นสมบัติของเราด้วย ผลจากการปฏิบัติเป็นสมบัติของตน แต่จากการศึกษาเล่าเรียนเป็นความจำเฉยๆ ถ้าไม่นำไปปฏิบัติไม่มีผล เพราะฉะนั้นการเรียน เรียนจบพระไตรปิฎกก็เถอะ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกเลยนะ ไม่เหมือนภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติจับลงจุดไหนเป็นผลขึ้นมาๆ
ถ้าพูดถึงเรื่องดูหนังสือเราดูมากจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ลืมมากพอๆ กัน จนแทบจะไม่มีอะไรเหลือนะ ตำรับตำราคัมภีร์ไม่ได้ดูมากเฉพาะอภิธรรม พระอภิธรรมไม่ค่อยได้ดูมาก พระวินัย พระสุตตันตะ ดูมาก ส่วนพระอภิธรรมเรายอมรับว่าเราไม่ค่อยได้ดูมาก อภิธรรมคือเรื่องจิตตภาวนาล้วนๆ พูดแต่เรื่องจิต หมุนเข้าๆ จึงว่าอภิธรรม ธรรมที่ละเอียดสุขุมมาก พระสูตร พระวินัยปิฎก จากนั้นก็พระอภิธรรม ท่านถอดออกมาจากพระทัยของพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้ ปิฎกใหญ่ขึ้นแล้ว
ดูเหมือนท่านสังคายนาครั้งที่สามหรือที่สี่เราจำไม่ได้ที่ได้จดจารึกออกมา แต่ก่อนก็สังคายนาร้อยกรองธรรมวินัยมาถึงสองสามครั้งละมัง จึงมีผู้คิดว่าต่อไปผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรรมด้านวินัยนี้จะค่อยล่วงไปๆ ให้รีบจดจารึกไว้เสีย จึงได้จดจารึกออกมาเป็นคัมภีร์ ดูเหมือนสังคายนาครั้งที่สามหรือที่สี่ (ดูเหมือนจะเป็นครั้งที่ห้าค่ะ ที่ลังกา) นั่นแล้วมันลืม ก็เคยอ่านแล้ว เห็นไหมล่ะ แต่แล้วมันก็ลืมอย่างนี้ละ นี่ละจึงได้เป็นคัมภีร์ออกมา แต่ก่อนออกจากพระทัยพระพุทธเจ้าล้วนๆ พระสงฆ์สาวกเหมือนกัน บรรลุธรรมปึ๋ง พระไตรปิฎกขึ้นพร้อมๆ เป็นธรรมแท้ไม่ใช่ธรรมความจำ เป็นธรรมความจริงเกิดขึ้นมาและเป็นสมบัติของตนด้วยๆ ตลอด
ทีนี้เวลาออกไปหาคัมภีร์แล้วก็เลยเป็นแขนงออกไป แขนงเลยเลื้อยไปไม่มีสิ้นสุด แต่หาจะยึดจะจับจะเกาะจะเป็นสาระอะไรก็ไม่ได้ ถ้ามีแต่ศึกษาเล่าเรียนมีแต่ความจำ คืบคลานไปอย่างนั้นไม่ได้สาระ เราไม่ได้ประมาท ไม่ประมาทยังไง ก็เราก็เรียนเหมือนกัน แน่ะ มันไม่ได้หลักได้เกณฑ์นะเพียงเรียนเฉยๆ มันคืบมันคลานลูบไปคลำไปๆ ว่าบาปบุญ สงสัยไปพร้อมนะ พระพุทธเจ้าสอนลงอย่างถูกต้องแม่นยำ บาปมีบุญมี รู้แล้วเห็นแล้วจึงนำมาสอน ไอ้พวกที่ไปอ่านตามตำรับตำรา บาปมีจริงเหรอ บุญมีจริงเหรอ จนกระทั่งเรียนไปถึงนิพพาน ยังไปตั้งเวทีตีกับนิพพาน นิพพานมีจริงๆ หรือ นั่นเห็นไหม นี่ความจำมันไม่ใช่ความจริง
ความจริงคือเกิดขึ้นกับตรงนั้น กับใจๆ รู้ที่ใจ เห็นที่ใจ เป็นสมบัติของตนเป็นลำดับลำดาไป ความจำไม่เป็นนะ หลงลืมไปได้ นี่ละภาคปฏิบัติเรานำมาพูด เอาความจริงออกมาพูด ใครจะหาว่าโอ้ว่าอวดว่าขวานผ่าซาก กระแทกแดกดันก็ตาม เราไม่มีความรู้สึกในทางนั้น มีแต่ความจริง ว่าไปตามความจริง ดังที่ได้เคยเล่าให้บรรดาพี่น้องลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟังตลอดมา การเทศนาว่าการอย่างทุกวันนี้กับแต่ก่อนเป็นคนละโลก คือแต่ก่อนก็เรียนคัมภีร์มาด้วยกันอ่านมาด้วยกัน ไม่ว่าท่านว่าเราพระทั่วประเทศไทยเราศึกษาเล่าเรียนมาตามคัมภีร์ๆ เวลาเทศน์ก็เทศน์ไปตามตำรับตำรา ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน เป็นธรรมดาไม่มีอะไรสะดุดใจ
พูดให้มันตรงๆ เอาความจริงเป็นหลักเลยแล้วมันเป็นลอยๆ ไป จะยึดจะเกาะตรงไหนเป็นที่แน่ใจๆ ก็ไม่ได้ทั้งผู้เทศน์ทั้งผู้ฟัง เป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นการเทศน์จึงธรรมดาๆ ถ้าตรงไหนที่มีกองกิเลสหนาแน่นแล้วหลบหลีกไปๆ ไม่เข้าชนกิเลส ถ้าเป็นธรรมแล้วตรงเป๋งๆ เลย ทีนี้เราก็เรียนมาอย่างนั้น เทศนาว่าการก็ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่านทั่วกันทั้งประเทศ สำนวนโวหารจึงไม่เหมือนกันกับที่เราเทศน์อยู่ทุกวันนี้เราพูดจริงๆ ออกจากเราคนเดียวนะ นี่ก็คือเอาความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ความจำเราก็พูดแล้วเทศน์แล้ว เรียกว่าเหมือนกันทั่วประเทศไทย องค์ไหนเทศน์ก็แบบเดียวกันๆ เพราะอ่านไปตามตำราเป็นความจำๆ เรื่อยไป
ทีนี้เวลามาปฏิบัติ นี่ละที่นี่นะ ปฏิบัติก็เพื่อผลนี่จะว่าไง ปฏิเวธจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ พอปฏิบัติไปๆ ก็เริ่มรู้ไปเห็นไป รู้ขึ้นภายใน นี่เป็นหลักธรรมชาติแท้ เป็นธรรมแท้ เกิดขึ้นจากปฏิบัติ ทีนี้พอเกิดขึ้นปั๊บๆ เกิดขึ้นที่ตรงไหนๆ ไม่ว่าธรรมแง่ใดมุมใดเป็นจริงทั้งนั้นๆ แน่นอนๆ สำคัญตรงนี้นะ ทีนี้เราจะพลิกแพลงความจริงที่เรารู้เราเห็นนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นะ เราจะหลบๆ หลีกๆ เหมือนที่เทศน์ทั้งหลายหลบไปหลีกไป ถ้าเป็นกองทัพกิเลสอยู่ที่ไหนหลีกไปๆ ไม่กล้าเข้า คือไม่ตรงไปตรงมาตามอรรถธรรมโดยแท้ หลบไปหลีกไป ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน เหมือนกันนะ ไม่ได้ตำหนิใครละ เป็นอย่างนั้น
แต่เวลามาปฏิบัตินี้มันเป็นขึ้นในใจ มันรู้จริงๆ รู้ตรงไหนแม่นยำๆ ในใจ ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำจนกระทั่งสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน เป็นความจริงล้วนๆ แน่นอนๆ ทีนี้เวลาเราออกไปเทศน์เราจะเทศน์เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้องเทศน์ไปตามความจริง นี่คือธรรมแท้ เป็นยังไงต้องว่าอย่างนั้นๆ เรียกว่าตรงเป๋งไปเลย เราจะพูดอย่างอื่นขัดต่อความเป็นจริงที่รู้อยู่เห็นอยู่นี้ เราจะหลีกเลี่ยงพูดไปไหนไม่ได้ไม่ตรงตามความจริงคือธรรมแท้ ทีนี้เมื่อให้เป็นไปตามธรรมแท้ ก็เลยกลายเป็นขวานผ่าซาก หรือกลายเป็นพูดกระแทกแดกดันอะไรไป ในแง่หนักแง่เบาของธรรมที่แสดงออกมา ที่ว่าขวานผ่าซาก ที่ตรงไปตรงมา มีแง่หนักแง่เบา เขาเรียกกระทบกระแทกอะไรอย่างนี้ แต่ความจริงนั้นเป็นเนื้อของธรรมที่ออกมาตามน้ำหนักของธรรมที่ออกมาเป็นระยะๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าได้ดุได้ด่าใคร หรือมีอะไรเป็นเครื่องหมายให้โกรธให้แค้นให้ว่าไม่มี มีไปตามธรรมดาเหมือนกันกับเขาถากไม้ เขาจะเอามาทำเป็นเสาบ้านเสาเรือน
ไม้นี้มันคดมันงอต่างกัน ที่มันตรงเขาก็ถากเรียบๆ ตรงที่คดงอมากน้อยเขาก็ถากหนักมือเข้าไปๆ ตรงไหนคดงอมากเขาก็หนักมือเข้าไป อันนี้อรรถธรรมก็เหมือนกัน ถ้าเรียบๆ ธรรมะก็เรียบๆ รู้เรียบๆ พูดเรียบๆ ถ้าตรงไหนมีคดมีงอมีจุดมีสำคัญตรงไหน จะเน้นหนักตรงนั้นๆ เหมือนเขาถากไม้ เน้นหนักในการถาก อันนี้ธรรมะควรจะเน้นหนักตรงไหนจะเบาไม่ได้ ขัดความจริงคือธรรม มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นๆ ทีนี้สำนวนโวหารของเราที่เคยเทศน์มาตั้งแต่ก่อนในทางปริยัติ กับมาภาคปฏิบัติมันเป็นคนละคน พูดจริงๆ นะ
อย่างที่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังทุกวันนี้ เราไม่มีความรู้สึกว่า เราได้เทศน์เหมือนขวานผ่าซ่งผ่าซากไม่มี และกระแทกแดกดันอะไรตามที่กิเลสมันไม่ยอมรับ มันตีศอกกลับมาเข้าใจไหม กลับมาก็เป็นศอกกิเลสเสีย ศอกเราเป็นศอกธรรม มันก็เข้ากันไม่ได้ทีนี้มันก็ผิดไปเสีย มันไม่ถูกเรา ศอกกิเลสกับศอกธรรมมันต่างกันเข้าใจไหมล่ะ อันนี้ก็พูดเป๋งๆไปอย่างนั้น นี่ละความรู้ในทางธรรม เวลาเป็นขึ้นยังไงแล้วจะพูดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้องพูดไปตามหลักความจริง ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ตรงไปตรงมา ควรหนักหนัก ควรเบาเบา ตามแง่ของธรรมที่จะควรออกหนักเบามากน้อยจะออกไปเองๆ เป็นอย่างนั้นละ นี่ถอดออกมาจากความเป็นของจิต
การเทศน์ตั้งแต่สมัยเรียนปริยัติ เทศน์ปริยัติกับสมัยนี้จึงเป็นคนละโลกไปเลย ไม่ได้เหมือนกันเลย อันนั้นเทศน์ความจำ อันนี้เทศน์ความจริง ความจริงเป็นยังไงออกตามหลักความจริง ไม่ว่าธรรมขั้นใด ออกตามหลักความจริงขั้นนั้นๆ ทั้งนั้นแหละ มันถึงต่างกัน ท่านทั้งหลายที่ยังไม่เคยได้ฟัง ฟังเสีย นี่ก็ออกทางวิทยุแล้ว นี่หลวงตาบัวพูด ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด มันเป็นขึ้นยังไงๆ จะพูดอย่างอื่นไปไม่ได้ จึงเรียกว่าธรรมแท้ เป็นขึ้นแง่ใดต้องพูดไปตามแง่ของธรรมแง่นั้นๆ ที่จะปลีกจะแวะไปยังไง หลบๆหลีกๆ โอ๋ย ไม่ได้เลยนะ ต้องตรงไปตรงมาเลย
การฆ่ากิเลส นั่นละต้นเหตุสำคัญมาจากนั้น กิเลสอยู่ตรงไหนธรรมะจะพุ่งเข้าตรงนั้นๆ ขาดสะบั้นไปๆ ทีนี้ผลออกมาก็เป็นไปตามนั้นเหมือนกัน ตรงไปตรงมาแบบเดียวกัน ในโลกนี้จิตไม่ได้คิดว่าจะเชื่ออะไร มากกว่าเชื่อความจริงที่เป็นอยู่กับจิต เป็นอยู่กับจิตไม่ว่าผิดว่าถูกชั่วดี จะแสดงขึ้นมาให้เห็นชัดเจนกับจิต เพราะจิตเป็นผู้รู้ ธรรมกับจิตเข้ากันได้สนิทๆ สุดท้ายก็เป็นอันเดียวกัน นี่ละออกจากจิต เวลาเป็นขึ้นมายังไงมันก็รู้ได้เห็นได้ชัดเจนแน่นอนอยู่กับหัวใจตนเอง จึงไม่มีความรู้สึกว่าจะไปถามใครอีก ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวเท่านั้น สอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ ไปถามใคร ใครมาเป็นพยานพระพุทธเจ้า พระอรหันต์แต่ละองค์ๆ บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเต็มตัวแล้ว เต็มตัวตามภูมิของสาวกของพระพุทธเจ้าโดยลำดับลำดามาอย่างนั้น ท่านไม่ไปทูลถาม เพราะเต็มอยู่ในหัวใจท่านแล้ว เต็มภูมิของท่าน
ท้องหนู ท้องช้างมันต่างกัน พวกสาวกทั้งหลายก็เป็นท้องหนูเต็มท้องหนู ช้างก็เต็มท้องช้าง ราชสีห์ก็คือศาสดาองค์เอก เต็มพระทัยของศาสดา เต็มหัวใจของสาวก ออกมาเทศน์ไม่ต้องไปทูลขอจากพระพุทธเจ้ามาละ เทศน์เต็มภูมิของตัวเองๆ อย่างนี้เหมือนกันหมดบรรดาพระอรหันต์ เพราะรู้ขึ้นที่นี่ เห็นที่นี่ ยืนยันกันที่นี่ เป็นความตายตัวว่าถูกต้องแม่นยำ ไม่มีที่จะไปถามคนนั้นคนนี้ จริงขึ้นมาตลอดๆ เพราะฉะนั้นเวลานำธรรมที่เป็นของจริงนี้ออกเทศนาว่าการแก่โลก เราจะไปหลบๆ หลีกๆ จากธรรมนี้ไม่ได้ ธรรมว่าอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้นเลย เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็ตรงไปตรงมา สุดท้ายเขาก็ว่าขวานผ่าซาก แน่ะ ว่าพูดกระแทกแดกดัน พูดดุพูดด่า อย่างว่าละเป็นเรื่องของโลกของกิเลส ที่ไม่ชอบธรรมซึ่งตรงไปตรงมา
กิเลสมันร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคม ธรรมนี้ตรงไปตรงมา ทีนี้กิเลสกับธรรมมันก็เข้ากันไม่ได้ละซิ ให้มันได้รู้ดูซิจิตน่ะ นี้จวนจะตายยิ่งเป็นห่วงเป็นใยบรรดาประชาชนพี่น้องลูกหลานทั้งหลายหนักเข้าเป็นลำดับนะ แทนที่จะมาห่วงตัวเอง บอกตรงๆ เมล็ดงาหนึ่งไม่มี เม็ดหินเม็ดทรายหนึ่งไม่มี เครื่องมือนี้มีเท่าไรเราก็จะเพื่อทำประโยชน์ ก็ทุ่มลงไปๆ ตามสภาพของธาตุของขันธ์ที่มีขนาดไหนที่จะทำได้ทำ ตายแล้วไม่ได้ทำ กิริยาอย่างนี้ไม่มีเวลาตายแล้ว นิพพานธาตุไปเลย หรือธรรมธาตุนิพพานธาตุเป็นอันเดียวกันนั้นแหละ
ธรรมชาตินั้นจะไม่อยู่กับธาตุกับขันธ์ แต่ครองกันอยู่นี้ แต่ไม่เป็นธาตุเป็นขันธ์ กิริยาอาการที่มีในขันธ์กับโลกนี้รับกันได้ๆ ธรรมชาตินั้นเป็นฝั่งหนึ่งแล้ว ไม่ได้นำมาเกี่ยวข้องนี้เลย มีแต่ขันธ์ล้วนๆ ขันธ์เขาขันธ์เราโลกสมมุติ ขันธ์นี้ก็สมมุติ มันก็เข้ากันได้ประสานกันได้ธรรมดา ส่วนธรรมชาตินั้นมันเลยไปแล้ว ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสมมุติ เพราะนั้นเป็นวิมุตติแล้วยกไว้เสีย ถึงจะเป็นอะไรๆ จะไม่เกี่ยวข้องกับนั้นเลย เพราะฉะนั้นบรรดาพระอรหันต์ ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมชาติที่บริสุทธิ์ของจิตนั้นแล้ว ที่ท่านมีอาบัติอาจีแต่หยาบถึงขั้นละเอียดสุด ตั้งแต่หยาบเรียกว่าประหารชีวิต โทษปาราชิกนี้ประหารชีวิต ขึ้นไปถึง ทุกกฏ ทุพภาสิต อาบัติหรือโทษเบาๆ มีอยู่ในธาตุในขันธ์ เวลาจิตใจยังมีกิเลสอยู่จิตใจก็อยู่ด้วยกัน ปรับโทษปั๊บกระเทือนถึงจิตเลย ไม่ว่าโทษใด โทษปาราชิกจิตก็ขาดแบบเดียวกันเพราะอยู่ด้วยกัน
ทีนี้พอจิตดีดผึงออกจากอันนี้หมดแล้ว อันนี้ก็อยู่ในวงธาตุวงขันธ์ อันนั้นไม่ใช่วิสัยแล้ว เพราะเป็นวิมุตติไปแล้ว อาบัติเหล่านี้เป็นสมมุติ ปาราชิก สังฆาทิเสส อะไรๆ นี้เป็นสมมุติ ใครจะรับสมมุติอันนี้ คือขันธ์ ขันธ์จะต้องปฏิบัติตามนี้ เพราะอยู่ในวงสมมุตินี้ ส่วนจิตไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ตั้งแต่ขณะท่านบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น จึงว่าในดวงจิตของพระอรหันต์แท้ๆ ไม่มีอาบัติ หมด สมมุติหมดโดยประการทั้งปวง คำว่า ปาราชิก สังฆาทิเสส อะไรๆ จึงไม่มี ธรรมชาตินั้นเป็นอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ที่มีก็มีอยู่ในขันธ์ ขันธ์เป็นผู้รับรอง ขันธ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของสมมุติ สมมุติดีชั่วอยู่กับขันธ์ พระวินัยที่ท่านบังคับไว้ก็อยู่ในขันธ์ ถ้ามีจิตอยู่ด้วยกระเทือนถึงจิต นั่น ถ้าจิตผ่านพ้นแล้วก็อยู่ในขันธ์ รับผิดชอบไปเพียงเท่านั้นๆ
เอา ใครไม่ได้ยินฟังเสียวันนี้ คำพูดเหล่านี้ไม่มีใครพูดนะ พูดที่ว่านี่ไม่มีใครพูด นี้พูดถอดออกมาจากหัวใจที่พ้นไปแล้วก็บอกพ้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับธาตุกับขันธ์ ท่านเหมือนเราเราเหมือนท่านก็ปฏิบัติกัน มันเข้ากันได้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ประสับประสานกันได้ทั้งนั้นละธาตุขันธ์ เป็นแต่เพียงจิตไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าจิตเข้าเกี่ยวข้องกระเทือนถึงกันหมดทั้งจิต คำพูดอย่างนี้ไม่มีใครพูด จะรู้หรือไม่รู้เราก็ทราบไม่ได้นะ แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ พูดออกจากความจริงนี้เลย
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีอาบัติในจิตของท่านนะ แต่ในขันธ์ท่านรักษากฎระเบียบเรียบร้อย ที่สังคมของโลกนิยม สังคมศาสนายอมรับกัน ปฏิบัติตามนั้นเรียบร้อยไปเลย ไม่มีอะไรขัดข้องกับโลก ยอมรับกันปฏิบัติด้วยความเรียบร้อยดีงามเหมือนกันหมด จนกว่าท่านจะปรินิพพาน นี่เป็นเรื่องของขันธ์ ปฏิบัติอยู่ในกรอบในขอบเขตของขันธ์ของสมมุติ ที่นอกไปแล้วก็อยู่นอกนั้นเสีย วันนี้พูดเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |