เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อบ่ายวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
วันเกิดวันตาย
ท่านอุทัยก็มานี่ ท่านอุทัยอยู่วัดภูวัว เป็นสมภารอยู่วัดภูวัว แต่ก่อนมีพระอยู่สองสามองค์ เพราะที่โคจรบิณฑบาตไม่มี มีบ้านสองสามหลังคาเรือน ท่านไปอยู่นั้นเป็นเวลานาน ทีแรกก็ท่านอาจารย์ฝั้นมาพักที่นั่นก่อน ใครก็ตามที่อยู่ไม่ได้ ท่านไม่ใช่พระตาย พระเป็นอยู่นี้มันต้องหิวข้าวเข้าใจเหรอ ไปบิณฑบาตอยู่นั้นน่ะ เราก็ทราบมานาน พยายามที่จะไปดู จนได้โอกาสแล้วไป ไปดูจริงๆ ลงรถแล้วเที่ยวหมดเลย แถวนั้นๆ เที่ยวดูหมด เป็นที่พอใจทุกอย่าง เรียกว่าชั้นเอกใน รุกขมูล คือในป่าในเขาเป็นชั้นเอก
พอออกมาเราก็ได้พูดกับท่านอุทัยนี้ละ บอกว่า เอ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านอุทัยจะรับพระสักเท่าไร เอา รับนะ ถ้าพระตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว เอา มาเท่าไรรับ ผมจะรับเลี้ยง คือมาเท่าไรมา ท่านจะมาเท่าไรเราก็รับเลี้ยง มือเขียนต้องมือลบ จะว่ามากเกินไปเราไม่ว่า ถ้าหากว่าสู้ไม่ไหวผมจะบอก เราก็ยังรออยู่เปลาะที่ว่าเราจะสู้ไม่ไหว ก็จะบอกมา มันก็สู้ไหวกันอยู่ตลอดตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลา ๒๐ กว่าปี ให้ท่านรับพระมาอยู่ที่นี่บำเพ็ญสมณธรรมตามอัชฌาสัย เป็นเวลา ๒๐ กว่าปีนี้แล้ว เราส่งอาหารตลอด ปลายเดือนๆ ส่งเป็นประจำๆ ให้พอกับพระมีจำนวนเท่าไรๆ และเผื่อไว้ๆ
หากว่ามีพระอยู่แถวใกล้ๆ เคียง ที่พระท่านตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรม ขาดเขินอะไรก็ให้ท่านมาติดต่อจากกันไปเอง เพราะเราจะส่งเสียซิกแซ็กซอกแซกไม่ได้ เรามาส่งจุดเดียว ตั้งแต่บัดนั้นมาละ ท่านอุทัยท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตลอดมา พอตกเย็นก็ฟังเทป เทปก็มีครูมีอาจารย์หลายองค์ๆ มาตั้งเทปพระก็มานั่งฟังเทปและภาวนาในนั้นเสร็จ จบจากนั้นแล้วจะเลิกไปกุฏิก็ได้หรือนั่งภาวนาต่อก็ได้ เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้
สถานที่นี่เป็นสถานที่เหมาะสมมาก เราจึงใช้ความเด็ด เด็ดเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่ใช่เด็ดเพื่ออะไรนะ เราช่วยก็บอก เอาๆ มา พระมาเท่าไรมา พระตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วให้มา ผมจะรับเลี้ยงเต็มความสามารถของผม หากว่าสู้ไม่ได้ผมจะบอก บอกงั้นนะ ก็เงียบมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่ทราบว่าสู้ได้หรือไม่ได้ สู้กันเรื่อยมาอย่างนี้แหละ ส่วนพระปฏิบัติโกโรโกโสบอกให้ไล่ลงภูเขาให้หมด อย่าให้หนักภูเขาลูกนี้ เสียศักดิ์ศรีภูเขาทั้งลูก บอกอย่างนั้นจริงๆ แล้วคนที่จะมาโกโรโกโสเที่ยวในวัดนี้ไม่ได้ เราเป็นคนสั่งท่านอุทัยเสียเอง ท่านอุทัยก็ปฏิบัติตามเราเลย เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่มีใครที่จะไปอยู่โกโรโกโสยั้วเยี้ยๆ อย่างนั้น
ไม่เหมือนวัดอื่นนะ เช่นมาจากกรุงเทพฯหรือใครมาจากที่ไหน มาเยี่ยมชั่วคราวตามที่เขาเคยมาชั่วระยะนั้นเป็นธรรมดา แต่ที่จะไปตั้งรากฐานให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายในที่นั่นไม่ได้ เราตัดขาดเลย เพราะฉะนั้นสถานที่นั่นจึงไม่มีใครไปยุ่ง ท่านบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างดีมาตลอด สถานที่นี่เป็นสถานที่จะทรงมรรคทรงผลสำหรับผู้ตั้งใจอรรถธรรมจริงๆ แล้วมรรคผลนิพพานจะอยู่ชั่วเอื้อมๆ ในสถานที่เช่นนั้น เราจึงส่งเสริม เราส่งเสริมผู้ดี พระดี คนดี เราส่งเสริมทั้งนั้นละ นี่เราก็พูดตามความจริง ตะกี้นี้เห็นท่านอุทัยมานี้ มาสัมผัสก็เลยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ว่าท่านอุทัยท่านตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระเณรอยู่กับท่านเวลานี้เท่าไรเราไม่ถามแหละ เพราะเราบอกเอามาเท่าไรมามันครอบไปหมดแล้ว ท่านจะมีเท่าไรๆ เป็นแต่เพียงว่าถ้าถามก็จำนวนเท่าไรเราจะเพิ่ม ถ้าหากว่ามากขึ้นเราจะเพิ่ม อาหารการขบฉันนี้เพิ่มตลอดๆ
นี่ก็เห็นธรรมดาๆ เราก็ส่งไปธรรมดา นี่ละเราจวนตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงพระลูกพระหลานเรานะ ขอให้ตั้งอกตั้งใจบรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลาย เวลานี้ศาสนานี้ย่นเข้ามาๆ เป็นเกาะเป็นดอน พูดให้มันเต็มยศเสีย ภาษาธรรมไม่เหมือนภาษาโลกที่จะอ้อมแอ้มๆ หลีกนั้นหลีกนี้ ภาษาธรรมต้องตรงไปตรงมา เวลานี้ศาสนานี้หดย่นเข้ามาๆ จะมาอยู่ในวงปฏิบัตินะ วงนอกนั้นเลอะเทอะ พูดให้ตรงตามศัพท์ตามแสงเลย เลอะเทอะไม่มีน้ำยา เราไม่ได้ตำหนิใคร เห็นด้วยตาฟังด้วยหูของเรา ดูตำรับตำรามาแล้วด้วยกันคัดค้านกันได้ยังไง เราผู้ที่ว่าอย่างนี้เราก็เรียนมาแล้วตามตำรับตำรา ท่านปฏิบัติกันยังไงพระสงฆ์ที่เป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่น่ากราบไหว้บูชาเป็นยังไง และผู้ที่เลอะเทอะเป็นยังไง มันก็เห็นทั้งสอง
เมื่อดูไปๆ มันก็มีตั้งแต่พระเลอะเทอะๆ วัดทั้งวัดมันกลายเป็นส้วมเป็นถานไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ไปสร้างวัดที่ไหนไปสร้างส้วมสร้างถานที่นั่น สิ่งที่อยู่ในวัดนั้นมีแต่ความหรูหราฟู่ฟ่า เป็นเรื่องโลกเรื่องสงสารเรื่องกิเลสตัณหาเต็มไปหมด นี่ละเรียกว่าเป็นส้วมเป็นถาน ทีนี้พระที่อยู่ในวัดนั้นก็กลายเป็นมูตรเป็นคูถ ปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนวไม่สนใจกับศีลกับธรรมอะไรเลย สุดท้ายวัดนั้นเรียกว่าส้วมว่าถานไม่ผิด พระเณรเรียกว่ามูตรว่าคูถก็ไม่ผิด ถ้าใครปฏิบัติตัวเป็นอย่างนั้น วัดใดทำให้เป็นอย่างนั้นแล้ว เป็นอันว่าขัดต่อหลักธรรมวินัยอย่างมากทีเดียว จะว่าเรียกว่าส้วมว่าถานไปเลยก็ได้ ไม่ต้องเรียกว่าพระ ไม่ต้องเรียกว่าวัด
วัดของพระพุทธเจ้าเป็นยังไง วัดของพระพุทธเจ้า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูล ร่มไม้ ในป่า ในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญสมณธรรม และให้ท่านทั้งหลายอุตส่าห์อยู่ และปฏิบัติธรรมในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่น นี่พระโอวาทพระพุทธเจ้าประทานให้ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระองค์ใดบวชไม่มีพระโอวาทข้อนี้ ไม่ได้รับพระโอวาทข้อนี้เรียกว่าพระปลอมไม่สมบูรณ์แบบ พระทุกองค์ต้องได้รับโอวาทจากอุปัชฌาย์ในข้อนี้เสมอเหมือนกันหมดเลย
นี่ละวัดที่ทรงมรรคทรงผล ท่านไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา ไม่ได้ไล่เข้าไปหา กระดูกหมู กระดูกวัว เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อหมา ชุมๆ อะไรนะ ท่านไล่เข้าในป่าในเขา เอา อยู่ไป จะอดอยากขาดแคลนให้อดอยากเถอะ ตถาคตผ่านความอดอยากมาแล้ว ถึงขั้นสลบไสล ทรงอดพระกระยาหารถึง ๔๙ วัน ฟังซิ มีไหมประเทศไทยของเราที่อดอาหารถึง ๔๙ วัน เหมือนศาสดาของเรา พระพุทธเจ้าของเราที่ทรงทรมานนั้น ทรงอดพระกระยาหารถึง ๔๙ วัน ไม่ฉันไม่เสวยเลย การไม่เสวยอดอาหารไปตลอด ท่านถือเอาการอดอาหารนั้นเป็นการดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพาน แต่มันผิดทางไป พระองค์ก็พลิกจากอดอาหาร ๔๙ วันนั้นเข้ามาเสวยพระกระยาหารละที่นี่
นั่นละวันเพ็ญเดือนหก พระสรีระทุกสัดทุกส่วนเบาบาง ทุกแง่ทุกมุมเบาบาง พิจารณาภาวนาก็ถูกทางด้วย ทรงเจริญอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออกในคืนวันนั้น และตอนเช้านั้นนางสุชาดาเอาข้าวมธุปายาสมาถวาย ๔๙ ชิ้นพอดี พระองค์ก็เสวยหมด ๔๙ ชิ้น พอเสวยแล้วก็ตั้งสัจจอธิษฐานว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้ร่มโพธิ์ร่มนี้จะเป็นที่ตรัสรู้ของเราหนึ่ง จะเป็นป่าช้าสำหรับความตายของเราหนึ่ง ตั้งแต่บัดนี้วันนี้ละเราจะนั่งอยู่ที่นี่ภาวนา ถ้าหากว่าได้ตรัสรู้ก็ตรัสรู้ในร่มโพธิ์ร่มนี้ ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ร่มโพธิ์ร่มนี้ก็เป็นป่าช้าของเรา ตัดสินพระทัยในคืนวันนั้น ทรงเจริญอานาปานสติ ซึ่งถูกต้องกับทางเดินของธรรมแล้ว
พอเจริญแล้วปฐมยามธรรมก็จ้าขึ้นมา บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ตลอดทั่วถึงในชาติของพระองค์ เกิดมาในภพใดชาติใด เสวยอะไรๆ ต่ออะไรบ้างเรื่อยมา นี่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังได้หมด พอมัชฌิมยามก็ทรงบรรลุธรรม จุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณารู้ความเกิดความดับของสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนกับพระองค์ พระองค์ระลึกชาติพระองค์ได้เท่าไรๆ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดที่ตายก็แบบเดียวกัน พระองค์ก็ โอ๋ นี่เรื่องสัตว์ที่เกิดที่ตายยิ่งมากกว่าเราอีกเป็นไหนๆ เราเพียงคนเดียวเท่านี้ภพชาติของเราก็นับไม่ได้แล้ว ยิ่งสัตว์แต่ละรายละตัวๆ นี้มีจำนวนมากขนาดไหน เป็นแบบเดียวกันหมดนับไม่ได้เลย
พระองค์จึงทรงประมวลถึงสองเหตุนี้ละ การเกิดของเราก็ดี การเกิดของสัตว์ก็ดี เป็นมาจากอะไร เป็นสาเหตุให้เกิดให้ตายอยู่ตลอดเวลานี้น่ะ เป็นเพราะเหตุไร จึงย้อนเข้ามาพิจารณาปัจจยาการ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท พิจารณา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ย่นเข้าไปๆ ถึงอวิชชา โอ๋ เป็นสาเหตุจากอวิชชาที่พาให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตายๆ อยู่ไม่หยุดไม่ถอย ทรงพิจารณาแล้วถอนอวิชชาพรวดขึ้นมา อวิชชาขาดสะบั้นลงไปในปัจฉิมยาม เป็นยามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ในขณะเดียวกันกับอวิชชาถูกถอนพรวดขึ้นมาจากพระทัย ภพชาติขาดสะบั้นไปตามๆ กันหมด ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่เรียกว่าปัจฉิมยามทรงตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในพระทัย เป็นศาสดาองค์เอกเต็มพระองค์ นั่นละพระพุทธเจ้าตรัสรู้
ความลำบากลำบนก็ลำบากลำบนดังที่เห็นมานี้ อดอยากขาดแคลนพระพุทธเจ้าทรงพาดำเนินมาก่อนแล้ว แต่พระองค์ทรงดำเนินผิดทาง เราอดอาหารเราอดเพื่อเป็นอุปกรณ์หนุนการภาวนาของเราต่างหาก เราไม่ได้เพื่อบรรลุธรรมด้วยการอดอาหาร จึงผิดกันกับพระพุทธเจ้าทรงอดพระกระยาหารเพื่อตรัสรู้ธรรม ผิดกันตรงนี้ เราอดอาหารนี้อดเพื่อเป็นอุปกรณ์เครื่องหนุนการภาวนาของเราเพื่อตรัสรู้ แต่เราจะบรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมด้วยการภาวนา ไม่ได้ตรัสรู้ธรรมด้วยการอดอาหาร ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า จึงผิดพลาดไปสำหรับพระพุทธเจ้า
สำหรับเราดำเนินนี้ไม่ผิด ถูกต้องไปแล้ว พระองค์ทรงเป็นครูสอนให้รู้เรื่องรู้ราว ทั้งฝ่ายผิดคืออดพระกระยาหาร ๔๙ วัน ฝ่ายถูกทรงบำเพ็ญอานาปานสติ เราก็ยึดเอานั้นมาเป็นหลักผ่อนผันสั้นยาว ในการอยู่การกินการขบการฉัน เพื่อการบำเพ็ญสมณธรรมได้รับความสะดวกสบาย แล้วก็บรรลุธรรมได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลนั้นแล ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อกาลิโก หาเวล่ำเวลานาทีที่ไหนมาทำลายการบำเพ็ญความดีนี้ไม่ได้ ไม่ว่าการบำเพ็ญความดีความชั่ว ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี เป็น อกาลิโก ตลอดเวลา
เราก็บำเพ็ญความดีอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าก็อยู่กับธรรมที่ท่านทรงสอนไว้ ให้ยึดให้ดี ดังที่ท่านสอนพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราผ่านไปแล้วหรือล่วงลับไปแล้ว นั่น เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมก็ดี เรื่องวินัยก็ดี จึงเป็นองค์ศาสดาประจำพระเราผู้บวชมาในพุทธศาสนา ให้ถือหลักธรรมหลักวินัยเป็นกฏเป็นเกณฑ์ เป็นหลักจิตหลักใจ ความเคลื่อนไหวไปมาอย่าให้พรากจากธรรมจากวินัยนี้ไป ถ้าพรากจากธรรมจากวินัยนี้แล้ว เรียกว่าพรากจากศาสดา จะลงเหวลงบ่อไปโดยไม่รู้สึกตัว มรรคผลนิพพานไม่มีหวังแหละ
เราต่างองค์ต่างตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้านี่ เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ด้วยความเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามหลักธรรมวินัยที่ถูกต้องดีงาม ขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลาย เคารพพระธรรมและพระวินัย นี้คือศาสดา ไปที่ไหนให้มีศาสดา คือหลักธรรมวินัยที่ปฏิบัติเคร่งครัดติดตัวนี้ จะเท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั้นแล ถ้าได้ห่างเหินจากธรรมจากวินัยแล้วไม่มีทาง ศาสดาองค์เอกสอนลงที่จุดนี้ ไม่ได้สอนดินฟ้าอากาศว่าเป็นมรรคผลนิพพาน สอนอยู่การประพฤติปฏิบัติตามพระโอวาท คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น
เมื่อสอนตามนี้แล้ว พระวินัยคือรั้วกั้นไว้สองฟากทาง อย่าข้ามอย่าเกินออกไปจะตกเหวตกบ่อลงนรกอเวจี ทั้งสองฟากเป็นพระวินัย เรียกว่ารั้วกั้นเพื่อความปลอดภัย ใครข้ามเกินรั้วกั้นคือพระวินัยนี้ไป ตกเหวตกบ่อตกนรกอเวจี มรรคผลนิพพานไม่มีหวัง ส่วนธรรมก็ให้ดำเนิน สติธรรม คือภาวนานั้นแหละเรียกว่าธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม ให้นำมาใช้ในตัวเอง เราภาวนาในธรรมบทใดๆ ก็ให้มีสติติดแนบอยู่กับธรรมบทนั้น เช่นเราเจริญภาวนาพุทโธๆ ก็ให้มีสติติดแนบอยู่กับคำว่าพุทโธๆ นี่เรียกว่าเดินตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องดีงาม แล้วจิตจะมีความสงบเย็นขึ้นไปๆ โดยลำดับลำดา
การปฏิบัติ นักบวชเฉพาะอย่างยิ่ง นักปฏิบัติกรรมฐานเรา อาจจะขาดครูขาดอาจารย์ก็ได้ หรืออาจจะเป็นความไม่ค่อยใฝ่ใจเหลวไหลไปอย่างนั้นก็ได้ เรื่องมรรคเรื่องผลที่ควรแก่ผู้ปฏิบัติจะได้อยู่ แต่ผู้ปฏิบัติไม่เดินตามแนวแถวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้จึงผิดพลาดไปๆ บวชมาเลยทรงตั้งแต่ข้าวแต่น้ำ แต่กล้วยหอมกล้วยไข่ไปเสียไม่ได้ทรงมรรคทรงผล ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยนี้จะทรงมรรคทรงผลขึ้นไป ตั้งแต่สมถธรรมคือความสงบใจ ถึงสมาธิธรรมความแน่นหนามั่นคงของใจ จากนั้นก็เป็นวิปัสสนาธรรม ได้แก่ความพินิจพิจารณาธาตุขันธ์ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้แหละเป็นภูเขาภูเราที่หนาแน่นมากที่สุด
โลกทั้งหลายภูเขากี่ลูกเขาข้ามไปได้สบายๆ แต่ภูเขาภูเรานี้ข้ามไม่ได้นะ ติด ทั้งหญิงทั้งชายสัตว์โลกติดภูเขาภูเราทั้งนั้น ท่านจึงมอบอาวุธนี้ให้ฟาดฟันหั่นแหลกภูเขาภูเรานี้ ด้วยการพิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้พิจารณา เวลายังไม่กว้างขวางก็ให้เอากรรมฐานทั้งห้านี้ จะเป็นบทใดก็ตามที่ถูกกับจริตนิสัยของตนมาเป็นคำบริกรรม แล้วมีสติติดอยู่เช่น เกสาๆ ก็ให้มีสติติด โลมาๆ มีสติติดอยู่เหมือนกันจนกระทั่ง ตโจ ให้มีสติติด จนกระทั่งจิตมีความสงบแล้ว กรรมฐานทั้งห้านี้กลายเป็นวิปัสสนาด้วยอำนาจของปัญญาพาให้เป็น ปัญญาพิจารณาตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน แยกแยะออก แบ่งสัดแบ่งส่วนในภูเขาภูเรานี้มันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ ภายในนี้มีแต่ของสกปรกโสมมทั้งนั้น
มนุษย์ไปอยู่ที่ไหนก็คือตัวมนุษย์เป็นตัวประกัน ออกมาด้วยความสกปรก ไปอยู่ที่ไหนนี้ต้องได้ชะได้ล้างได้ซักได้ฟอกได้เช็ดได้ถูไปหมด คือตัวมนุษย์มันสกปรก ท่านจึงสอนตัวสกปรกนี้อย่าพากันยึดกันถือ รักจนลืมเนื้อลืมตัว เกลียดจนลืมเนื้อลืมตัว ใช้ไม่ได้ไม่ใช่ธรรม ให้พิจารณาสภาพเหล่านี้ด้วยจิตตภาวนา นี่ธรรมท่านให้เดินทางนี้ ให้เดินทางจิตตภาวนา สติเป็นสำคัญขอให้ตั้งให้ดีกับธรรมบทใดก็ตาม ผู้ที่เริ่มต้นก็ให้เอาคำบริกรรมตั้งลงที่จิต เรียกว่างานของธรรม ได้แก่คำบริกรรม สติติดแนบๆ กิเลสตัณหามันจะข้ามเมฆมาที่ไหน มันผ่านสติไปไม่ได้นะ สติกั้นไว้อยู่หมด
ขอให้มีสติดีเถอะเรื่องกิเลสตัณหามันจะเกิดขึ้นจากสังขาร สังขารคือความคิดปรุง ความคิดปรุงนี้ออกมาจากอวิชชาดันให้คิดให้ปรุง อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่หยุดไม่ถอย เพราะอวิชชาดันออกมา เอาสติบังคับเอาไว้ เราเคยคิดมาตั้งแต่วันตื่นนอนหรือตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร คิดตามกิเลสตัณหาก็มีแต่เอาไฟมาเผาตัวต่างหาก ทีนี้เราจะคิดด้วยอรรถด้วยธรรม คือพุทโธก็เป็นความคิดเพื่อพุทโธ สติตั้งลงไปปั๊บนี่เรียกว่างานของธรรม ไม่ยอมให้มันคิด เอาสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรม ไม่นานไม่กี่วัน จิตจะสงบเย็นลงไปๆ เห็นผลแห่งการเอาจริงเอาจังของสตินี้ละ
กิเลสมันจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม พ้นสติไปไม่ได้ บังคับกันไว้ เมื่อไม่ได้คิดกิเลสก็ไม่เกิด มันจะปรุงไม่ให้ปรุง กิเลสไม่เกิด แต่ปรุงเรื่องพุทโธๆ เป็นงานของธรรมปรุงได้วันยังค่ำ เอา ให้ปิดประตูช่องของความคิดความปรุงนั้นออก ไม่ให้มันคิด ปิดไว้ให้ดี เอา เปิดทางของพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ก็ตาม สติติดแนบเข้าไปไว้ให้ดีไม่ให้มันคิด แล้วจิตจะสงบลงๆ เย็นๆ นี่เรียกว่าสมถธรรม พอสมถธรรมคือความสงบใจเกิดขึ้นแล้ว เร่งภาวนานี้ไม่ละไม่ลด แล้วสมาธิธรรมคือความแน่นหนามั่นคงของใจก็เกิด พอสมาธิเกิดขึ้นแล้วเรียกว่าจิตอิ่มตัวอิ่มอารมณ์ ไม่อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
แต่ก่อนมันหิวโหยมากเพราะจิตหิวอาหาร พอได้อาหารคือสมถธรรมเข้าหัวใจเท่านั้นสงบเย็น ทีนี้ก็พาทำงานพินิจพิจารณาทางด้านสติปัญญา ให้มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบในธาตุขันธ์ของเขาของเราทั่วแดนโลกธาตุด้วยปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์แบ่งสันแบ่งส่วนเข้าไป ดูให้มันชัดเจนทั้งเขาทั้งเราทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์และบุคคล มันเป็นสภาพ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกันหมด นี้เรียกว่าปัญญา เมื่อพิจารณาแยกแยะอย่างนี้แล้ว ปัญญาจะมีความเฉลียวฉลาดรอบตัว และมีความแหลมคมคล่องแคล่วว่องไวไปโดยลำดับลำดา นี้เรียกว่าปัญญา เมื่อพิจารณาลงไปแล้วจะเห็นแจ้งในสิ่งนี้ แต่ก่อนอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งตาย มันก็แบกป่าช้าผีดิบนี้ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย เป็นป่าช้าผีตายไม่เกิดประโยชน์อะไร เราไม่ได้นำมาพิจารณา
ทีนี้เวลานำเหล่านี้มาพิจารณาแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเกิดผลเกิดประโยชน์ ถอนกิเลสตัณหาที่เป็นเสี้ยนเป็นหนาม เป็นหอกเป็นหลาวทิ่มแทงอยู่ในใจออกเป็นลำดับลำดา พิจารณาสิ่งเหล่านี้พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ถึงขั้นปัญญาต้องใช้ปัญญา ให้เอาจริงเอาจัง เวลาสติปัญญาทำงานมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ให้ย้อนจิตเข้ามาสู่ความสงบคือสมาธิเสีย ในขณะที่จิตจะเข้ามาสู่สมาธินี้ อย่าไปกังวลกับทางด้านปัญญา ให้ปัดออกให้หมดเวลานั้น จิตให้ทำหน้าที่เดียว เวลาเข้าสู่ความสงบบริกรรมคำใดที่จิตจะสงบ เอ้า บริกรรมลงไป สติตั้งลงนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับปัญญา เรียกว่าเข้าพักจิตเป็นสมาธิ แล้วจิตใจจะมีกำลัง รื่นเริงบันเทิงภายในจิต
พอจิตมีกำลังแล้วออกทางด้านปัญญา พินิจพิจารณาธาตุขันธ์ที่เราเคยพิจารณาแล้วไม่ต้องห่วงสมาธิ นี่ทำงานทางด้านปัญญาก้าวเดินทางด้านปัญญา จนกระทั่งปัญญามีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วให้ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ นี้เป็นการดำเนินด้วยความถูกต้องสม่ำเสมอ ท่านผู้ดำเนินอย่างนี้จะได้เห็นมรรคผลนิพพานขึ้นที่ใจของเรา ดีกว่าที่เราไปคาดคิดมรรคผลอยู่ที่นั่น นิพพานอยู่ที่นี่ มันเป็นบ้ากันไปหมดนะ มรรคผลนิพพานแท้จริงอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ธรรมหรือวินัยสอนลงตรงนี้ ให้พิจารณาตามนี้ แล้วก็จะมีความรื่นเริงบันเทิงต่อไป จิตใจก็สว่างไสวขึ้นมา
ยิ่งพระเราได้อยู่ในสถานที่สะดวกสบายในป่าในเขาด้วยแล้ว มีงานอันเดียว งานของพระมีการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา สำรวมระวังอยู่ด้วยศีลสังวร ศีลสังวรสำรวมในศีลให้ดี สมาธิสังวร สำรวมระวังอยู่ในจิตของตนอย่าให้มันฟุ้งซ่าน จากนั้นก็เป็นด้านปัญญาไปโดยลำดับ เบิกกว้างออกนี้ละ มรรคผลนิพพานจะเบิกกว้างออกที่จิตใจ ซึ่งถูกกิเลสมันปิดบังหุ้มห่อเอาไว้มืดมิดปิดตาไปหมด เพราะกิเลสมันปิดตา ปัญญาทำลายกิเลสตัวมืดมิดปิดตานี้ออก ก็สว่างแจ้งขึ้นมาสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา เรื่องมรรคเรื่องผลจะเห็นขึ้นที่ภายในใจของเรานี้ ให้พากันพิจารณาอย่างนี้บรรดาพระลูกพระหลาน
เราก็จวนจะตายแล้วเป็นห่วงพระลูกพระหลานมาก อย่าไปยุ่งเหยิงวุ่นวายกับการก่อการสร้างเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องการก่อการสร้างไม่มีในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงตำหนินะ มันมาเป็นอยู่นี้ที่ในครั้งปัจจุบัน เป็นเทวทัตมันเคลือบมันแฝงเข้าไปในวัดในวา สร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ไปหมด งานที่ถูกต้องดีงามที่พระพุทธเจ้าประทานให้เรียบร้อยแล้ว นั้นคืองานอะไร งานเดินจงกรม งานนั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานของธรรมเพื่อแก้กิเลสโดยแท้ ไม่มาสนใจ ให้พากันสนใจ งานเหล่านั้นเป็นเรื่องโลกไปเลย ตั้งแต่เราทำกระต๊อบเล็กๆ หรือที่พักแคร่เล็กๆ เท่านั้น เราไปเที่ยวกรรมฐาน วันนี้ทำแคร่เล็กๆ ยังไม่เสร็จมันยังเป็นกังวล พิจารณาซิ เราทำแคร่เล็กๆ เท่านั้นไม่เสร็จยังเป็นกังวล จนกระทั่งแคร่เล็กๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็สะดวกเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา
ยิ่งเราจะไปก่อสร้างมากมาย ไม่ใช่แคร่ใช่เค่ออะไร ประหนึ่งว่าเป็นหอปราสาทราชมนเทียรของพระเทวทัตที่อยู่กัน แล้วมาแข่งธรรม ธรรมเลยไม่มี มีตั้งแต่วัตถุเต็มวัดเต็มวา มรรคผลนิพพานที่พระพุทธเจ้าประทานให้ สอนให้มันไม่ดูไม่เห็น เพราะมันไม่สนใจปฏิบัติภาวนา สนใจตั้งแต่ด้านวัตถุสร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย นี่ไม่ใช่ทางของศาสดา มีในตำรับตำรา พระองค์ไม่ทรงชมเชย ตั้งแต่เวลาสอนพระที่ออกไปเที่ยวกรรมฐาน ท่านสอน ออกไปให้หาที่สงบสงัด นั่นท่านสอนว่าอย่างนั้น
ไปที่ใดถ้ามีการก่อสร้าง วัดใดที่มีการก่อสร้าง นั่นแสดงว่าก่อสร้างจะมีอยู่บ้างไม่มากแต่ก็มี พระองค์จึงได้สอนไว้ว่า ถ้ามีการก่อสร้างอย่าเข้าไป ท่านบอกงั้นนะ ถ้าวัดใดมีการก่อสร้างอย่าเข้าไปในสถานที่นั้น อย่าไปพักที่ทางสามแพร่งสี่แพร่ง อย่าไปพักทางท่าน้ำทางขึ้นทางลงของผู้คนหญิงชาย แม้ที่สุดต้นไม้ที่ทรงดอกทรงผล พวกแร้งพวกกาพวกนกทั้งหลายมากิน มันก็สร้างความวุ่นวายให้ อย่าไปอยู่ในสถานที่นั่น ให้ไปอยู่ในที่สงบงบเงียบบำเพ็ญสมณธรรมให้ติดต่อกันเถิด แล้วมรรคผลนิพพานจะประกาศจ้าขึ้นภายในใจของผู้ต้องการมรรคผลนิพพาน ด้วยการปฏิบัติตนเพื่อความสงบร่มเย็นนั้นแล นั่น พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น
เดี๋ยวนี้มันขัดกันแล้วนะ ศาสนธรรมคืออะไรมันไม่มี ศาสนธรรมก็ต้องไปดูกุฏิวิหารศาลาโรงธรรม สิ่งก่อสร้างและสิ่งปรนปรือทั้งหลาย ดีไม่ดีมีลายคราม ประดับประดาตกแต่งสวยงามมากเหมือนบ้านี่พระหัวโล้นๆ นะ มันเป็นอย่างนั้นละเดี๋ยวนี้ มันศาสนาที่ไหนอันนั้น มันเรื่องของเทวทัตแฝงเข้ามาในธรรม มาเหยียบย่ำทำลายธรรม ถือเป็นเรื่องโอ่อ่าฟู่ฟ่าเหนือธรรมไปเสียแล้วไม่รู้ตัว นี่ละมันน่าทุเรศนะ ธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่สอนไว้ทุกแง่ทุกมุม ถ้าดูตามนี้แล้วจะไปทำได้ลงคอยังไงทำอย่างนั้น ถ้าไม่ฝืนพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าเป็นผู้มีงานมาก ท่านแสดงไว้ในกรณียเมตตาสูตรก็ยังบอก ก็เห็นอยู่แล้ว ให้เป็นผู้มีธุระน้อยมีภาระน้อย ให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย อย่าเป็นผู้มีทิฐิมานะ บอกนอนสอนง่าย แน่ะ ในกรณียเมตตาสูตรท่านก็สอนไว้อย่างนั้น ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อยู่ที่ไหนสติเป็นสำคัญ อย่าเผลอสติ ถ้าผู้ต้องการมรรคผลนิพพานเข้ามาครองในหัวใจแล้ว สติเป็นสำคัญมากทีเดียว ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาสติให้อยู่กับตัวๆ สติสัมปชัญญะรู้อยู่รอบตัว สติจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมเรียกว่าสติ จดจ่ออยู่ที่เดียวเรียกว่าสติ ถ้าออกไปจากทางร่างกายหน้าที่การงานเราทำอะไร ความรู้ตัวประจำอยู่ๆ นั้น เรียกว่าสัมปชัญญะ ให้มีอยู่อย่างนี้ประจำตัว สำหรับพระเราจะสวยงามภายในจิตใจมาก อยู่ร่มเย็นเป็นสุขภายในจิตใจ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ ซึ่งเวลานี้หดย่นเข้ามามากแล้วนะ พระมีเต็มบ้านเต็มเมือง จะหาพระกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจให้เป็นความสงบร่มเย็นนี้ แทบจะไม่มีแล้วนะเวลานี้ นี่สอนทุกคนให้จำเอาไปปฏิบัติตัวเอง เราเป็นพระประเภทไหน เป็นพระเอาไฟไปเผาบ้านเผาเมือง กวนบ้านกวนเมืองด้วยการสร้างนั้นสร้างนี้นั้นเหรอ หรือเป็นพระกวนกิเลสฆ่ากิเลสภายในจิตใจด้วยความเพียรของตน ให้เอาไปคิดให้ดีเรื่องนี้ ถ้าเป็นพระประเภทกวนกิเลสที่มันกวนใจของเรา สังหารกิเลสด้วยจิตตภาวนา นี้เรียกว่าพระที่ถูกต้องดีงามตามทางของศาสดา ให้นำธรรมอันนี้ไปปฏิบัติ
อย่าไปหาเกาในที่ไม่คันไปแข่งหมาขี้เรื้อนเขา หมาขี้เรื้อนเขาเกาถูกที่คัน พระเราหัวโล้นๆ เกาดะไปนะ ถ้าไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้มันคัน มันคันไม้คันมือ จิตใจมันคึกมันคะนอง ได้ทำอันนั้นไปบ้างทำอันนี้ไปบ้างเหมือนว่าแก้รำคาญ ความจริงมันเพิ่มรำคาญ ถ้าไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ นั่น ถ้าแก้รำคาญคือแก้กิเลสตัวมันแสดงความรำคาญนั่นซิ แก้ลงตรงนั้นด้วยธรรม ฟาดลงไปเหล่านี้จะสงบ เมื่อจิตนี้สงบแล้วอยู่ไหนสบายหมด ๆ เพียงแต่จิตเป็นสมาธิก็พอแล้วนักปฏิบัติเรา สมถะคือความสงบ แน่วแน่เข้าไปกว่านั้นเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคง เท่านี้ก็สงบสบาย อยู่ที่ไหนอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนไม่เดือดร้อน
จากนั้นก็ก้าวทางด้านวิปัสสนาคือปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป ทีนี้จิตใจกระจ่างแจ้งออกไป กิเลสตัวไหนอยู่ที่ใดๆ มุมใดๆ มันตามรู้หมด.จิตถ้าออกทางด้านปัญญาแล้วจะตามรู้ตามเห็นกิเลสของตัวเองซึ่งเต็มอยู่ในหัวใจ แต่ก่อนไม่รู้ เป็นสมาธิก็ไม่ใช่สมาธินี้จะถอดถอนกิเลสนะ สมาธินี้ตีอารมณ์ทั้งหลายให้ตะล่อมเข้ามา เป็นจิตที่อิ่มอารมณ์ เรียกว่าจิตเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคง ให้เอาจิตดวงที่อิ่มอารมณ์นี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา มันจะทำหน้าที่การงานตามที่เราสั่ง จากนั้นก็จะรู้เห็นในสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอาการของจิต คิดมากคิดน้อยคิดดีคิดชั่วมันจะรู้กันทันทีๆ แก้กันตกๆ จนกระทั่งละเอียดลออสุด
สุดท้ายจิตปรุงขึ้นอะไรมันก็ออกจากจิตอวิชชาๆ เกิดขึ้นดับไปๆ ดีเกิดขึ้นดับไป ชั่วเกิดขึ้นดับไป เกิดจากใจดับที่ใจ ตามเข้าไปๆ ก็ไปถึงอวิชชา นี่ละเรียกสติปัญญาที่แหลมคม สติปัญญามีหลายขั้น สติปัญญาอัตโนมัตินี้เป็นอีกขั้นหนึ่ง สติปัญญาอัตโนมัตินี้เรียกว่าก้าวหน้าแล้วไม่ถอย พุ่งๆ เลย จนก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา ทีนี้กิเลสตัวไหนคอยตั้งแต่จะพังทั้งนั้นละ ไม่มีกิเลสตัวใดจะมีความสามารถอาจหาญ เข้ามาต่อกรกับสติปัญญาอัตโนมัติ และมหาสติมหาปัญญานี้ได้เลย สุดท้ายกิเลสก็พัง นั่นละพังด้วยอำนาจมหาสติมหาปัญญานี้แล นั่นละครองธรรมครองที่นั่น มรรคผลนิพพานปรากฏขึ้นที่นั่นแหละ ไม่ได้ปรากฏที่ภูเขาเลากอที่ไหน ปรากฏขึ้นที่ความเพียรกับจิตที่พัวพันกันอยู่กับกิเลส ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจ หมดทุกข์โดยประการทั้งปวง คือจิตของท่านผู้บริสุทธิ์
เช่นจิตพระอรหันต์ ไม่มีคำว่าสมมุติ กิเลสเป็นตัวสมมุติ มีมากมีน้อยเสียดแทงอยู่นั้นแหละ พอกิเลสไม่ว่าส่วนไหนละเอียดขนาดไหนก็ตาม พังลงไปหมดแล้วไม่มีอะไรกวนใจ นั่นละท่านว่าบรมสุข ท่านผู้สิ้นกิเลสคือตัวสมมุติก่อกวนนั้นแล้ว เป็นจิตตวิมุตติไม่มีทุกข์เลย พระอรหันต์พระพุทธเจ้าไม่มีทุกข์ภายในจิตใจ จะมีก็มีอยู่เพียงธาตุเพียงขันธ์เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อน เหล่านี้มีอยู่กับโลกทั่วไป เหมือนกันกับโลกทั่วไปนั้นแล เพราะเป็นสมมุติด้วยกัน เป็นแต่ว่ามันเป็นก็ไม่เข้าไปเสียดแทงจิตใจได้ รู้อยู่เพียงธาตุเพียงขันธ์มันเป็นของมัน รักษากันไปรับผิดชอบกันไปพอถึงกาลเวลาเท่านั้น เอ้าพาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่ายไป เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษามันไปตามธรรมชาติที่จะรักษาได้ก็รักษาไป แต่หลักใหญ่จิตใจที่บริสุทธิ์แล้วไม่มีอะไรแล้ว รักษากันพอถึงกาลเวลา เมื่อจะไม่ไหวแล้วหรือสลัดปั๊วะเดียวไปเลย นั่น
จิตของท่านผู้บริสุทธิ์แล้วท่านไม่ได้ห่วงใย ไม่มีอดีตอนาคต ปัจจุบันก็จ้าอยู่แล้วจะไปหาอดีตอนาคตที่ไหน มันเป็นสมมุติทั้งนั้นอดีตก็ดีอนาคตก็ดี ปัจจุบันนี้ก็เป็นสมมุติอีกอันหนึ่ง จ้าขึ้นมานี้แล้วเลยอดีตอนาคตปัจจุบัน เป็นวิมุตติหลุดพ้น นี่ละให้ท่านทั้งหลายตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มรรคผลนิพพานอยู่กับหัวใจของท่านทั้งหลายเอง เวลานี้จิตนี้กำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เพราะกิเลสตัณหามันพัวพันมันบีบบี้สีไฟหัวใจนักปฏิบัติเราจนจะตายแล้วไม่รู้ตัว
จิตนั้นเรียกร้องหาความช่วยเหลือด้วยความพากเพียร เอ้า ตั้งลงไปสติ ความพากเพียรหนุนลงไป อย่าไปยุ่งกับสิ่งภายนอก โลกนี้เคยยุ่งกันมาแล้วไม่เห็นใครได้ความวิเศษวิโสอะไรมาอวดกัน ว่าคนนี้ยุ่งกับนั้นคนนั้นยุ่งกับนี้ ยุ่งไปทั่วโลก ใครจะเอาความสุขเบอร์หนึ่งขึ้นมาอวดกันไม่มี ในสามแดนโลกธาตุไม่มี ไม่เหมือนผู้เสาะแสวงหาธรรม พระพุทธเจ้าของเราเสาะแสวงหาธรรม ทรงบำเพ็ญอยู่ ๖ ปี สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าจ้าขึ้นมา นี่ผู้อวดความสุขให้โลกยกความสุขประกาศโลกให้เห็นทั่วถึงกัน จากนั้นก็พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านถึงขั้นนี้แล้วประกาศขึ้นมา
นี่การหาความสุขข้าได้เจออย่างนี้แล้ว พวกที่หาความสุขด้วยกิเลสพาไปนั้นมีแต่จมทั้งนั้นๆ ผู้หาความสุขโดยความเป็นธรรมจ้าขึ้นมาได้ แล้วมีสิ้นสุดยุติ เรื่องทุกข์ไม่ตามไปอีกได้เลย หมด กิเลสนั่นตัวสร้างทุกข์ กิเลสขาดไปแล้วทุกข์ไม่มีในหัวใจท่าน จงพากันตั้งอกตั้งใจ ทุกผู้ทุกคนประชาชนญาติโยม วันนี้มาว่าถือเป็นมงคลว่าวันเกิดหลวงตาบัว หลวงตาบัวเรียนจบแล้วแหละ พูดให้ชัดๆ อย่างนี้เลย วันเกิดกับวันตายมันอยู่ในร่างกายอันเดียวกันนี้ เราเรียนจบหมดแล้วปล่อยวางโดยประการทั้งปวง
จะตายวันไหนเราก็ไม่เคยหนักใจเบาใจกับมัน มีชีวิตอยู่กับตายไปเสีย ถ้าตามหลักธรรมชาติแล้วมีน้ำหนักเท่ากัน แต่นี้ที่ยกให้มีชีวิตอยู่มีน้ำหนักมากกว่าก็คือ เมื่อมีชีวิตอยู่เราจะได้ทำประโยชน์ให้แก่โลก ดังที่ทำอยู่เวลานี้แหละ ถ้าคนตายแล้วทำอย่างนี้ไม่ได้ มีชีวิตอยู่จึงได้ขวนขวายดังที่พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินอยู่เวลานี้ ที่ช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็คือพี่น้องทั้งหลายนั้นเองทั่วประเทศไทย ต่างคนต่างช่วยเหลือกันด้วยการบริจาคทาน ทองคำ เงินสด ดอลลาร์ ทุกอย่างที่จะหนุนชาติไทย ศาสนาของเราให้ขึ้น นี่ก็ต่างคนต่างช่วยเหลือ
เวลามีชีวิตอยู่เราก็เป็นผู้แนะผู้บอก เป็นผู้นำพาพี่น้องทั้งหลายดำเนิน ก็เป็นการอุ้ม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของเราไปตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ วันนี้ก็เป็นวันที่ว่าวันเกิดวันตายของหลวงตาบัว หลวงตาบัวไม่ได้เป็นอารมณ์กับการเกิดการตายของตัวเอง ยิ่งกว่าเป็นอารมณ์กับโลกสงสาร ที่กำลังได้รับความทุกข์ความทรมาน ดีดดิ้นหาที่เกาะที่ยึดอยู่ อันนี้หนักมากนะ เราถึงได้อุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอน หาอุบายวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ทั้งหลายให้เบาลงๆ เช่นงานช่วยชาตินี้ จตุปัจจัยไทยทานได้มามากน้อยเพียงไร เป็นได้มาเพื่อชาติทั้งนั้น เราไม่ได้มาเพื่อเรา ได้เท่าไรทองคำก็เข้าคลังหลวง ดอลล่าร์เข้าคลังหลวงและออกช่วยเงินสด ส่วนเงินสดออกทั่วประเทศไทย
การก่อการสร้างสงเคราะห์สงหาที่ราชการงานเมือง โรงพยาบาล ไปหมดเงินสดนี้ เราไม่ได้มายุ่งกับเงินสดนี้นะได้เท่าไรก็ตาม เราทำเพื่อโลกทั้งนั้น อุ้มชาติไทยของเรา เช่นอย่างวันนี้เป็นงานวันเกิดได้เงินเท่าไรทองคำเท่าไร นี่เพื่ออุ้มชาติทั้งนั้นไม่ได้เพื่ออุ้มเรา เราไม่อุ้ม เราพอตัวของเราอยู่แล้ว เราอุ้มชาติ ชาติกำลังยอบแยบอยู่เวลานี้ เพราะคนที่ครองชาติอยู่คือพวกเรา พวกเราเป็นยังไง พวกเราพวกนักฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว การจับการจ่ายใช้สอยไม่รู้จักประมาณ อะไรๆ ก็คว้าไปหมด เอ้า เอาเลย อะไรมาเอาเลย
อะไรก็ตามถ้าผ่านเข้ามาเมืองไทยนี้ ยังไงมันก็อยู่ในเงื้อมมือของเมืองไทย เมืองไทยเรานี้กำคอมันเลย มัดคอมันไว้เลย กำคอมันไว้ ไม่เหนือเมืองไทยไปได้ เอ้า สินค้าจะออกมาจากเมืองนอกมาไหน เมืองไทยคว้ามับ นี่กำคอมันแล้วเข้าใจไหม กำคอสินค้า แล้วความจนก็มามัดคอเราอีกมันก็ไม่รู้ตัว พวกชาติไทยของเราเป็นอย่างนั้น มันเคยเป็นมาดั้งเดิม อยู่มาผาสุกเย็นใจ เวลามากระทบกระเทือนกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่คาดไม่ฝันจะเกิด มันเกิดขึ้นแล้ว ปรับตัวไม่ทัน นี่มันก็เสีย นี่ละเราเป็นห่วงชาติบ้านเมืองของเรา และห่วงหัวใจพี่น้องทั้งหลายด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้มีการประหยัดมัธยัสถ์ อย่าลืมเนื้อลืมตัว เขาว่าอะไรๆ คว้ามับๆ ใช้ไม่ได้นะ ให้เอาธรรมเข้าไปจับกันบ้างซิ จะได้รู้เนื้อรู้ตัว พากันไปปฏิบัติ แล้วให้มีศีลมีธรรม
เวลาจะหลับจะนอนก็ให้ไหว้พระเสียก่อน อรหํฯ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน แล้วให้นั่งภาวนา ให้ทำความสงบใจสัก ๕ นาที เอาพุทโธหรือธรรมใดก็ได้ ที่เราถูกจริตจิตใจของเรา เอาสติจับไว้ตรงนั้น ในขณะ ๕ นาที ห้ามไม่ให้จิตคิดอย่างอื่น นอกจากคิดกับคำบริกรรมโดยมีสติติดแนบอยู่นั้นเท่านั้น เอาให้ได้ทุกวันๆ บังคับซิ เราจะหนีจากภัยทั้งหลายจากที่บีบบังคับ คือกิเลสนั้นน่ะ เราจะหนีด้วยธรรม ธรรมก็คือการภาวนานี้จะพาหนีได้ เอ้าเอาลงจุดนี้ๆ ให้ได้ทุกวันทุกเวลา ต่อไปก็ค่อยเคยชิน
บางรายจะเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาภายในใจ แล้วเรื่องความอุตส่าห์พยายามไม่ต้องบอก มันจะหมุนของมันไปเองพอได้เห็นผลแล้ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจทุกผู้ทุกคนนะ บรรดาพี่น้องทั้งหลายเกิดมากับพุทธศาสนา เจอพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอแล้ว อย่าให้หลุดมือไปเสีย ตายเป็นโครงกระดูกอยู่เปล่าๆ เป็นซุงทั้งท่อนไม่เกิดประโยชน์อะไรนี้เรียกว่าเหลวไหลมาก หมดค่าหมดราคาในชีวิตของคนทั้งคน เกิดขึ้นมาชีวิตมีอายุเท่าไรตายจมไปเลย ไม่ได้มีความดีติดเนื้อติดตัวไม่สมควรอย่างยิ่ง ต้องให้มีความดีงาม
การให้ทานรักษาศีลการเจริญเมตตาภาวนา เป็นสมบัติอันดีงามอย่างยิ่งของชาวพุทธเรา ขอให้ยึดเข้ามาครองใจ ให้มีอันนี้เป็นที่ยึดที่เกาะเวลาจะเป็นจะตายจะเกาะติดปั๊บๆ ถ้าไม่มีความดีงามมีแต่ความชั่ว ตั้งแต่ยังไม่ตายมันก็ทุกข์มันก็ร้อนอยู่แล้วร้อนใจ พอตายไปแล้วก็ผึงเลย ยมบาลไม่ต้องมาต้อนรับละถึงแล้วนะ ให้พากันจำเอานะ วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้แหละ ว่าจะไม่ได้เทศน์มากมาย เทศน์ไปเทศน์มาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ให้พากันจำ ทางฆราวาสก็เทศน์ สอนย่อๆ ให้ปฏิบัติเอา แล้วทางพระก็สอนทางด้านกรรมฐานให้ ก็เห็นว่าจะพอได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |