เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
มีชีวิตอยู่ก็ได้ทำประโยชน์
ทองคำนี่ก็คือหัวใจของชาติ ได้มามากน้อยก็ไหลเข้าไปๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าได้ทองคำเข้าสู่หลักใหญ่ของชาติแล้ว อะไรๆ แน่นหนามั่นคงไปตามๆ กันหมด ต้นลำใหญ่ต้นลำหนาแน่นนี่สำคัญมาก เราจึงต้องพยายามเสมอ นี่ก็มาเรื่อยๆ เมื่อเช้าไปกุฏิก็ดูเหมือน ๑๐ บาทแล้ว ต่อจากนั้นก็เรื่อยๆ มาอย่างนี้ วันนี้ก็จะได้หลายบาท ๑ กิโลขึ้นแล้วนี่ ตั้งตัวประกันแล้ว ๑ กิโล ภูสังโฆมาตั้งรากฐานขึ้น กิ่งก้านแตกออกไป ใครมีเท่าไรเอามา กิ่งก้านยังไม่แตก เดี๋ยวนี้ยังเป็นหัวตอใหญ่อยู่นี่ ภูสังโฆทองคำโด่อยู่นี่ ยังไม่มีกิ่งก้าน หากิ่งก้านมาประดับซิ
คิดดูซิตั้งแต่วันเราจะสิ้นสุดแห่งชีวิตนี้ เราก็ได้ทำพินัยกรรมไว้แล้ว เป็นสองเมื่อไร เราเองสั่งให้เขียนพินัยกรรม เอานักกฎหมายเข้ามาตรวจอ่านพินัยกรรม สมบูรณ์แบบแล้วเก็บไว้ เวลานี้เก็บไว้ บอกแล้วเวลาเราตายให้เอาพินัยกรรมนี้ออกมาอ่านประกาศซึ่งเป็นเรื่องของเราเองร้อยเปอร์เซ็นต์ คือเวลาเราตายนั้นบรรดาสมบัติทั้งหลายที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทานเพื่อเผาศพเรา เงินทั้งหมดนี้เราจะตั้งกรรมการเก็บรักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ให้นำไปสร้างโน้นสร้างนี้ ประดับประดาปะรงปะรำ อะไร มาประดับประดาโลงผีตายของหลวงตาบัวเราไม่เอา เราบอกไม่เกิดประโยชน์
เพราะฉะนั้นเงินทั้งหมดที่บรรดาพี่น้องทั้งหลายบริจาคมานี้ เราตั้งกรรมการเก็บรักษาไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน พอเสร็จแล้วเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมดเลย นั่น พินัยกรรมเราออกแล้วนะ เวลานี้ยังเก็บไว้นั้น บอกด้วยสถานที่เก็บ เราตายเรางัดออกมาเลย บอก เป็นครั้งสุดท้ายของเรา สมบัติเงินทองนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้มีชีวิตอยู่ เอา จับมาทำประโยชน์ จะเป็นประโยชน์แก่ชาติของเราด้วยทองคำ เอาๆ ออกมาไปซื้อทองคำ สำหรับร่างกายของเราเอง มีแต่ไฟเท่านั้นเป็นประโยชน์ต่อกัน เอาไฟมาเผา เงินนั้นสำหรับคนเป็น เอาเข้าสู่คลังหลวง ไฟสำหรับคนตายเอามาเผา นี่สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว
เราพยายามที่สุด อะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองของเรา เราพยายามที่สุดเลย ไม่ให้อะไรเข้ามาแตะต้อง มีแต่คอยส่งคอยเสริมหนุนเข้าไปเรื่อยๆ ทองคำเราก็ได้มาเรื่อยๆ จะค่อยหนุนขึ้นเรื่อยๆ นะ ทองคำประเภทน้ำไหลซึมไม่ใช่เล่นๆ นะ เช่นอย่างวันนี้ ๑ กิโลเป็นตัวตั้งแล้ว หรือเท่าไรอีกล่ะ ( ๑ กิโล ๓๐ บาท ๓ สลึงครับ) นั่นละ แล้วเมื่อเช้านี้เขาไปถวายอย่างน้อย ๑๐ บาท เป็นแท่งๆ ละ ๕ บาท แล้วมานี้มาได้เข้าอีก เฉพาะขณะนี้ได้ทองคำ ๑ กิโล ๔๘ บาท ๒๕ สตางค์แล้ว (สาธุ) วันนี้ไม่ใช่ของเล่น
เราอบอุ่นใจ ทองคำได้มากน้อยเพียงไรฝังลึกเป็นรากแก้วของประเทศไทย เป็นแก่นของประเทศไทย อยู่ในทองคำนะ เราจึงต้องรักต้องสงวนและแสวงหามาเต็มที่ ให้ได้เรื่อยๆ ได้ไปแล้วยังไม่แล้วยังแยกออก คือมันตัวมีตนมีแข้งมีขา แล้วต้องให้มีหาง ตั้งแต่จิ้งเหลนมันยังมีหาง คนทั้งคนก็เอานี้เป็นหาง เอาทองคำเป็นหางแทนหางคน เอาเข้าคลังหลวงของเรา เราสบายใจ เวลาตายแล้วให้ได้สบายใจ สำหรับเราเองไม่มีอะไรก็บอกว่าไม่มีอะไร หนึ่งไม่มีสองคือคำของพระพุทธเจ้า จะไม่มีเอนมีเอียง ตรงไปตรงมา หลักความจริงคือธรรม
เราก็บอกว่าสำหรับเราเราหมดห่วงทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไร ก็เหลือแต่ธาตุขันธ์ที่เลี้ยงดูมันไว้ ปฏิบัติดูแลมันไว้เพื่อทำประโยชน์แก่โลกเท่านั้นเอง จะว่าเป็นประโยชน์แก่เราเราไม่สนใจ เพื่อประโยชน์แก่โลก เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ได้ทำประโยชน์ตามที่เห็นนี้ละ อย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็น อย่างเทศน์เวลานี้ก็คนมีชีวิตเทศน์อยู่เห็นไหม ถ้าตายแล้วเทศน์ไม่ได้ แน่ะ เราทำประโยชน์ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ พอตายแล้วหมด สำหรับห่วงตัวเราเองเราบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จากธรรมของพระพุทธเจ้าแม่นยำมาก ว่าเราหายห่วง การบำเพ็ญตนมาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งป่านนี้ดูเหมือนจะ ๗๒ ปีแล้วมั้ง บวชปี ๒๔๗๗ วันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ ตั้งแต่บัดนั้นมา เป็นชีวิตของพระเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ สร้างแต่ความดีงามตลอดมาจนเป็นที่พอใจ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ตลาดแห่งความเพียงพอ แห่งความสุขทั้งหลาย เต็มอยู่ในธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ท่านทั้งหลายยึดนะ อย่าไปหายึดสิ่งที่พาให้หิวให้โหย ได้เท่าไรยิ่งคืบยิ่งคลานยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งหิวยิ่งโหย นั่นคือกิเลส ธรรมะได้เท่าไรยิ่งภูมิใจๆ ต่างกันนะ อะไรๆ จะอดอยากขาดแคลน พอเข้ามาถึงใจนี้เย็นไปหมดเลย หลักอยู่ที่ใจนะไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านี้นะ หลักใหญ่ๆ ของมนุษย์เรา เอาเฉพาะมนุษย์เรา อยู่ที่ใจ ใจอยู่ที่ธรรม อยู่ที่บุญที่กุศลเป็นเครื่องเกาะกันพันกันแน่นปึ๋งเลย ผู้นี้หายห่วง
ยกตัวอย่างอย่างที่เคยพูดให้ฟัง ธัมมิกอุบาสก การทำบุญให้ทานเก่งมาก ไปในงานใดก็ตามเขาต้องมาเชิญท่านไปเป็นหัวหน้างาน ภาวนาก็เก่งด้วย เวลาท่านจวนตัวเข้ามาท่านบอกลูก ไปนิมนต์พระมาสวดธรรมให้พ่อได้ฟังวาระสุดท้าย พอไปนิมนต์พระมาสวดธรรม ทีนี้เวลาสวดธรรมท่านฟังธรรม จิตของท่าน นักภาวนารู้ไม่สงสัย ถ้าไม่ใช่นักภาวนาก็ฟังเดาๆ เอาก็แล้วกัน พอฟังสวดธรรมจิตท่านสงบเข้าไปๆ แล้วก็ส่งแสงออกรับข้างนอก เทวดา ๖ ชั้นสวรรค์ รถทิพย์ ๖ ชั้นสวรรค์ ตั้งแต่จาตุมขึ้นไปถึง ปรนิมมิตวสวัตดี ๖ ชั้น มาทุกชั้น รถทิพย์มาสำหรับรับอุบาสกคนนี้ คือไปได้ทุกขั้นของสวรรค์ ๖ ชั้น ไปคันไหนได้ ควรแก่บุญกุศลที่สร้างไว้แล้วโดยสมบูรณ์ใน ๖ ชั้นนั้น ทีนี้เวลาฟังเทศน์ไปจิตสงบเข้ามาๆ แล้วส่งแสงกระจายออกไป เห็นพวกเทพทั้งหลายอยู่บนอากาศเต็มท้องฟ้า สวรรค์ ๖ ชั้นมาเชิญ ใครก็เชิญไปสวรรค์ชั้นของตนๆ เรื่อยๆ ทางนี้ก็ดูเพลิน
ท่านพร้อมด้วยจิตตภาวนาด้วย พอฟังเทศน์เพลินๆ ไปจิตสงบ จิตสงบมันก็ออกรู้ส่งกระจายไป ที่ไหนได้พวกเทวดาทั้งหลาย รถทิพย์บนสวรรค์ลงมาทุกชั้นใน ๖ ชั้นนั้นมาเต็มอยู่ท้องฟ้าอากาศ ใครก็เชื้อเชิญให้ไปสวรรค์ชั้นของตนๆ ทางนี้ก็เลยหลุดปากออกมาให้คนทั้งหลายได้ยิน ความจริงแล้วพูดกับเทวดาพูดด้วยภาษาใจ ต่อจากนั้นไปก็เลยกระจายออกมาถึงให้ร่างกายไหวด้วย หลุดปากออกมาว่า ให้รอก่อนๆ บอกให้พวกเทพทั้งหลายรอก่อน เวลานี้กำลังฟังธรรม หมายความว่าอย่างนั้น
พอว่ารอก่อนๆ พระก็เป็นพระแบบหลวงตาบัว หูหนวกตาบอด พอว่ารอก่อนๆ ก็นึกว่าให้หยุดสวด เลยพากันเผ่น ไปถึงวัดถูกพระพุทธเจ้าตีหน้าผากเอา กลับมาหาอะไร ไปสวดอะไรยังไม่จบ มาหาอะไร ก็อุบาสกคนนั้นว่าให้หยุดก่อน ก็เลยพากันมา อุบาสกคนนั้นไม่ได้พูดกับพวกเธอทั้งหลาย เขาพูดกับพวกเทพต่างหาก ให้ทางสวรรค์นั้นแล เวลานี้กำลังฟังเทศน์เพลิน ให้กลับไปเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าไล่กลับมา พระพุทธเจ้ารู้ทั้งทางนี้รู้ทั้งทางเทพ เลยไล่กลับมา
พอดีทางนี้รู้สึกตัวขึ้นมา กระแสจิตเข้ามาในตัวแล้วไม่เห็นพระ อ้าว พระคุณเจ้าไปไหนหมดล่ะ ก็พ่อบอกให้ท่านหยุดก่อน ท่านก็เลยไปแล้ว โอ๋ย พ่อไม่ได้บอกให้พระท่านหยุดนะ ให้พวกเทพนั้นพักก่อนรอก่อนต่างหาก ไปนิมนต์พระอีก ก็พอดีพระพุทธเจ้าขนาบพระกลับมาอีก มาก็มาสวดมนต์ มาสังวัธยายธรรมให้ท่านเพลินใจในเวลาจะดับจิตนะ นั่นละท่านจะดับในขณะนั้น ต่อจากนั้นไปท่านก็จะไปแหละ เพราะทางโน้นรออยู่แล้ว
นี่ละฟังซิ การสร้างบุญสร้างกุศล เมื่อประจักษ์ชัดเจนแล้วเห็นได้อย่างถนัดเลย พยานก็ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งอุบาสกคนนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกัน อุบาสกคนนั้นบอกให้เทวดารอ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอุบาสกคนนั้นให้เทวดารอต่างหาก ไม่ได้บอกให้พระหยุดสวดมนต์นะ ไปเดี๋ยวนี้ พระก็เลยกลับคืนมา มาสวดอีก มาสวดสองหนวันนั้น พอสวดจบเรียบร้อยแล้วทีนี้ก็ลาลูก นี่เห็นไหมล่ะ ไปอย่างสบายหายห่วงทุกอย่าง ความมีบุญมีกุศลภายในใจเป็นอย่างนั้นนะ
ไม่เหมือนคนมีบาป คนมีบาปอยู่เฉยๆ ก็ร้อนเป็นไฟ ถ้าคิดถึงบาปร้อนเป็นไฟ ตายแล้วผึงเลยลงเลย นั่น คิดถึงบุญถึงกุศลรื่นเริงบันเทิง อย่างอุบาสกคนนั้น พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่ถึงเวลาแล้วพ่อจะไปแหละ นั่นเห็นไหมล่ะ พระท่านกลับไปหมดแล้ว ทีนี้พ่อจะไปละที่นี่ เหมือนว่าลาละที่นี่ พวกสวรรค์ชั้นต่างๆ เขารออยู่แล้ว จะขึ้นที่ไหนก็ไปละที่นี่ ท่านก็ไปสวรรค์เลย คงเป็นชั้นที่หกนั่นแหละ ไปชั้นนั้น นี่ละความกระจ่างแจ้งในจิตใจ
พูดให้มันชัด เราจวนจะตายพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังชัดๆ เราปล่อยวางหมดแล้วในโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรเหลือในหัวใจเรา ตั้งแต่เราปฏิบัติ บวชมาได้ ๗๑-๗๒ พรรษา สร้างแต่ความดีตลอดมา ก้าวสุดท้ายก็ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสให้ขาดสะบั้นลงจากหัวใจ จ้าขึ้นมา พูดให้ชัดเจน นี่ละธรรมเป็นของจริง ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าหลวงตามาหลอกท่านทั้งหลายหรือเวลานี้ ปฏิบัติมา ๗๑-๗๒ ปีเพื่อมาหลอกโลกเหรอ พิจารณาซิ พิจารณาให้ดีนะ เราปฏิบัติขวนขวายศีลธรรมเข้าสู่ใจ จิตใจมีแต่ความอบอุ่นเป็นขั้นๆ ไป จนกระทั่งขั้นสุดท้ายหมดห่วง ปล่อยวางโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย เหลือแต่ความจ้าอยู่ครอบโลกธาตุ นี่คือหัวใจดวงนี้
เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว จิตดวงนี้จะครอบโลกธาตุ สว่างจ้าไปหมดเลย ไปที่ไหนก็ตาม หลับนอนก็ตาม อันนั้นจะจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนไม่มี จ้าตลอดเวลา นั้นคือธรรมธาตุ เข้าใจไหม ที่ได้สร้างโดยสมบูรณ์แล้ว หมดสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่เข้าติดพันแล้ว เหลือแต่วิมุตติหลุดพ้นธรรมธาตุโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จ้าตลอด จิตของเราเป็นอย่างนั้นแล้วมาเป็นเวลา ๕๕-๕๖ ปี ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ มา วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ อยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง ฟ้าดินถล่ม ตั้งแต่บัดนั้นมาทุกข์ไม่มีในหัวใจเลย มีแต่ความสว่างจ้า
มาสอนท่านทั้งหลายนี้มาโกหกเหรอ ฟังซิน่ะ นี่เราจวนจะตายแล้ว เพราะเทศน์นี้เทศน์ด้วยความเมตตานะ เราไม่ได้เทศน์ด้วยความโอ้อวด ให้มีแก่ใจอุตส่าห์พยายามบึกบึน ความดีใครบึกบึนหาได้ ความชั่วก็เหมือนกัน เพราะดีกับชั่วมีอยู่ภายในใจ มีอยู่ด้วยกัน หาชั่วได้ชั่ว หาดีได้ดี พอพูดอย่างนี้ก็ไปสัมผัสเรื่องท่านอาจารย์ฝั้น เอาเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นก่อน แล้วจำให้ดีนะ พอพูดเรื่องอาจารย์ฝั้นแล้วจากนั้นจะลืมนะ ให้จับมาดึงใส่กัน
จวนจะเผาศพหลวงปู่มั่นแล้ว ประชาชนญาติโยม ทั้งพระทั้งเณรมาสานขัดแตะกัน กั้นเป็นแผงๆ บริเวณเผาศพท่าน เวลานั้นท่านอาจารย์ฝั้นเป็นหัวหน้านั่งสานขัดแตะอยู่นี่ มีผู้หญิงสองคนตัวคึกตัวคะนอง อยู่แถวๆ นี้แหละใกล้ๆ มันออกจากสกลฯมาอยู่ตามแถวนี้ก็ไม่รู้ละ แต่เรามองไม่เห็นมัน พูดเดี๋ยวนี้มันคงได้ยินแล้วนะ ทีนี้กำลังสานขัดแตะกันอยู่ พระนั่งสานขัดแตะ แล้วก็มีผู้หญิงสองคนอายุ ๑๖-๑๗ ปีกำลังคึกคะนองบ้าเดือน ๙ เข้าใจไหม มันขี่จักรยานคึกคักๆ ผ่านเข้ามาใกล้ๆ ละซิ พระท่านนั่งอยู่นี่ มันขี่จักรยานมาสองคน กึ๊กกั๊กๆ เข้ามาใกล้ๆ ท่านก็เลยเงยหน้าขึ้น ท่านอาจารย์ฝั้นท่านนิสัยสวยงามมากนะ นิ่มนวลมาก บรรดาพระท่านอาจารย์ฝั้นเป็นที่หนึ่งก็ว่าได้ นิ่มนวลมากทีเดียว ถ้าเทียบกับเรา เรามันเหมือนลิง ท่านเหมือนราชสีห์
พอเขาขี่รถปุบปับๆ มานี่ ผ่านมาใกล้ๆ ท่าน ท่านก็เลยเงยหน้าขึ้น ไอ้เด็กเหล่านี้มันไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ทำไมพระเณรเต็มอยู่นี้มันถึงขี่รถจักรยานมานี้ได้ เอาๆ จะให้มันล้มให้ดู ท่านว่าอย่างนี้นะ ตอนนี้ตอนสำคัญ เอาๆ จะให้มันล้มให้ดู แต่ไม่ให้มันเจ็บ ท่านบอกนะ ให้มันอายสักหน่อย พอท่านว่าอย่างนั้น ที่นี่พระเณรสานขัดแตะเลยปล่อยหมดมือ จ้อคอยดู เพราะท่านพูดแล้วให้คอยดู จะให้มันล้มให้ดูแต่ไม่ให้มันเจ็บ ให้มันอายสักหน่อย ความดื้อด้านของมัน ว่างั้น พอว่าอย่างนั้นพระเณรก็หยุดกึ๊กเงียบด้วยกัน คอยจ้อดูผู้หญิงที่สะเปะสะปะ
พอออกไปแล้ว โครมคราม ล้มทั้งสองคันเลย นั่นเห็นไหมจิตท่านเพ่งปุ๊บให้ล้มแต่ไม่ให้เจ็บ ท่านบอกให้มันอายเฉยๆ ท่านว่า โครมครามล้มลงตรงนั้น ลุกแล้วเผ่นกลับ ป่านนี้มันหยุดวิ่งหรือยังจักรยานมัน ตั้งแต่โน้น ๕๕-๕๖ ปี มันหายอายหรือยังไม่รู้ นี่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านทำเห็นไหมล่ะ ฤทธิ์ของธรรม พอทางนั้นโครมครามลงแล้ว พระเณรก็หัว(เราะ)ลั่นขึ้นละที่นี่ เพราะจ้องดูอยู่นี่ ทางนี้บอกแล้วว่าเอาๆ จะให้มันล้มให้ดูท่านว่างี้นะ มันเก่งนักเด็กสองคนท่านว่า จะเอาให้มันล้มให้ดู พอไปแล้วก็โครมครามไม่ได้เรื่องอะไร ล้มทั้งสองคนเลย
จิตท่านเพ่งละซิเข้าใจไหมล่ะ โครมครามล้ม พระหัวเราะมันอายละที่นี่ มันไปใหญ่เลย ไม่ทราบมันไปทวีปไหนแล้ว จนป่านนี้คงยังไม่หยุดนะ คงวิ่งอยู่ป่านนี้ไปคอยดักดูซิ ไปทางด้านไหนๆ มันวิ่งไปไหนเด็กสองตัวนั้นน่ะ ขี่จักรยาน ขึ้นจักรยานได้แล้ว มันจูงจักรยานไป ลุกขึ้นแล้วมันไม่ขี่นะมันจูงไป จูงจักรยานไป มันจูงไปถึงไหน ออกจากนี้ไปเที่ยวคอยดักดูนะ ดักดูทางโน้นทางนี้มันไปไหนเด็กสองตัวนั้นน่ะ ขี่จักรยานล้มโครมครามเลยจูงจักรยานไม่กล้าขี่ กลัวล้มอีก กลัวท่านกรรมฐานท่านจะฟัดเอา เข้าใจไหมล่ะ นั่นล่ะ นี่ไปถึงไหนล่ะจบแล้ว เอามาต่อกันที่นี่ เรื่องราวที่จะขยับเข้ามาหาเดิมๆนี้ เรื่องเราลืมแล้วแหละ
(ที่ว่าเขาทำบุญแล้วก็หาดีได้ดี) เอ้อๆ นี่ละที่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านพูดขึ้นมานะ พอโครมครามล้มลงตูม ฮ่าเห็นไหมล่ะ หาอะไรมันก็ได้อันนั้นละ ดีมีอยู่ชั่วมีอยู่หาอะไรมันก็ได้อันนั้นละ บาปมีบุญมีท่านว่า ว่าให้พวกนี้นะ นี่ละเราก็ไม่ลืมว่าดีชั่วมีอยู่ บาปบุญมีอยู่ หาอะไรมันก็เจออันนั้นละ นี่เขาหาความคึกความคะนองเขาก็เจอใช่ไหม เท่านั้นละเรื่องราวหัวเราะลั่นละ นี่ท่านอาจารย์ฝั้นของเล่นเมื่อไร เรื่องกำลังจิตท่านอาจารย์ลีหนึ่ง ท่านอาจารย์ฝั้นหนึ่ง คือแต่ละองค์ดีไปคนละทางพลังของจิต พลังหลายอย่างหลายประการ ท่านจึงว่าอรหันต์ ๔
สุกขวิปัสสโก ความรู้อย่างสงบเงียบไปเลย เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทั้งองค์ นี่ประเภท ๑ ประเภทที่ ๒ เตวิชโช ได้วิชชาสาม นี่ประเภทหนึ่ง ที่ ๓ ฉฬภิญโญ ได้วิชชาหกจากความบริสุทธิ์แล้ว แล้วก็อันที่ ๔ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต แตกฉานปฏิสัมภิทาญาณ ทั้ง ๔ ปฏิสัมภิทาญาณ ทั้ง ๔ คือ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ๔ อย่าง องค์นี้เครื่องใช้ของท่านเลิศ ความบริสุทธิ์เสมอกัน มี ๔ ประเภทอรหันต์ อรหันต์ที่สุดยอด เครื่องประดับของท่านก็คือ จตุปฏิสัมภิทาญาณ ทั้ง ๔ แตกฉานในอรรถในธรรม แตกฉานในคำพูดคำจา การโต้การตอบการเทศนาว่าการไม่อัดไม่อั้น และ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานครอบไปหมดเลย
พระอรหันต์มี ๔ ประเภท มีอยู่ทุกวันนี้ ค้นหาได้ทั้งนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน มีอยู่ถ้าหา ก็เหมือนกับบาป ตลาดแห่งบาปแห่งอกุศล ใครค้นหาที่ไหนเจอได้ทั้งนั้น ตกนรกได้ไม่สงสัย ผู้ค้นหาความดีไปสวรรค์นิพพานได้ไม่สงสัยเช่นเดียวกัน ให้พากันเลือกเอา พิจารณานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ ว่าไม่มากมันก็มากแล้วละ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |