รู้ตามเป็นจริงทุกอย่างคือพุทธศาสนา
วันที่ 8 สิงหาคม 2548 เวลา 8:10 น. ความยาว 31.29 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

รู้ตามเป็นจริงทุกอย่างคือพุทธศาสนา


ก่อนจังหัน

นั่นดูซิพระ ดูผ้าพระ นี่ละครั้งพุทธกาลดูเอาองค์นี้ ครั้งพุทธกาลท่านห่มผ้าอย่างนี้ละ ทั้งปะทั้งชุนเต็มไปหมด ท่านไม่ยุ่งอะไร มีอะไรท่านปะท่านชุนของท่านใช้เรื่อยไป นี่ละครั้งพุทธกาลดูเอา ไม่ได้โก้อย่างสมัยปัจจุบัน เรื่องกิเลสโก้ เรื่องธรรมเป็นอย่างนี้ดูเอา ในครั้งพุทธกาลตำราบอก ศาสดาอยู่ในนั้น หรูหราฟู่ฟ่าอะไร

ธรรมท่านทำความสบายให้แก่โลก แต่โลกไม่ยอมรับธรรม อะไรพอดี เช่น สนฺตุฏฺฐี ความยินดีตามมีตามเกิด อปฺปิจฺฉตา ความมักน้อย นี่ธรรมพระพุทธเจ้า อันนี้ประมวลมาแห่งความสุขทั้งหลายนะ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมได้ไม่พอกินไม่พอ นี้เรื่องกิเลสเผาหัวใจสัตว์โลกให้ดีดดิ้นตลอดเวลา เอาซิเอาธรรมพระพุทธเจ้าออกไปหาดูสัตว์โลกชาวพุทธลองดูซิ ทั้งฝ่ายพระฝ่ายฆราวาส จะหาที่ต้องติตรงไหนไม่มี ที่ต้องติอยู่ตลอดเวลานี้มีแต่เรื่องกิเลส ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ทุกอย่างไม่มีความพอดี ขึ้นชื่อว่ากิเลสไม่พอๆ ทั้งนั้น ถ้าธรรมแล้วพอๆ

ยกตัวอย่างเช่นพระ จีวรของท่านรอยปะรอยชุนเท่าไร นี่ละดูเอาแบบพระพุทธเจ้า เหมือนศาสดาองค์หนึ่งอยู่นั้นดูเอา แต่มันไม่มองซิอย่างนั้น มันมองหาสิ่งที่จะเผาหัวใจมันด้วยกิเลสได้ไม่พอๆ ใช้ไม่พอ อะไรๆ ถ้าเป็นเรื่องกิเลสแล้วไม่พอทั้งนั้น ถ้าเรื่องธรรมแล้วพอๆ ตัดออกๆ ตัดความทุกข์ความวุ่นวายออกเป็นลำดับ โลกมันไม่อยากมองธรรม เดี๋ยวนี้แทบไม่มีธรรมในชาวพุทธเรานะ เรื่องฆราวาสเราไม่อยากจะไปหา หาในวัดนี่ ก็มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มวัดเต็มวา ส้วมคืออะไร สิ่งบรรจุอยู่ในวัดนั้นมีอะไร มีแต่กิเลสเต็มอยู่ในวัดนั้น นั่นเรียกว่าส้วม มูตรคูถคืออะไร ความประพฤติเลวทรามของพระ เหลวแหลกแหวกแนวอยู่ในวัดนั้น นี่เรียกว่ามูตรคูถอยู่ในส้วม ส้วมคือวัด ทัพสัมภาระต่างๆ เครื่องบำรุงบำเรอที่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเต็มอยู่ในวัด จึงเรียกว่าส้วมว่าถานว่ามูตรว่าคูถ ไม่อยากเรียกว่าวัดนะ

วัดพระพุทธเจ้าเป็นยังไงก็เห็นด้วยกัน วัดเป็นที่วัดที่ตวง กำหนดกฎเกณฑ์มีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ วัดไม่ได้เป็นส้วมเป็นถาน ส้วมถานมีแต่ของสกปรกเต็มอยู่ในนั้น วัดเลยบรรจุของสกปรกอยู่ในนั้นหมดเลยใช้ไม่ได้ นี่ละเลอะเทอะไปๆ กิเลสมันเหยียบไปๆ ธรรมะความน่าดูน่าชม ความสงบร่มเย็น จะไม่ปรากฏในโลกนี้ ไปที่ไหนจึงเห็นตั้งแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย ดูซิทั่วแดนมนุษย์เรานี้ไปที่ไหน สถานที่นี่ สมาคมนี้ ประเทศนั้นประเทศนี้มีความสงบร่มเย็น มีศีลมีธรรมเป็นแบบเป็นฉบับปฏิบัติกัน โลกทั้งหลายมีความสงบร่มเย็นไม่มี มีแต่ความคืบความคลาน ความกินความกลืน กลืนไปตลอด ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งอำนาจบ้าป่าเถื่อนไปเรื่อย กินไปเรื่อย นี่ละเรื่องกิเลสทำความเดือดร้อนแก่ผู้น้อยมากทีเดียว ผู้ใหญ่นี้ก็โดด โอ๋ย ไม่มีหยุดมีถอยนะ ผู้ใหญ่มันใหญ่กิเลสไม่ใหญ่ธรรม ถ้าใหญ่ธรรมใหญ่เท่าไรยิ่งสงบร่มเย็น

องค์ศาสดานั่นละใหญ่แห่งธรรม ดูเอาศาสดา เป็นแบบฉบับได้ทั่วโลกดินแดน นี่แบบแห่งธรรม แบบสาวกคือแบบธรรมทั้งนั้น แต่แบบกิเลสนี้มีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟ ไปที่ไหนเราไปหาดูซิที่ไหนเจริญ ที่มีความสงบร่มเย็น มีแต่เห็นแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ ความประพฤติความเคลื่อนไหวของโลกทั้งนั้น มันน่าทุเรศนะ เอาธรรมจับซิ ปากเดียวเท่านี้ก็เถอะ ปากพูดอยู่นี้ เอาปากธรรมมาจับ พิจารณาซิ ปากกิเลสมันไม่พอแหละ สกปรกคือปากกิเลส สะอาดที่สุดคือปากของธรรม พูดออกไปอะไรมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ เอาละให้พร


หลังจังหัน

ผู้กำกับ ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บหลวงตาครับ กระผมภาวนาบริกรรมด้วยพุทโธไปเรื่อยๆ แต่พอนานไปจิตมันเริ่มที่จะออกไปภายนอก กระผมจึงกำหนดจิตเพ่งดูกระดูกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงกะโหลกศีรษะภายในกาย ไล่ขึ้น-ไล่ลงไปเรื่อยๆ จิตมันจึงไม่ค่อยส่งออกไปข้างนอก และจะนั่งได้นาน การที่กระผมเพ่งที่กระดูกนี้กระผมจะบริกรรมคำว่าพุทโธไปพร้อมกัน และบางครั้งก็จะกำหนดที่ลมหายใจแทนการเพ่งที่กระดูก และบริกรรมพุทโธพร้อมกัน อยากกราบเรียนหลวงตาว่า วิธีการภาวนาของกระผมถูกต้องหรือไม่ครับ

หลวงตา ถูกต้อง แต่อย่าทำหยิบโหย่งๆ หยิบนั้นปล่อยนี้ วางนั้นจับนั้น จะพิจารณาอะไรจับอะไร เช่นคำบริกรรมก็ให้เป็นคำบริกรรม คำใดก็คำนั้น อย่าเอามาสับปนกันยุ่งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ เข้าใจเหรอ พิจารณาร่างกายนั่นก็ถูกแล้ว ถูกต้องแล้ว

ผู้กำกับ ข้อสองครับ การกำหนดจิตดูที่กระดูกพร้อมกับคำบริกรรมพุทโธนี้ มันจะหลายอย่างเกินไปหรือเปล่าครับ หรือจะให้กำหนดเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง?

กระผมอยากจะขอคำชี้แนะจากองค์หลวงตา เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการภาวนาให้มีความเจริญก้าวหน้าในการภาวนาต่อไป

หลวงตา จะเอาอะไรก็เอา จิตทำหน้าที่เดียว ถ้าจะดูอัฐิก็ดูอัฐิ นี่ทั้งอัฐิทั้งพุทโธวุ่นกันไปมันเป็นน้ำไหลบ่าไม่ค่อยมีกำลังแรง ก็เท่านั้นแหละ

ศาสนาไหนล่ะมาสอนอย่างพระพุทธเจ้านี่ไม่มี ศาสนามีทั่วโลก ไม่มีศาสนาใดสอนอย่างพระพุทธเจ้าเรา พูดแล้วก็คือว่าไม่ใช่ศาสนา เป็นเรื่องอารมณ์ของกิเลสต่างหาก คำสอนของกิเลส ผู้เป็นเจ้าของศาสนาคือคลังกิเลสแล้วจะเอาธรรมมาจากไหน พระพุทธเจ้าเป็นคลังแห่งธรรม สอนโลกเป็นธรรมล้วนๆ นั่นต่างกัน แสดงออกไปบทใดบาทใดเพื่อความระงับดับทุกข์ทั้งนั้นๆ ศาสนะ แปลว่าคำสอน ศาสนกิเลส คำสอนของกิเลสก็ได้ ศาสนธรรม คำสอนของธรรมก็ได้

เราได้พิจารณาเต็มกำลังจริงๆ หายสงสัยหมด เรื่องศาสนาในโลกนี้ว่างั้นเลยแหละ เข้าเวทีพุทธศาสนานี้ตีออกๆ คัดเลือกๆ ไปในตัวของมันเอง แยกออกๆ สุดท้ายลงในพุทธศาสนาแห่งเดียวที่สอนด้วยความถูกต้อง เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ และแก้ไขความผิดประการต่างๆ ได้เป็นอย่างดีโดยลำดับ คือพุทธศาสนา ยิ่งสอนเพื่อความพ้นทุกข์ด้วยแล้วยิ่งพุ่งเลย ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ หายสงสัย พอขึ้นบนเวทีคือจิตตภาวนาแล้ว มันกระจายหมดที่ว่ามหาเหตุ ทั้งกิเลสทั้งธรรมอยู่ในใจ พอตีนี้แตกกระจาย กิเลสก็ทราบไปหมด ธรรมก็ทราบไปหมด ทั่วถึงไปหมด

เรื่องภาวนาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ตีแผ่ความรู้นี้ออก ทั้งกิเลสทั้งธรรม ความรู้เป็นไปกับกิเลส แยกกันออกรู้เรื่อง ความรู้แยกไปทางธรรมก็เป็นธรรมล้วนๆ ไป สุดท้ายก็มาเป็นธรรมหมด พูดธรรมดาโลกจะว่าอะไรผิดก็ไม่ได้ ให้ถูกทั้งหมด โลกเขาเป็นอย่างนั้น เช่นศาสนาใดก็ถือว่าเจ้าของถูกๆ ถูกทั้งนั้น ใครไปตำหนิไม่ได้ นี่หลักของศาสนาก็คือหลักของกิเลสนั่นเอง ถ้าเป็นศาสนธรรมจริงๆ แล้ว เอ้า ตำหนิมา ผิดตรงไหน เอ้า ว่ามา แก้ไขดัดแปลงไปตามนั้น อย่างนั้นเรียกว่าศาสนาแท้หรือศาสนธรรม เปิดโอกาสให้ผู้ใดจะคัดค้านต้านทานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่เรียกว่าศาสนธรรม

ศาสนาที่ใครไปคัดค้านต้านทานไม่ได้ ถือกรรมสิทธิ์ในศาสนาของตนโดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูก กำไว้หมด นี้ไม่ถูก เปิดซิ ถ้าเป็นของจริงเปิดได้ทั้งนั้น เอ้า ผิดตรงไหนว่ามาแล้วแก้ไข ก็แก้ไขเพื่อให้ถูก ว่ามาก็แก้ไขไปตาม ถ้าเห็นว่าทางนั้นถูกต้องแล้วแก้ไขไปตามทางนั้นก็ถูกต้องเป็นลำดับ เราหายสงสัยเราพูดจริงๆ นี่ละขึ้นเวทีจิตต ภาวนามันถึงได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง หายสงสัยหมดเลย เราจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความรู้สึกของเราที่เต็มอยู่ในนี้ ความรู้อันนี้เต็มอยู่ในหัวใจแล้ว ว่าเราเรียนจบแล้วทั้งทางโลกทั้งทางธรรม เรียนจบคือว่ารู้ไปเรียบร้อยแล้วปล่อยวางลงโดยสภาพของมัน หมดโดยสิ้นเชิง เรียกว่าเรียนโลกจบ ปล่อยโลกจากหัวใจโดยสิ้นเชิง เรียนธรรมจบ เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ภายในหัวใจ ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่านั้นพอจะเอามาเพิ่มเติม พอแล้วๆ ด้วยความเลิศเลอ

ค้นเข้าดูในหัวใจหายสงสัยหมด ภาคจิตตภาวนาเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร เพราะมหาเหตุอยู่นั่น รวมขอบเขตจักรวาลมาอยู่ในจิตดวงเดียวนี้ เรียกว่ามหาเหตุ มันแผ่กระจายออกไป ต้นมันอยู่นี้มันแผ่กระจายออกไป เราตื่นเงามันซิ อย่างเขาฉายหนังไปเห็นภาพอยู่ในจอนั้น ที่เขาฉายออกอยู่ที่นี่มันออกไปเป็นภาพนั้น นี่ที่มันปรุงออกมันอยู่ที่นี่ ไปเป็นภาพหลอกตัวเองอยู่ทางโน้น ทีนี้พอเรียนจบแล้วมันกระเพื่อมเท่านั้นรู้แล้ว มันยังไม่ออกเป็นภาพนะ กระเพื่อมปั๊บรู้ทันที ดับปุ๊บๆ ตัวเหตุของมันอยู่ที่นี่

เราดูภาพดูวันยังค่ำก็อย่างว่าแหละ เราได้เห็นต่อหน้าต่อตาเรา หมามันเห่าภาพ เขาฉายภาพยนตร์อยู่กลางทุ่งนา ที่ชุมนุมชนแหละกลางทุ่งก็ดี เขาไปฉายหนังอยู่ที่นั่น ทีนี้เวลาหนังฉาย พอดีเราก็เดินออกมาเจอเอาจังๆ เสียงหมานี่ โถ เห่าลั่นเลย หมาอยู่ที่เขาฉายหนัง ตัวไหนอยู่ที่ไหนเห่าอึกทึก ทำไมหมาจึงเป็นอย่างนั้นมาก ก็คือคนไปดูหนังเขาไปกินอะไรๆ เศษอาหารตกแถวนั้น หมาไปกิน เข้าใจไหมล่ะ ทีนี้เวลาฉายหนัง ทั้งลิงทั้งค่างอะไรออกมาโก้กก้ากๆ หมาก็เห่าอึกทึกครึกโครม โอ๊ย สูก็เป็นบ้าเหมือนกูนะ สูก็ตื่นเงาเหมือนกู เราก็ว่าเราเป็นบ้าเหมือนกัน สูก็ตื่นเงาเหมือนกู สูก็เป็นบ้าเหมือนกัน นี่มันหลอกอย่างนั้นนะ หมาแท้ๆ ยังไปเห่า ลิงตัวใหญ่ๆ ลิงเมืองนอกออกมาโว้กว้ากๆ หมามันมองเห็นซิ ฟังเสียงเห่าอึกทึก เลยลืมกินข้าวกินอาหาร ขบขัน เราไปเห็นด้วยตาของเรา โอ๊ย สูก็หลงเป็นเหมือนกูนะ เป็นอย่างนั้นละ

นี่ละภาพ คือมันออกจากใจไปวาดภาพต่างๆ เราไม่เห็นตัวที่มันออก ส่วนทำจิตตภาวนามันย้อนเข้ามาดูตัวเหตุ มันออกไปไหนมันออกไปจากนี้ เมื่อรู้ตัวนี้แล้ว พอปรุงแพล็บดับปุ๊บๆ เลย เพราะรู้ตัวเหตุมันแล้ว ถ้าไม่รู้ก็ตายกับมันวันยังค่ำ ตั้งแต่หมายังได้เห่า เสียงมันเห่าอึกทึก เรื่องพุทธศาสนานี่เป็นศาสนาที่เปิดโลกธาตุจริงๆ เปิดโล่งออกหมด รู้ตามเป็นจริงทุกอย่างๆ คือพุทธศาสนา สมพระนามว่าศาสดาองค์เอก เป็นเจ้าของศาสนาอย่างแท้จริง กิเลสไม่มี มีแต่ อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าตลอดเวลาภายในพระทัย

วันนี้เป็นวันจันทร์ คนก็ยังมากอยู่นะ วันจันทร์คนก็ยังมากอยู่ ให้พี่น้องทั้งหลายสนใจในธรรมให้มากขึ้น ความสงบร่มเย็นจะปรากฏขึ้นกับความสนใจในธรรม ถ้าความสนใจกับหนังตะลุงที่มันฉายอยู่นั่นตายกัน หมาก็เป็นบ้าไปด้วยอย่าว่าแต่คน ถ้าหลงตามมันเป็นบ้าไปด้วยกัน ให้สนใจในธรรมพิจารณาเสียก่อน จะทำอะไรอย่าพรวดพราดๆ คิดอยากทำอะไรทำ นี้เป็นนิสัยของกิเลส ทำอะไรไม่คำนึงถึงผิดถูกชั่วดี ผู้รับเคราะห์ก็คือเรานั่นแหละ ผิดทั้งนั้น ถ้าลงทำไปด้วยความพรวดพราดผิดทั้งนั้น ถ้าทำด้วยความพินิจพิจารณาผิดถูกดีชั่วแล้วไม่ค่อยมีนะ ท่านจึงสอนว่า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วค่อยทำ ทุกอย่างพิจารณาเสียก่อนค่อยลงมือทำไม่ค่อยผิดพลาดแหละ นั่น ปุ๊บปั๊บทำเลยๆ นี้อย่างว่านั่นละ ให้ใช้ความพินิจพิจารณา

ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลออมากทีเดียว ให้ใช้ความพินิจพิจารณา ผิดก็พลิกมาเป็นถูกได้ทันทีๆ คือธรรม คือความถูกต้องลบทันทีเลย ถ้าปล่อยให้กิเลสไปมันก็ไปตามเรื่องของมัน โกโรโกโสไม่มีหลักมีเกณฑ์ อย่างเราเกิดมานี่จนกระทั่งวันตาย บางคนไม่สนใจในอรรถในธรรมเลย ไม่เคยทำบุญให้ทานเลย เป็นเศษมนุษย์อยู่เฉยๆ นะนั่น มีแต่จิตใจครองร่างอยู่ ลมหายใจขาดก็ปึ๋งลงเลย คือมันไม่ทำความดี แต่มันทำความชั่วมาก มันไม่อยู่เฉยๆ ละมนุษย์เรา มันต้องทำ

เคลื่อนไหวไปมาส่วนมากทำตามอารมณ์ของใจ อารมณ์ของใจเป็นอารมณ์ของกิเลส มันก็หมุนลงทางต่ำ อารมณ์ของธรรมดึงขึ้นนะ เพราะฉะนั้นผู้ใช้ในทางธรรมจึงต้องได้นำมาพินิจพิจารณาในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย แล้วก็จับได้ๆ แก้ไขได้ดัดแปลงได้ ถ้าจะปล่อยตามอารมณ์นี้ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ใจนั่นละเป็นผู้รับเคราะห์ ทำดีทำชั่วไม่ไปไหนมันอยู่กับใจ ครั้นตายแล้วกรรมชั่วมันก็อยู่กับใจ ทำดีกรรมดีก็อยู่กับใจพาไปเลย ไม่อยู่กับอะไรไม่มีอะไรตัดสินได้ มีกรรมที่เจ้าของทำขึ้นอย่างเดียว ตัดสินตัวเอง กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมเป็นของของตน กรรมเป็นของเราเอง จะไปแบ่งให้ใครไม่ได้ จึงต้องได้เลือกเฟ้นเสียก่อนการทำกรรม

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เลือกไม่ได้นะ ผิดพลาดไปเรื่อยๆ ถ้ามีตั้งแต่กิเลสโลกก็มีแต่ความรุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ประเทศไหนจะว่าเจริญรุ่งเรืองขนาดไหนก็มีแต่ลมปาก ตื่นลมกันไปอย่างนั้นละ ความจริงจริงๆ มีแต่ไฟเผาหัวอกๆ แล้วดีดดิ้นออกมาทางร่างกายหมุนเป็นกังหันไปเลย คือกิเลสมันผันหัวใจคน ถ้าธรรมแล้วไม่ผัน ห้ามล้อๆ อะไรผิดห้ามล้อ ไปในทางที่ถูก เรียกว่าห้ามล้อในสิ่งที่ผิด เหยียบคันเร่งในสิ่งที่ถูก คือความขยันหมั่นเพียร อดทน หนักก็เอาเบาก็สู้ เมื่อเหตุผลควรทำแล้วทำ อย่าเอาความขี้เกียจขี้คร้านมาเป็นหัวหน้า มันจะขยันในทางความชั่วนะ เรื่องกิเลสขยันทางความชั่ว แต่อ่อนแอท้อแท้ในทางความดี แล้วไม่เอาไหนในทางความดีนะ ถ้าเป็นความชั่วนั้นติดปั๊บๆ เลย นี่กิเลสมันฝังใจมาลึกแล้ว

คิดดูซิเราจะประกอบความพากเพียร เวลาเราเริ่มฝึกหัดเบื้องต้นนี่ โถ เหมือนจะจูงหมาไปใส่ฝนร้องแง้กๆ ฝนกำลังตกจ้ากๆ นี้ลองจูงหมาใส่ฝนดูซิ มันร้องแง้กๆ มันไม่อยากตากฝน นี้จูงเราเข้าสู่ศีลสู่ธรรมไม่อยากเข้านะ ร้องแง้กๆ เข้าใจ ถูไถกันไปซัดกันไปหลายครั้งหลายหนมันได้ผลขึ้นมา พอได้ผลขึ้นมาเป็นพยาน มีความดูดดื่มทางธรรมเกิดแล้วๆ ทางนี้ก็หนักขึ้น ความท้อแท้อ่อนแอทั้งหลายอ่อนลงๆ ทางนี้ก็บุกๆ เรื่อยเลย เห็นผลมากเท่าไรธรรมยิ่งหมุน ทางธรรมหมุนๆ เพื่อพ้นทุกข์ ยิ่งหมุนเรื่อยๆ เลย เป็นอย่างนั้นนะ

เวลากิเลสมีกำลังมากมีแต่หมุนลงทั้งนั้น หมุนลงโดยถ่ายเดียว เมื่อธรรมมีมากหมุนขึ้นโดยถ่ายเดียว หมุนขึ้นจนทะลุเลยถึงนิพพาน หมุนถึงขนาดนั้น ถ้าไม่ถึงนิพพานไม่หยุด นิพพานเลยอยู่ชั่วเอื้อมๆ มันเป็น นิพพานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เหมือนว่าอยู่ชั่วเอื้อม ความจะหลุดพ้นจากทุกข์มันอยู่จุดสุดท้ายของความเพียรนี้ มันเป็นเหมือนชั่วเอื้อมๆ นิพพาน นั่นละความเพียรไม่มีถอย กำลังที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์มีมาก มันก็บืนเรื่อยละ เวลามันอืดอาดเนือยนาย มันขี้เกียจขี้คร้านมากๆ มันก็มีอย่างนั้น ครั้นเวลาทำไปทำมา รบกันไปรบมา มีท่าชนะได้นะ พอมีท่าชนะได้บ้างแล้วเป็นพยาน ทีนี้ก็บุกเรื่อยละ ชนะไปเรื่อยๆ จากนั้นก็บุกใหญ่เลย เรียกว่าอัตโนมัติ

ความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์นี้เป็นอัตโนมัติ เมื่อมีกำลังกล้าแล้วเป็นอัตโนมัติหมุนตลอดไม่มีคำว่าถอย เหมือนกิเลสเป็นอัตโนมัติในใจหัวใจสัตว์โลก มันหมุนตลอดให้สัตว์โลกจมอยู่ในวัฏจักร เป็นอัตโนมัติของมัน แต่เราไม่รู้นะ นี้ก็ใครพูด ในเมืองไทยมีใครพูดอย่างนี้ไหมล่ะ หลวงตาบัวมาพูดเพราะมันผ่านกันบนเวทีแล้วนี่ เวลากิเลสเป็นอัตโนมัตินี้มันหมุนด้วยกันหมดในโลกอันนี้ ใครไม่ทราบว่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ หมุนสัตว์โลกให้เป็นไปตามความต้องการของมัน ทีนี้เวลาธรรมเข้าเทียบกันปั๊บ ธรรมแก้เข้าไปๆ จนกระทั่งถึงขั้นอัตโนมัติแบบเดียวกัน กับกิเลสหมุนสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ ธรรมลากเข็นสัตว์โลกหรือหัวใจของเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ ก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน จนลืมหลับลืมนอน

เวลามันหมุนของมันเต็มที่แล้ว ลงทางจงกรมตั้งแต่ฉันเสร็จแล้ว จนกระทั่งปัดกวาดไม่ทราบว่ากี่ชั่วโมงไม่สนใจ มันหมุนของมันอยู่ภายใน เรื่องแดดนี้ไม่สนใจ มันร้อนมันอะไรไม่สนใจ หมุนอยู่ภายใน ความร้อนความหนาวนี้ไม่ค่อยมีกำลังอะไรนะ เวลาจิตมีกำลังทางธรรมะมากแล้ว มันจะหมุนอยู่ภายใน ไม่สนใจกับคำว่าร้อนว่าหนาวอะไร หมุนติ้วๆ นี่เรียกว่าธรรมทำงานบนหัวใจ เพื่อรื้อถอนกิเลสออกจากใจนั้นเป็นอัตโนมัติ หมุนไปอย่างนั้น จนกระทั่งกิเลสขาดไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว คำว่าอัตโนมัตินี้หยุด เป็นเอง หยุดเอง อย่างมหาสติมหาปัญญา มหาสติมหาปัญญาก็คือ สติปัญญาที่เฉียบขาดที่สุดฆ่ากิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว สติปัญญานี้ก็เป็นเหมือนเครื่องมือ วางได้ปล่อยได้ เราทำอะไรอยู่ด้วยเครื่องมืออะไร เราปล่อยเครื่องมือนั้นได้ อันนี้ก็วางลง ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาเรียกว่าเครื่องมือที่เฉียบแหลมมากที่สุดฆ่ากิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไป สติปัญญานี้ก็เป็นอัตโนมัติหายตัวไปเอง หยุดไปเอง

ทีนี้ยังเหลือแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วชำระอะไร นั่น มันก็รู้อย่างนั้นเวลามันถึงที่สุด ที่หมุนติ้วก็หยุด ทุกอย่างหยุดหมด เพราะหมุนเพื่อความหลุดพ้น พ้นแล้วหมุนหาอะไร เราพูดเหล่านี้เราถอดออกมาจากหัวใจทั้งนั้นนะ ไม่ได้พูดงูๆ ปลาๆ ลูบๆ คลำๆ มาสอนนะ เราสอนด้วยความจริงจัง เป็นไปภายในหัวใจ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ หมุนติ้วเลย ตลอด อยู่ในหัวใจนี้หมด

พากันตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญความดีนะ อย่าได้ปล่อยได้วางวันหนึ่งๆ อย่าไปเชื่อมันนักนะกิเลส ถ้าเชื่อกิเลสแล้วไม่มีทางที่จะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ จะจมไปเรื่อยๆ จมไปตลอด ต้องอาศัยคุณงามความดี ทุกข์ยากลำบาก เอ้า ทน เราไม่ได้เกิดมาในท่ามกลางแห่งเศรษฐีแหละ เราเกิดมาจากท้องแม่ด้วยกันมีแต่ตัวล่อนจ้อนออกมา แล้วก็มาขวนขวายหาใหม่ ก็มีได้ด้วยกันนั้นแหละ อันนี้เราก็ขวนขวายหาใหม่ได้ด้วยกัน เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้



รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก