ธรรมกับโลกต่างกัน
วันที่ 28 สิงหาคม 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ธรรมกับโลกต่างกัน

เตือนทางบ้านตาดของเรานี้ละ นาทางด้านตะวันออกจากทางมาวัดผ่านเข้าดงใหญ่ ห้วยนี่เขาเรียกห้วยหมากแข้งผ่านบ้านเราไปนี้ หน้าวัดนี้เขาจัดทำคลองไว้สองแห่งเพื่อระบายน้ำให้ทั่วถึงกัน ทั้งได้ทั้งเสียก็อยู่กับทางระบาย นี่เป็นช่องทำทางระบายออกสองทาง ทางด้านตะวันออกนั้นที่ทำทางระบายออกไป เห็นมิใช่หรือเดินไป เขาเปิดเวลาน้ำมามันก็ไหลออกไปทางโน้น ถ้าน้ำไม่พอก็เพิ่มให้ตามไร่ตามนา ถ้าน้ำมากก็ต้องระบายออก คลองสองคลองที่ว่าเป็นทางระบายน้ำนี้ ใครจะไปปิดด้วยความเห็นแก่ตัวไม่ได้นะ บ้านตาดทั้งบ้านเป็นความเสียหายของบ้านเอง ทางแยกหรือทางรวมของน้ำอยู่ที่นี่

ถ้าแยกไปทางตะวันออก เวลาน้ำมากแบ่งไปทางตะวันออก ทางด้านตะวันตกซึ่งเป็นบ้านตาดเดียวกันก็จะไม่เสียหายมาก ถ้าปิดคลองทางตะวันออกสองสายนั้นเสีย เปิดให้น้ำมาทางเดียวทางด้านตะวันตกนี้ข้าวเสียหายมากนะ ถ้าเปิดระบายให้ออกทั่วถึงกันเวลาจำเป็น ด้านตะวันออกคลองสองคลองนี้ก็เปิดให้ออกทางโน้น น้ำจะท่วมก็ตาม ทางทุ่งกว้างข้าวไม่เสีย ท่วมธรรมดาผ่านไปธรรมดา แต่ทางด้านตะวันตกนี้ท่วมด้วยเสียด้วย ให้เห็นใจกันซี นี่เราพูดเฉพาะบ้านตาดของเรา บ้านเดียวกันด้านหนึ่งเสียด้านหนึ่งไม่เสีย ถ้าพอจะแบ่งเบากันได้ก็ต้องเปิดอย่างที่เราว่านี่ เวลาน้ำมากมาจำเป็นเปิดให้ออกไปด้วยกัน ท่วมก็ท่วมไปด้วยกัน แต่ทางด้านตะวันออกไม่เสีย ทางด้านตะวันตกบ้านนี้เสีย จึงต้องได้ระบาย เมื่อวานเราก็ไปบอก

มันเห็นแก่ตัวนะคนเรา ไม่ได้เห็นแก่เพื่อนแก่ฝูง เราจึงต้องไปบอก เรียกว่าทำจุดศูนย์กลางเฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ได้ผลทั่วถึงกัน ทั้งได้ทั้งเสียให้ได้ด้วยกัน เช่น เวลาน้ำมามาก ๆ ทางด้านโน้นก็เปิดน้ำออกไป มันท่วมมันก็ไม่เสีย แต่ทางด้านนี้เสีย จึงต้องทางนี้ก็ให้ไปตามทางใหญ่คือห้วยหมากแข้ง ให้ไหลออกไปนี้ ไปตามเรื่องของน้ำทางห้วยนี้ ทางโน้นก็เปิดให้มันไหลไปทางโน้น ถึงจะท่วมก็ไม่เสียทางด้านตะวันออกนะ ให้ดูใจกันซี จะไปเห็นแก่ตัวไม่ได้ พอน้ำมามาก ๆ ปิดทางโน้นไว้กลัวน้ำจะท่วมนา นาเขาก็นาคนเหมือนกัน ไม่ใช่นาหมาเหมือนเราซึ่งเป็นคนเห็นแก่ตัวนี่นะ คนเห็นแก่ตัวนี้ถ้าเป็นนาก็นาหมาไม่ใช่นาคน ถ้าเป็นนาคนแล้วต้องเห็นอกเห็นใจกัน

จำเอานะบ้านตาดนี่น่ะ ความเสียหายอยู่กับบ้านตาดทั้งสอง ด้านตะวันตก ตะวันออก บ้านตาดนั่นแหละ ต้องแบ่งสันปันส่วนให้พอเหมาะพอสม เวลาน้ำมามากให้ไขออกไปเปิดออกไป น้ำจะท่วมก็ให้ท่วมไป ได้ด้วยกันเสียด้วยกันไม่เป็นไร อย่าเห็นแก่ตัวก็แล้วกัน ให้จำทุกคนนะ เอะอะมาปิดกึ๊กกลัวน้ำจะไปท่วมนาตัวเอง นาเขาเป็นนาอะไร นาเขาก็นาคนเหมือนนาเรา ต้องแบ่งสันปันส่วนให้พอเหมาะพอดีกันมนุษย์เรา ถึงอยู่กันได้ เห็นแก่ตัวอยู่ไม่ได้ ใครเห็นแก่ตัวไปที่ไหนกระทบกระเทือน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม คนเห็นแก่ตัวต้องเห็นทุกอย่าง ถ้าลงเห็นแก่ตัวแล้วตัวตระหนี่ก็อยู่ที่นั่น กระทบกระเทือน ไปไหนกระเทือนไปหมดคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่เพื่อนแก่ฝูงแล้วไปที่ไหนกว้างขวาง ผิดกันนะ

นี่บอกไว้ให้รู้ว่าทางระบายน้ำที่หน้าวัดนี้เป็นทางนั้น อย่าไปปิด เปิดให้มันออกไปด้วยกัน ทางด้านตะวันออกก็ออกไป ท่วมไม่เสียทางตะวันออก ด้านตะวันตกก็ให้ไปตามเรื่องของมัน อันนี้ท่วมแล้วเสีย จึงต้องเปิดให้ทางนี้มากกว่า ให้ได้ด้วยกันซี เห็นแก่ตัวเองไม่ได้นะ ที่ว่านี้ไม่ใช่ใครเสียหายนะ บ้านตาดบ้านเดียวกันน่ะเสียหาย หลวงพ่อจะเสียหายอะไร หลวงพ่อบัวเป็นคนบ้านตาดจะเสียหายอะไร มันมามาก ๆ หรือกูปีนขึ้นบนขื่อโน่น ศาลากูยังมีขื่อ ออกจากนั้นกูจะโดดขึ้นบนหลังคา ก็มีกลัวหรือ กูกลัวแต่น้ำท่วมปากสูนั่นละ เข้าใจไหม น้ำขนาดนี้ไม่เป็นไร เวลาน้ำมามาก ๆ ซีมันเสีย

คนเราที่เป็นคนเห็นแก่ตัวคนตระหนี่ถี่เหนียวแล้ว ไปอยู่ที่ไหนเด่นนะ แปลกอยู่นะ ใครไม่อยากคบค้าสมาคม เงียบ ๆ อยู่นั้นละ มันเป็นอยู่ในหัวใจเขา ขัดอยู่ในหัวอกเขา เขาไม่อยากคบค้าสมาคม เป็นเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ผู้หญิงผู้ชายก็ตาม สำคัญที่ความตีบตันกับความกว้างขวาง คนตระหนี่ถี่เหนียวย่อมตีบตันเห็นแก่ตัว ไปที่ไหนมักเป็นความกระทบกระเทือน แต่คนมีจิตใจอันกว้างขวาง ไปที่ไหนเย็นไปหมด เพื่อนฝูงก็มาก คนตระหนี่ถี่เหนียวเป็นคนเห็นแก่ตัว เพื่อนฝูงไม่ค่อยมี ไปไหนไม่ค่อยมี

นี่ละเรื่องกิเลสกับธรรมเห็นกันชัด ๆ กิเลสคือเห็นแก่ตัว ใครไม่อยากคบค้าสมาคม ความเห็นแก่เพื่อนแก่ฝูงเป็นธรรม ไปที่ไหนกว้างขวาง เป็นอย่างนั้นนะ ให้เทียบเอานะธรรมกับโลกต่างกันอย่างนี้ให้ดูเอา กิเลสคือความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว แล้วก็เข้ากับใครไม่ได้ ไปที่ไหนกระทบกระเทือนเพราะความเห็นแก่ตัว ผู้ที่มีจิตใจอันกว้างขวาง เรียกว่าผู้มีธรรม ไปไหนเบิกกว้างไปเลย ๆ ธรรมไปไหนชุ่มเย็นไป แต่กิเลสไปไหนเป็นไฟเผาไปเรื่อย ๆ ทราบหรือยังว่ากิเลสเป็นยังไง ธรรมเป็นยังไง นี่เอามาแจงให้ทราบ

ความโลภความเห็นแก่ได้ นี่คือกิเลส มันอยู่ในหัวใจเรานี้นะ หัวใจดวงนี้มีทั้งกิเลสทั้งธรรมอยู่ในนั้น รบกันตลอดเวลา ถ้าเราพอมีธรรมบ้างก็รบกันตลอดเวลา ถ้าธรรมไม่มีเลยมีแต่กิเลส ทั้งเหยียบอยู่นั้น ทั้งขี้ทั้งถ่าย ถ่ายหนักถ่ายเบาฟาดลงหัวใจเรา เพราะฉะนั้นหัวใจเราเมื่อเวลารวมมาก ๆ แล้วจึงเรียกว่า ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง คือขี้มันลงในนั้น ความโลภขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ความจริงกิเลสเหล่านี้มันขี้ใส่หัวใจเรา เลยกลายเป็นขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง กองขี้นี้เป็นกองขี้ของความโลภ กองขี้ของความโกรธ กองขี้ของความหลง ความรัก ความชัง แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหล่านี้เป็นขี้อยู่ในหัวใจ กิเลสเหล่านี้ขี้ลงไป จึงเรียกว่าขี้โลภขี้โกรธขี้หลง ถานขี้ของกิเลสคือหัวใจเรา จำเอานะ

โลกไม่รู้นะเรื่องกิเลสกับธรรม ไม่รู้ มันอยู่ในหัวใจ อย่างเหล็ก สนิมก็เกิดอยู่ในเหล็กแล้วก็กัดเหล็ก สนิมเกิดจากเหล็กกัดเหล็ก กิเลสเกิดจากใจกัดใจให้ได้รับความทุกข์ความทรมานลำบากลำบน นี่เรียกว่ากิเลส ความโลภท่านว่ากิเลส การให้เป็นธรรม ความสงสารเป็นธรรม ความโลภมีแต่อยากได้แต่ไม่อยากให้ใคร คือกิเลส มันผิดกันนะ ถ้าว่ามีแต่อยากได้ไม่อยากให้ นี่เรียกว่ากิเลสล้วน ๆ ถ้าอยากได้ทองคำมาให้หลวงตาบัวช่วยชาติ อันนี้ไม่เป็นกิเลสนะ ให้พากันไปหา หมดทั้งศาลานี้ไปเลย หลวงตาจะเปิดทางให้ ได้มาเพื่อให้

ใจดวงนี้สำคัญมาก แหม ไม่มีใครรู้ได้เลย โลกถึงได้ตายกันงอมแงม ๆ อยู่นี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ คือนานขนาดไหนใจดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่มีป่าช้าคือใจดวงนี้ ทุกข์แสนสาหัสก็ยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ตกนรกอเวจีที่ว่าเป็นบาปมากที่สุด ได้รับความทุกข์แสนสาหัสก็ไม่ฉิบหาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ตามบาปตามกรรมของตัวเองนั่นแหละ ลงอันนั้นธรรมดาของโลกสมมุติทั้งหมดนี้มันเป็นโลกอนิจจัง ไม่เหมือนพระนิพพาน จึงเรียกว่าอนิจจัง จะไปตกนรกกี่กัปกี่กัลป์ มันก็ค่อยเปลี่ยนแปลงในตัวของมันเอง กรรมชั่วเสวยไป ๆ ก็ค่อยหมดไป ๆ จะช้าจะนานก็ตามมันก็เปลี่ยนมาจนกระทั่งถึงหมดไปได้ ถึงขนาดนั้นใจดวงนี้ก็ไม่ตาย ก็เสวยอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา

ไปสวรรค์ชั้นพรหมก็เหมือนกัน ความเปลี่ยนแปลงเชื่องช้ามาก ชั้นบนชั้นล่างเหมือนกันความเปลี่ยนแปลง เช่น ชั้นพรหมโลก อายุตั้ง ๘ หมื่นปี ๙ หมื่นปี หมื่นปีทิพย์หนาไม่ใช่หมื่นปีธรรมดา มันก็เปลี่ยนได้อย่างว่า หมื่นปีก็ต้องขาดลงมาเรื่อย ๆ ขาดหมื่นก็เข้าพันขาดลงมา ๆ เรียกว่ากฎอนิจจังครอบหมด โลกธาตุนี้ครอบหมด นี่เรียกว่าโลกวัฏจักร มันหมุนของมันอยู่อย่างนี้ บุญก็เปลี่ยนแปลงไปในตัวของมันเอง ข้างบนก็เหมือนกัน เพราะอยู่ในโลกวัฏจักร พรหมโลกลงมานี้เรียกว่าโลกวัฏจักร มีความเปลี่ยนแปลงหยาบละเอียดต่างกัน สั้นยาวต่างกันเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นบรรดาท่านผู้ที่พ้นจากนี้ไปแล้ว ท่านถึงได้มองดูนี้ด้วยความสยดสยองความกลัว

อย่างพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย พระองค์ผ่านมาเท่าไรอย่างเรานี้นะ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ต้องผ่านแบบเรามาด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเกินใคร ความทุกข์ความลำบากแสนทรมานด้วยใจดวงที่ไม่ตายนี้อยู่มาอย่างนั้นเรื่อย ๆ เลย แต่ทีนี้กิเลสมันก็ปิดของมันไปเรื่อย ๆ พอผ่านไปปั๊บมันปิดปุ๊บ ๆ ไม่ให้เห็นอดีตของตัวเองที่ผ่านมา คนเราถ้าเห็นแล้วมันเข็ด ถ้าทางดีมันขยับใส่อีก ถ้าทางชั่วมันก็เข็ด นี่มันไม่ให้เห็น ทีนี้อันหนึ่งมันหนุนไปให้อยากให้ทะเยอทะยาน มันดึงเข้าไปอย่างนี้ ไม่ให้เห็นแต่จูงเหมือนสัตว์ตาบอด จูงไป ๆ ตัวกิเลสมันหลีกต้นเสาเสีย มันจูงเราชนต้นเสาป้าง เข้าใจไหม กิเลสจูงคนจูงสัตวโลกชนต้นเสา ตัวกิเลสเองมันฉลาดมันไม่ไปโดนต้นเสา เพราะฉะนั้นกิเลสจึงไม่ตกนรก ตกแต่เราที่กิเลสหลอกให้ตก ไปสวรรค์กิเลสมันก็เป็นของมันอยู่งั้นแหละ ถึงนิพพานกิเลสสิ้นซากเลย ทีนี้หมดกฎอนิจจังซึ่งอยู่กับกิเลสตัวนี้ตัวสำคัญ ให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง

ในจิตของสัตว์ของบุคคลที่เราแสดงว่าเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา คือตัวจิตเป็นผู้ให้ความหมายทุกอย่าง เหล่านี้เขาไม่ได้ให้ เขาไม่ได้ว่าเขาเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เขาเป็นธรรมชาติของเขา เราไปตั้งชื่อตั้งนามและความเปลี่ยนแปลงของเขาออกมาจากใจเป็นผู้ไปตั้ง แต่ตัวเองเปลี่ยนแปลงยังไงมันไม่ดูตัวเอง มันมีกิเลสแทรกอยู่นั้น นี่ละกิเลสละเอียดขนาดนั้นนะ เวลามันเปิดโล่งแล้วมันเห็นหมดจะว่าไง เพราะฉะนั้นจึงขยะแขยงซิพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่จะตั้งใจสั่งสอนสัตวโลกอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยสมภูมิของศาสดา พอตรัสรู้ผางขึ้นมาแล้วดูไม่ได้เลย นั่นฟังซิ มันต่างกันยังไงโลกวัฏจักรโลกถังขยะกับพระนิพพานกับธรรมธาตุต่างกันยังไง

องค์ของท่านเอง พระสรีระของพระพุทธเจ้า ร่างกายของพระอรหันต์ นี้เป็นประเภทพวกถังขยะ เพราะนี้อยู่ในกฎของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แต่จิตที่อยู่ข้างในนั้นเป็นธรรมธาตุ อยู่ด้วยกัน มันถึงได้ดูชัดเจนซิเวลาครองธาตุครองขันธ์อยู่ยังไม่ได้ออก เอาธาตุขันธ์เอาญาณเหล่านี้หยั่งทราบดูตลอดทั่วถึงหมดในท่ามกลางถังขยะนี้ ท่านตรัสรู้แล้วท่านก็มีร่างกายเหมือนเรา ร่างกายนี้ก็เหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไป จึงเรียกว่าถังขยะด้วยกัน แต่จิตไม่ได้เป็นถังขยะ จ้าไปหมดแล้ว ทีนี้ก็สนุกดูทุกอย่างละซี

เวลาใช้ธรรมธาตุต้องมีขันธ์เป็นเครื่องช่วย พอจากนั้นแล้วขันธ์ดับ สมมุติดับหมดไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละธรรมชาตินั้นว่านิพพานแล้ว คือจะให้ตั้งชื่อตั้งนามอีกไม่ได้แล้ว พ้นโดยสิ้นเชิง จะเอาอะไรไปติดไม่ได้เลย แม้เช่นนั้นจอมปราชญ์ทั้งหลายท่านฉลาดแหลมคมท่านจึงทำกรุยหมายป้ายทางไว้ ทางเดินเพื่อพระนิพพานคืออะไร คือการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา การอบรมตัวให้ดี ให้เกลียดชั่ว มีความยินดีในการกุศล นี่ทางเพื่อไปพระนิพพาน ท่านทำกรุยหมายป้ายทาง พอถึงนั้นปั๊บไม่มีองค์ไหนที่จะไปตั้งชื่อตั้งนามตัวเองแหละ ไม่มี ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์องค์ใด พอผางเข้าไปเท่านั้นหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง จิตนั้นหมดปัญหา สมมุติหมดโดยสิ้นเชิง เวลามีสมมุติอยู่ภายในตัว แขนงของสมมุติจึงแตกกระจายออกไปใช้ทางนั้นทางนี้อย่างนี้ ให้พากันเข้าใจเอานะ

จิตดวงนี้ไม่ตาย เป็นอย่างนี้ พอถึงนั้นแล้วก็เรียกว่าธรรมธาตุ นั่นละที่ว่านิพพานเที่ยง ก็คือธรรมธาตุ หรือว่านิพพาน หรือวิมุตติ หรือธรรมธาตุ ๓ อย่างนี้เป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ ไวพจน์ของกันและกัน นี่ธรรมชาติไม่ตาย พอพ้นแล้วก็เป็นอันนั้นแหละ ไม่ตายจิตดวงนี้นะ จมอยู่ในนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ตาย แต่ทนทุกข์ทรมาน พ้นจากนี้แล้วไม่ตาย แต่ท่านให้นามอีกว่าบรมสุข แต่บรมสุขจะพูดได้ในเวลามีขันธ์อยู่ ท่านครองขันธ์อยู่ท่านเป็นบรมสุข ธาตุขันธ์จะเจ็บปวดแสบร้อนอะไรก็เป็นของมัน แต่ธรรมธาตุไม่มี เรียกว่าเป็นอฐานะ บังคับให้ประสานกันไม่ได้ เช่น ความดีใจ เสียใจ ความรักความชัง ในหลักธรรมชาตินั้นไม่มี แต่ในขันธ์มี จำให้ดีตรงนี้จุดสำคัญ

คือในขันธ์มันมี มีอยู่ประจำขันธ์ของมันเท่านั้น ไม่นอกเหนือไปจากนั้น เป็นเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ สมมุติล้วน ๆ ที่อยู่กับจิตที่บริสุทธิ์แล้วมันอาศัยกันอยู่ ทีนี้ขันธ์ต้องการอะไร อันนี้อร่อยดีนะก็คือขันธ์ ธรรมชาติของจิตเป็นผู้รับทราบ อันนี้ดีอันนั้นไม่ดี อันนี้ฉันชอบอันนี้ฉันไม่ชอบ คือขันธ์มันบงการของมันอยู่ในวงขันธ์ ธรรมชาตินั้นไม่มี ผ่านหมดแล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่ในขันธ์แต่ก็นอกไปหมด นอกสมมุติ อยู่ในสมมุติก็ตาม การกินอยู่ปูวายการหลับการนอนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของขันธ์ ชอบอันนั้นไม่ชอบอันนี้ เป็นเรื่องของขันธ์ ธรรมชาติของจิตเป็นผู้รับทราบ ๆ อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร อันนี้มีปัญหาตลอดเวลา ขันธ์มีปัญหาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงมีแยกกันโดยหลักธรรมชาติของมัน

การกินอยู่หลับนอนนี่ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเป็นเหมือนกันหมด ทุกสิ่งทุกอย่างธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติของสามัญชนเราฉันใด ของท่านก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าไม่ได้กระทบกระเทือนถึงจิตเท่านั้นเอง เป็นหลักธรรมชาติของมันอันหนึ่ง นี่เวลามันรู้แล้วมันก็แยกกันเองนะ เราไม่ต้องไปแยกไปแยะ มันแยกตัวเองโดยหลักธรรมชาติ ไม่สงสัยเสียด้วยนะ

สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวันที่ ๒๗ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๒๔ บาท ๓๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๐ ดอลล์ เวลานี้ทองคำที่ได้หลังกลับจากกรุงเทพแล้วซึ่งยังไม่ได้หลอมเวลานี้ ๔๐ กิโลกับ ๓๕ สตางค์ รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้วนั้น ๒,๗๕๐ กิโล และรวมทั้งหมดเวลานี้ทั้งที่เข้าคลังหลวงและยังไม่ได้เข้า หลอมและยังไม่หลอม ได้ทองคำ ๔,๓๐๒ กิโลครึ่ง

การช่วยชาติเราคราวนี้เด่นที่ทองคำ เด่นมาก จิตใจเราหมุนติ้ว ๆ อยู่นั้น เพราะฉะนั้นเงินสดเงินอะไรที่ได้มามากน้อยนี้ คอยแต่จะตบเข้าไป ๆ เรื่อย ๆ ถูไถข้างนอกก็ถูไถดังที่กล่าวแล้วนั่นแหละ แต่ส่วนใหญ่สำหรับทองคำไม่ใช่ถูไถ ไสเลย ได้เท่าไรไสเลย เป็นอย่างนั้นละ คือความมุ่งมั่นมาก พี่น้องทั้งหลายให้ต่างคนต่างตั้งอกตั้งใจนะ รวมความสามัคคีจากความรักชาติของเราทุกคน ๆ มีมากมีน้อยเราเคยมีมาตั้งแต่วันเกิดนั่นแหละ เงินในกระเป๋าเราเคยมีแต่วันเกิด ทองคำเราก็มีมาเรื่อย แต่วันเกิดก็มี พอตกคลอดออกมาพ่อแม่ก็เอาทองคำมาคล้องคอให้ก็มี บางคนติดคอจนตายไปด้วยกันก็มี

อันนี้เคยมีมาแล้วก็เท่านั้นแหละ อันนี้เอาประดับชาติของเรา ชาติไทยของเรา เราตายไปแล้วชาติไทยของเรายังเป็นชาติไทย ทองคำยังประดับชาติ มีความแน่นหนามั่นคงสง่าผ่าเผยตลอดไป อันนี้สำคัญมาก เพื่อประดับชาติไทยของเรา อย่าให้ด้อยกว่าชาติอื่นเขานะ ต้องเอาให้หนักให้แน่น ความสามัคคีซึ่งกันและกัน เราเคยมีมาแล้ว สมบัติเหล่านี้ในกระเป๋ามีแล้ว เอา ให้แบ่งออกไปสู่คลังหลวงของเรา เพื่อประดับชาติไทยของเราซึ่งเป็นความใหญ่หลวงมากมาย เอาตรงนี้นะ

ฝนพรำ ๆ ทั้งวัน ๒-๓ วันมานี้ฝนตกทุกวันนะ ที่พูดเมื่อวานนี้ ที่ว่าฝนตกนี้ภาวนาดี คือมันอำนวยทุกอย่าง สบาย กลางวันอากาศมืดครึ้มไม่มีแดดเดินจงกรมก็ดี ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นท่านผู้บำเพ็ญมาที่ได้มาสอนพวกเรา เช่นสมัยปัจจุบัน คือลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา องค์สำคัญ ๆ ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ ท่านอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานในป่าในเขาเกี่ยวกับเรื่องสกลกาย แต่ใจของท่านสง่าตลอดเวลาด้วยการภาวนา ตื่นนอนขึ้นมาปั๊บรักษาจิตใจแล้ว นั่นผู้ที่ใจของท่านจะเจริญ พอตื่นนอนพับนี้ รักษาจิตใจตลอดจนกระทั่งหลับ

ใจเมื่อมีการรักษาแล้วก็การบำรุงกันอยู่ในตัว เมื่อจิตไม่มีอะไรเข้ามานั้นแล้ว มันก็แสดงตัวของมันขึ้นมาได้สบาย กิเลสไม่ตีไม่ตบมัน นี่ก็เป็นการบำรุงไปในตัว สติคอยจดจ่อต่อเนื่องตลอดเวลาไม่ให้อะไรมายุ่ง รักษาตั้งแต่สิ่งภายนอกที่เข้ามาตบมาตีจิตนะ ธรรมดาจิตแล้วไม่มีอะไรแหละ แต่อาศัยสิ่งภายนอกเข้ามาทำลาย จึงต้องได้ระมัดระวัง ตั้งแต่ตื่นนอนเข้มงวดกวดขันตลอด นี่รักษาความดี บำรุงความดี ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ ๆ ได้ทุกวัน ๆ ไม่มีอะไรมารบกวนก็ดี ดีจนกระทั่งถึงขั้นดีเลิศ

จิตของคนสามัญทั่วไปตื่นขึ้นมานี้มีแต่กิเลสทำลายตลอดเวลา ผลรายได้ไม่มี แล้วก็เสียไปวันละเล็กละน้อย เสียไปมากเข้า ๆ หมดราคา นี่การปล่อยตัว ปล่อยตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เสียตลอด สุดท้ายก็หมดราคา ทีนี้จิตดวงที่จะคอยรับเคราะห์รับกรรมนั่นซิ ปล่อยตัวเท่าไรก็ยิ่งโยนไฟเข้าไปเผาจิต ๆ ผู้รักษาตัวมีแต่สิ่งส่งเสริมบำรุงจิตใจ เสริมขึ้น ๆ มันต่างกันนะ นี่ละจิตดวงนี้ ที่คอยรับเคราะห์รับกรรมจากความชั่ว แล้วคอยรับความสนองอันดีงามจากธรรมหล่อเลี้ยง ระยะนี้ฝนตกทุกวันทำงานไม่สะดวก ให้เขาปลูกกุฏิเล็ก ๆ ไว้หลังหนึ่ง อยู่นั้นหลายคนไม่พออยู่กัน คับแคบ เมื่อพอขยับขยายได้เราก็ขยับขยายให้เพื่ออยู่สะดวกสบาย หายใจได้คล่องปอดบ้าง เลยให้ทำเสีย เวลาทำบอกเขาว่าให้เร่ง ฝนมันก็เร่งของมัน สุดท้ายคำที่เราบอกให้เร่งก็เลยไม่มีความหมาย สู้ฝนไม่ได้ ถ้าฝนตกอย่างนี้มันก็ทำไม่ได้ จะทำยังไง

ลูกศิษย์ หลวงตายังฉันยาจีนอยู่ไหมครับ

หลวงตา ก็หยุดตั้งแต่นู้นแล้ว คือเขาให้ฉันเท่านั้นเขาไม่ให้อีกเลยนะ แม่นยำมากเราอัศจรรย์ยานี้ก็ดี คืออย่างนี้นะเรื่อง เขาต้องคำนวณถึงเรื่องคนเป็นโรคท้องชนิดนี้ด้วยกันนะ คนเป็นมานานไม่นานระยะไหนเขาจะคำนวณเรียบร้อยแล้ววางยา ให้ยาขนาดพอดี ๆ แต่ธรรมดาส่วนมากจะมีแต่ยาจีนเป็นน้ำนะ ส่วนมากเขาจะให้แค่ ๗ หรือ ๘ แก้ว คือให้วันละแก้ว ๆ แล้วมียาอะไรประกอบนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ส่วนใหญ่คือน้ำยานี่ เขาให้กิน ๗ แก้วหรือ ๘ แก้ว ที่เขากำหนดให้แล้วนั้นหยุดเลย ทีนี้เขาก็ทราบว่าเราเป็นมาตั้ง ๕๐ กว่าปี เขาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ให้ถึง ๑๕ แก้ว ฉันไปถึง ๑๕ แก้ว แล้วเขาก็หยุดเลยตั้งแต่นั้นมา เขาไม่เคยเพิ่มให้อีกนะ ไม่ให้อีกเลย นี่ละถึงว่ามันเป็นยาอัศจรรย์ เป็นยาเหมือนยาอัศจรรย์ยาแปลกประหลาดจนตัวเองก็ไม่เชื่อ คือมันลดลงฮวบ ๆ

ตามธรรมดาโรคชนิดนี้แล้ว ก็เท่ากับเสือโคร่งใหญ่หรือนักเลงโตใช่ไหม ก่อนที่มันจะตายมันต้องซัดอย่างเต็มเหนี่ยวแหละ ต่อสู้เข้าใจไหม นี่ไม่มีอะไรเลย หายเงียบมานี้ได้ปีกว่าแล้วนะ คือการหายทราบได้ตามหมอเขาสั่งไว้ว่า การฉันลงไปนี้การถ่ายนี้จะถ่ายเหมือนกันกับโรคที่พาให้ถ่าย แต่ถ่ายด้วยโรคอันนั้น ถ่ายลงไปเพลียลงไป ๆ เรื่อย แต่ถ่ายยานี้ถ่ายเท่าไรก็ถ่ายเถอะไม่มีเพลีย เรื่องถ่ายจะเหมือนกัน แต่ไม่ต้องตกใจว่าจะเพลียเหมือนแต่ก่อน ไม่มีเขาว่า มันก็เป็นจริง ๆ นะ บางทีถ่ายเสียจน สบายดี เอ๊ะ ชอบกล ๆ เขาก็บอกว่าให้สังเกต เวลาโรคนี้ลดน้อยลงเท่าไรการถ่ายจะค่อยข้นขึ้นมา ๆ แต่ก่อนมันเป็นน้ำเป็นเหลวนะ แล้วจะค่อยข้นขึ้นมา เมื่อปกติแล้วจะเป็นธรรมดา นั้นแสดงว่าหายขาดแล้ว เขาบอกอย่างนั้นนะ

แล้วเราก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ่าย ๆ เป็นแบบธรรมดา ต่อมานี้เป็นปกติมาได้ปีกว่าแล้วไม่มีปฏิกิริยาเลย จึงว่าเป็นยาอัศจรรย์นะ นี่มันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ หายเลยเดี๋ยวนี้ ทีนี้เขาก็เอาหน่อหวายมาแหย่นะเดี๋ยวนี้ พวกบ้านี่ มันเอาหน่อหวายมาแหย่ หลวงพ่อคูณเข้าใจไหม นิทานเรื่องหลวงพ่อคูณเคยเล่าให้ฟังแล้ว ใครได้ยินไหมพวกนี้ (ยังครับ) เขามาหาผู้เฒ่ามาหาของขลังจากผู้เฒ่าไปซิ หลวงพ่อคูณ ด่านขุดทดน่ะ เขาก็มาขอขลังขออะไรต่ออะไร เหรียญบ้างอะไรบ้าง ขอกับผู้เฒ่า ๆ ก็แจกไป ๆ ทีนี้พอได้เหรียญไปแล้ว ของขลังไปแล้ว เขาขับรถฟาดนี้ รถพาลงคลอง จากนั้นก็กลับมาต่อว่าท่าน

หลวงพ่อให้ของขลัง ๆ ไป ไม่เห็นขลัง ไม่ขลังยังไง ก็ได้เหรียญหลวงพ่อไปแล้วขึ้นรถก็บึ่งเลย แล้วรถพาลงคลอง สูเหยียบคันเร่งเท่าไร เหยียบ ๑๔๐ โอ๊ย กูโดดลงตั้งแต่เมื่อ ๙๐ นั่นแล้ว ถึง ๑๔๐ กูจะไปรักษาสูได้ยังไง กูเอาตัวรอดกูก็พอตัวกูแล้ว นี่กูโดดลงตั้งแต่ ๙๐ ว่าอย่างนั้น นี่เห็นไหมเข้าท่าแล้วนี่ อันนี้เราก็พอโรคเราลงไปนี้ ลงคลองแล้วมันก็ขลังละของเราก็ดี ก็ขลังละ อันนี้พวกนี้เอามาแหย่อีกแล้วนี่ หน่อหวายเอามาทุกวันนะเดี๋ยวนี้ พวกบ้าหน่อหวาย มันจะมาแหย่อีตาคูณให้ลงคลองนะ เอาละพอเท่านั้นละ

ผู้เฒ่าแก้กลอนสดน่าฟังนะ ที่เรามาสะดุดกึ๊กนี้ ที่ว่าสูเหยียบคันเร่งเท่าไร ๑๔๐ โอ๊ย นั่นกูโดดลงตั้งแต่ ๙๐ แล้วกูจะไปคุ้มครองสูได้ยังไง กูเอาตัวรอดกูก็พอแล้ว เข้าท่าดี เราเอาจุดนี้นะไม่เอาไหนแหละ นี่เรียกว่ากลอนสด แก้สดออกสด นี่ดูในเวทีของกิเลส ฟัดกับกิเลสต้องเป็นอย่างนั้น แก้กันพับ ๆ ไปเลย ถ้าแก้ไม่ทันตรงไหนติดตรงนั้น นั่นละที่ได้วิ่งเข้ามาหาครูบาอาจารย์ ปัญหาของมันใส่ปั๊วะเข้ามานี้ เราหลบไม่ทันติดหมัดมัน ติดหมัดมันเจ็บละซิ แก้ไม่ตก แก้ได้มันก็ช้า เมื่อมีครูบาอาจารย์อยู่แก้ให้เสียเวลาทำไม ไปรอเสียเวลาเหรอ ปุ๊บเข้าหาท่าน พอเล่านี้ปั๊บท่านใส่ผางเดียวพุ่งเลย ๆ

อย่างนี้ละครูบาอาจารย์ผู้ที่แม่นยำในธรรมทั้งหลาย พอแย็บเท่านั้นท่านจับได้ปั๊บใส่หมัดเดียวพอ นี่ละครูบาอาจารย์ทางด้านปฏิบัติไม่ต้องพูดด้านปริยัตินะ ปฏิบัตินี้แม่นยำมากเรียกว่าช่องเดียวเลย เคลื่อนจากนี้ไม่ได้ปฏิบัติ พูดยังไงตรงเป๋ง เคลื่อนจากนี้ผิดเลย เหมือนเครื่องบินจะลงสนามนี้ หอบังคับอากาศต้องให้แม่นยำ ผึงเลย พลาดนิดนึงพังเครื่องบิน อันนี้ก็เหมือนกันจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็ม ยิ่งเป็นจุดสำคัญมาก แน่ว ผู้แนะก็ปั๊บ ๆ ใส่พุ่ง นี่ละครูบาอาจารย์องค์ที่เป็นฝ่ายกรรมฐานจึงสำคัญมากในจิตตภาวนาของผู้ที่เป็นไป ผู้ที่ภาวนาเป็นไปยังไงแล้วท่านจะแนะให้ถูกต้อง ๆ เป็นลำดับ

ถ้าผู้แนะไม่มีหลักมีเกณฑ์นี้ขายหน้าเลยนะ พอลูกศิษย์ผู้มาศึกษามาเล่าให้ฟังเรื่องจิตเป็นอย่างนั้น ๆ อาจารย์สุ่มสี่สุ่มห้า สอนไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มันก็เหมือนกับหมอเถื่อนเอายาทั้งตู้โยนให้คนไข้เลย คนไข้เลยตาย เข้าใจไหม ถ้าเป็นหมอปริญญาแล้วเขาฟังแล้วว่า โรคเป็นยังไง ๆ เขาจะไปหยิบยาอะไรควรไม่ควร หลอดหรือเข็ม หรือเป็นยาหลอดยาเม็ด เขาจะหยิบมาให้พอดีเท่านั้น ไม่มาก ไม่จำเป็นต้องยาทั้งตู้

ธรรมะก็เป็นอย่างนั้น ธรรมะที่จำเป็นเฉพาะ ๆ เรื่องจำเป็น ๆ ด้วยกันแต่จำเป็นอันกว้างขวางใช่ไหมล่ะคำว่ายาก็ดี แต่จำเป็นคนละทิศละทาง หมอที่ชำนาญเขาจับเอาที่จำเป็นปั๊บ ๆ ใส่เลย นี่ธรรมะที่เหมาะสมกับผู้มาศึกษาอบรมในเวลานั้น ธรรมะข้อใดที่เข้ากันได้กับอันนี้ ใส่ปั๊บเลย เข้าใจไหมล่ะ เอาละไปเลิก

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก