พระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน
วันที่ 6 สิงหาคม 2548 เวลา 8:10 น. ความยาว 35.37 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

พระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน


ที่ไหนก็มักมีแต่เราไปแบกๆ เดี๋ยวนี้ก็เจดีย์วัดอโศการามส่งไป ๙ ล้านกว่าแล้ว แล้วยังรับไว้อีกว่า งานนี้ไม่ให้หยุดชะงัก ให้เสร็จ เรื่องการเงินการทองมันมีทุกคน กระเป๋าไหนๆ เที่ยวหาตีเอามาแหละ นี่ก็จะให้เสร็จ ครูบาอาจารย์องค์ขนาดนั้นเราหาที่ไหนได้ในปัจจุบัน เราจะพยายามอาราธนาท่านมาให้หมด ครูบาอาจารย์ที่ท่านล่วงไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ คืออัฐิที่กลายเป็นพระธาตุนั้นตีตราเรียบร้อยแล้วว่านั้นคือพระอรหันต์ ไม่ว่าสมัยนั้นสมัยนี้ นี้คือผู้สิ้นกิเลส ว่างั้นเลย เราจะพยายามอาราธนาท่านมาให้หมดเท่าที่เราขวนขวายได้ มารวมลงในเจดีย์วัดอโศการามทั้งหมดเลย ให้เป็นเจดีย์สง่างามสดๆ ร้อนๆ ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีตั้งแต่พระธาตุของพระอรหันต์ล้วนๆ อยู่ในนั้น

นี่ละผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมะท่านว่า อกาลิโกๆ คือไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรมาทำลายได้เลย ขอให้ปฏิบัติเถอะ ไม่ว่าดีว่าชั่ว คือกิเลสก็เป็น อกาลิโก เหมือนกัน ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำบาปเมื่อไรเป็นบาปเมื่อนั้น บุญคุณงามความดีไม่มีกาลเวลา อกาลิโก ทำความดีเมื่อไรเป็นเมื่อนั้นๆ สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันทั้งบาปทั้งบุญ เรียกว่าทั้งกิเลสทั้งธรรม เป็นธรรมชาติที่สดๆ ร้อนๆ ตลอดไป

ครูอาจารย์ที่ได้ปฏิบัติในสมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละเป็นรากฐานสำคัญ ครูอาจารย์ทั้งหลายที่ได้รับโอวาทคำสอนของท่านแล้วไปปฏิบัติตน จนกระทั่งจิตบริสุทธิ์สุดส่วน เวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ มีน้อยเมื่อไรตั้ง ๒๐ กว่าองค์ปัจจุบันนี้นะที่ทราบกันชัดเจน ที่เงียบๆ ยังมีอีกนะ ที่ล่วงไปแล้วเงียบๆ ยังมีอยู่ และที่ยังมีชีวิตอยู่เงียบๆ เดี๋ยวนี้มีอยู่มากนะ เราอย่าเข้าใจว่าพระท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขาท่านไปงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมหนา นั่นละท่านตักตวงเอามรรคผลนิพพานสง่างามอยู่ในป่าในเขา แต่เรื่องธรรมแล้วเงียบไม่แสดง มีเหมือนไม่มี ท่านไม่หิวไม่โหยไม่อยากโอ้อยากอวดคือธรรม ถ้าเรื่องกิเลสแล้วอยากโอ้อยากอวดอยากโม้อยากคุย กระทบกระเทือน เหยียบย่ำทำลายไปเรื่อย เป็นอย่างนั้น ส่วนธรรมเสมอต้นเสมอปลาย

ที่พูดเหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่สายพ่อแม่ครูจารย์มั่น คำว่าสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ทั้งธรรมยุตทั้งมหานิกาย ที่ได้รับโอวาทคำสอนจากท่านแล้วไปปฏิบัติ เรียกว่าสายหลวงปู่มั่น ท่านเหล่านี้เป็นผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพานตลอดมา นี่ละธรรมถ้าใครปฏิบัติก็สดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ถ้าใครไม่ปฏิบัติ เหยียบย่ำทำลายไปมาเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนแร่ธาตุที่มีค่ามากอยู่ใต้ดิน เราเหยียบไปย่ำมาไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเพราะโง่ คนฉลาดเขาขุดคุ้ยขึ้นมาทำประโยชน์มากมาย อย่างเต็มอยู่ห้างร้านต่างๆ เช่น เพชรพลอย เป็นต้น ทองคำอย่างนี้ มาจากไหน มาจากใต้ดิน นั่น เขาค้นมา

ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ในสมัยปัจจุบันพระกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา ท่านทำงานเพื่อชำระกิเลส ซักฟอกกิเลสโดยลำดับ ท่านไม่มีงานทางโลกทางสงสารมาแทรกศาสนา และมาเหยียบย่ำทำลายศาสนา ให้ความพากเพียรหยุดชะงักหรือล้มเหลวไป มรรคผลนิพพานก็ล้มไปตามๆ กันเลย ท่านปฏิบัติโดยอรรถโดยธรรมจริงๆ อยู่ที่ไหนสงบสงัด ท่านชำระจิตใจเรียกว่าจิตตภาวนา ท่านอยากเห็นความสง่างามของใจตัวเอง

ตั้งแต่วันเกิดมาเราไม่เคยเห็น เอาๆ ลองภาวนาดูซิ ทำตามวิธีท่านสอน พระพุทธเจ้าครึล้าสมัยเหรอ เป็นศาสดาแล้วถึงสอนโลก ไม่ใช่สอนโลกทั้งๆ ที่โง่เขลาเบาปัญญากิเลสเต็มหัวใจ แล้วมาสอนโลกลูบๆ คลำๆ ไม่มี พระพุทธเจ้าของเราเอก โลกวิทู ว่าไง รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง อาโลโก อุทปาทิ จ้าอยู่ตลอดเวลา นี่ละธรรมที่มาสอนโลก เป็นคนเล่นๆ เป็นศาสดาองค์เล่นๆ หรือมาสอนโลก ทีนี้เวลาสอนไปตรงไหน เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบๆ ด้วยวิธีการที่รู้เห็นแล้วทั้งนั้น จึงไม่ผิด

ทีนี้ผู้ปฏิบัติตามก็สำเร็จเป็นสาวกขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เบญจวัคคีย์มา มีสาวกอรหันต์เท่าไรๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ อกาลิโก ไม่มีครึไม่มีล้าสมัย มีแต่กิเลสมาหลอกว่าธรรมครึธรรมล้าสมัย แต่กิเลสมันทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัย เหยียบหัวสัตว์โลกจนโงหัวไม่ขึ้นคือกิเลส เอาธรรมเหยียบหัวมันบ้างซิ

เราพูดนี้พูดจริงๆ จะว่าอาจหาญมันก็เลยแล้วหัวใจดวงนี้ ไม่ใช่อาจหาญไม่ใช่ขี้ขลาดหวาดกลัวอย่างโลกเป็นกัน กล้าหาญเราก็ไม่มี กลัวเราก็ไม่มี เหนือหมดแล้ว การเทศนาว่าการนี้ถอดออกจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้ธรรมดานะ เราปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย เป็นผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถอยู่ในป่าในเขา มูตรคูถคือขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง อยู่ในหัวใจเรา ผ้าขี้ริ้วก็ผ้าที่โลกเขาไม่ต้องการ ไม่มีราค่ำราคา ผ้าแก่นขนุน เข้าใจเหรอ นี่ละผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถอยู่ในป่าในเขา ฟัดกับกิเลสตลอดเวลา เอาไม่หยุดไม่ถอย พูดให้มันเต็มยัน

เพราะการกระทำของเราเราพูดจริงๆ ตั้งแต่ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาแล้ว เพราะตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่จิตใจมันจดจ่อต่อมรรคผลนิพพาน แต่ก็ยังสงสัยๆ นี่ละที่ว่าความจำไม่ได้เป็นท่านะ เรียนไปจนกระทั่งถึงพระนิพพาน ยังไปตั้งเวทีตีกับนิพพานได้สบายๆ หือ พระนิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ เรียนนิพพานอยู่ยังว่านิพพานมีจริงๆ เหรอ มันก็สงสัย จิตมันดิ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ เรียนหนังสืออยู่จิตก็ดิ่งใส่โน้นเลย เพราะฉะนั้นพอออกแล้วก็บึ่งเลยเชียว

พระผู้ใหญ่ๆ ท่านจะเอาไว้ในกรุงเทพ มันก็เดชะนะ หลุดออกได้ เล็ดลอดไปได้ ผู้ใหญ่ท่านตามก็หลุดไปได้ เดชะอันหนึ่งเหมือนกัน นี่เราพูดตามปฏิปทาของเราที่ออกปฏิบัติ เล็ดลอดไปได้ๆ ผู้ใหญ่รู้สึกท่านเมตตาอยู่นะ ไปอยู่ที่ไหนผู้ใหญ่มักเมตตาเสมอ อันนี้ก็เหมือนกันอยู่กรุงเทพท่านติดตามเอา เราก็เล็ดลอดๆ เรื่อยไปเลย เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่ คราวนี้จะเอาจริงเอาจัง หยุดจากการเรียนไปแล้วตามคำสัจจอธิษฐานว่า สำเร็จเปรียญ ๓ ประโยค เป็นทางเดินได้อย่างดีแล้ว ไม่มีการบกพร่องแหละ วิธีการแบบแปลนแผนผังเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราจะก้าวเดินทางภาคปฏิบัติ

ดิ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย ไปเรดาร์ท่านก็จับเลยนะ เด็ดขาดมากทีเดียว นี่ละเรดาร์ของท่าน ท่านไม่เห็นเจตนาของเรารุนแรงขนาดนั้นท่านจะเอาธรรมะประเภทนี้ออกต้อนรับเหรอ พอไปเท่านั้น ท่านมาหาอะไร นั่นฟังซิ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมทั่วแดนจักรวาล ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กิเลส นั่นฟังซิท่านตีออกหมด ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสจริงๆ มรรคผลนิพพานจริงๆ อยู่ที่ใจ เวลานี้ถูกกิเลสหุ้มห่ออยู่ธรรมะจึงไม่ปรากฏ เอา เร่งลงทางด้านจิตตภาวนา ท่านเอาอย่างนี้เลย ท่านไล่เข้าไปหมด ปัดหมดเลย ทั่วแดนโลกธาตุไม่มีมรรคผลนิพพาน ไม่มีบาปไม่มีบุญ มีอยู่ที่ใจ ท่านบอก เอาลงที่นี่ด้วยจิตตภาวนา อย่าถอย

โอ๋ย ท่านพูดเด็ดมากทีเดียว สมเจตนาของเรามุ่งมั่นไปหาท่าน เอาอย่างเด็ดเหมือนกับว่าเรดาร์ท่านจับไว้เรียบร้อยแล้ว พอไปถึงท่านก็ผางออกมาเลย ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ท่านก็บอก นั่นไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ท่านไล่ไปหมดเลย ตีเข้ามาหานี่(ใจ) นั่น เราไม่ลืมนะ สดๆ ร้อนๆ เลย ไปวันแรกเสียด้วยนะ ท่านใส่อย่างหนักเลยเทียววันนั้น ผางๆๆ เลย เราไปมืดๆ ดูนั้นดูนี้ไป ดูกุฏิ ดูศาลา เราไปศาลา ท่านเดินจงกรมอยู่กลางคืนมืดๆ เราก็ไปเซ่อๆ ของเรานั่นแหละ ไปดู เอ๊ นี่ถ้าเป็นกุฏิกรรมฐาน เฉพาะอย่างยิ่งคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ถ้าเป็นกุฏินี้จะใหญ่ไป ถ้าเป็นศาลาก็จะเล็กไปสักหน่อย เราว่างั้น

ใครมานี่ ว่ากระผมเราก็ดี ท่านซัดขึ้นเลยทีเดียวพอว่ากระผม อันผมๆ นี่ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอา แย้งซิน่ะแย้งตรงนี้ แย้งไม่ได้เลย กระผมชื่อพระมหาบัว เออ ก็ว่าอย่างนั้นซี ผางขึ้นเลยนะ พระเดินจงกรมอยู่ในป่าเงียบๆ ออกมาหมดเลยเทียว เสียงลั่นขึ้นกลางศาลาขนาบพระเทวทัต ก็กิเลสเต็มหัวใจไม่เรียกเทวทัตได้ยังไง มันเหยียบธรรมอยู่ตลอดเวลา นี่ละพระเทวทัต ท่านขนาบพระเทวทัต พอว่าอย่างนั้นพระก็แตกมาเลย เราก็ว่าพระมหาบัว เอ้อ ต้องว่าอย่างนั้นซี นี่ผมๆๆ ท่านแหย่ด้วยนะ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ เอา แย้งซิน่ะตั้งแต่เด็กมันก็มีผม หมดท่า

ท่านขึ้นจากทางจงกรมมา ตะเกียงโป๊ะขนาดนี้ท่านกำลังจะขึ้นไปจุดตะเกียง พระก็ปุ๊บปั๊บๆ มาจุดตะเกียง เรานั่งท่านก็ซัดเลยตั้งแต่นั้น เปรี้ยงๆ เลยเทียว เอาเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นก็ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ฟังอย่างถึงใจเลย รวมลงแล้วอยู่ที่นี่ อยู่ที่ใจๆ เอาๆ ให้ดีภาวนา เบิกกว้างออกจากนี้จะเห็นที่นี่ละ กิเลสจะเห็นที่นี่ มรรคผลนิพพานจะเห็นที่นี่ไม่เห็นที่ไหน ทั่วแดนจักรวาลไม่มีกิเลสไม่มีธรรม มีธรรมอยู่ที่ใจเท่านั้น ที่จะสัมผัสธรรมได้คือใจเป็นนักรู้ โอ๋ย จิตมันหมุนติ้วๆ ก็ตั้งใจไปอย่างเต็มเหนี่ยว ท่านก็ซัดอย่างเต็มเหนี่ยว เรียกว่าต้อนรับกันอย่างเต็มที่เลย จุใจ หายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน ท่านจี้ลงๆ ที่นี่ ชี้ลงที่นี่เลย ไม่ได้ชี้ไปไหน

สรุปเลยนะ พอจบลงไปแล้วมันถึงใจ จนเหมือนกับว่าตัวพองหมดเลย ลงมาก็ถามเจ้าของทันทีเลย ออกจากศาลามายังไม่ไปถึงที่พักละ ว่าไงที่นี่ได้ฟังเทศน์ท่านอย่างถึงใจเต็มที่แล้ว เราจะว่ายังไงที่นี่ ถึงใจอย่างเต็มที่แล้ว เราจะจริงไหมทีนี้ ทางนี้ตอบรับขึ้นทันทีเลยต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นเห็นไหมล่ะมันรับกัน ตั้งแต่บัดนั้นมาละความเพียรของเรา จึงว่าไม่หยุดหย่อนเลย แล้วย้อนหลังไปพิจารณาความเพียรของเรา เราไม่เคยได้ตำหนิตรงไหน มีแต่ว่า โห ขนาดนั้นมันทำได้ ขยะๆ นะความเพียรของเรา ตั้งแต่บัดนั้นฟังเทศน์หลวงปู่มั่นมา

แล้วนิสัยเราเป็นชอบไปคนเดียว ไปแต่คนเดียวตลอด ซัดกันอยู่ตลอดเวลา เดินไปนี้เป็นเดินจงกรมทั้งนั้น ไปที่ไหนเป็นเดินจงกรมไปหมด ไปบ้านนี้ไปหาบ้านนั้นเดินจงกรมตลอด ไม่มีคำว่าเสียเวล่ำเวลา หมุนติ้วๆ อยู่เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม นั่นฟังซิกิเลสหนาขนาดไหน ซัดกันถึง ๙ ปีเต็ม ถึงขั้นสลบไสลไม่รู้กี่ครั้งละ แต่ไม่เคยสลบนะ เอาหนักขนาดนั้นละ มันจึงได้เปิดเผยขึ้นมาในหัวใจ นี่พูดสรุปเลยละที่นี่ มันถึงได้เปิดขึ้นมาในหัวใจนี้ พอมันเปิดขึ้นมาแล้วแหมที่นี่ โลกอันนี้มันเป็นโลกใหม่ขึ้นมาแล้วในหัวใจ นั่นละที่ได้เอามาเทศนาว่าการ เพราะฉะนั้นจึงพูด จะว่าอาจหาญหรือไม่อาจหาญ มันเลยทุกอย่างแล้วการพูดนี่ ไม่เคยสะทกสะท้านอะไร คำว่าโอ้ว่าอวดเราก็ไม่มี มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ครอบโลกธาตุอยู่นี่ ใครจะว่าอะไรเราไม่สนใจ ขอให้ได้รับประโยชน์เท่านั้น

ใครมาหาเราให้มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม มาเพื่ออื่นไม่ได้ เข้ากันไม่ได้ มาเพื่ออรรถเพื่อธรรมเท่านั้นเอง ถ้าเพื่ออรรถเพื่อธรรม เอา จะทุกข์จนหนโลกขนาดไหนถึงขั้นเศรษฐี เอา มาบอกเลย ถ้ามาแบบอวดทิฐิมานะอย่ามาว่างั้นเลย ธรรมนี้เลิศกว่าทุกอย่างอย่าเอามาอวดขึ้นอย่างนี้เลยนะ เราจึงได้แนะนำสั่งสอน ออกจากนี้ก็เรื่องวงกรรมฐาน ที่ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นมานี้ตั้งแต่ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ๆ มา เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่อะไร หลวงปู่ฝั้นเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ของท่าน ก็รับธรรมะมา เหล่านี้กลายเป็นเพชรน้ำหนึ่งไปหมดแล้วนี่ ที่พูดเหล่านี้มีแต่เพชรน้ำหนึ่งนะ อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุทั้งนั้นละที่ว่านี่นะ เป็นอย่างนี้ละ ตั้งแต่หลวงปู่แหวนลงมา

เวลานี้เท่าที่พอทราบได้ก็ไม่ต่ำกว่า ๒๐ ที่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ นี่คือพระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน ที่ปฏิบัติตามโอวาทคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าที่เป็น อกาลิโก ตรงแน่วอยู่อย่างนี้ละ เอียงไปที่ไหนธรรมพระพุทธเจ้า กิเลสก็ไม่เอียง ใครปฏิบัติตามกิเลสเป็นวันยังค่ำ ตกนรกอเวจีได้โดยไม่ต้องสงสัย ผู้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมของพระพุทธเจ้านี้ถึงนิพพานได้ไม่สงสัยเหมือนกัน ขอให้เอาให้จริงให้จัง

เรื่องความพากเพียรสำหรับนักบวชเรา ความเพียรนี้อยู่ที่สตินะเราเคยสอนเสมอ เรื่องสตินี้ให้กิเลสมันยกเมฆมาเหมือนคลื่นมหาสมุทรก็เถอะน่ะ สตินี้จะฟาดพังลงไปเลยเชียว ขอให้มีสติดีกิเลสจะเกิดไม่ได้ นี้ทำมาแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้ เอามันหนุนขึ้นมามันอยากคิดอยากปรุง คือความอยากคิดอยากปรุงเป็นเรื่องของ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานี่มันดันออกมาให้เป็นสังขารความคิดความปรุง เสาะแสวงหาอาหารของมัน แต่แล้วมันก็เอายาพิษมาเผาเรา มันดันออกมันอยากคิดอยากปรุง ทีนี้เวลาเลขลงตัวแล้วซัดกันเลยไม่ยอมให้เผลอ นี่ละเราจึงได้คติตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ให้เผลอ

มันอกจะแตกจริงๆ นะ มันอยากคิดอยากปรุง เอา ไม่ยอมให้เผลอ สติตั้งตลอดเวลา สุดท้ายมันก็ค่อยอ่อนลงๆ ต่อไปก็อ่อนลงๆ ด้วยสติ นั่นเห็นไหมล่ะ เราจึงได้นำสติมาสอน ใครมีสติดีคนนั้นจะตั้งตัวได้ อยู่ที่สตินะสำคัญ เรื่องปัญญาจะค่อยแย็บออกไปๆ เมื่อสติเป็นรากฐานบังคับจิตใจให้ดีแล้วใจก็สงบร่มเย็นไม่มีอะไรก่อกวน นั่นละที่นี่ปัญญาจะเริ่มออกได้ละ นี่ละการประกอบความพากเพียร อย่าเห็นแต่ว่าเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นั่งหลับหูหลับตาเป็นท่อนฟืนอยู่ เป็นหัวตออยู่ใช้ไม่ได้นะ ต้องมีสติอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา

ทีนี้เวลาเราภาวนาอยู่ตลอดผลปรากฏขึ้นแล้ว ความเพลินในความเพียรเอาละไม่ต้องบอกนะ ทีแรกมันอืดอาดเนือยนายขี้เกียจขี้คร้าน พอภาวนาไปเห็นผลขึ้นมาในใจแล้ว ทีนี้ความคึกคักมันจะขึ้นละ หนุนกันขึ้นๆ ความเพียรจะหนุนเรื่อยๆ เลย ความขี้เกียจขี้คร้านเบาลงๆ สุดท้ายรั้งเอาไว้ ฟังซิน่ะ ความขี้เกียจขี้คร้านอืดอาดเนือยนายนี้ เวลากิเลสหนาๆ เป็นอย่างนั้นทั้งนั้นละ กินก็มาก นอนก็มาก ความขี้เกียจก็มาก ทุกอย่างท้อแท้อ่อนแอไปหมดมากทั้งนั้นนะ แต่เวลาฝึกเข้าๆ ได้ภาวนา พอจิตใจมีความสงบเย็นเห็นผลแล้ว พอเห็นผลแล้วความขยันหมั่นเพียร ความดูดดื่มในธรรมจะค่อยขยายตัวออกๆ แล้วตีสิ่งเหล่านั้นออกๆ ทีนี้มันก็พุ่งๆ สุดท้ายถึงขั้นที่ว่ารั้งเอาไว้

ความเพียรที่ว่าเราเพียร ถ้าว่าเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ยกให้ แต่ว่าความเพียรในประโยคพยายามในปัจจุบันไม่มี ต้องรั้งเอาไว้ คือความเพียรกล้า ความเพียรไม่มีหยุดมีถอยเลย ไม่หลับไม่นอน ถ้าไม่บังคับให้นอนไม่นอน นี่ถึงขั้นธรรมะได้เห็นโทษของกิเลสเต็มหัวใจแล้ว และเห็นคุณค่าของธรรมก็เต็มหัวใจด้วยกันแล้วอยู่ไม่ได้เลย ผางๆเลย นั่นละท่านทั้งหลายจำเอาหัวใจดวงนี้ละ ดวงที่มันคืบคลานอยู่นี้ ตะเกียกตะกายอยู่นี้ด้วยกิเลสเหยียบหัวมันตลอดเวลา ทีนี้เราฟิตความพากเพียรขึ้นมา พอทางนี้ได้กำลังก็ตีกิเลสลงจากบนหลังบนบ่าบนคอละที่นี่ แล้วดีดผึงๆ

พอธรรมะมีกำลังมากแล้ว ทีนี้ลืมหลับลืมนอน จะนอนก็นอนไม่หลับ เพราะจิตมันพุ่งๆ ที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ แต่ก่อนอ่านถึงนิพพาน นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นฟังซิเวลาเรียน แต่เวลาออกปฏิบัติแล้วนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ฟังซิน่ะ ไม่ได้ว่านิพพานมีหรือไม่มี นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม เอื้อมตลอดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ พุ่งๆๆ เลย ถึงเวลาธรรมะมีกำลังกล้าแล้วเหมือนกับกิเลสมีกำลังกล้าอยู่บนหัวใจสัตว์ มันทำงานโดยอัตโนมัติ กิเลสประเภทต่างๆ ออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเครื่องใช้ของมัน มันดันออกให้คิดให้ปรุงให้แต่งให้เสาะแสวงหาทุกเวล่ำเวลา ด้วยอำนาจของกิเลสผลักดันออกไป นี้เป็นเรื่องของกิเลสทำงานของมันโดยอัตโนมัติ

ไม่ว่าจะได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไร เป็นเรื่องของกิเลสออกหน้าทั้งนั้นๆ เป็นอัตโนมัติ แต่เราไม่รู้ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกเป็นอัตโนมัตินะ ต่อเมื่อเรามีธรรมขึ้นมาแล้วรับกัน พอธรรมมีกำลังกล้าแล้ว ธรรมเป็นอัตโนมัติแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ที่นี่เห็นเหตุเห็นผลของกิเลส อ๋อ แต่ก่อนกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกนี้เป็นอัตโนมัติ ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังกล้าแล้ว ทำงานเพื่อแก้กิเลสนี้เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เป็นอัตโนมัติแบบเดียวกันเลย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ตามองเห็นไม่มองเห็นก็ตาม จะเป็นธรรมล้วนๆ เพื่อแก้กิเลสๆ เรื่อยไปเลย จนกระทั่งฟาดเอาเสียกิเลสม้วนเสื่อไม่มีอะไรเหลือเลย ที่นี่ว่างหมดเลย ไม่มีอันใดที่จะเข้าไปแฝงในจิตของพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วได้เลย

จึงชี้นิ้วเลยว่ามีกิเลสเท่านั้น มีมากทุกข์มาก มีน้อยทุกข์น้อย มีละเอียดทุกข์ละเอียด กวนไปถึงขั้นละเอียด จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรกวน จิตของพระอรหันต์จึงเป็นจิตที่พ้นจากสมมุติ กิเลสคือสมมุติ สุดยอดแห่งสมมุติก็คือกิเลสนั่นเอง พอกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจแล้วไม่มีสมมุติ ว่างเปล่า โลกอันนี้โลกว่างไม่มีอะไร มันกีดมันขวางคือกิเลสเท่านั้น เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างไปหมดไม่มีอะไร จิตของพระอรหันต์จึงไม่มีเรื่อง ตั้งแต่วันตรัสรู้หรือบรรลุธรรมแล้วไม่มีเรื่อง เที่ยงตลอดไป ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง เป็นอยู่ในหัวใจไม่ต้องถามใคร อดีตอนาคตไม่มี ปัจจุบันก็เที่ยงบอกชัดๆอยู่แล้ว นี่ละการปฏิบัติธรรม

จิตดวงนี้ถูกกิเลสตัณหาเหมือนมูตรเหมือนคูถมันปกคลุมหุ้มห่อ มันยกตัวมันเป็นราค่ำราคา คนเราจึงมีแต่ราค่ำราคาไปหมดทั้งๆ ที่เป็นกองมูตรกองคูถ ธรรมขึ้นในใจแล้วมันจะรู้กันๆ ปัดออกๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่านี่ขาดสะบั้นลงไปหมด อยู่ไหนสบายหมด วันคืนปีเดือนมีแต่มืดกับแจ้งไม่เห็นมีอะไร ธรรมชาตินี้จ้าอยู่ไม่มีวันคืนปีเดือน จ้าอยู่ตลอดเวลา นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ขอให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

เราพูดนี้เราถอดออกมาจากหัวใจมาพูด ไม่ได้พูดลูบๆ คลำๆ นะ สอนธรรมทุกขั้นแก่โลกในคราวออกช่วยชาติบ้านเมืองนี้ เอาเฉพาะคราวนี้นะ ตั้งแต่สอนมาตั้งแต่ทีแรกโน้น เราก็เรื่อยมาอย่างนั้น แต่เวลาออกอย่างชัดเจนก็คือการช่วยชาติบ้านเมือง เราเทศน์ธรรมะทุกขั้นไม่มีความสงสัย ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใดจนกระทั่งทะลุถึงนิพพานเราไม่สงสัย เพราะหัวใจเราบรรจุไว้หมดแล้ว พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ละ นี่ละธรรมะสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ครึล้าสมัยไปไหน มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย เปิดออกซิ ให้มันเห็นชัดเจน จิตใจของเราเป็นของอัศจรรย์ขนาดไหนจะได้รู้นะ รู้จากการปฏิบัติธรรม

อยู่ธรรมดาจิตเขาจิตเรา ไม่มีจิตใดละที่เลิศเลอวิเศษวิโส ทั้งคนทุกข์คนมีคนจน เป็นความทุกข์เหมือนกันหมด กิเลสเหยียบอยู่บนหัวใจ พอกิเลสขาดสะบั้นออกจากหัวใจ คนประเภทไหนสุขหมดๆ เป็นอย่างนั้นละ ธรรมะพระพุทธเจ้าเอาให้ดีนะ ตั้งใจภาวนาผู้อยู่ในโรงครัว อย่าไปหาทะเลาะกันนะ ในโรงครัวมันมาอยู่เด้นๆ ด้านๆ เป็นร้อยๆ นู่นน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราว มาทะเลาะกันอยู่นั้น กัดกันเหมือนหมาอยู่ในครัวนั่น เราก็ไม่ได้ไปดู มีเวลาตอนบ่ายบ้างก็ด้อมๆ ไปดูนั้นดูนี้ไปธรรมดา ไม่ได้ไปชำระความ ถ้าไปชำระความ ไอ้หมาอยู่ในครัวนี้แตกฮือเลย กำแพงแตกเข้าใจไหม หมากัดกันนั่นละ ถ้าเป็นคนไม่กัดกัน เราว่าหมานะหมาตัวมันกัดกัน เข้าใจไหม เอาละพอ

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

พระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน


ที่ไหนก็มักมีแต่เราไปแบกๆ เดี๋ยวนี้ก็เจดีย์วัดอโศการามส่งไป ๙ ล้านกว่าแล้ว แล้วยังรับไว้อีกว่า งานนี้ไม่ให้หยุดชะงัก ให้เสร็จ เรื่องการเงินการทองมันมีทุกคน กระเป๋าไหนๆ เที่ยวหาตีเอามาแหละ นี่ก็จะให้เสร็จ ครูบาอาจารย์องค์ขนาดนั้นเราหาที่ไหนได้ในปัจจุบัน เราจะพยายามอาราธนาท่านมาให้หมด ครูบาอาจารย์ที่ท่านล่วงไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ คืออัฐิที่กลายเป็นพระธาตุนั้นตีตราเรียบร้อยแล้วว่านั้นคือพระอรหันต์ ไม่ว่าสมัยนั้นสมัยนี้ นี้คือผู้สิ้นกิเลส ว่างั้นเลย เราจะพยายามอาราธนาท่านมาให้หมดเท่าที่เราขวนขวายได้ มารวมลงในเจดีย์วัดอโศการามทั้งหมดเลย ให้เป็นเจดีย์สง่างามสดๆ ร้อนๆ ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีตั้งแต่พระธาตุของพระอรหันต์ล้วนๆ อยู่ในนั้น

นี่ละผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมะท่านว่า อกาลิโกๆ คือไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรมาทำลายได้เลย ขอให้ปฏิบัติเถอะ ไม่ว่าดีว่าชั่ว คือกิเลสก็เป็น อกาลิโก เหมือนกัน ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำบาปเมื่อไรเป็นบาปเมื่อนั้น บุญคุณงามความดีไม่มีกาลเวลา อกาลิโก ทำความดีเมื่อไรเป็นเมื่อนั้นๆ สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันทั้งบาปทั้งบุญ เรียกว่าทั้งกิเลสทั้งธรรม เป็นธรรมชาติที่สดๆ ร้อนๆ ตลอดไป

ครูอาจารย์ที่ได้ปฏิบัติในสมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละเป็นรากฐานสำคัญ ครูอาจารย์ทั้งหลายที่ได้รับโอวาทคำสอนของท่านแล้วไปปฏิบัติตน จนกระทั่งจิตบริสุทธิ์สุดส่วน เวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ มีน้อยเมื่อไรตั้ง ๒๐ กว่าองค์ปัจจุบันนี้นะที่ทราบกันชัดเจน ที่เงียบๆ ยังมีอีกนะ ที่ล่วงไปแล้วเงียบๆ ยังมีอยู่ และที่ยังมีชีวิตอยู่เงียบๆ เดี๋ยวนี้มีอยู่มากนะ เราอย่าเข้าใจว่าพระท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขาท่านไปงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมหนา นั่นละท่านตักตวงเอามรรคผลนิพพานสง่างามอยู่ในป่าในเขา แต่เรื่องธรรมแล้วเงียบไม่แสดง มีเหมือนไม่มี ท่านไม่หิวไม่โหยไม่อยากโอ้อยากอวดคือธรรม ถ้าเรื่องกิเลสแล้วอยากโอ้อยากอวดอยากโม้อยากคุย กระทบกระเทือน เหยียบย่ำทำลายไปเรื่อย เป็นอย่างนั้น ส่วนธรรมเสมอต้นเสมอปลาย

ที่พูดเหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่สายพ่อแม่ครูจารย์มั่น คำว่าสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ทั้งธรรมยุตทั้งมหานิกาย ที่ได้รับโอวาทคำสอนจากท่านแล้วไปปฏิบัติ เรียกว่าสายหลวงปู่มั่น ท่านเหล่านี้เป็นผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพานตลอดมา นี่ละธรรมถ้าใครปฏิบัติก็สดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ถ้าใครไม่ปฏิบัติ เหยียบย่ำทำลายไปมาเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนแร่ธาตุที่มีค่ามากอยู่ใต้ดิน เราเหยียบไปย่ำมาไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเพราะโง่ คนฉลาดเขาขุดคุ้ยขึ้นมาทำประโยชน์มากมาย อย่างเต็มอยู่ห้างร้านต่างๆ เช่น เพชรพลอย เป็นต้น ทองคำอย่างนี้ มาจากไหน มาจากใต้ดิน นั่น เขาค้นมา

ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ในสมัยปัจจุบันพระกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา ท่านทำงานเพื่อชำระกิเลส ซักฟอกกิเลสโดยลำดับ ท่านไม่มีงานทางโลกทางสงสารมาแทรกศาสนา และมาเหยียบย่ำทำลายศาสนา ให้ความพากเพียรหยุดชะงักหรือล้มเหลวไป มรรคผลนิพพานก็ล้มไปตามๆ กันเลย ท่านปฏิบัติโดยอรรถโดยธรรมจริงๆ อยู่ที่ไหนสงบสงัด ท่านชำระจิตใจเรียกว่าจิตตภาวนา ท่านอยากเห็นความสง่างามของใจตัวเอง

ตั้งแต่วันเกิดมาเราไม่เคยเห็น เอาๆ ลองภาวนาดูซิ ทำตามวิธีท่านสอน พระพุทธเจ้าครึล้าสมัยเหรอ เป็นศาสดาแล้วถึงสอนโลก ไม่ใช่สอนโลกทั้งๆ ที่โง่เขลาเบาปัญญากิเลสเต็มหัวใจ แล้วมาสอนโลกลูบๆ คลำๆ ไม่มี พระพุทธเจ้าของเราเอก โลกวิทู ว่าไง รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง อาโลโก อุทปาทิ จ้าอยู่ตลอดเวลา นี่ละธรรมที่มาสอนโลก เป็นคนเล่นๆ เป็นศาสดาองค์เล่นๆ หรือมาสอนโลก ทีนี้เวลาสอนไปตรงไหน เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบๆ ด้วยวิธีการที่รู้เห็นแล้วทั้งนั้น จึงไม่ผิด

ทีนี้ผู้ปฏิบัติตามก็สำเร็จเป็นสาวกขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เบญจวัคคีย์มา มีสาวกอรหันต์เท่าไรๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ อกาลิโก ไม่มีครึไม่มีล้าสมัย มีแต่กิเลสมาหลอกว่าธรรมครึธรรมล้าสมัย แต่กิเลสมันทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัย เหยียบหัวสัตว์โลกจนโงหัวไม่ขึ้นคือกิเลส เอาธรรมเหยียบหัวมันบ้างซิ

เราพูดนี้พูดจริงๆ จะว่าอาจหาญมันก็เลยแล้วหัวใจดวงนี้ ไม่ใช่อาจหาญไม่ใช่ขี้ขลาดหวาดกลัวอย่างโลกเป็นกัน กล้าหาญเราก็ไม่มี กลัวเราก็ไม่มี เหนือหมดแล้ว การเทศนาว่าการนี้ถอดออกจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้ธรรมดานะ เราปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย เป็นผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถอยู่ในป่าในเขา มูตรคูถคือขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง อยู่ในหัวใจเรา ผ้าขี้ริ้วก็ผ้าที่โลกเขาไม่ต้องการ ไม่มีราค่ำราคา ผ้าแก่นขนุน เข้าใจเหรอ นี่ละผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถอยู่ในป่าในเขา ฟัดกับกิเลสตลอดเวลา เอาไม่หยุดไม่ถอย พูดให้มันเต็มยัน

เพราะการกระทำของเราเราพูดจริงๆ ตั้งแต่ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาแล้ว เพราะตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่จิตใจมันจดจ่อต่อมรรคผลนิพพาน แต่ก็ยังสงสัยๆ นี่ละที่ว่าความจำไม่ได้เป็นท่านะ เรียนไปจนกระทั่งถึงพระนิพพาน ยังไปตั้งเวทีตีกับนิพพานได้สบายๆ หือ พระนิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ เรียนนิพพานอยู่ยังว่านิพพานมีจริงๆ เหรอ มันก็สงสัย จิตมันดิ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ เรียนหนังสืออยู่จิตก็ดิ่งใส่โน้นเลย เพราะฉะนั้นพอออกแล้วก็บึ่งเลยเชียว

พระผู้ใหญ่ๆ ท่านจะเอาไว้ในกรุงเทพ มันก็เดชะนะ หลุดออกได้ เล็ดลอดไปได้ ผู้ใหญ่ท่านตามก็หลุดไปได้ เดชะอันหนึ่งเหมือนกัน นี่เราพูดตามปฏิปทาของเราที่ออกปฏิบัติ เล็ดลอดไปได้ๆ ผู้ใหญ่รู้สึกท่านเมตตาอยู่นะ ไปอยู่ที่ไหนผู้ใหญ่มักเมตตาเสมอ อันนี้ก็เหมือนกันอยู่กรุงเทพท่านติดตามเอา เราก็เล็ดลอดๆ เรื่อยไปเลย เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่ คราวนี้จะเอาจริงเอาจัง หยุดจากการเรียนไปแล้วตามคำสัจจอธิษฐานว่า สำเร็จเปรียญ ๓ ประโยค เป็นทางเดินได้อย่างดีแล้ว ไม่มีการบกพร่องแหละ วิธีการแบบแปลนแผนผังเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราจะก้าวเดินทางภาคปฏิบัติ

ดิ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย ไปเรดาร์ท่านก็จับเลยนะ เด็ดขาดมากทีเดียว นี่ละเรดาร์ของท่าน ท่านไม่เห็นเจตนาของเรารุนแรงขนาดนั้นท่านจะเอาธรรมะประเภทนี้ออกต้อนรับเหรอ พอไปเท่านั้น ท่านมาหาอะไร นั่นฟังซิ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมทั่วแดนจักรวาล ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กิเลส นั่นฟังซิท่านตีออกหมด ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสจริงๆ มรรคผลนิพพานจริงๆ อยู่ที่ใจ เวลานี้ถูกกิเลสหุ้มห่ออยู่ธรรมะจึงไม่ปรากฏ เอา เร่งลงทางด้านจิตตภาวนา ท่านเอาอย่างนี้เลย ท่านไล่เข้าไปหมด ปัดหมดเลย ทั่วแดนโลกธาตุไม่มีมรรคผลนิพพาน ไม่มีบาปไม่มีบุญ มีอยู่ที่ใจ ท่านบอก เอาลงที่นี่ด้วยจิตตภาวนา อย่าถอย

โอ๋ย ท่านพูดเด็ดมากทีเดียว สมเจตนาของเรามุ่งมั่นไปหาท่าน เอาอย่างเด็ดเหมือนกับว่าเรดาร์ท่านจับไว้เรียบร้อยแล้ว พอไปถึงท่านก็ผางออกมาเลย ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ท่านก็บอก นั่นไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ท่านไล่ไปหมดเลย ตีเข้ามาหานี่(ใจ) นั่น เราไม่ลืมนะ สดๆ ร้อนๆ เลย ไปวันแรกเสียด้วยนะ ท่านใส่อย่างหนักเลยเทียววันนั้น ผางๆๆ เลย เราไปมืดๆ ดูนั้นดูนี้ไป ดูกุฏิ ดูศาลา เราไปศาลา ท่านเดินจงกรมอยู่กลางคืนมืดๆ เราก็ไปเซ่อๆ ของเรานั่นแหละ ไปดู เอ๊ นี่ถ้าเป็นกุฏิกรรมฐาน เฉพาะอย่างยิ่งคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ถ้าเป็นกุฏินี้จะใหญ่ไป ถ้าเป็นศาลาก็จะเล็กไปสักหน่อย เราว่างั้น

ใครมานี่ ว่ากระผมเราก็ดี ท่านซัดขึ้นเลยทีเดียวพอว่ากระผม อันผมๆ นี่ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอา แย้งซิน่ะแย้งตรงนี้ แย้งไม่ได้เลย กระผมชื่อพระมหาบัว เออ ก็ว่าอย่างนั้นซี ผางขึ้นเลยนะ พระเดินจงกรมอยู่ในป่าเงียบๆ ออกมาหมดเลยเทียว เสียงลั่นขึ้นกลางศาลาขนาบพระเทวทัต ก็กิเลสเต็มหัวใจไม่เรียกเทวทัตได้ยังไง มันเหยียบธรรมอยู่ตลอดเวลา นี่ละพระเทวทัต ท่านขนาบพระเทวทัต พอว่าอย่างนั้นพระก็แตกมาเลย เราก็ว่าพระมหาบัว เอ้อ ต้องว่าอย่างนั้นซี นี่ผมๆๆ ท่านแหย่ด้วยนะ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ เอา แย้งซิน่ะตั้งแต่เด็กมันก็มีผม หมดท่า

ท่านขึ้นจากทางจงกรมมา ตะเกียงโป๊ะขนาดนี้ท่านกำลังจะขึ้นไปจุดตะเกียง พระก็ปุ๊บปั๊บๆ มาจุดตะเกียง เรานั่งท่านก็ซัดเลยตั้งแต่นั้น เปรี้ยงๆ เลยเทียว เอาเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นก็ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ฟังอย่างถึงใจเลย รวมลงแล้วอยู่ที่นี่ อยู่ที่ใจๆ เอาๆ ให้ดีภาวนา เบิกกว้างออกจากนี้จะเห็นที่นี่ละ กิเลสจะเห็นที่นี่ มรรคผลนิพพานจะเห็นที่นี่ไม่เห็นที่ไหน ทั่วแดนจักรวาลไม่มีกิเลสไม่มีธรรม มีธรรมอยู่ที่ใจเท่านั้น ที่จะสัมผัสธรรมได้คือใจเป็นนักรู้ โอ๋ย จิตมันหมุนติ้วๆ ก็ตั้งใจไปอย่างเต็มเหนี่ยว ท่านก็ซัดอย่างเต็มเหนี่ยว เรียกว่าต้อนรับกันอย่างเต็มที่เลย จุใจ หายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน ท่านจี้ลงๆ ที่นี่ ชี้ลงที่นี่เลย ไม่ได้ชี้ไปไหน

สรุปเลยนะ พอจบลงไปแล้วมันถึงใจ จนเหมือนกับว่าตัวพองหมดเลย ลงมาก็ถามเจ้าของทันทีเลย ออกจากศาลามายังไม่ไปถึงที่พักละ ว่าไงที่นี่ได้ฟังเทศน์ท่านอย่างถึงใจเต็มที่แล้ว เราจะว่ายังไงที่นี่ ถึงใจอย่างเต็มที่แล้ว เราจะจริงไหมทีนี้ ทางนี้ตอบรับขึ้นทันทีเลยต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นเห็นไหมล่ะมันรับกัน ตั้งแต่บัดนั้นมาละความเพียรของเรา จึงว่าไม่หยุดหย่อนเลย แล้วย้อนหลังไปพิจารณาความเพียรของเรา เราไม่เคยได้ตำหนิตรงไหน มีแต่ว่า โห ขนาดนั้นมันทำได้ ขยะๆ นะความเพียรของเรา ตั้งแต่บัดนั้นฟังเทศน์หลวงปู่มั่นมา

แล้วนิสัยเราเป็นชอบไปคนเดียว ไปแต่คนเดียวตลอด ซัดกันอยู่ตลอดเวลา เดินไปนี้เป็นเดินจงกรมทั้งนั้น ไปที่ไหนเป็นเดินจงกรมไปหมด ไปบ้านนี้ไปหาบ้านนั้นเดินจงกรมตลอด ไม่มีคำว่าเสียเวล่ำเวลา หมุนติ้วๆ อยู่เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม นั่นฟังซิกิเลสหนาขนาดไหน ซัดกันถึง ๙ ปีเต็ม ถึงขั้นสลบไสลไม่รู้กี่ครั้งละ แต่ไม่เคยสลบนะ เอาหนักขนาดนั้นละ มันจึงได้เปิดเผยขึ้นมาในหัวใจ นี่พูดสรุปเลยละที่นี่ มันถึงได้เปิดขึ้นมาในหัวใจนี้ พอมันเปิดขึ้นมาแล้วแหมที่นี่ โลกอันนี้มันเป็นโลกใหม่ขึ้นมาแล้วในหัวใจ นั่นละที่ได้เอามาเทศนาว่าการ เพราะฉะนั้นจึงพูด จะว่าอาจหาญหรือไม่อาจหาญ มันเลยทุกอย่างแล้วการพูดนี่ ไม่เคยสะทกสะท้านอะไร คำว่าโอ้ว่าอวดเราก็ไม่มี มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ครอบโลกธาตุอยู่นี่ ใครจะว่าอะไรเราไม่สนใจ ขอให้ได้รับประโยชน์เท่านั้น

ใครมาหาเราให้มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม มาเพื่ออื่นไม่ได้ เข้ากันไม่ได้ มาเพื่ออรรถเพื่อธรรมเท่านั้นเอง ถ้าเพื่ออรรถเพื่อธรรม เอา จะทุกข์จนหนโลกขนาดไหนถึงขั้นเศรษฐี เอา มาบอกเลย ถ้ามาแบบอวดทิฐิมานะอย่ามาว่างั้นเลย ธรรมนี้เลิศกว่าทุกอย่างอย่าเอามาอวดขึ้นอย่างนี้เลยนะ เราจึงได้แนะนำสั่งสอน ออกจากนี้ก็เรื่องวงกรรมฐาน ที่ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นมานี้ตั้งแต่ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ๆ มา เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่อะไร หลวงปู่ฝั้นเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ของท่าน ก็รับธรรมะมา เหล่านี้กลายเป็นเพชรน้ำหนึ่งไปหมดแล้วนี่ ที่พูดเหล่านี้มีแต่เพชรน้ำหนึ่งนะ อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุทั้งนั้นละที่ว่านี่นะ เป็นอย่างนี้ละ ตั้งแต่หลวงปู่แหวนลงมา

เวลานี้เท่าที่พอทราบได้ก็ไม่ต่ำกว่า ๒๐ ที่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ นี่คือพระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน ที่ปฏิบัติตามโอวาทคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าที่เป็น อกาลิโก ตรงแน่วอยู่อย่างนี้ละ เอียงไปที่ไหนธรรมพระพุทธเจ้า กิเลสก็ไม่เอียง ใครปฏิบัติตามกิเลสเป็นวันยังค่ำ ตกนรกอเวจีได้โดยไม่ต้องสงสัย ผู้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมของพระพุทธเจ้านี้ถึงนิพพานได้ไม่สงสัยเหมือนกัน ขอให้เอาให้จริงให้จัง

เรื่องความพากเพียรสำหรับนักบวชเรา ความเพียรนี้อยู่ที่สตินะเราเคยสอนเสมอ เรื่องสตินี้ให้กิเลสมันยกเมฆมาเหมือนคลื่นมหาสมุทรก็เถอะน่ะ สตินี้จะฟาดพังลงไปเลยเชียว ขอให้มีสติดีกิเลสจะเกิดไม่ได้ นี้ทำมาแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้ เอามันหนุนขึ้นมามันอยากคิดอยากปรุง คือความอยากคิดอยากปรุงเป็นเรื่องของ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานี่มันดันออกมาให้เป็นสังขารความคิดความปรุง เสาะแสวงหาอาหารของมัน แต่แล้วมันก็เอายาพิษมาเผาเรา มันดันออกมันอยากคิดอยากปรุง ทีนี้เวลาเลขลงตัวแล้วซัดกันเลยไม่ยอมให้เผลอ นี่ละเราจึงได้คติตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ให้เผลอ

มันอกจะแตกจริงๆ นะ มันอยากคิดอยากปรุง เอา ไม่ยอมให้เผลอ สติตั้งตลอดเวลา สุดท้ายมันก็ค่อยอ่อนลงๆ ต่อไปก็อ่อนลงๆ ด้วยสติ นั่นเห็นไหมล่ะ เราจึงได้นำสติมาสอน ใครมีสติดีคนนั้นจะตั้งตัวได้ อยู่ที่สตินะสำคัญ เรื่องปัญญาจะค่อยแย็บออกไปๆ เมื่อสติเป็นรากฐานบังคับจิตใจให้ดีแล้วใจก็สงบร่มเย็นไม่มีอะไรก่อกวน นั่นละที่นี่ปัญญาจะเริ่มออกได้ละ นี่ละการประกอบความพากเพียร อย่าเห็นแต่ว่าเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นั่งหลับหูหลับตาเป็นท่อนฟืนอยู่ เป็นหัวตออยู่ใช้ไม่ได้นะ ต้องมีสติอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา

ทีนี้เวลาเราภาวนาอยู่ตลอดผลปรากฏขึ้นแล้ว ความเพลินในความเพียรเอาละไม่ต้องบอกนะ ทีแรกมันอืดอาดเนือยนายขี้เกียจขี้คร้าน พอภาวนาไปเห็นผลขึ้นมาในใจแล้ว ทีนี้ความคึกคักมันจะขึ้นละ หนุนกันขึ้นๆ ความเพียรจะหนุนเรื่อยๆ เลย ความขี้เกียจขี้คร้านเบาลงๆ สุดท้ายรั้งเอาไว้ ฟังซิน่ะ ความขี้เกียจขี้คร้านอืดอาดเนือยนายนี้ เวลากิเลสหนาๆ เป็นอย่างนั้นทั้งนั้นละ กินก็มาก นอนก็มาก ความขี้เกียจก็มาก ทุกอย่างท้อแท้อ่อนแอไปหมดมากทั้งนั้นนะ แต่เวลาฝึกเข้าๆ ได้ภาวนา พอจิตใจมีความสงบเย็นเห็นผลแล้ว พอเห็นผลแล้วความขยันหมั่นเพียร ความดูดดื่มในธรรมจะค่อยขยายตัวออกๆ แล้วตีสิ่งเหล่านั้นออกๆ ทีนี้มันก็พุ่งๆ สุดท้ายถึงขั้นที่ว่ารั้งเอาไว้

ความเพียรที่ว่าเราเพียร ถ้าว่าเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ยกให้ แต่ว่าความเพียรในประโยคพยายามในปัจจุบันไม่มี ต้องรั้งเอาไว้ คือความเพียรกล้า ความเพียรไม่มีหยุดมีถอยเลย ไม่หลับไม่นอน ถ้าไม่บังคับให้นอนไม่นอน นี่ถึงขั้นธรรมะได้เห็นโทษของกิเลสเต็มหัวใจแล้ว และเห็นคุณค่าของธรรมก็เต็มหัวใจด้วยกันแล้วอยู่ไม่ได้เลย ผางๆเลย นั่นละท่านทั้งหลายจำเอาหัวใจดวงนี้ละ ดวงที่มันคืบคลานอยู่นี้ ตะเกียกตะกายอยู่นี้ด้วยกิเลสเหยียบหัวมันตลอดเวลา ทีนี้เราฟิตความพากเพียรขึ้นมา พอทางนี้ได้กำลังก็ตีกิเลสลงจากบนหลังบนบ่าบนคอละที่นี่ แล้วดีดผึงๆ

พอธรรมะมีกำลังมากแล้ว ทีนี้ลืมหลับลืมนอน จะนอนก็นอนไม่หลับ เพราะจิตมันพุ่งๆ ที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ แต่ก่อนอ่านถึงนิพพาน นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นฟังซิเวลาเรียน แต่เวลาออกปฏิบัติแล้วนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ฟังซิน่ะ ไม่ได้ว่านิพพานมีหรือไม่มี นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม เอื้อมตลอดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ พุ่งๆๆ เลย ถึงเวลาธรรมะมีกำลังกล้าแล้วเหมือนกับกิเลสมีกำลังกล้าอยู่บนหัวใจสัตว์ มันทำงานโดยอัตโนมัติ กิเลสประเภทต่างๆ ออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเครื่องใช้ของมัน มันดันออกให้คิดให้ปรุงให้แต่งให้เสาะแสวงหาทุกเวล่ำเวลา ด้วยอำนาจของกิเลสผลักดันออกไป นี้เป็นเรื่องของกิเลสทำงานของมันโดยอัตโนมัติ

ไม่ว่าจะได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไร เป็นเรื่องของกิเลสออกหน้าทั้งนั้นๆ เป็นอัตโนมัติ แต่เราไม่รู้ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกเป็นอัตโนมัตินะ ต่อเมื่อเรามีธรรมขึ้นมาแล้วรับกัน พอธรรมมีกำลังกล้าแล้ว ธรรมเป็นอัตโนมัติแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ที่นี่เห็นเหตุเห็นผลของกิเลส อ๋อ แต่ก่อนกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกนี้เป็นอัตโนมัติ ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังกล้าแล้ว ทำงานเพื่อแก้กิเลสนี้เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เป็นอัตโนมัติแบบเดียวกันเลย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ตามองเห็นไม่มองเห็นก็ตาม จะเป็นธรรมล้วนๆ เพื่อแก้กิเลสๆ เรื่อยไปเลย จนกระทั่งฟาดเอาเสียกิเลสม้วนเสื่อไม่มีอะไรเหลือเลย ที่นี่ว่างหมดเลย ไม่มีอันใดที่จะเข้าไปแฝงในจิตของพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วได้เลย

จึงชี้นิ้วเลยว่ามีกิเลสเท่านั้น มีมากทุกข์มาก มีน้อยทุกข์น้อย มีละเอียดทุกข์ละเอียด กวนไปถึงขั้นละเอียด จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรกวน จิตของพระอรหันต์จึงเป็นจิตที่พ้นจากสมมุติ กิเลสคือสมมุติ สุดยอดแห่งสมมุติก็คือกิเลสนั่นเอง พอกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจแล้วไม่มีสมมุติ ว่างเปล่า โลกอันนี้โลกว่างไม่มีอะไร มันกีดมันขวางคือกิเลสเท่านั้น เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างไปหมดไม่มีอะไร จิตของพระอรหันต์จึงไม่มีเรื่อง ตั้งแต่วันตรัสรู้หรือบรรลุธรรมแล้วไม่มีเรื่อง เที่ยงตลอดไป ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง เป็นอยู่ในหัวใจไม่ต้องถามใคร อดีตอนาคตไม่มี ปัจจุบันก็เที่ยงบอกชัดๆอยู่แล้ว นี่ละการปฏิบัติธรรม

จิตดวงนี้ถูกกิเลสตัณหาเหมือนมูตรเหมือนคูถมันปกคลุมหุ้มห่อ มันยกตัวมันเป็นราค่ำราคา คนเราจึงมีแต่ราค่ำราคาไปหมดทั้งๆ ที่เป็นกองมูตรกองคูถ ธรรมขึ้นในใจแล้วมันจะรู้กันๆ ปัดออกๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่านี่ขาดสะบั้นลงไปหมด อยู่ไหนสบายหมด วันคืนปีเดือนมีแต่มืดกับแจ้งไม่เห็นมีอะไร ธรรมชาตินี้จ้าอยู่ไม่มีวันคืนปีเดือน จ้าอยู่ตลอดเวลา นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ขอให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

เราพูดนี้เราถอดออกมาจากหัวใจมาพูด ไม่ได้พูดลูบๆ คลำๆ นะ สอนธรรมทุกขั้นแก่โลกในคราวออกช่วยชาติบ้านเมืองนี้ เอาเฉพาะคราวนี้นะ ตั้งแต่สอนมาตั้งแต่ทีแรกโน้น เราก็เรื่อยมาอย่างนั้น แต่เวลาออกอย่างชัดเจนก็คือการช่วยชาติบ้านเมือง เราเทศน์ธรรมะทุกขั้นไม่มีความสงสัย ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใดจนกระทั่งทะลุถึงนิพพานเราไม่สงสัย เพราะหัวใจเราบรรจุไว้หมดแล้ว พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ละ นี่ละธรรมะสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ครึล้าสมัยไปไหน มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย เปิดออกซิ ให้มันเห็นชัดเจน จิตใจของเราเป็นของอัศจรรย์ขนาดไหนจะได้รู้นะ รู้จากการปฏิบัติธรรม

อยู่ธรรมดาจิตเขาจิตเรา ไม่มีจิตใดละที่เลิศเลอวิเศษวิโส ทั้งคนทุกข์คนมีคนจน เป็นความทุกข์เหมือนกันหมด กิเลสเหยียบอยู่บนหัวใจ พอกิเลสขาดสะบั้นออกจากหัวใจ คนประเภทไหนสุขหมดๆ เป็นอย่างนั้นละ ธรรมะพระพุทธเจ้าเอาให้ดีนะ ตั้งใจภาวนาผู้อยู่ในโรงครัว อย่าไปหาทะเลาะกันนะ ในโรงครัวมันมาอยู่เด้นๆ ด้านๆ เป็นร้อยๆ นู่นน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราว มาทะเลาะกันอยู่นั้น กัดกันเหมือนหมาอยู่ในครัวนั่น เราก็ไม่ได้ไปดู มีเวลาตอนบ่ายบ้างก็ด้อมๆ ไปดูนั้นดูนี้ไปธรรมดา ไม่ได้ไปชำระความ ถ้าไปชำระความ ไอ้หมาอยู่ในครัวนี้แตกฮือเลย กำแพงแตกเข้าใจไหม หมากัดกันนั่นละ ถ้าเป็นคนไม่กัดกัน เราว่าหมานะหมาตัวมันกัดกัน เข้าใจไหม เอาละพอ

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก