สังฆาฯ ปาราชิก ไม่มีในพระอรหันต์
วันที่ 29 กรกฎาคม. 2548 เวลา 12:45 น. ความยาว 71.13 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมคณะวัดโพธิสมภรณ์ ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด

เมื่อบ่ายวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

สังฆาฯ ปาราชิก ไม่มีในพระอรหันต์


เจ้าคุณอุดรฯ เราไปตายที่ไหนไม่เห็นมาวันนี้ เรายังไม่ลืมนะ เจ้าคุณอุดรฯ เรานี้แหละพูดที่วัดโพธิฯ ไปชำระคดี คดีนั้นชำระถึงสองวันไม่เสร็จ ลงกันไม่ได้เลย มีพระขวางโลกกีดขวางอยู่นั้น ประชุมลงกันไม่ได้ กระทั่งเจ้าคณะภาคมาก็ยังประชุมลงกันไม่ได้ ท่านเจ้าคุณใหญ่เรานี่ละ ท่านเลยเขียนจดหมายน้อยเท่านี้ละ ตอนนั้นรถยนต์ยังมาไม่ได้ ถ้าหน้าฝนก็ติดน้ำ หน้าแล้งก็ติดทราย มาไม่ได้ ท่านเลยเขียนจดหมายแผ่นเท่านี้ละมาหาเราท่านเจ้าคุณนี้ เขียนย่อๆ ในฐานะเป็นกันเองว่า นิมนต์ไปดับไฟที่วัดโพธิฯให้ด้วย เวลานี้ไฟกำลังโหมไหม้วัดโพธิฯ จะแหลกเหลวไปหมด ว่าเท่านั้นแหละ เราก็ไปเลย ชำระถึงสองวันไม่เสร็จ วันที่สามเลยนิมนต์เราไปดับไฟวัดโพธิฯ ท่านว่าอย่างนั้น เท่านั้นละเราก็ไปเลย สะพายบาตรไปองค์เดียวเงียบ

ไปก็ขึ้นเวทีเลย ท่านสั่งพระไว้ทั้งวัด ท่านเจ้าคุณใหญ่เรานี่ เอา ทีนี้เรื่องราวทั้งหลายก็มามากต่อมาก ประชุมกันถึงสองวัน จนกระทั่งเจ้าคณะภาคก็มายังไม่สำเร็จลงได้เลย คราวนี้ก็ยังเหลือแต่อาจารย์มหาบัวองค์เดียว ที่จะมาชี้แจงเหตุผลกลไกอะไรให้งานไฟไหม้วัดโพธิฯ นี้สำเร็จลงด้วยดี พระในวัดโพธิฯ เราให้ฟังเสียงท่าน ฟังเสียงผู้ใดๆ มาสองวันแล้วไม่สำเร็จ วันนี้คอยฟังเสียงท่าน ท่านจะแสดงออกในแง่ใดมุมใดให้คอยฟังด้วยดีวันนี้ ท่านสั่งพระในวัดไว้หมดเลยว่า ให้ฟังท่านด้วยเหตุผลกลไกทุกอย่างด้วยดี

นี่เป็นเหตุที่เราจะได้พูดนะ วันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็มา ข้าราชการใหญ่ๆ มาหมด เพราะเป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียวระหว่างพระขัดแย้งกันไม่ลงกัน พระองค์ที่เคยขัดแย้งนั่นละมันขวางโน้นขวางนี้อยู่ตลอด อยู่ไหนจนรู้จักตับจักปอดกันนั่นแหละว่างั้นเถอะ ทีนี้ไปพอถึงเวลาก็ขึ้นเวทีเลย ใส่กันเลยทันที เอา เรื่องราวอะไรๆ ให้ว่ามา เรื่องราวตกค้างอยู่ยังไง เอ้า ให้ชี้แจงเหตุผลออกมา เราจะเป็นผู้ฟังทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม ชี้แจงเหตุผลออกมา เรื่องราวที่ไม่ลงกันเพราะเหตุใด ไม่ลงกันเพราะเหตุผลกลไกอะไร เอ้า ชี้แจงออกมา ขัดข้องต่อหลักธรรมวินัยข้อไหน ถือหลักธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ ไม่ถืออะไรเป็นใหญ่ในโลกอันนี้ สำหรับพระเราถือพระธรรมวินัยเท่านั้นซึ่งเป็นองค์แทนศาสดา ให้เราฟังเสียงศาสดาคือธรรมวินัย จากนั้นก็ซักกันเลย เอากันเลย เราเป็นผู้ทำหน้าที่คนเดียว เพราะท่านเหล่านั้นทำมาแล้วสองวันไม่สำเร็จ วันนี้ท่านมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เราทำ เราก็ไปทำจริงๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ไปก็ซักเหตุซักผลกัน เราเป็นผู้ซักเหตุซักผลเรื่องราวทุกอย่างๆ ตีลงรวมลง เอ้า ถ้าเห็นด้วยแล้วให้พระทั้งวัดที่รวมประชุมวันนี้ให้ยกมือขึ้น ถ้าไม่เห็นด้วยให้ค้านขึ้นมาในข้อสรุปของเราแต่ละข้อๆ เอากันจนกระทั่งว่าสาธุๆๆ เรื่อยๆ ได้ ๔๕ นาที เป็นอันว่าลงกันได้ด้วยดี หาผู้คัดค้านไม่มีเลย เอ้า ใครยังขัดข้องตรงไหน เอ้าค้านขึ้นมา ขัดข้องที่เรื่องอาจารย์มหาบัวมาชี้แจงเหตุผลตามหลักธรรมหลักวินัย ขัดข้องตรงไหนให้ชี้แจงมา คัดค้านออกมา เงียบหมดๆ ประกาศถึงสามครั้งเรียกว่าเงียบหมดแล้ว เป็นอันว่ายุติลงกันแล้วเหรอ ลงกันแล้ว เรียบร้อยแล้ว ยุติลงเป็นเวลา ๔๕ นาที วันนั้นเอากันใหญ่แหละ

นี่ละที่จะได้พูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณเรา เจ้าคุณอุดรฯ นี้ตายแล้วเหรอไม่มาเหรอวันนี้ เพราะเหตุนี้เอง พอลงกันได้เรียบร้อยแล้วเราเหนื่อยก็แผ่สองสลึงนอน พระก็ไปนวดเส้นให้ ท่านเจ้าคุณเรานี้นิสัยดีมากนะเจ้าคุณอุดรฯ นี่ ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลย นิสัยเรียบมาตลอด พูดนิ่มนวลมาตลอด ทีนี้อยู่ๆ ท่านนั่งอยู่ข้างๆ นี่ละ เราเหนื่อยมากเราก็แผ่สองสลึง พระเณรไปนวดเส้นให้ ทีนี้อยู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า ใครอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชของอาจารย์ของเรา ให้ไปดูเวลาขึ้นเวทีว่างั้นนะ คืออาจารย์ของเราก็หลวงตาบัวนี่ละ ให้ไปดูเวลาขึ้นเวที ดูที่อื่นก็ไม่ถนัดชัดเจน ให้ไปดูเวลาขึ้นเวที จะได้เห็นฤทธิ์เห็นเดชกันชัดเจนบนเวทีนั้นแหละ ท่านว่างั้นนะ

เราก็เลยดุไปเรื่องมันเสร็จมันแล้วไปแล้วมาอุ่นกินหาอะไรล่ะ เราพูดแบบดุเลย เรื่องมันผ่านไปแล้วเรียบร้อยไปแล้ว นึกว่าจะเอาอะไรมากิน ของใหม่ๆ มากิน แล้วเอาของเก่าๆ มาอุ่นกินอะไร มันบูดมันเสียไปหมดแล้วนี่น่ะ ทางนั้นนึกว่าจะโต้ตอบอะไรๆ ก็โต้ตอบแบบนั้นละ แบบนิสัยนิ่มนั่นแหละ ก็มันน่าอุ่นกิน อุ่นกินวันยังค่ำก็เอร็ดอร่อยตลอดไป ก็ต้องอุ่นกินกันไปเรื่อยๆ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านพูดน่าฟังนะ พูดนิ่มนวลด้วย เฉย มันน่าอุ่นก็ต้องอุ่นกินวันยังค่ำ มันก็มีรสมีชาติ ท่านว่าอย่างนั้นนะ นี่พูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณองค์นี้ ท่านนิสัยดีมาก อ่อนโยนมากทีเดียว

กับท่านเจ้าคุณนี้ท่านก็ไม่เคยดุใคร แต่ต้องพูดตามความจริง รู้สึกว่าจะรององค์นั้นนะ นิ่มองค์นั้นเป็นที่หนึ่ง ในวัดโพธิสมภรณ์ท่านเป็นใหญ่ ทางนั้นเป็นใหญ่ทางมารยาท นิ่มยิ่งกว่านี้อีก พูดตรงๆ อย่างนี้ภาษาธรรม เข้าใจไหม ท่านก็นิ่มอยู่แล้ว ถ้าไม่มีคู่แข่งท่านก็นิ่มนะ แต่เมื่อมีคู่แข่งนี้ท่านเอนเลยนะ เอนไม่เซล้มแหละ เอน ทีนี้จะเริ่มเทศน์ละที่นี่

เอาละวางไว้นั่นอย่ามายุ่งเวลาจะเทศน์ ประสาไม้เจียอย่าเอามาขวางโลกเขา ไป มาขวางทำไม คนทั้งศาลาเขาไม่เห็นมีใครมาขวาง ท่านองค์นี้เอาวิเศษวิโสมาจากไหนมาขวางโลกนี่ ไป หนีลงไปเดี๋ยวนี้อย่ามาขวาง (หลวงตาเมตตาด้วยครับ) อย่ามาขวางโลกบอกแล้ว คำนี้เป็นมงคลแล้ว คำอันนี้ไม่เป็นมงคลจึงค้านกัน เข้าใจไหม ไป ออกไปเดี๋ยวนี้อย่ามายุ่ง มันเป็นยังไงพระองค์นี้น่ะ มันมาขวางโลกหาอะไร เขาเป็นมหามงคลทั่วศาลานี่ มันมาขวางโลกหาอะไร บอกแล้วมันยังดื้อด้าน นี่ตอบกันรับกันอย่างนี้เป็นยังไงฟังซิน่ะกับความดื้อด้านของคน

มันเป็นอะไรพระองค์นี้ มาจากวัดไหนน่ะ ไม่ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ มานี่มาหาครูหาอาจารย์ เพื่อจะฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ทำไมไม่ฟัง พิจารณาซิ อยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ใครก็อยู่ได้ตายได้ด้วยกันทั้งนั้น มาหาประโยชน์อะไร ซึ่งเวลานี้ไม่ต้องการอายุตั้งกัปตั้งกัลป์ ต้องการให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นนะที่มาวันนี้ ก็มีท่านเจ้าคุณใหญ่รองสมเด็จท่านอุตส่าห์พยายามมา มาเพื่อความเป็นมหามงคลจากการได้ยินได้ฟัง ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีและความเคารพนับถือกัน นี้เป็นมหามงคลต่างหาก อันถือดอกไม้ธูปเทียนมา นิมนต์ให้อยู่อายุตั้งกัปตั้งกัลป์ มันขี้หมาอะไร มาอวดทำไม ใครอยู่ได้ตั้งกัปตั้งกัลป์ในนี้มีไหม มาหาอวดโลกขวางโลกทำไม ขวางธรรมทำไม นี่คำพูดขวางธรรมเข้าใจไหม

ธรรมพระพุทธเจ้าก็บอกว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีเกิดแล้วตายไป นั่นฟังซิ ไอ้เราที่เกิดที่ตายอยู่เวลานี้ก็มี กำลังจะตายต่อไปข้างหน้านี้ก็มี เราทั้งหลายก็จะตายเช่นเดียวกันหมด สิ่งที่จะทำให้ดับความทุกข์ทั้งหลายนี้ก็ เตสํ วูปสโม สุโข ความระงับดับเสียซึ่งสังขาร ที่พาให้เกิดให้ตายกองกันอยู่นี้โดยสิ้นเชิงเสียเท่านั้น เป็นสุขอันยิ่งใหญ่ นั่น ไปแปล อนิจฺจา วต สงฺขารา กินกล้วยเขามากี่หวีกี่เครือแล้วล่ะยังไม่รู้ มาขอให้อยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์อะไร มันขวางธรรมพระพุทธเจ้ารู้ไหม ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้ เตสํ วูปสโม สุโข ระงับดับความเกิดตายนี้ มันตายมาตลอดอย่างนี้ ด้วยการแก้ไขกิเลสอวิชชาตัวสังขารพาให้เกิดนี้ต่างหากนี่นะ ให้พากันพิจารณา

มันขวางหน้าขวางหลังอะไร มันไม่ฟังหน้าฟังหลังอะไรพระเราแท้ๆ มามีครูมีอาจารย์ มีวัดมีวา มีอุปัชฌาย์อาจารย์ ทำไมไม่ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ เอาภัยขวางโลกมาขวางทำไมขวางธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ถูก ให้เข้าใจ ทำอย่างนี้ท่านว่าทำถูกแล้วหรือ ผมที่พูดอยู่นี้ผิดไปแล้วเหรอ เอาไปพิจารณาซิ ถ้าว่าไม่ผิด ขวางมาทำไมนักหนา บอกหนหนึ่งสองหนยังไม่แล้ว ยังดันเข้ามาอีก เอาพานฟาดเอา ดีที่ไม่ได้ฟาดหน้าผากพระองค์หน้าด้านนี่ ยังดียังให้อภัยกัน มันเป็นยังไงพระองค์นี้น่ะ ทิฐิมานะจรดฟ้าไม่ฟังเสียงครูบาอาจารย์แล้วฟังเสียงใคร เสียงครูบาอาจารย์เสียงธรรมเสียงวินัยคือเสียงองค์ศาสดา ที่เป็นมหามงคลต่อโลกตลอดมาคือเสียงอรรถเสียงธรรม ไม่ใช่เสียงทิฐิมานะ ไม่ยอมฟังเสียงใครเลยอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ให้จับอันนี้เอาไปพิจารณานะ หรือต่อไปจะดื้อยิ่งกว่านี้อีก หือ พิจารณาซิ

วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวพุทธเรา ทางพระเจ้าพระสงฆ์มีครูบาอาจารย์ มีท่านเจ้าคุณรองสมเด็จที่วัดโพธิสมภรณ์เป็นหัวหน้ามาทางฝ่ายพระ และเป็นหัวหน้าทางฝ่ายประชาชนทั้งหลายด้วยมารวมกันเป็นจำนวนมาก จากหลายจังหวัดที่มารวมกันอยู่ที่นี่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ความเป็นสิริมงคลเริ่มต้นมาจากความพร้อมเพรียงสามัคคีกันของพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย มีความเคารพครูบาอาจารย์ มีความเคารพนับถือพระเจ้าพระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรม แล้วมาฟังด้วยความน้อมรับที่จะไปปฏิบัติตาม วันนี้จึงเป็นมงคล นานๆ จะมีทีหนึ่ง ที่เป็นอย่างนี้ไม่มีบ่อยนักนะ มีปีละครั้ง

นี่ก็ท่านเจ้าคุณรองสมเด็จท่านพาญาติโยมมานี่ ไม่ได้ถือว่าเราเป็นใหญ่อะไร ถือว่าศาสนานี้เป็นมหามงคล เป็นธรรมที่สูงสุดยอดเยี่ยมอยู่แล้วมาแต่กาลไหนๆ เฉพาะพุทธศาสนาของเรานี้ก็องค์พระสมณโคดม ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้วที่ล่วงมา นี้คือเป็นมหามงคล จิตใจของพี่น้องทั้งหลายน้อมรับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็น้อมรับครูบาอาจารย์ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน จึงได้มาในสถานที่นี่เป็นจำนวนมากมาย เราดูเอาศาลาหลังนี้ธรรมดาก็ว่ามันยาวมันกว้างได้กิโลสองกิโล แต่วันนี้แน่นไปหมด เราเดินมาตามทางเราเห็นมันแน่นไปหมดที่ศาลานี่ จะว่าหยอกเล่นหรือตลกอะไรก็แล้วแต่เถอะ เราเดินโผล่หน้าเข้าไปใกล้ๆ พวกโยมพวกแม่ออกนั่นละ ที่นี่มันคับแคบ ที่ศาลานี่มันคับแคบ นู่นกลางทุ่งนามันกว้างขวาง พากันไปนั่งอยู่กลางทุ่งนาโน่น ว่าแล้วก็มา

คือมันคับแคบ มากต่อมากด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน วันนี้จึงเป็นวันมหามงคลแก่เราทั้งหลาย พระเจ้าพระสงฆ์ต่างท่านต่างมาจากทุกทิศทุกทาง โดยถือหลักธรรมคือศาสดาองค์เอก ได้แก่พระธรรม พระวินัย นี่คือศาสดาของเราทั้งหลายที่ติดตัวของพระของโยมมา เฉพาะอย่างยิ่งติดตัวของพระ คือศีลสมบัติ ได้แก่สมบัติอันล้นค่า คือศีลเป็นสมบัติของเรา สมาธิสมบัติ สมบัติอันยอดเยี่ยมคือจิตเป็นสมาธิ ด้วยการอบรมจิตตภาวนาให้มีความสงบร่มเย็น จิตที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวขนาดไหนก็ตาม จิตตภาวนาเป็นทำนบใหญ่กั้นไว้ได้ให้อยู่ในความสงบร่มเย็นก็ผ่องใส กั้นเขื่อนใหญ่ไว้แล้ว คือสมาธิกั้นเอาไว้ ความฟุ้งซ่านรำคาญก็ค่อยนอนก้นลงไปๆ จิตใจมีความสงบร่มเย็น นี่เรียกว่าสมาธิสมบัติ

ปัญญาสมบัติ คือพินิจพิจารณาใคร่ครวญธาตุขันธ์ของตน ตามที่พระพุทธเจ้าประทานงานอันเลิศเลอให้แล้วว่า เกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟันคือแข้ว ตโจคือหนังหุ้มห่อกระดูกอยู่นี้พองามตา มารวมกันได้ นี่คืองานอันเลิศเลอของพระผู้จะบุกเบิกจากขวากจากหนาม จากความเกิดแก่เจ็บตายตายกองกันจมอยู่ในกองทุกข์นี้ไปได้ เพราะวิชาความรู้เครื่องมือที่ทันสมัยที่พระพุทธเจ้ามอบให้นี้ ๕ ประการเป็นเบื้องต้นก่อน คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โลกติดอันนี้แหละ ภูเขาทั้งลูกไม่ติด มันจะสูงขนาดไหนขึ้นหัวมันไปเลยภูเขา ไม่มีอะไรสูงยิ่งกว่าฝ่าเท้าของมนุษย์เราสัตว์เรา ภูเขาจะสูงขนาดไหนฝ่าเท้าขึ้นเหยียบได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ติด ภูเขาทั้งลูกไม่ติด ที่มาติดก็มาติดภูเรานี้แหละ ว่าคนนั้นสวย คนนี้งาม เขางาม เรางาม เขาสวย เราสวย ติดอันนี้แล้วภูเขาทั้งลูกเป็นเรื่องเล็กน้อย ภูเราอันนี้สำคัญนะ มาติดภูเรานี้ละ ต่างคนต่างติดอยู่นี้ ตายก็ตายกองกันอยู่นี้

สำหรับพระเราผู้ที่จะตามเสด็จพระพุทธเจ้าให้ทันแล้ว ให้เอาเครื่องมือ ๕ ประการ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ บุกเบิกเข้าไปในสกลกายของตัวเองและของสัตว์โลกมากน้อยเพียงไร ให้พิจารณาเกสา ถ้าจิตยังไม่สงบ จะเอาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นคำบริกรรมภาวนาจนจิตสงบเย็นลงได้ก็ได้ ในเบื้องต้นเป็นสมถธรรม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรียกว่าตจปัญจกกรรมฐาน แปลว่า กรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้า ให้พิจารณาอันนี้ให้ละเอียดลออ

ตอนต้นเรายังพิจารณาอันนี้ยังไม่ได้ให้ถือเป็นสมถธรรม เอาอารมณ์แห่งธรรมทั้งห้าข้อนี้แหละ ใครติดใจในอารมณ์ใด เช่น เกสาๆ ใช้เป็นคำบริกรรมดูผมเจ้าของ ดูขนดูเล็บเจ้าของ ดูฟันเจ้าของ จดจ่ออยู่ที่ฟัน จดจ่ออยู่ที่หนังเจ้าของเสียก่อน จดจ่อเพ่งอยู่ในนี้เป็นคำบริกรรม ตโจๆ พิจารณาตโจจนจิตมีความสงบแล้วก็แยก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ออกเป็นวิปัสสนา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์แยกสัดแยกส่วน แยกเขาแยกเรา แยกผมแยกขนแยกเล็บแยกฟันแยกหนังออกไป ขนก็ถอนออกไป ผมถอนออกไปหมด เล็บ ฟันถอนออกไปให้มีตั้งแต่เหงือกเปล่าๆ ฟันนี้อย่าเอาฟันปลอมมาใส่นะ ให้มีตั้งแต่เหงือกเปล่าๆ ฟันไม่มีก็เอา มีแต่หนังก็พิจารณาหนังลงไปซิที่นี่

นี่ละที่ได้แยกออกไปเป็นวิปัสสนา แยกดูเนื้อดูหนังทั้งเขาทั้งเราทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร เหมือนกันหมด ติดก็ติดแบบเดียวกัน เรียกว่าติดภูเรา แล้วพิจารณาภูเรานี้ แยกสันปันส่วนออกไปเป็นสัดเป็นส่วน เป็นอสุภะอสุภัง น้ำเน่าน้ำหนองเต็มอยู่ในโครงกระดูกของมนุษย์เราและสัตว์ทั้งหลายนี้แหละ นี่เรียกว่าปัญญาพิจารณาทางด้านกรรมฐานสำหรับพระเรา ที่จะบุกเบิกตนให้ถึงมรรคผลนิพพาน ให้เอาอันนี้เป็นเครื่องมือบุกเบิกไป พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ด้วยวิปัสสนาญาณ คือความรู้อันละเอียดแหลมคมของปัญญา แยกแล้วแยกเล่า พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า เหมือนเขาคราดนา คราดกลับไปกลับมาไม่นับเที่ยว คราดจนมีความชำนิชำนาญ พิจารณาหลายตลบทบทวนแล้วจิตจะค่อยสว่าง เห็นผมเป็นผมเท่านั้น ขนเป็นขน เล็บเป็นเล็บ ฟันเป็นฟันเท่านั้น หนังเป็นหนังเท่านั้น ไม่เลยจากหนังไปหาสัตว์หาบุคคลที่ไหน มีหนังเท่านั้น

หนังสัตว์ทั้งหลายก็มี หนังรองเท้าที่เราเหยียบมานี้ก็มี ไม่ติด แต่หนังคนหนังสัตว์ที่อยู่กับตัวคนทำไมมันติดเพราะเหตุไร หนังประเภทเดียวกัน เอา แยกออก นี่เรียกว่าปัญญาทางวิปัสสนา แยกออกๆ แยกหลายครั้งหลายหน ถืออันนี้เป็นการเป็นงานเหมือนเขาคราดนาตลบทบทวนหลายครั้งหลายหน จนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียดควรแก่การปักดำเขาก็ปักดำกัน อันนี้ก็เหมือนกันทางวิปัสสนาพิจารณาธาตุขันธ์จนแหลกละเอียด แหลกละเอียดลงไป

พิจารณาเรื่องอสุภะก็เต็มตัวเขาตัวเรา พิจารณาไปเรื่องไหนก็ป่าช้าผีดิบ ก็ดิบทั้งเขาทั้งเรา ตายแล้วก็เป็นแบบเดียวกันทั้งเขาทั้งเรา ผีดิบผีแห้งมันอยู่ในตัวของเราทุกคน นี่เรียกว่าพิจารณากรรมฐาน พระลูกพระหลานทั้งหลายรู้จักกรรมฐานไหมบวชมาจนกระทั่งป่านนี้ หรือรู้แต่ข้าวต้มขนม เมื่อเช้าไปบิณฑบาตได้ข้าวต้มขนมมากินแล้วนอนหลับครอกๆ แล้วคึกคะนองนั่นเหรอ ให้พิจารณาตัวของเราซิ นี่ละเรื่องกรรมฐาน พิจารณา จากนี้ก็พิจารณาจนกระทั่งร่างกายนี้แหลกละเอียดไปด้วยความชำนิชำนาญของสติปัญญา

พิจารณาอะไรรอบโลกธาตุนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นของเลิศของเลอวิเศษวิโสที่ไหน ว่าดิบว่าดีว่าเจริญรุ่งเรือง มันมีแต่กองกระดูกทั้งนั้น จะเอาอะไรมาเจริญเลิศเลอพอจะให้ติดให้พันมัน นี่ละปัญญาสอดเข้าไปส่องเข้าไปแล้ว ปล่อยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเข้ามา หดย่นเข้ามาๆ จนกระทั่งร่างกายแหลกละเอียดแล้วเข้าไปหาจิตอันเดียว ร่างกายอสุภะอสุภังแหลกละเอียดเข้าไปแล้วติดเข้าไปหาจิต จิตเป็นอสุภะอสุภัง พิจารณาจิตนี้แตกกระจายออกไป ร่างกายหมดความหมาย นี่ผ่านไปได้สำหรับผู้พิจารณาทางด้านวิปัสสนา ผ่านอสุภะอสุภังร่างกายนี้ไปได้แล้ว ราคะตัณหาหมดไปในตอนนี้ จากนั้นก็เป็นนามธรรม

นี่เราพูดถึงเรื่องวัตถุ เกสา โลมา ขึ้นก่อน เบิกอันนี้เข้าไปหมดสภาพแล้ว ด้านวัตถุทั้งหลายหมดสภาพด้วยการพิจารณาละเอียดลออ ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ราคะตัณหามันจะยกทัพมาจากไหนพังไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ถ้าลงพิจารณานี้แยกธาตุแยกขันธ์รวมเป็นอสุภะอสุภัง เป็นความละเอียดลออเข้ามาสู่จิตใจอันเดียว ใจเป็นตัวอสุภะอสุภัง ใจเป็นตัวโกหกหลอกลวงตัวเอง ไปวาดภาพนี้ขึ้นมาสวยงาม วาดภาพนี้ขึ้นมาไม่สวยงาม หลอกตนเองอยู่วันยังค่ำๆ เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว อันนั้นไหลเข้ามาๆ สู่ใจ ใจเป็นตัวโกหก ใจเป็นตัวว่าอสุภะอสุภังไม่สวยไม่งาม ใจเป็นตัวว่าสุภะคือความสวยความงาม ใจนี้ตัวหลอกลวงๆ ทีนี้อสุภะอสุภังทั้งหลายแตกกระจัดกระจายออกไป มารวมอยู่ที่ใจแห่งเดียว

ใจเป็นอสุภะอสุภัง ใจเป็นตัวป่าช้าผีดิบ ใจเป็นผู้หลงตัวเองต่างหาก พิจารณาตรงนี้ปล่อยตรงนี้อีก พอปล่อยตรงนี้แล้วเรื่องราคะตัณหาหมด หมดเข้าไปโดยลำดับจนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง เหลือแต่นามธรรมล้วนๆ รูปธรรมคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หมดปัญหาไปทางด้านวิปัสสนาปัญญาด้วยการพิจารณาละเอียดลออ ปล่อยวางได้หมดแล้ว จากนั้นก็เหลือแต่นามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ในขันธ์ ๕ นี้แหละ พิจารณาเวทนา ความสุข ความทุกข์ มันเกิดมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาจากใจ เกิดแล้วดับๆ ให้เห็นกลมายาของมัน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ความจดความจำ จำแล้วลืมไปๆ มีแต่เกิดกับดับๆ ทบทวนเข้าไป ไหลเข้าไปหาใจ นี่ละเรื่องการพิจารณาวิปัสสนาให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ไหลเข้าไปหาใจ สุดท้ายมีแต่นามธรรมเกิดจากใจแล้วดับที่ใจ อวิชชาอยู่ตรงนั้น อวิชชาตัวให้หลงความคิดความปรุงของตนเอง อยู่ที่ตรงนั้น เวลาพิจารณาทบทวนหลายครั้งหลายหน มันก็เข้าอกเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ เข้าไปถึงอวิชชา อวิชชาถอนพรวดขึ้นมาหมดโดยสิ้นเชิง กรรมฐานทั้งห้า หรือกรรมฐานใดๆ ก็ตามหมดโดยสิ้นเชิง เมื่ออวิชชาอันเดียวที่เป็นขวากเป็นหนาม กว้านสัตว์ทั้งหลายเข้ามาเผาอยู่ในป่าช้าผีดิบผีแห้งอยู่นี้ หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ ตั้งแต่บัดนั้นไปกรรมฐานไม่มีในจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว

กรรมฐานเหล่านี้เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน เมื่อจิตถึงขั้นบริสุทธิ์วิมุตติถึงพระนิพพานแล้ว กรรมฐานซึ่งเป็นทางเดินหมดลงโดยสิ้นเชิง กรรมฐานไม่มีในจิตของท่านผู้บริสุทธิ์แล้ว ที่ไม่บริสุทธิ์นั้นก็เอากรรมฐานนี้เป็นทางก้าวเดินไป เพราะจิตติดอันนี้ เมื่อจิตได้ถอดถอนจากอันนี้ไปแล้ว จิตจะปล่อยสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เข้ามาถึงขั้นบริสุทธิ์เป็นวิมุตติพระนิพพานหรือเป็นธรรมธาตุ กรรมฐานทั้งหลายที่เคยพิจารณามา หมดลงโดยสิ้นเชิง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล นิพพานหรือธรรมธาตุไม่ใช่สมมุติ ถึงที่สุดแห่งความเกิดแก่เจ็บตาย ถึงที่สุดหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงไม่มีกรรมฐานใดๆ ติดใจของท่านผู้บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วคือธรรมธาตุ

นี่ละกรรมฐานหมดโดยสิ้นเชิงในตอนนี้ นี่เรียกว่าเป็นทางเดิน พอถึงขั้นนี้แล้วหมด ไม่มีละกรรมฐานใดที่ไปติดใจของท่านผู้บริสุทธิ์ เกสา โลมา นี้ก็เป็นทางก้าวเดินหรือเป็นเครื่องมือบุกเบิก เมื่อเสร็จสิ้นงานการทั้งหลายแล้วเครื่องมือก็ปล่อยวางไว้ตามความจริง เหมือนเขาทำงานทำการ เมื่อเสร็จสิ้นการงานเรียบร้อยแล้ว เครื่องมือเขาก็เก็บกันรักษากันเป็นธรรมดา นี่ก็เหมือนกัน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ซึ่งเป็นเครื่องมือทำงาน เครื่องบุกเบิกกิเลสทั้งหลาย เมื่อกิเลสสิ้นเสร็จลงไปแล้ว เครื่องมือทั้งหลายเหล่านี้ก็ปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง กรรมฐานก็อยู่กับใจนี้แหละ แต่ใจไม่ยึดไม่ถือ กรรมฐานจึงไม่มีแก่ใจ ใจไม่ยึดไม่ถือกรรมฐาน ต่างอันต่างอาศัยกันอยู่ จิตที่บริสุทธิ์ก็อยู่ในเรือนร่างแห่งกรรมฐานนี้แหละ แต่ไม่ติดกรรมฐาน

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของพระอรหันต์กับปุถุชนมีเหมือนกัน แต่ท่านไม่ติด ท่านเป็นจิตวิมุตติหลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว นั้นแหละเป็นผู้พ้นแล้วจากกรรมฐานทั้งหลาย พ้นแล้วจากโทษทั้งปวง เอา พูดให้เต็มยัน ไม่มีใครพูดหลวงตาบัวองค์เดียวเป็นผู้พูด เมื่อหลุดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว สังฆาทิเสส ปาราชิก ไม่มี อาบัติอาจีทุกอย่างที่จะเข้าไปติดใจของพระอรหันต์ไม่มีเลย เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตนั้นเป็นจิตตวิมุตติหลุดพ้นไปแล้ว ยังเหลือตั้งแต่ธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติด้วยกันครองกันอยู่ จึงต้องรักษากิริยามารยาทอันสวยงามให้พอเหมาะพอสม

ทั้งฝ่ายศาสนาก็ยอมรับ ทั้งฝ่ายประชาชนก็ยอมรับ สังคมยอมรับกันด้วยมารยาทของผู้มีศีลธรรม ทั้งผู้ที่มีกิเลส ทั้งผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว มารยาทที่จะรักษาธาตุขันธ์นี้มีเสมอกัน ท่านรักษากันไปเพียงนั้น แต่ที่จะให้ท่านมาเป็นสังฆาฯ ปาราชิก หมด สุดวิสัยแล้วที่จะเป็นไปได้ ท่านครองขันธ์อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขันธ์อันนี้ก็ต้องปฏิบัติแบบโลกเขาปฏิบัติกัน เราเป็นพระก็ปฏิบัติแบบพระสมบูรณ์แบบตามเดิม โลกเขาก็เป็นโลกเขาตามเดิม ส่วนจิตบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้ว ไม่มีโทษมีภัย ไม่มีกรรมอันใดที่จะเข้าไปติดจิตที่บริสุทธิ์แล้ว

เพราะฉะนั้นจึงว่า สังฆาทิเสส ปาราชิก เป็นโทษที่หนักที่สุดในวงสมมุติ กิเลสสลัดปัดขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นคนละฝั่ง เป็นนิพพาน เป็นธรรมธาตุแล้วหมดโดยสิ้นเชิง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติ สังฆาฯ ปาราชิกเป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ หลุดพ้นแล้วครองขันธ์อยู่ ที่เป็นสมมุติก็คือขันธ์ ขันธ์นี้ต้องรักษาไว้จนถึงกาลเวลา เพศของพระรักษากิริยามารยาท ความประพฤติปฏิบัติของพระให้อยู่ในศีลในธรรมจนกระทั่งถึงวันนิพพานก็สิ้นสุดไป หมดทั้งโลกทั้งธรรมอยู่ด้วยกัน ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว วิมุตติหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง

นี่ละภาคปฏิบัติพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราพูดมานี้ถอดจากหัวใจมาพูดนะ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์อยู่ด้วยกันก็จริง แต่จิตไม่มีในนั้นแล้ว ผ่านไปหมดโดยสิ้นเชิง ว่ารักว่าชอบว่าอะไรก็พูดไปตามกิริยาของสมมุติที่มีอยู่ในขันธ์ทั้งของเขาของเราเท่านั้น ที่จะให้มาเป็นมลทินมัวหมอง ให้ไปตกนรกอเวจีอย่างโลกทั้งหลายเป็นกัน อย่างผู้มีกิเลสอย่างเดียวกันตกกันไม่มี จิตของท่านผู้บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง ท่านผู้นี้ครองแต่ขันธ์ ครองแต่ความสวยงามตามสังคมยอมรับทั้งฝ่ายพระฝ่ายฆราวาส พระก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของพระสมบูรณ์แบบไปโดยลำดับจนกระทั่งวันนิพพานเท่านั้น ฆราวาสก็ปฏิบัติไปตามฆราวาส นี้คือการปฏิบัติกรรมฐาน ถึงจุดสุดท้ายไม่มีอะไรเหลือแล้ว

คำว่า อตฺตา ก็ดี อนตฺตา ก็ดี เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน เมื่อก้าวเดินผ่านพ้นสุดท้ายไปแล้ว อันนั้นคือพระนิพพาน อันนี้คือไตรลักษณ์คือทางเดิน จึงเป็นคนละฝั่ง ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ อย่าพากันไปถกไปเถียงกัน ให้รู้ขึ้นที่ใจนี้จะไม่ถามใครเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างไรจะรู้ขึ้นทันทีทันใดเลย เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ถามท่านหาอะไร ความรู้ ความวิเศษวิโส ความหลุดพ้นเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกๆ พระองค์ กับผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว เป็นสาวกก็ตาม ถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วไม่ได้ถามกัน

นี่ละธรรมให้ถึงขั้น สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดแล้ว ไม่ต้องมีใครถามใครอีกเลย ที่บริสุทธิ์แล้วยังจะให้คนอื่นมายืนยันรับรอง เช่น บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เรียบร้อยแล้วยังต้องให้พระพุทธเจ้ามารับรอง ไม่มีในคัมภีร์ ไม่มีในความจริง คัมภีร์ก็ไม่มี ความจริงก็ไม่มี ความจริงมีแต่ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้บรรลุธรรมรู้ด้วยตัวเองๆ โดยลำดับๆ จนกระทั่ง สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอด คือหลุดพ้นแล้วก็รู้ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า นี่ละธรรมเป็นธรรมชั้นเอก

ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรมแล้วมาสอนโลก ว่าผิดเพี้ยนไปไม่มี ตรงเป๋งๆ ตลอด คงเส้นคงวาหนาแน่น จึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้พากันปฏิบัติตามสายทางเดินที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เถิด มรรคผลนิพพานจะเป็นของท่านทั้งหลาย จะเป็นผู้ตักตวงมาเป็นสมบัติของตนแต่ผู้เดียว แต่ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสอนพระพุทธเจ้านั้นคือผู้บืนลงนรกอเวจี ว่าบาปไม่มี ผู้ว่าบาปไม่มีผู้นี้จะสร้างความล่มจมให้แก่ตัวเอง ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ พอตายแล้วไม่ต้องบอก ยมบาลลากคอไปเลย ถ้ามีหางลากหางไปเลย มีคอลากคอ มีแขนลากแขน ลากไปหมด ลงนรกอเวจี ไม่มีคำว่าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ในนรกอเวจีไม่มี มีอยู่กับตัวเองที่สร้างไว้แล้วโดยสมบูรณ์ กรรมอันนี้ก็ไปโดยสมบูรณ์ ลงนรกอเวจีภูมิใดๆ ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรก สวรรค์ ไม่มี ว่าเท่าไรก็มีแต่ลมปากที่หายใจฝอดๆ ตายแล้วลมปากหมดอำนาจนะ กรรมต่างหากเป็นธรรมชาติที่มีอำนาจมาก บังคับสัตว์ทั้งหลาย กรรมอันนั้นมีอยู่กับใคร อยู่กับผู้ทำ ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ท่านว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายาโท กรรมเป็นของของตนทุกคน จะแบ่งสันปันส่วนให้ผู้ใดไม่ได้ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นผู้พาให้เกิดให้ตาย ให้ดีให้ชั่ว ใครทำบาปทำกรรมทำบุญทำอะไรเป็นของผู้นั้นโดยสิ้นเชิง ไม่เป็นของผู้อื่นผู้ใด

จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้ระมัดระวัง กรรมนี้อยู่กับตัวของเราทุกคนผู้ทำ ไม่ทำดีก็ทำชั่ว ไม่ทำชั่วก็ทำดี จากนั้นก็ทำกลางๆ ท่านจึงว่า กุศล อกุศล อัพยากตา เป็นสามอย่าง กลางๆ ไม่เป็นบาปเป็นบุญ เช่นอย่างเรารับประทานไม่เป็นบาป ถ้าไม่โลภมาก ถ้าโลภมาก กินไม่หยุดไม่ถอยท้องก็แตก บาปก็เป็นในคนนั้น เข้าใจ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติ

พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกแล้ว ยืนยันด้วยภาคปฏิบัติ เพียงเราเรียนในตำรับตำราซึ่งเป็นความถูกต้องก็จริง แต่ยังไม่ถนัดชัดเจนยิ่งกว่าเราเรียนมาแล้วนำตำรับตำรามาเป็นแบบแปลนแผนผัง กางแบบแปลนแผนผังแล้วปฏิบัติตามตำรับตำราที่ท่านสอน จนเป็นผลปรากฏขึ้นมาแต่ต้น เช่น สมถธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม วิมุตติหลุดพ้นจากการปฏิบัตินี้ทั้งนั้น เพียงเราเรียนมาเฉยๆ เป็นความจำได้ๆ แบบแปลนแผนผัง เรียนเท่าไรก็ละกิเลสไม่ได้ เรียนมากเรียนน้อยก็เรียนเพื่อเป็นแบบแปลนแผนผังไปปฏิบัติ เพื่อเอาผลจากการปฏิบัตินี้ต่างหาก เป็นปฏิเวธขึ้นมาๆ คือความรู้แจ้งแทงทะลุ

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติคือแบบแปลนแผนผัง ให้จดจำแบบแปลนแผนผังแล้วมาปฏิบัติ เช่น ปลูกบ้านปลูกเรือน แปลนเขามีแล้วปลูกบ้านปลูกเรือน เอาแปลนนั้นมากางแล้วปลูกบ้านปลูกเรือน จะเอากี่ห้องกี่หับกว้างแคบขนาดไหน เอ้า สร้างขึ้นมาตามแปลน สำเร็จตามแปลนขึ้นมาโดยลำดับ จนเป็นตึกรามบ้านช่องโดยสมบูรณ์แบบ อันนี้ก็เหมือนกัน เรียนมาแล้วปริยัติ เอ้า ปริยัติเรียนมาจดจำ จากนี้ปฏิบัติ ปฏิบัติจิตมันเป็นยังไง มันไม่มีความสงบร่มเย็น ว้าวุ่นขุ่นมัวทั้งๆ ที่เรียนมามากจนคัมภีร์จะแตก กิเลสตัวเดียวไม่ถลอกปอกเปิก เป็นเพราะเหตุไร

เป็นเพราะเหตุว่า เอาคัมภีร์มากางไล่กิเลส กิเลสไม่ออก ต้องเอาภาคปฏิบัติมากาง ไล่กิเลสออกๆ ออกจนหมดโดยสิ้นเชิง เป็นปฏิเวธคือความรู้แจ้งเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุไปหมด นี่เรียกว่าศาสนาสมบูรณ์แบบ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าขาดนี้แล้วศาสนาขาดบาทขาดตาเต็ง ไม่เต็มบาทเต็มเต็งละ ให้เอาปริยัติมากางแล้วปฏิบัติตัวเอง ปฏิบัติตัวเองแล้วก็เป็นปฏิเวธ ผลก็ได้ขึ้นมาเป็นลำดับจนเป็นปฏิเวธโดยสมบูรณ์ขึ้นมา นี่ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้พากันนำไปปฏิบัติ

อย่าเชื่อใครยิ่งกว่าเชื่อพระพุทธเจ้า นอกนั้นเป็นคนมีกิเลสทั้งหมด ด้นเดาเกาหมัดไปได้ทั้งเขาทั้งเรา ผิดถูกดีชั่วเกาดะไปเลย ยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนเขาเกาเฉพาะที่คันๆ ไอ้มนุษย์มนาหยาบหนาด้วยกิเลสตัณหามันเกาดะไปเลยนะ มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปเลย พระพุทธเจ้าว่าบาปมี มันบอกไม่มี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี มันบอกว่าไม่มีๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปหมด คือเหยียบหัวตัวเองให้แหลกเหลวนั้นเอง ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่ก็เหลือแต่ลมหายใจ พอลมหายใจขาดสะบั้นแล้วตูมลงในนรก ไหนนรกมีหรือไม่มี โดนแล้ว นรกมีหรือไม่มีโดนแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ

พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วด้วยความชอบธรรม คือสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว มันฝืนมันเก่งกว่าศาสดา เหยียบหัวศาสดาลงไปก็จมลงนรกได้ ผู้เหยียบหัวศาสดามีแต่ผู้ลงนรกอเวจีทั้งนั้น ผู้ประคับประคองเดินตามรอยศาสดาที่สอนไว้นี้ คือผู้จะไปสวรรค์ นิพพาน โดยสมบูรณ์ทั่วกัน พากันจำเอาทุกท่านทุกคน

วันนี้เป็นวันมงคลของพี่น้องทั้งหลาย เรามาหวังบุญหวังกุศลนี้เต็มศาลา นอกศาลานี้แล้วยังมีอีกเต็มไปหมด จึงเรียกว่าเป็นมหามงคล บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่มาในวันนี้ก็มาเพื่อความเป็นมงคล ขอให้ยึดหลักธรรมที่สอนไว้นี้โดยถูกต้องไปปฏิบัติตนเพื่อทรงมรรคทรงผล มรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ นั้นเป็นชื่อมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่หัวใจเราผู้สร้างบาปสร้างบุญนี้เอง แล้วนรกอเวจีก็อยู่ที่หัวใจเราผู้สร้างบาปสร้างบุญ

ขอให้สร้างความดีให้ดี มรรคผลนิพพานจะเบิกกว้างๆ ขึ้นกับใจของเราแล้วถึงได้ พระพุทธเจ้าท่านเอาสะพานพาดเอาไว้ คือคำสอน สอนไว้แล้วโดยถูกต้อง เรียกว่าสวากขาตธรรม ให้ดำเนินตามนี้อย่าฝ่าอย่าฝืน ถ้าใครไม่อยากจมลงในนรกทั้งเป็นให้ตั้งใจปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะคำพูดของคนในโลกนี้ไม่มีคำพูดใดที่จะแน่นอน ยิ่งกว่าคำพูดของศาสดาองค์เอก ศาสดาองค์เอกตรัสออกมาอะไรเป็นสวากขาตธรรมๆ ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทั้งนั้นเลย พวกเราพูดออกมาคำใดหลอกลวงต้มตุ๋น ไปได้ทุกแง่ทุกมุม

ยกตัวอย่างเช่นพวกที่มีครอบครัว ก็มันมีครอบครัวเราก็ต้องพูดเรื่องครอบครัวไปบ้างละซี มีครอบครัว ผัวตัวแสบเวลาไปเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อนแล้วไปติดผู้หญิง วิ่งตามผู้หญิงไป ทางเมียเดือดร้อนอยู่ทางบ้านทางเรือน แล้วเวลาเขามาถาม พ่อบ้านไปไหนล่ะ นายนั่นไปไหนล่ะ นายบ้าผู้หญิงไปไหนล่ะ ไม่ทราบ หายไปได้หลายวันแล้ว มันติดผู้หญิง นี่ละบ้าผู้หญิงบ้ากิเลส ทำครอบครัวให้แตกแหลกเหลวไปหมด นี่ละคนเลยขอบเขตไม่ฟังเสียงพระพุทธเจ้า กาเมสุ มิจฉาจาร เป็นขอบเขตอันหนาแน่นมั่นคง มันไม่ยอมอยู่ในหลักศีลหลักธรรม มันปีนศีล กาเมสุ มิจฉาจาร คือเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ไป เห็นผู้หญิงว่าเป็นของดิบของดี มันเอาฟืนเอาไฟเผาหัวอกเมียมันอยู่ในบ้านไม่รู้ตัว นี่ละพวกสัตว์นรกทั้งเป็น พากันดูเอา

มีไหมที่มาฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่นี้ ผัวจองหอง เมียจองหอง มีไหม ให้ปราบความจองหองของตัวเอง เรื่องราคะตัณหามีอยู่กับทุกคน แม้แต่สัตว์เขาก็มี คนเราแท้ๆ เป็นผู้มีศีลมีธรรม มียาแก้ มีเครื่องปราบ ทำไมไม่เอามาปราบสิ่งเสนียดจัญไรที่มันพาคึกพาคะนองให้เป็นบ้ากันทั้งครอบครัว เอาไฟเผากันอยู่นี้ ไม่เอามาปราบมันบ้าง ต้องเอาศีลเอาธรรมปราบ อันอื่นปราบไม่ได้นะ ต้องเอาศีลเอาธรรมมาปราบมันแล้วจะสงบร่มเย็น ผัวก็เย็น เมียก็เย็น ผัวเมียไว้ใจกันได้ ถึงไหนถึงกัน ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่หัวใจที่ฝากเป็นฝากตายต่อกันนี้ไม่ทุกข์ เพราะมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ไปที่ไหนเป็นสุขๆ

เศรษฐีมหาเศรษฐีมีเงินเป็นล้านๆ จมลงได้เพราะความลืมตัวมีมากนะ เรื่องเหล่านี้ในตำราท่านแสดงไว้มาก เศรษฐีมีเงินมากลืมเนื้อลืมตัวไปจ้างผู้ย่าผู้หญิงลูกหลานใครก็ตามเอามาบำรุงบำเรอ ก่อฟืนก่อไฟเผาให้เขาเดือดร้อนไปทุกครอบครัวเรือน เกิดฟืนเกิดไฟเผาไปหมดเพราะความลืมตัวของเศรษฐีนั่นแหละ ครั้นตายลงไปแล้วไปจมอยู่ในนรก นั่นเห็นไหมล่ะ เงินนั่นละพาเจ้าของให้จมเพราะลืมตัว ผู้มีเงินด้วยความมีศีลธรรมไม่ลืมตัว มีมากเท่าไรก็เก็บไว้เพื่อผลประโยชน์ ที่ควรจ่ายไปก็จ่ายไปเพื่อผลประโยชน์ นี่เรียกว่าผู้มีธรรมไม่เสียตัว พากันจดจำเอา

มีห้ามีสิบแบ่งสันปันส่วนไว้ด้วยดี อันนี้แบ่งไว้สำหรับครอบครัว อันนี้แบ่งไว้สำหรับความจำเป็นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย และความจำเป็นอย่างอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ แยกไว้ให้ดี อันนี้แบ่งไว้สำหรับทำบุญให้ทาน เพื่อเป็นผลประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อจิตใจของเรา เวลาตายไปแล้วจะได้อาศัยบุญกุศลที่เราบริจาคทานนี้ละมาเป็นผู้พึ่งเป็นพึ่งตาย ยกเราไปสวรรค์นิพพานได้เพราะบุญกุศลนี้ สมบัติเหล่านั้นที่ทิ้งไว้เฉยๆ ก็เป็นเศษกระดาษ เศษเงินเศษทอง เศษแร่ธาตุต่างๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นำมาทำประโยชน์ก็เป็นประโยชน์แก่เรา นี่ให้คิดกันอย่างนั้นนะ

อย่าสุรุ่ยสุร่ายลืมเนื้อลืมตัว ผิดประเพณีของชาวพุทธเรา ให้รู้จักความพอดิบพอดีทุกสิ่งทุกอย่าง การปฏิบัติตนเองเรามีศีลมีธรรม อย่าให้ศีลธรรมผ่านไปได้ มีตั้งแต่กิเลสเต็มหัวใจเป็นไฟเผาตัวนะ ถ้ามีศีลธรรมเต็มหัวใจอยู่ไหนสบายหมดนั่นแหละ สบาย ยกตัวอย่างเช่นพระท่านปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ แล้ว การอยู่การกินใช้สอยท่านไม่เป็นกังวล อยู่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น นอนไหนนอนได้ ล้มที่ไหนหลับไป ตื่นขึ้นมาภาวนาเรื่อยไป ละกิเลสเรื่อยไปๆ จนกิเลสม้วนเสื่อลงไปแล้วท่านแสนสบาย อยู่ในกระต๊อบก็สบาย อยู่ร่มไม้ก็สบาย อยู่ในถ้ำเงื้อมผาท่านก็สบาย เพราะสบายอยู่ที่จิตใจ ไม่ได้สบายอยู่ที่หอปราสาทราชมณเทียร ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นไฟเผาอกนี้ ไปอยู่หอปราสาทไหนก็มีแต่หอปราสาท แต่ตัวเองเป็นไฟเผาหัวอกมันดีแล้วเหรอ

ให้เอาธรรมเข้ามาชโลมใจเรา หล่อเลี้ยงจิตใจ มีความสงบร่มเย็น อยู่ไหนสบาย ตายก็ตายง่ายผู้มีธรรมในใจ ยิ่งผู้มีธรรมเต็มหัวใจแล้วตายง่ายที่สุด ไม่ยากอะไรเลย ซุกหัวลงร่มไม้ร่มไหนตายได้สบาย อยู่ในถ้ำเงื้อมผาที่ไหนตายได้สบายๆ ผู้มีธรรมในใจไม่มีความกังวล แต่ผู้มีกิเลสเต็มหัวใจยังไม่ตายก็กลัวตายๆ อย่างพระผีบ้าตะกี้นี้มาขอพรให้อายุยั่งยืนๆ มันยั่งยืนไปที่ไหน โลกเขาโลกตายทั้งนั้นจะให้ยั่งยืนไปไหน มันบ้าพระอย่างนี้น่ะ เข้าใจไหม ก็เรื่องมันจะตายอยู่แล้วด้วยกัน อยู่กับลมหายใจ ลมหายใจหมดเมื่อไรตัวผู้มาอาราธนามันก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ อย่าว่าแต่ผู้รับอาราธนา เราจึงไม่รับ รับอาราธนาโมฆะ อาราธนาขวางโลก เรารับไม่ได้ ธรรมไม่ใช่ธรรมขวางโลก กิเลสต่างหากขวางโลก พากันจดจำไปพิจารณาตัวเองซิ

การแนะนำสั่งสอนก็เพื่อความเป็นอรรถเป็นธรรม ขอให้ทุกๆ ท่านที่มาทั้งใกล้ทั้งไกล วันนี้มาเสาะแสวงหาบุญหากุศลจากครูจากอาจารย์ ได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วก็ชุ่มเย็นภายในจิตใจ นำไปประกอบหน้าที่การงานทางโลกก็สงบร่มเย็น ทางธรรมก็ยิ่งชุ่มเย็นภายในใจ ตายแล้วเป็นสุขๆ ขอให้ท่านทั้งหลายจำนี้ไว้ให้ดี

วันนี้เป็นโอกาสอันดีจึงได้ให้โอวาทสั่งสอนท่านทั้งหลาย ทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ตลอดประชาชน ให้ได้นำธรรมที่เลิศเลอนี้ออกไปปฏิบัติต่อตัวเอง แล้วจะเป็นมงคลขึ้นมาในตัวเองทั่วหน้ากัน ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีมากขนาดไหนก็ไม่เกิดประโยชน์ เป็นเศษมนุษย์อยู่เท่านั้นเอง ถ้าทำมนุษย์ให้มีคุณค่ามีราคา ต้องรู้จักดีจักชั่ว ต้องคัดเลือกสิ่งดีสิ่งชั่วออกจากตัว สิ่งดีนำเข้ามา สิ่งชั่วปัดออกไป ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ก็จะเป็นมงคลแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน การเทศนาว่าการมากไปๆ ธาตุขันธ์มันก็ไม่อำนวย มันคอยที่จะหลุดลุ่ยๆ คอยที่จะพัง ดีไม่ดีเครื่องรถวิ่งไปๆ เครื่องมันก็จะหยุด ทั้งๆ ที่เจ้าของเหยียบคันเร่งอยู่ เครื่องมันหยุดแล้วเหยียบจนฝ่าเท้าขาดมันก็ไม่ไปละ อันนี้ก็เหมือนกัน ธาตุขันธ์เหยียบมันไปๆ สุดท้ายฝ่าเท้าก็จะขาด

เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวล่ำเวลา จึงขอฝากธรรมะไว้กับบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ทั้งฝ่ายพระและฝ่ายฆราวาส ธรรมที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้เป็นธรรมที่เป็นมงคล ถอดออกมาจากจิตใจทุกอย่างที่มาพูดวันนี้ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เช่น สังฆาฯ ปาราชิก ไม่มีในพระอรหันต์ นี่ก็ไม่มีใครพูด เราพูดได้อย่างเต็มปากของเรา เต็มหัวใจของเรา ทุกอย่างออกมาจากนี้ จึงไม่มีความสงสัยว่าจะผิดไป ส่วนใดที่ยอมรับในทางสมมุติก็ยอมรับ ส่วนใดที่พ้นจากสมมุติไปแล้วก็บอกว่าพ้น เช่นจิตที่บริสุทธิ์แล้วหมด ขึ้นชื่อว่าสมมุติโดยประการทั้งปวงเข้าไม่ถึงเลย เป็นอฐานะ ให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้แล้ว ส่วนที่เป็นสมมุติยังมีความดีความชั่ว ความรับผิดถูกดีชั่วกันอยู่ ก็ปฏิบัติให้เป็นความสวยงามที่สังคมยอมรับทั้งฝ่ายพระและฝ่ายฆราวาส โลกก็มีความสงบร่มเย็นและงามตาไปด้วยกัน มองดูพระก็งามตา มองดูฆราวาสก็งามตาเพราะการปฏิบัติให้ถูกต้องต่อสังคมที่ยอมรับกัน

การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก