เหตุที่เทศน์เป็นขวานผ่าซาก
วันที่ 28 กรกฎาคม. 2548 เวลา 8:10 น. ความยาว 37.12 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

เหตุที่เทศน์เป็นขวานผ่าซาก

 

ก่อนจังหัน

พระให้เร่งความเพียรนะ ในพรรษาให้เร่งเต็มที่ อย่าอยู่จืดๆ ชืดๆ ดูไม่ได้นะเท่าที่ผมรับหมู่เพื่อนมานี้ผมแบบหูหนวกตาบอดนะ พูดจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่น มันหากมีอยู่นั้น เจ้าของไม่มีเจตนาก็ตาม แต่นิสัยมันติดใจ เซ่อๆ ซ่าๆ ไม่เอาไหนมีอยู่ เรื่องของกิเลสทั้งนั้นนะนี่ เรื่องของธรรมจะจ้อตลอด สตินั่นละสำคัญมากทีเดียว พูดที่ไหนพูดตลอดเวลาสตินี่สำคัญมาก ถ้าสติยังอยู่แล้ว กิเลสให้มันคลื่นเท่าทะเลมาก็เถอะ สติตีไว้ได้ทั้งนั้นๆ ถ้ามีสติแล้วกิเลสไม่เกิด ฟังให้ดีคำนี้

ความคิดความปรุงนั้นคือกิเลส เรียกว่าสังขาร สังขารสมุทัยออกจาก อวิชฺชาปจฺจยา อวิชชาหนุนออกมาให้สังขารนี้ดันออก ทีนี้สติมีอยู่ และมีคำบริกรรมตีเอาไว้ๆ มันแน่นอยู่ในหัวอกนะ มันอยากออกๆ สติกับคำบริกรรมตีเอาไว้ ปิดเอาไว้ จำให้ดีนะพูดเหล่านี้ ผ่านมาแล้วทั้งนั้น แทบเป็นแทบตาย ตั้งสติวันแรกคือเลขลงตัวแล้ว ที่เราเสื่อมมาได้ปีกับ ๕ เดือนเป็นเพราะเหตุไรๆ แทบเป็นแทบตาย ๑๔-๑๕ วันตั้งขึ้นได้เพียง ๒ คืน ๓ คืนลงเลย ลงนี่เหมือนกลิ้งครกลงจากภูเขา พึดเลยเวลาลง อะไรต้านทานไม่ได้ หัวเราเรียกว่ามันทับไปเลย หัวแตก เอ้า ไสขึ้นไปอีกๆ ก็เป็นแบบเก่า

ที่เราทำนี้เรากำหนดเอาแต่ผู้รู้อย่างเดียว กำหนดแต่ผู้รู้ๆ สติมันเผลอไปได้ เลยเจริญแล้วเสื่อมๆ ทดสอบไปมาหลายครั้งหลายหน คงขาดเรื่องคำบริกรรม สติขาดตรงนั้นจิตจึงเจริญแล้วเสื่อมๆ พิจารณาทบทวน แน่ใจแล้วละที่นี่ เอ้า จะเอาคำบริกรรมใส่ สติจะติดแนบ เอ้า เจริญให้เจริญไป เสื่อมให้เสื่อมไป ไม่สนใจ แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะติดแนบกันไม่ปล่อย ว่างั้นละ ลงใจ เหมือนนักมวยละที่นี่นะ เอาละที่นี่ เหมือนว่าระฆังดังเป๋ง สติจับปุ๊บเลย ตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งหลับ เผลอไปไม่ได้ ทุกข์มากตรงนี้นะ ทุกข์มากที่สุด โถ ตกนรกทั้งเป็น กิเลสกับธรรมฟัดกันตอนนี้ ธรรมก็คือสติธรรม กับคำบริกรรมนั่นน่ะเป็นธรรม ทางกิเลสก็ความคิดความปรุงดันออกมาจากอวิชชา

เอาเป็นเอาตายไม่ยอมให้เผลอเลย มันจะเผลอไปไหนได้วะ เอ้าที่นี่มันจะเสื่อมไปไหนให้รู้กันคราวนี้ ฟาดกันไป วันแรกเหมือนอกจะแตกจริงๆ เห็นชัดเจน ก็เจ้าของทำมาแล้ว พอวันที่สองค่อยเบาลงๆ สติไม่ถอย ไม่ยอมให้เผลอเลย วันที่สามค่อยเบาลงๆ เรื่องสตินี้ไม่ปล่อยเลยตลอดๆ นี่ละตกนรกทั้งเป็น แต่สติตั้งในเวลาสองวันสามวันไปนี้กิเลสมันอ่อนตัวลง สังขารดันไม่แรงๆ สติก็สะดวกๆ จากนั้นจิตก็เจริญขึ้นไป เจริญขึ้นไปถึงจุดนั้นละจุดที่มันเคยเสื่อม เอา เสื่อมไป บอกงั้นเลย มันจะเสื่อมไปไหนเสื่อม เราไม่อยากให้เสื่อมพอแล้ว อกเราจะแตก เอา เจริญๆ เสื่อมๆ ปล่อย ไม่เป็นอารมณ์ จะเป็นอารมณ์อยู่กับคำบริกรรมกับสตินี่เท่านั้น ฟัดกันไปถึงนั่นแล้ว เอ้าๆ เสื่อม อยากเสื่อมเสื่อมไปไม่เสียดาย แต่คำบริกรรมนี้จะไม่ปล่อย

จิตไปถึงนั้นแล้วไม่เสื่อม เมื่อไม่เสื่อมก็ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นจนกระทั่งละเอียดสุดในหัวใจที่คำบริกรรมจนบริกรรมไม่ได้ จิตเข้าถึงความสงบแล้วแน่ว คำบริกรรมที่เราเคยบริกรรมนั้นหายเงียบ ปรุงไม่ได้ๆ เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด สติจับไว้นั้นอีกไม่ยอมปล่อย เหมือนกับนักโทษผู้ต้องหาอุกฉกรรจ์นั่นแหละ มันนอนก็มัดคออยู่นั้นโซ่ ยืนเดินไปไหนโซ่มัดคอๆ อันนี้ก็เหมือนกัน เอาสติกับคำบริกรรมมัดคอ ทีนี้พอเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วเฝ้าประตู คือมันบริกรรมไม่ได้ มันละเอียดขนาดนั้นสุดคำบริกรรม นึกยังไงไม่ออก เอา ไม่ออกก็ไม่ออก เอาสติจับไว้ประตู นั่น พอมันคลี่คลายออกมาถอนออกมานี้ จิตสงบแล้วบริกรรมไม่ได้นะ พอมันถอนออกมาหน่อยเท่านั้นจับคำบิกรรมใส่ๆ  ทีนี้ก็เจริญขึ้นๆ

ถึงขั้นมันจะเสื่อม เอ้า เสื่อม ว่างั้นเลย กลับไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ จึงมาจับได้ว่า อ๋อ นี่ขาดคำบริกรรม ขาดสติกับคำบริกรรม ตั้งแต่นั้นเลยเป็นครูสอนอย่างเอก ที่มาสอนหมู่เพื่อนนี้สอนด้วยความผ่านมาแล้วนะ ไม่ได้สอนงูๆ ปลาๆ นะ จากนั้นก็ขึ้นเรื่อยๆ เลย จนกระทั่งมาเป็นหลวงตาอยู่เดี๋ยวนี้ อำนาจของสติสำคัญมาก สตินี่สำคัญมากสำหรับนักภาวนาเพื่อแก้กิเลสตัณหาเพื่อมรรคผลนิพพานแล้วสติพรากไม่ได้ เอาให้ดีๆ พื้นฐานเบื้องต้นสติกับคำบริกรรมติด จนกระทั่งจิตมีความสงบเป็นสมาธิไปแล้ว คำบริกรรมไม่จำเป็น ให้อยู่กับจุดที่รู้เด่นๆ นั้นด้วยสติอีก ติดกันไปเรื่อยๆ จำให้ดี

สอนหมู่เพื่อนสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย  สอนด้วยสิ่งที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น และไม่สงสัยในการสอนด้วยนะ ควรจะยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไปปฏิบัติด้วยความจริงจัง ถ้าไม่จริงจัง เหลาะๆ แหละๆ นี่ตายทิ้งเปล่าๆ นะ ผมอุตส่าห์พยายามรับพระรับเณรมา เก้ๆ กังๆ อะไรตามนิสัยที่เคยมาอย่างนั้นๆ ก็เหมือนกับว่าหลับหูหลับตาไปบ้าง บางทีทนไม่ไหวก็วากเสียบ้าง ถ้าทนไหวก็ทนไปอยู่ไป หลับหูหลับตาเหมือนหูหนวกตาบอดเดินไปไหน กับพระกับเณร มันเป็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง ไม่ได้ดูถูกกัน ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ลักษณะอย่างนี้หรือลักษณะจะแก้กิเลส นั่น ลักษณะนี้ส่งเสริมกิเลสต่างหาก ไม่ใช่ลักษณะแก้กิเลส

ลักษณะแก้กิเลสเป็นยังไง จ้อ นั่น จ้อด้วยสติด้วยปัญญา สัมปชัญญะติดแนบๆ นี่ผู้จะฆ่ากิเลสฆ่าอย่างนี้ พ้นได้เลยไม่สงสัย ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เป็นสองละ มันเป็นสามเป็นสี่เป็นห้าแตกแขนงตั้งแต่กิเลส หลอกแง่นั้นหลอกแง่นี้ หลอกกิ่งนั้น หลอกไปตกนรกหมกไหม้ทั้งเป็นเพราะมันนั่นแหละ จำให้ดีทุกคน เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

วันพรุ่งนี้วันพระ ตอนบ่ายโมง ท่านเจ้าคุณวัดโพธิฯ จะพาบริษัทบริวารประชาชนมาที่นี่ เราก็ต้องได้อยู่ต้อนรับ ท่านเคยมาเป็นประจำ ท่านแก่แล้วท่านก็ยังอุตส่าห์มา พาพวกญาติพวกโยมแหละมา เคารพนับถือกัน สนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่เป็นเปรียญอยู่ด้วยกัน เราออกปฏิบัติท่านก็ออกมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดเรื่อยมา นิสัยท่านนิ่มนวลอ่อนหวาน นิสัยเรานี้มันเหมือนลิงเหมือนแมว ตีท่านเรื่อยตบท่านเรื่อย ท่านไม่สนใจนะ อย่างนี้ละคนเราเมื่อนิสัยใจคอเข้าถึงกันแล้ว อะไรก็ตามไม่สนใจทั้งนั้น อย่างเรานี่เหมือนลิงเหมือนแมว ตบท่านเรื่อย ท่านยังสบายอยู่ เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่ารู้นิสัยกัน เราก็รู้นิสัยท่าน

พอพูดอย่างนี้ก็นั่นละที่ไปชำระอธิกรณ์ที่วัดโพธิฯ ก็ทำให้ระลึกได้เรื่องนี้นะ เกิดเรื่องราวอะไรกัน ประชุมจนกระทั่งเอาเจ้าคณะภาคมาประชุม ๒ วันลงกันไม่ได้เลย ท่านเจ้าคุณนี่ละท่านคงจะโมโหท่า เลยให้เณรน้อยถือจดหมายมา คือแต่ก่อนรถยนต์ไม่มี มาไม่ได้ ต้องเดินด้วยเท้า ท่านให้เณรน้อยถือมาไม่ใส่ซงใส่ซองอะไรละ เขียนแล้วพับส่งให้เณรมา ตอนนั้นเรากำลังป่วยแต่ไปไหนมาไหนได้อยู่ ให้เณรวัดโพธิฯ มา มาเราก็อ่าน

นิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิฯ เวลานี้ไฟกำลังโหมเต็มที่ เท่านั้นเองไม่มากนะ นิมนต์ท่านไปดับไฟวัดโพธิฯ เวลานี้ไฟกำลังโหมเต็มที่ เอ้อ มันยังไงกัน เราก็ทราบวี่แววอยู่บ้างแล้วก่อนเรื่องจะเกิดจะประชุม ก็เลยสะพายบาตรเดินไปเลยเชียว เพราะไม่มีรถ นั่นละที่นี่ไปก็ชำระอธิกรณ์ ฟาดเสียสองวันไม่จบ ท่านเจ้าคุณจึงให้มาเอาเราไป ท่านคงจะโมโหมาก ไปก็ไปประชุมวันที่ ๓ ละ วันที่ ๓ เอาเราเข้าด้วย มันจะไปเข้าถึงอะไร มันมีเรื่องอะไรขึ้นมาต่อนะ เรื่องนิสัยใจดี ท่านเจ้าคุณนี่ก็เหมือนกัน สวยงามมาก ใจดีมาก

ทีนี้ก็ไปประชุมกันเรื่องนี้ละ ก่อนที่จะมาหาท่านท่านพูดกับพระกับเณรในวัดไว้หมดนะ ก็พูดตามความจริงละ ท่านพูดเองพูดอย่างนี้นะ บอกว่าท่านมหาบัวนี้เป็นที่ไว้ใจได้ทุกอย่าง ตรงไปตรงมาแน่วแน่เป็นอรรถเป็นธรรม ท่านมานี้ท่านพูดอะไรให้ฟังนะ ประกาศให้พระเณรให้ฟังเสียงท่าน เท่าที่ทราบมาด้วยกันแล้ว ท่านไม่เคยเอนเคยเอียงละ ตรงไปตรงมาเลย วันนี้คอยฟังเสียงท่านก็แล้วกัน บอกพระเณรในวัด พอได้เวลาก็ประชุม ตกลงมอบให้เราหมดนะ อะไรก็หมดฤทธิ์หมดเดชแล้วแหละ ว่าอย่างนั้น เราไม่ได้ลืมนะ เอ้า นิมนต์ท่านอาจารย์เถอะ จะว่าท่านอาจารย์ก็ได้ มหาก็ได้ ตอนนั้นดูเหมือนอายุสัก ๔๐ มัง แต่ท่านเรียกท่านอาจารย์ไปเลย เอ้า อะไรก็หมดฤทธิ์หมดเดชแล้ว ทีนี้มอบให้ท่านอาจารย์ แล้วแต่ท่านอาจารย์จะชี้ขาดมาคำไหน ทางนี้จะคอยปฏิบัติตาม

จากนั้นก็เอาละที่นี่ เราเป็นผู้ซักทุกอย่างๆ ไม่มีอะไรพระเณรทั้งหมดผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่นั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไปอยู่ในงานนั้น ทีนี้เราก็ซักนั่นซักนี่ซักไปซักมา ลงจุดไหน เอา ถ้าถูกแล้วให้พระเณรยกมือ ถ้าผิดแล้วให้เงียบ ว่างั้นละ ทีนี้พอลงจุดไหนก็ยกมือๆ สาธุด้วยซ้ำไป ๔๕ นาทีจบ ประชุมอยู่แต่ก่อนตั้งวันๆ วันนั้นเพียง ๔๕ นาที เอากันเต็มเหนี่ยวเลย ซักเหตุซักผลแล้วลงๆ ก็เลยจบ นั่นละที่นี่ก็มาถึงพระองค์ที่ว่านี่ เจ้าคุณอุดรฯ นะ แบบเดียวกัน คล้ายคลึงกันกับเจ้าคุณรองสมเด็จ อันนั้นดูเหมือนดุใครไม่เป็นเจ้าคุณอุดรฯ ทีนี้ท่านมาเห็นเรื่องเราละซีขึ้นเวทีซัดกัน ผู้ว่าฯก็ต่อยกันเลยไม่ได้ถอย ขึ้นเวทีแล้วใช่ไหม ผู้ว่าฯ ก็มา ผู้ใหญ่ๆ มา เอามาช่องไหนซัด ๆ เลย สุดท้ายก็ลงที่เราๆ ๔๕ นาทีจบ พอจบแล้วทีนี้ก็เห็นเรื่องเจ้าคุณอุดรฯ นะ พอเสร็จแล้วเราก็บอกเลิกกันๆ เราเหนื่อยเราก็ล้มนอนแผ่สองสลึง พวกพระก็มานวดเส้น

เจ้าคุณอุดรฯ ยังไม่ไป นั่งอยู่นั้นแหละ ท่านพูดเองนะพูดอ่อยๆ อย่างนั้นแหละ ใครอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชของอาจารย์เราให้มาดูเวลาขึ้นเวที เรื่องมันเสร็จไปแล้วมายุ่งอะไรอีกนี่ เราว่างั้น มาอุ่นหาอะไร เราขู่อย่างนี้ด้วยนะ เรื่องก็แล้วไปแล้ว อะไรก็แล้วไปแล้ว ขึ้นเวทีก็ลงมาแล้ว มายุ่งหาอะไรอีก อุ่นนั้นอุ่นนี้ขึ้นมาหาอะไร แทนที่ท่านจะว่าอะไรไม่นะ พอจบลงแล้ว ท่านพูดนิ่มๆ ว่า โอ๊ย มันน่าอุ่นก็ต้องอุ่นละ กินทั้งวันก็ได้ พูดเฉยนะพูดนิ่ม เราจึงได้ชม นิสัยท่านเป็นอย่างนั้นละเจ้าคุณอุดรฯ กับเจ้าคุณวัดโพธินิสัยคล้ายคลึงกัน ผู้นั้นนิ่มมาก เรายังไม่เคยเห็นว่าท่านดุใครเจ้าคุณอุดร

เราไม่ได้เอาต่อไปสักรังหนึ่ง คุยไป ทำไมท่านถึงนิ่มนัก ซัดต่อเข้าไปเอาให้มันแตกวัดโพธิ เจ้าคุณอุดรแตกเลย เข้าใจไหม ท่านก็ลงมากนะล่ะกับเราแต่ไหนมา ท่านเจ้าคุณอุดร ท่านเจ้าคุณเทพเมธาจารย์ สนิทสนมกันมาตั้งแต่อายุพรรษาอ่อนๆ นู่น ท่านเป็นเจ้าคุณนิสัยนิ่มมาก นี่ที่ว่าถ้าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเรานี่ ถ้าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชให้ไปดูบนเวที คือเรื่องมันฟัดกันมาพอแล้วว่างั้นเถอะ เรื่องราวจบไปแล้วท่านมาอุ่นขึ้นนั่นซี เราถึงดุเอา เรื่องก็ขึ้นไปแล้วลงมาแล้วเรียบร้อยไปแล้วมาอุ่นหาอะไร ท่านพูดว่า โอ๋ย มันน่าอุ่นก็ต้องอุ่นแหละ อุ่นกินวันยังค่ำก็ไม่จืดไม่จาง นี่ฟังซิท่านพูด นิสัยท่านดี

อาจารย์สนองจะมาวันนี้ จะได้มาคุยอะไรกับเรา ท่านคงจะมาปรึกษาหารือเรื่องอะไร ความจริงเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อสังวาลย์ เรื่องอะไรเหล่านี้เราไม่ได้เกี่ยวข้อง ที่ท่านจะมาเกี่ยวข้องกับเราก็คง เราก็ทราบเรื่องมาบ้าง ธรรมดาพระมรณภาพเป็นเรื่องของพระสงฆ์ล้วนๆ ตามหลักธรรมหลักวินัยบ่งบอกไว้อย่างชัดเจน ไม่มีใครเข้ามาย่งเกี่ยวได้เลย แม้แต่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นญาติเป็นมิตรอะไรก็เข้ามาเกี่ยวไม่ได้ เป็นหลักธรรมวินัย พ่อแม่พี่น้องไม่มี มีแต่หลักธรรมวินัยปฏิบัติกันเองสมบูรณ์แบบ นี่ตามหลักธรรมวินัยนะที่เราได้ผ่านมา

แต่นี้ได้ทราบว่าเกิดเรื่องเกิดราวฟ้องกันถึงศาล เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องของศาล ศาลเขาไม่มาเกี่ยวข้องเราว่างั้นนะ นอกจากเราจะสะเปะสะปะออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว ไปรบกวนศาลเขาให้พิจารณาให้ เรื่องถึงศาล ศาลจึงมาพิจารณา เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ พอดีท่านอาจารย์สนองท่านก็คงได้ทราบเพราะวันนั้นได้พูดกัน คือเราพูดตามหลักธรรมหลักวินัยเลย ไม่เอาใครมายุ่ง เรื่องมันไปถึงศาลนี้แสดงว่าสะเปะสะปะแล้ว เรื่องธรรมวินัยของพระ

พระตายพินัยกรรมเป็นเรื่องของพระล้วนๆ ใครมายุ่งไม่ได้ แต่นี้มันทำไมสะเปะสะปะออกไปถึงศาล ศาลต้องชี้บอกอย่างนั้นอย่างนี้ ฟังไม่ขึ้น เราว่าอย่างนี้นะ นี่ละท่านสนองท่านคงไปได้ยินอาจจะมาปรึกษา ปรึกษาเราก็จะพูดตรงๆ อย่างนี้ ก็มันมีอยู่นี่หลักธรรมหลักวินัยตายตัวใครมาทำลายได้ ถ้าทำลายหลักธรรมหลักวินัยนี้ได้ ก็ทำลายพระพุทธเจ้าได้ ศาสนาก็ไม่มีใช่ไหมล่ะ หลักใหญ่อยู่ตรงธรรมวินัยคือศาสดา ต้องปฏิบัติตามนั้น จะเอาคนใดคนหนึ่งมาใหญ่กว่าธรรมวินัยคือองค์ศาสดาไม่ได้ ถ้าพิจารณากันตามเหตุตามผลมันไม่ยากอะไร

อย่างที่ว่าไฟไหม้วัดโพธิฯ มันปีกคอกปีนหลักอะไรไป ออกนอกลู่นอกทางพอให้ลำบาก ทีนี้จะว่าอะไรก็เกรงใจกันบ้างอะไรบ้าง นี่ละเรื่องนะ ถึงสองวัน เจ้าคณะภาคมาก็ยังลงกันไม่ได้ ท่านเจ้าคุณท่านก็มองเห็นแต่เรา ขวานผ่าซาก ให้เณรถือจดหมายน้อยมานิมนต์ไปดับไฟวัดโพธิฯ เวลานี้ไฟกำลังโหมไหม้วัดโพธิฯ อย่างรุนแรง เท่านั้นละ เราไปก็เอาจริงๆ แต่เอาจริงอย่างไหนก็เถอะน่ะ อะไรจะเหนือธรรมไปไม่ได้ ข้างๆ คูๆ มันเป็นพวกกาฝากมหาภัย ตัดออกทันทีได้เลยตามหลักธรรมหลักวินัย นี้ไปก็ตีเปรี้ยงเลย ลงพักไหนๆ เอ้า ถ้าใครเห็นด้วยให้ยกมือขึ้น ถ้าใครไม่เห็นด้วยให้ค้านขึ้นมา เงียบ พอว่าเห็นด้วย พรึบๆ นั่นละ ๔๕ นาที นี่ละที่ท่านเจ้าคุณอุดรว่า ถ้าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเรา ให้ดูเวลาขึ้นเวที คือผู้ว่าฯ ก็มีใครก็มีซัดกันกับเรา มันถอยเมื่อไร เอาเหตุผลใส่กันละซิ อยู่ทั้งนั้นละ เอาธรรมวินัยเป็นหลักเกณฑ์ซิ

นี้ก็เหมือนกัน นี่ก็เคยพูดแล้ว เอาจริงเอาจังเอาต่อหน้าต่อตาเลย ให้เห็นชัดๆ อย่างนี้ เราเป็นบ้าเอง อยู่กุฏิกระต๊อบเล็กๆ คือตามธรรมดาทำข้อวัตรปฏิบัตินี้เราเหมือนว่าเป็นหัวหน้าหมู่เพื่อนตลอดเวลา มันหากเป็นอย่างนั้น ข้อวัตรปฏิบัติเหมือนว่าเราออกหน้าตลอดเวลา เราไม่อ่อนข้อ เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่เป็นเจ้าอาวาส โอ๋ย ไม่นะเรา พึ่งมาทิ้งเอาตอนแก่นี่ละ แต่ก่อนพระเณรมองทันเมื่อไร

วันนั้นเราเขียนหนังสืออะไรอยู่นะ ดูนาฬิกาผิดพลาดไป โถ นี่มัน ๔ โมง ๒๐ นาทีแล้วนี่ ปุ๊บปั๊บได้ไม้กวาดก็กวาดออกมาๆ ออกมามาเห็นเณรอยู่นั้น เณรจรวดเรานี้แหละ ขึ้นอย่างแรงเลยนะ เรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคี ถ้าให้เป็นตามกฎ ถ้าเราไม่เป็นบ้าเสียอย่างเดียว ก็เรียกว่าหมู่เพื่อนนี้เหลวไหลหมดทั้งวัดพูดง่ายๆ ไม่ดูกฎเกณฑ์ อันนี้เป็นของหยาบๆ ประกาศให้ได้ทราบทั่วกันแล้ว นี่มันของหยาบๆ มันฝืนได้ยังไง มันขัดกันได้ยังไงถึงมาเป็นอย่างนี้ คือตามธรรมดาบ่ายสี่โมงปัดกวาด เรามันดูเหมือนได้เท่าไร ๓ โมง ๒๐ นาที ลงไม้กวาดซัดออกมาจนถึงนี่ ออกมาก็เห็นเณรจรวด เณรๆ แกคงรำคาญแกเห็นเรากวาด...แกก็เลยเอาไม้ตาดไปกวาด

เณรๆ พระวัดนี้มันตายกันหมดแล้วเหรอ ใครจะกุสลาใครมันตายทั้งวัดนี้แล้ว ถึงเวลาทำไมไม่เห็นปัดกวาดมันเป็นอะไรวันนี้น่ะ นี่ยังไม่แล้วนะกลางคืนจะประชุมกันจะฟัดกันใหญ่นะ มันเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร นี่ความหมายว่าถ้าเราถูกเข้าใจไหม ถ้าพวกนั้นผิดมันจะฟัดกันกระเทือนไปทั้งวัดละคืนนั้น พอเณรตอบมา หือ ว่าไงเณร ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเป็นยังไง เคยรู้แล้วไม่ใช่หรือเวล่ำเวลาน่ะ มันพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที หือขึ้นเลย เณรก็ซ้ำอีก มันนาฬิกาพึ่ง ๓ โมง ๒๐ นาที หือถ้างั้นหยุดๆ แน่ะเห็นไหมล่ะ ปุ๊บปั๊บหยุด ห้าม บอกอย่าให้พระมามันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเรา ก็เดินกึ๊กๆ กลับคืนเลย นั่นเห็นไหมล่ะ

นี่ละเหตุผลอรรถธรรมเข้าใจไหม ใส่เปรี้ยงๆ เหมือนจะกัดจะฉีก พอว่าตัวเองผิดเท่านั้นละ หยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเราปุ๊บๆ เดินกลับเลยนั่นเห็นไหม นี่ละนักเหตุนักผลนักกีฬานักอรรถนักธรรมต้องเป็นอย่างนั้น ต้องยอมรับเข้าใจไหม เณรคงจะหัวเราะ อาจจะไปเล่าให้พระฟังก็ได้เห็นเราเหมือนจะกัดจะฉีกนั่นนะ ใส่เปรี้ยงๆ พอเณรว่าพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ ขึ้นเลย  พอซ้ำขึ้นอีกทีสองแล้ว เลิกๆ หยุดๆ เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บกลับเลย นั่น เณรคงจะไปเล่าให้พระฟังหัวเราะกันทั้งวัดละมั้ง ท่านอาจารย์เอาใหญ่แล้ว เอาใหญ่แล้วก็เอาใหญ่เจ้าของซิ

นั่นละฟังซิอรรถธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ต้องให้ตรงไปตรงมา จะไปมีเล่ห์มีเหลี่ยมไม่ได้ ธรรมต้องเป็นอย่างนั้น ถือว่าเราเป็นผู้ใหญ่ออกเล่ห์ออกเหลี่ยม เพื่อไว้ศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่เอาศักดิ์ศรีอย่างนี้ศักดิ์ศรีผีบ้า เข้าใจไหม มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด สอนคนเป็นบ้าละซิ นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ตรงไปตรงมา ไม่ลืมกระทั่งทุกวันนี้ละ เณรจรวดมันเป็นต้นเหตุที่ขนาบเณร พอมันบอกว่าบ่าย ๓ โมง ๒๐ เท่านั้น เหอขึ้นเลย เณรก็ซ้ำคำอีก หยุดๆ ขึ้นทันทีเลยเทียว อย่ามาปัดกวาดเดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บออกกลับเลย ไปแก้บ้าตัวเอง เป็นอย่างนั้นละ นั่นละอาจารย์สอนคน

เราเป็นอย่างนั้นตลอดมานะ เราไม่เคยเอนเอียง ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เพราะฉะนั้นจึงใส่เปรี้ยงไปเลยเทียว อะไรก็ตามผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จะไปหลบนั้นหลีกนี้ไม่ได้ ธรรมบ่งบอก อย่างที่มาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง สำนวนทั้งหลายนี้เราก็ใช้เหมือนกันกับโลก การเทศนาว่าการเหมือนพระทั้งหลายที่เทศน์ทั่วประเทศไทย เราก็เคยเทศน์มาแล้วทางด้านปริยัติ เทศน์เหมือนกันหมด เรียบไปธรรมดา เรียบๆ ธรรมดาๆ เราก็เคยเทศน์มาแล้ว ทีนี้พอมาออกปฏิบัตินี้นะ นี่ละที่มันเปลี่ยนไปหมด คือปฏิบัติเข้าไปมันรู้อย่างนี้จริงอย่างนี้ เราจะเลี่ยงๆ ไม่ได้ผิดอันนี้ มันจริงอย่างนี้ รู้ตรงไหนเป็นอย่างนั้น เป็นความจริงอย่างนั้น ตายตัวแล้วแก้ไม่ได้ๆ เมื่อแก้ไม่ได้แล้วเป็นยังไงก็ต้องว่าไปตามนั้นๆ มันเลยตรงไปตรงมาเป็นขวานผ่าซากเข้าใจไหม

ที่เทศน์ทุกวันนี้เป็นอย่างนั้น คือเอาความจริงออกมาเลยๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคม ธรรมตรงไปตรงมาอย่างนั้น จะว่านิสัยหรืออะไรก็ตาม กิริยาอย่างนี้เลยติดมาตั้งแต่ออกปฏิบัติ จนกระทั่งหัวใจเต็มด้วยธรรมแล้ว ออกเต็มเหนี่ยวเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นละ แต่ก่อนก็ไม่เคยเป็นนะอย่างนี้ มันมาเป็นจากได้หลักความจริงจากใจ ความจริงว่างี้เราจะไปพูดอย่างอื่นไม่ได้ ความจริงเป็นอย่างนี้เราจะเลี่ยงไปนี้ไม่ได้ ไม่ได้ก็ต้องตรงตามความจริง มันตรงไปตรงมาก็เรียกว่าขวานผ่าซากเข้าใจไหม ความจริงตรงไปตามธรรมนั้นแหละ

นี่เราก็ไม่เคยใช้กิริยาอย่างนี้ ก็ใช้เวลาภาคปฏิบัตินี้ละ เวลามันรู้มันเห็นมันไม่ได้เป็นอย่างที่พูดกันนั้นนะ เลียบๆ เคียงๆ ไปอย่างนั้น ไม่ได้ตรงตามความจริง ถ้าไปถึงกิเลสจะได้หลบเสียหลีกไปเสีย อันนี้ผางเลย พังเลยเชียว พังเลย เป็นอย่างนั้น ทีนี้เลยกลายเป็นโวหารอย่างนี้ขึ้นมากรุณาทราบไว้อย่างนี้นะ การพูดทั้งหมดนี้ไม่เป็นภัยต่อโลกเราพูดจริงๆ หัวใจของเราเป็นคุณต่อโลกครอบโลกธาตุจะว่าไง กิริยาที่ออกมา ออกมาจากหัวใจอันนั้นเอง จะเผ็ดร้อนแผดเผาขนาดไหนก็ตาม เป็นกิริยาของธรรมชะล้างสิ่งสกปรกโสโครกหรือน้ำดับไฟๆ ไปตลอด ไม่มีพิษมีภัยออกมาจากกิริยาทั้งหนักทั้งเบานั้นเลย เป็นไปตามธรรมล้วนๆ นี่เรียกว่าธรรมสอนเรา

กิริยาที่เคยเทศนาว่าการมานี้อย่างโลกทั้งหลายทั่วไป ความรู้สึกกับเรากับท่านทั้งหลายก็เหมือนๆ กัน เทศน์ก็ไปแบบเดียวกัน แต่เวลามาปฏิบัติความรู้อันนี้มันเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติละซิที่นี่ เวลาเกิดขึ้นมาเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้นมาแล้วตายใจได้เลย ยอมรับเลยๆ ทีนี้เราจะเลี่ยงอันนี้ไปไม่ได้ นั่นละก็ต้องไปตามนี้ๆ เทศน์จึงเป็นขวานผ่าซากไปตามนิสัยของกิเลสทั้งหลายเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นธรรมแล้วยิ่งถึงใจๆ ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์ เด็ดเผ็ดร้อนเท่าไรๆ โหย ได้ยินเสียงท่านแผดขึ้นที่ไหน ใครอยู่ที่ไหนก็ตามรุมมาเลยนะ รุมมา เอาละทีนี้ยอดธรรมขึ้นแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ บอกยอดธรรม ไม่ได้ว่าเป็นพิษเป็นภัยอะไรเลย เสียงท่านแผดเป๊งป๊างขึ้นมากลางวัดก็ตามที่ไหนก็ตาม พระเณรจะรุมมาเลยมาฟัง นั่นละยอดธรรมออกแล้ว เวลาท่านเด็ดอย่างนั้น โอ๋ย มีแต่ธรรมล้วนๆๆ ออกเลยนะ นี่ละผู้มุ่งธรรมแล้วก็ถึงใจๆ นั่นละภาษาธรรมเป็นอย่างนั้น และยิ่งชุ่มเย็นนะได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมแบบนั้น ฟาดเปรี้ยงลงมา เอ้า นี่ฝนจะตกแล้วหาอะไรมารองทันทีเลย เสียงท่านเปรี้ยงๆ แต่ธรรมนั้นเหมือนน้ำฝนนะเย็นลงมาเลย

วันนี้เราก็จะไปธุระเสียก่อน ก็ไปสงเคราะห์โรงพยาบาลละ ตอนบ่ายโน่นละท่านสนองมา ท่านมาเครื่องบินตอนบ่าย ก็ประมาณบ่าย ๒ โมงหรือ ๓ โมง ท่านก็มาถึง และค่ำถึงจะกลับ ท่านกลับเครื่องบินวันนั้น ทีนี้เวลานั้นก็คุยกันได้สะดวกสบายไม่ได้มากนะ ท่านกลับเครื่องบินก็รู้เวลาอยู่แล้วตอนค่ำ เราจึงไปตามวาระของเราได้สะดวกสบาย วันนี้จะไม่พูดอะไรมากนักละ พูดเท่านี้ละวันนี้

ดร.รัตนา  ขออนุญาตกราบเรียนเกี่ยวกับเรื่องวิทยุเสียงธรรมเจ้าค่ะ ของอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาค่ะ เมื่อวานเขาส่งข่าวมาว่า ได้เปลี่ยนจากรับโดยใช้อินเตอร์เน็ต มาเป็นรับโดยใช้จานดาวเทียม จานเล็กๆ น่ะเจ้าค่ะ รับจากแม่ข่ายใหญ่จากที่นี่เจ้าค่ะ แล้วก็เปิดได้ ๒๔ ชั่วโมง เสียงดังชัดเจนไปได้ไกล ถึงหาดใหญ่เจ้าค่ะ เพื่อให้คนในอำเภอสะเดาและจังหวัดสงขลา รู้ว่ามีวิทยุเสียงธรรมของหลวงตา เขาก็มีการแข่งขันกีฬาของนักเรียนเจ้าค่ะ แล้วโรงเรียนนี้เขาก็เลยเอาป้ายโฆษณาขึ้นไปติดเอาไว้เจ้าค่ะ บอกว่ามีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM.๑๐๓.๗๕ แล้วก็มี www.luangta.com เผื่อว่าคนที่สนใจจะได้ทราบโดยทั่วกันเจ้าค่ะ เวลามีกีฬาของโรงเรียนเจ้าค่ะ

หลวงตา  เอ้อ ดีแล้วๆ ธรรมะจะได้ค่อยกระจายออกไป นี่ละเข้ากันได้กับเราที่ประกาศออกว่าจะเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย ในการอุ้มชาติไทยของเราที่กำลังจะจมลงในทะเลหลวง เราก็ทราบทันทีเลยในหัวใจของเรา เอ้อ คราวนี้ละคราวธรรมจะได้กระจายออก ส่วนวัตถุสมบัติทั้งหลายที่จะนำมากู้ชาติบ้านเมืองเรานี้เปิดเผยรู้กันทั่วหน้า แต่ธรรมนี้ยังไม่รู้กัน จะทราบกันคราวนี้แหละ ก็ออกแล้วนี่ เรื่องวัตถุสมบัติอะไรก็ระงับไปแล้ว แต่ธรรมไม่ระงับนะยิ่งกระจายออกไป นี่เข้ากันได้แล้ว กับเราคิดไว้ใครคิดเมื่อไร เราคิดเรียบร้อยแล้วมันก็ออก ไปที่ไหนเทศน์ที่นั่นๆ เรื่อย จากนั้นคำเทศน์เหล่านั้นก็ย้อนเข้ามาเป็นเทป ออกจากเทปแล้วก็เข้าวิทยุ กระจายออกไปอีก

เราจะไปธุระเสียก่อนวันนี้ไม่อยู่นาน เพราะตอนบ่ายจะรอรับท่านสนองมา มาให้ทันเวลาพอดี เวลากลับของท่านก็ว่าเครื่องบินเที่ยวค่ำ ท่านก็จะมาประมาณบ่าย ๒ หรือ ๓ โมง เราก็กลับมาถึงพอดี เรากะระยะเวลาไว้พอดี นี่ก็ช่วยโลก แหมช่วยจริงๆ นะโลก ช่วยเอาจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ทุกอย่างอยู่นี้หมด อยากจะพูดเต็มเหนี่ยวว่า วัดไหนน่ะจะเป็นอย่างวัดป่าบ้านตาด ทั่วประเทศไทยเราอยากถามว่างั้นนะ การเสียสละไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเลยวัดนี้ มากด้วย วัตถุสิ่งของเข้ามามาก มาเท่าไรออกหมดๆ อย่างนี้ๆ ก็จะออกไป เขาก็มาพวกโรงพยาบาล เขามาในโกดังนี้ได้ไปทุกคันๆ ตามที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เรามีโอกาสพิเศษเราก็ไปช่วยโรงไหนที่ซอกแซกซิกแซ็กเรามักจะไปอย่างนั้น ถ้าเขามาก็แล้วแต่เขาจะมา แต่ส่วนเราไป เราจะหาจุดสำคัญๆ ไปตามจุดที่จำเป็นจริงๆ จุดอย่างนั้นบางทีเขาไม่มาก็มี เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก