เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
จอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน
ไปส่งอาหารภูวัววันนี้ ปลายเดือนๆ ส่วนมากจะส่งวันที่ ๒๖-๒๗ ระยะนี้ ภูวัวฟังว่ามีพระตั้ง ๔๐ นะ มากกว่านั้นเราไม่ได้ว่า เราพูดแล้วว่า เอ้า พระที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กับสถานที่นี่เหมาะสมกันแล้ว เอ้าๆ มา ฟังซิ มาเท่าไรเราจะรับเลี้ยง หากว่าเราหมดความสามารถจริงๆ แล้วเราจะบอก ว่างั้นละ ก็ยังไม่เห็นได้บอก ปีนี้ก็ว่า ๔๐ ของที่เอาไป คือวัดที่มีพระตั้ง ๔๐ นี้ ชีวิตของพระอยู่ในนี้หมดเลย คือเรารับเลี้ยงหมด มาเท่าไรๆ เรารับเลี้ยง
ปลายเดือนไปทีหนึ่ง เช่นวันนี้ สั่งเขาแล้วให้ไปวันนี้ รถ ๔ คันเต็มเอี๊ยดๆ บกพร่องไม่ให้มี นอกจากสิ่งของที่เราต้องการไม่มี สิ่งที่เราต้องการให้ได้ตามมักตามหมายอย่างนั้นตลอดมา รถ ๔ คัน หกล้อ คือบองขึ้นทั้งนั้นนะ บองขึ้นๆ เต็มเอี๊ยด ถ้าหากว่าไม่พอก็ให้เอาอีกรถ เขาบอกว่าพอ รถ ๔ คันเป็นประจำ มาได้ ๒๐ กว่าปีนี้แล้ว ตั้งแต่วันเราไปดูมา แต่ก่อนก็ได้ทราบว่าเป็นความสงบสงัด แต่ไม่มีที่โคจรบิณฑบาต บ้านคนมีสองสามหลังคาเรือน พระก็อยู่ได้แค่สองหรือสามองค์ไม่มากกว่านั้น
เริ่มแรกก็คือท่านอาจารย์ฝั้นท่านไปเที่ยวผ่านมาตรงนั้น ท่านอุทัยก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเลยไปอยู่ที่นั่น ก็เลยอยู่เรื่อยมา โคจรบิณฑบาตก็พอดีกับพระนั่นละ คือสองหรือสามองค์เป็นอย่างมาก นี่ก็ได้ทราบมานานพอสมควร พอได้โอกาส คือเราตั้งใจจะไปดูแต่ไม่มีโอกาส ทีนี้ได้โอกาสก็ไปดูจริงๆ ลงรถแล้วเข้าไปหมดเลย เข้าในป่าในเขาลูกนั้น เที่ยวหมด ไปที่ไหนเหมาะสมๆ โอ๊ พระมีสองสามองค์ พอเที่ยวมาหมดแล้วก็บอกท่านอุทัยเลย ทุ่มใส่กันเลย คือผมไปเที่ยวมาหมดแล้วท่านอุทัย ผมหายสงสัยในสถานที่นี่ เป็นสถานที่จะเพาะอรรถเพาะธรรม มรรคผลนิพพานอยู่นี้สมบูรณ์ นี่เป็นสถานที่ชั้นเอก
ตั้งแต่นี้ต่อไปท่านจะรับพระเท่าไรๆ ให้ท่านรับได้ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปละ พอไปถึงวัดผมจะจัดของส่งมาเอง ท่านจะรับพระจำนวนมากน้อยเพียงไรตามแต่ท่านเห็นสมควร ถ้าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้มาเลย เว้นแต่พระที่โกโรโกโส ไล่ลงภูเขาให้หมด มันเสียศักดิ์ศรีภูเขาลูกนี้ ถ้าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาๆ มา บอกงั้นเลย มาเท่าไรผมจะรับเลี้ยงเต็มความสามารถทีเดียว หากว่าไม่สามารถจะรับเลี้ยงได้ผมจะบอก ว่างั้นแหละ ตั้งแต่นั้นก็ทุ่มกันลงเลย เรียกว่าชีวิตของวัดภูวัวอยู่ในนี้หมด
ถ้าหากว่าเรามีเวลาว่างเราก็ไปเยี่ยม นานๆ ไปที ถ้าเราไปเยี่ยมเราก็เอาไปเต็มเหนี่ยวของเรา นี่เรียกว่าอาหารเสริม ส่วนที่เราจัดให้เรียบร้อยแล้วนั้นพอ เรื่องจะให้ขาดไม่ขาด เรากำหนดไว้เรียบร้อยแล้วพระจำนวนเท่าไรๆ เราจัดไปเรียบร้อย เผื่อไว้ๆ พอดีกับพระที่ท่านอยู่ตามภูเขาลูกนั้นละ อยู่เป็นแห่งๆ แห่งละสององค์ หรืออย่างมากก็สามองค์ ท่านก็ได้มาติดต่อขอจากนี้ไป ท่านอุทัยจัดให้ ให้ตาปะขาวให้เณรหรืออะไรมาเอาไป เราบอกให้ท่านไปเถอะ ท่านมาให้เอาไป หมดให้บอกว่างั้น ผมจะส่งมาทันที ผมไปส่งซอกแซกอย่างนั้นไม่ได้ การไปมาลำบาก พระแถวนั้นก็ได้อาศัยนี้ละ
สำหรับวัดภูวัวเป็นวัดที่เราไปเทเลย คือออกไปโน้นไปนี้มันเป็นป่าเป็นเขามันไปไม่ได้ ทีนี้พระท่านอยู่ในป่าในเขา มัน ๒๐ กว่าปีแล้วที่เรารับเลี้ยงมา ตั้งแต่นั้นมาพระก็เขยิบขึ้นเรื่อยๆ ท่านคงจะตั้งจุดศูนย์กลางไว้ที่ ๓๐ มีลดบ้างขึ้นบ้าง ๒๘-๒๙ หรือ ๓๐ กว่า ๔๐ บ้าง ทราบเมื่อวานนี้ว่า ๔๐ เอา ๔๐ ก็ ๔๐ เราตั้งเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว มากกว่านั้นเราก็เลี้ยงเราบอก นี่วันนี้เขาจะไป คืออาหารเอาอย่างเต็มเหนี่ยว เป็นที่เราคิดๆ สั่งทุกอย่าง ไม่เอาชุ่ยๆ ชี่ๆ อะไร พูดง่ายๆ ว่างั้น เอาให้เต็มเหนี่ยว
คืออาหารมีหลายประเภท อาหารสดอยู่ในย่านพอประมาณ เอามากกว่านั้นก็ไม่ได้ อาหารยาวนี่สำคัญ เช่น หมูยอหมูแย ส่วนปลาย่างสั่งทางเขมรเลย ให้ทางโคราช มันมีขาติดต่อกัน โคราชเขาสั่งทางเขมรมาแล้วส่งมาทางนี้ทางอุดร อันนี้อย่างน้อย ๘๐ กิโล พวกปลาย่างนะ เอาปลาดีๆ ทั้งนั้น ไปส่งแต่ละครั้งนี้ต้องรอปลานี้ก่อน ถ้าปลานี้ส่งมาเมื่อไร เขารู้กันแล้วว่าระยะไหนไปส่งของ เขาก็รีบสั่งให้ทัน คือทำให้สมใจ ตัวเท่าอึ่งแต่ใจมันใจใหญ่นะ ทำให้สมใจเลย ทำอะไรอย่างนั้นละ ถ้าลงได้ทำแล้วตูมเลยๆ คิดดูซิไปเลี้ยงปลาตกทะเลเห็นไหม เลี้ยงช้างก็ตกเข้าสวนช้าง ไปที่ไหนเอาอย่างนั้นๆ สงสารไม่ใช่อะไรนะ ความสงสารทั้งนั้น
นี่วัดภูวัวก็ได้ ๒๐ กว่าปีแล้ว ทำอย่างนี้มาตลอด พอเราบอกให้เพิ่มพระขึ้นได้เลย ท่านก็ตั้งแต่นั้นมา ๓๐-๔๐ บ้าง บางทีก็ ๕๐ ส่วน ๕๐ จะเป็นพระจรมา ท่านจะรับไปถึง ๔๐ มา ๓๐ มา ๒๐ กว่า ส่วนมากจะ ๓๐ กว่าอยู่ตลอด เพราะเป็นสถานที่วิเวกดี อาหารอยู่ในภูเขาอย่างนั้นเรียกว่าสมบูรณ์แหละ ที่เราให้นี่สมบูรณ์ เราไม่เอาแบบเราไปใช้นะ เราเอาความเมตตาสงสารไปใช้กับพระ เพราะฉะนั้นอาหารจึงเผื่อๆ ตลอด สำหรับเราใช้ของเราเอง โอ๋ย ไม่อยากจะพูดนะ พูดใครไม่อยากเชื่อนี่ อดอยากขาดแคลนอย่างนั้น
เราทำเราเองนะ ไม่ใช่ไม่มีกิน เราทำเราเอง ดัดอยู่ตลอดจึงว่าทุกข์มาก การปฏิบัติธรรมนี้ทุกข์มากจริงๆ เรื่องธุดงคกรรมฐานนี่เราผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิบัติได้ถูก แต่สำหรับพระแล้วเราสงสาร ต้องเผื่อไว้ๆ ตลอดเลย ถ้าธรรมดาเรียกว่าสมบูรณ์เต็มที่ๆ ไม่มีอะไรอดอยาก เราปฏิบัติเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไปอยู่ในป่าในภูเขาลึกๆ นู่น กี่วันถึงจะออกมาบิณฑบาต ด้อมๆ มาทีหนึ่งๆ บิณฑบาตได้อะไรมาก็แล้วแต่ ข้าวเปล่าๆ มาก็กินพอยังอัตภาพให้เป็นไป เท่านั้นๆ แหละ คือจิตอยู่กับธรรมเสียอย่างเดียว สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นอุปสรรคนะ จิตมุ่งมั่นต่อธรรมเสียอย่างเดียวแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ลำบากลำบน การอยู่กินใช้สอยอะไรไม่ยุ่งทั้งนั้น ขอให้ยังมีชีวิตได้ประกอบความเพียรให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็แล้วกัน เท่านั้น มันถึงทุกข์มาก
ถ้าพูดถึงเรื่องแบบทางโลก เรียกว่าทุกข์มากที่สุดเวลาเราฝึกทรมานตัวของเรา แต่ทางจิตใจมันต่างกันซี เรื่องท้องของเรานี่แห้งผากๆ อยู่นั้น แต่จิตใจสมบูรณ์พูนผลๆ คิดดูซิเดินบิณฑบาตไปนี่ไม่ถึงบ้านเขา ร่างกายไปไม่ไหวแล้ว นึกว่าจะถึงบ้านเขา ไปถึงแค่กลางทางพักเสียก่อน หมดกำลังไปไม่ได้ แต่จิตไม่เป็นอย่างนั้น จิตเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าอยู่ภายใน นั่นมันต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องบำรุงทางด้านจิตใจให้มากที่สุด เพราะร่างกายนี้มีกำลังทันที เช่นอย่างเราไปออบแอบๆ ไปจะไม่ถึงบ้าน พอฉันมาแล้วม้าแข่งสู้ไม่ได้ พอฉันเสร็จแล้วบึ่งเลยถึงภูเขา ม้าแข่งสู้ไม่ได้ กำลังมันขึ้นทันที เพราะกำลังหนุ่มอยู่นี่ ร่างกายมันมีกำลังวังชา พอได้อาหารเข้าไปเสริมปั๊บกำลังขึ้นทันที เดินนี้เหมือนม้าแข่ง
นั่นละพยุงใจพยุงอย่างที่ว่านี่ นี่คือพยุงใจนะ ร่างกายนี้กำลังเมื่อไรได้เลยไม่ยาก ฉันมาแล้วดีดผึงเลยไม่ยาก ส่วนจิตใจนี้ โหย ดีดยากนะ จึงต้องได้พยุงๆ อยู่ตลอด ถ้าร่างกายมีกำลังมาก ความเพียรอืดอาด มันดูกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าร่างกายมีกำลังมากแล้วความเพียรอืดอาด สติก็ขาดวรรคขาดตอนไม่ติดไม่ต่อ ความเพียรทุกด้านขึ้นอยู่กับสติ แล้วความเพียรก็ไม่สืบต่อกันถ้าอาหารมากเข้าๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ดัดกันตลอด เพราะความเพียรของเราดูตลอดเวลา อาหารเป็นเครื่องเสริมความเพียรเท่านั้น ถ้าอาหารมากก็ไปทับความเพียร ความเพียรก้าวไม่ออก ตัดอาหารออกเพื่ออันนี้ก้าว อยู่อย่างนั้น คือทำด้วยการพิจารณา ไม่ได้ทำสักแต่ว่าทำนะ
ลำบากลำบนขนาดไหนทางด้านจิตใจเราดีขึ้นๆ แสดงว่าได้ผลตลอด ต้องทำอย่างนั้นทำความพากเพียร พระทั้งหลายท่านตั้งใจมุ่งคล้ายคลึงกันนี่แหละ อย่างที่ว่านี่นะ ท่านอยู่ในป่าในเขา คล้ายคลึงกันอย่างนี้ ไม่ค่อยได้รับความสะดวกสบาย คือท่านไม่หาอย่างนั้นหาธรรม หาธรรมต้องเหยียบพวกความแร้นแค้นกันดารนี้ไป ความทุกข์ยากลำบากส่วนอาหารการกิน เหยียบไปๆ เพื่อธรรมก้าวเดิน ไม่เช่นนั้นไม่ได้นะ ก็คิดดูซิลงมาหาพ่อแม่ครูจารย์ทีไร เพราะฉะนั้นท่านถึงเสริมตลอดกับเรา พอเราว่าไปองค์เดียวนี้ เอ้อๆ ขึ้นเลยทันที ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน นั่นเอาแล้วนะ ท่านรู้ความตั้งใจของเรา
กลับมาหาท่านพระหนุ่มๆ อยู่นี้นะ เห็นแต่หนังห่อกระดูกลงมา ท่านรู้แล้วนี่ เต็มเหนี่ยวแล้วนี่ นั่น แต่ท่านไม่พูด มีท่านพูดวันหนึ่งท่านจะเอะใจมากอยู่ นั้นก็ลงมาจากภูเขาเหมือนกัน ระยะนั้นเป็นอะไรไม่ทราบนะ คงจะดีซ่านหรืออะไร หนังห่อกระดูกแล้วยังไม่แล้ว ตัวนี้เหลืองเหมือนทาขมิ้นเลย พอมากราบท่านเอะใจท่าน เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ รู้สึกท่านจะตกใจตามประสาโลกนะ คือหนังห่อกระดูกยังไม่แล้ว หมดทั้งตัวนี้เหลืองเหมือนทาขมิ้น แสดงว่าดีซ่าน เพราะการทรมานหนัก ตอบง่ายๆ ไม่ได้นะท่านพูดอย่างนั้น
พอท่านว่าอย่างนั้นแล้วเราก็คอยฟังท่านจะว่ายังไง พอกราบเสร็จแล้วนั่ง สักเดี๋ยวท่านขึ้น มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่นเห็นไหม ท่านว่านักรบ กลัวเราจะอ่อนเปียก พอท่านว่าอย่างนั้นทีแรก กลัวเราจะอ่อนเปียกท่านก็พยุงขึ้นทันที พ่อแม่ครูจารย์นี่ โอ๋ย จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันยกนิ้วให้เลย ความเฉลียวฉลาดรอบคอบทั้งภายนอกภายใน นี่ละธรรมเข้าสู่ใจเป็นอย่างนั้นละ น่าดูน่าชมทุกอย่าง สติปัญญารอบตัวๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่สมัยปัจจุบันนี้ เรียกว่าจอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบัน ชี้นิ้วเลย เราผ่านครูบาอาจารย์มา ไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดนะ แต่พอเข้าไปถึงหลวงปู่มั่นนี่แล้วติดเลยเทียว
เพราะท่านทุกอย่างมีเหตุมีผลประจำๆ เลย ท่านไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เหตุผลนี่เป็นทางเดินของธรรม เรียกว่าธรรม เหตุผลรวมกันแล้วเรียกว่าธรรม ท่านก้าวเดินตลอดเวลาด้วยเหตุผลและอรรถธรรม ท่านไม่แยกแยะไปไหน เรียกว่าชีวิตจิตใจของท่านเป็นธรรมล้วนๆ เลย เรื่องความทรมานใครจะไปเกินหลวงปู่มั่น ความทรมานเรามาพูดนี้ขี้ปะติ๋วนะ เราจะไปเทียบกับหลวงปู่มั่นไม่ได้เลย ฟังซิมันคนละโลก ท่านทรมานมากยิ่งกว่าเรา ไปอยู่ในป่าในเขา ที่ไหนที่ลำบากลำบนท่านไปอยู่ทั้งนั้นๆ ฟังซิน่ะ อย่างที่ว่านาหมีนายูงเป็นต้น
นาหมีนายูงเดินเข้าไปนั้นมันใกล้เมื่อไรวัดธรรมอินทร์น่ะ มีแต่ดงแต่ป่า พวกสัตว์พวกเสือพวกเนื้อเต็มไปหมด ไปบิณฑบาตเอาไม้ลำเท่านี้ละเป็นไม้เท้า เขาวิตกวิจารณ์กลัวแทนท่าน ไปบิณฑบาต มาจากภูเขาท่านก็ค่อยมาของท่านแหละ ทีนี้พวกสัตว์พวกเนื้อพวกเสือเต็ม หมีเต็ม เขาก็เลยทำไม้เท้าให้ สับแล้วให้ท่านเดินไปสักเท้าป๊อกแป๊กๆ แล้วเคาะนั้นเคาะนี้ไป กลัวจะไปเจอหมี ท่านว่างั้นนะ เขาบอกว่ากลัวจะเจอหมี หมีเจอคนมันมักจะทำลายคนเสียก่อน มาตบแล้วกัดแล้วไป ส่วนเสือไม่ได้พบมันแหละท่านว่างั้น เพราะเสือสติดีไม่พบมันง่ายๆ ไม่วิตกวิจารณ์อะไรกับเสือ แต่กับหมีนี้เป็นได้
เขาทำให้เราก็ถือไปอย่างนั้นแหละ ท่านว่างั้น ท่านไปของท่านอย่างนั้น ลำบากลำบนมากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปบิณฑบาตบางทีเป็นเดือนฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ทั้งนั้น ท่านว่า คือเขาว่ากรรมฐานนี้ท่านฉันถั่วฉันงา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็ไม่ใส่บาตรให้ มีแต่ข้าวเปล่าๆ เขาเอาข้าวเปล่าๆ ใส่บาตรให้ เราก็ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ มันไม่มีถั่วมีงา ความคิดเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น เขาว่าพระกรรมฐานท่านฉันแต่ถั่วแต่งา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็เอาข้าวเปล่าๆ ให้ เป็นเดือน ท่านว่า นั่นเห็นไหมทรมานไหม
เรื่องความกลัวนี่รู้สึกท่านจะไม่กลัวนะ ไปอยู่ได้หมดเลย ที่ไหนได้หมด มีแต่สถานที่เป็นภัยเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ร้าย ท่านอยู่ทั้งนั้นแหละ นี่ละท่านสมบุกสมบันมากขนาดไหน เราอย่าเอามาพูดเลยเรื่องของเรา เมื่อเกี่ยวกับท่านแล้วล้มไปเลยเรื่องเรา ท่านเป็นประจำ แต่ก่อนท่านบุกเบิกกรรมฐานท่านเป็นองค์แรกไปเลย เราเดินตามท่าน ท่านเป็นกรรมฐานท่านเดินหน้า ทุกข์ยากลำบากทุกอย่างอยู่กับท่านหมดนั่นแหละ นั่นละได้ธรรมมาสอน
แล้วใครที่จะทำ ที่จะกระจายไปกว้างแสนกว้างเหมือนหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจึงเป็นโรงงานใหญ่ สำหรับผลิตลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายทางด้านอรรถด้านธรรม ให้กระจายออกไปทุกวันนี้ ก็ออกจากหลวงปู่มั่น เทศนาว่าการสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ไปประพฤติปฏิบัติ ได้มรรคได้ผลขึ้นมาธรรมะกระจายออกไป เหล่านี้มีตั้งแต่ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นทั้งนั้นนะ ที่แผ่กระจายทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นแหละ องค์ท่านนิพพานไปแล้วชื่อเสียงนี้กระฉ่อนทั่วประเทศทั่วโลก เฉพาะองค์ท่านเองท่านไม่ค่อยไปสอนใครละ ถ้าสอนก็สอนพระ พระอยู่กับท่านไม่กี่องค์ ในป่าในเขายิ่งแล้วท่านไม่รับใคร ตอนท่านแก่นี้ท่านคงจะสงสารบ้างก็เลยรับพระมา แต่ก่อนไม่นะ พระไปอยู่กับท่านไม่ได้
ลูกศิษย์ของท่านองค์ไหนๆ ที่ปรากฏชื่อลือนามเหล่านี้มีแต่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นนะ อย่างท่านอาจารย์ขาว อาจารย์คำดี อาจารย์อะไรต่ออะไรๆ ตลอดอาจารย์ตื้อที่ไหนใช่หมดเลย เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น กระจายออกไปนี้ก็เพราะลูกศิษย์ของท่าน โรงงานใหญ่อยู่ที่นั่นผลิตธรรมให้ลูกศิษย์ลูกหา แล้วก็นำธรรมนี้ออกไปกระจายทั่วโลกเวลานี้ ก็เพราะหลวงปู่มั่นองค์เดียว ปฏิปทานี้เป็นแบบฉบับไม่เคลื่อนคลาดอะไรเลย เดี๋ยวนี้ค่อยหดย่นเข้ามาๆ ภาคปฏิบัติ ก็ยังเหลือแต่เราที่ว้อๆ อยู่นี้กับพระกับเณรทั้งหลาย พระเณรจุดศูนย์กลางจะมาอยู่กับเราเวลานี้นะ ไม่บอกก็เป็นเอง อยู่กับเราคอยฟังเสียงเรา แต่ก่อนทั้งหลายก็อยู่กับหลวงปู่มั่น ทีนี้ท่านล่วงไปแล้ว ก็ถัดลงมาที่ยังเป็นตนเป็นตัวอยู่ก็คือเรา ก็ทราบแล้วว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ทีนี้ก็มายึดมาเกาะตรงนี้ละเรื่อยมา
การปฏิบัติธรรมต้องเอาหนักเอาหนาทนทุกข์ทรมานจริงๆ ถึงจะเป็นไปได้ ถ้าสักแต่ว่าๆ โอ๋ย ไม่ได้เรื่องละ อย่าทำว่างั้นเลย ต้องจริงต้องจังทุกอย่าง เน้นหนักๆ ในธรรม ขอให้ธรรมมีฝังใจเถอะน่ะ จิตมุ่งมั่นต่อธรรมต่อแดนพ้นทุกข์เท่านั้น สิ่งทั้งหลายไม่มีอุปสรรคนะ จะยากลำบากขนาดไหนไม่เป็นอุปสรรค เพราะจิตนี้มุ่งต่อธรรม ผ่านได้ทั้งนั้นๆ ถ้าจิตไม่ได้หลักได้ธรรมแล้วโลเล การประพฤติปฏิบัติโลเลไปเลอะเทอะไป ต่อไปก็ขึ้นไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าเท่านั้นละ หลักธรรมหลักวินัยไม่เหลียวแล นั่นละข้ามเกินธรรมวินัยคือขึ้นเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นองค์ศาสดาแทนพระพุทธเจ้า
วันนี้ตอนบ่าย ๒ โมงหรือเทศน์ที่วัดโพธิฯ ไอ้เทศน์นี้แหมพิลึกนะเรา ไปที่ไหนมีแต่เทศน์ๆ พิลึกกึกกือเหลือเกิน เอาน้ำปานะมาให้ก็ให้เทศน์เสียก่อน เอาอะไรมาให้ก็ให้เทศน์เสียก่อน ถ้าไม่เทศน์กินไม่ได้ต้องได้เทศน์เสียก่อน พิลึกกึกกือนะ ก็มีเว้นเมื่อวานนี้ไม่ได้ไปที่ไหน แต่ขาดทุนเมื่อวานไม่ไปที่ไหน ลงเดินจงกรมไม่ได้ กลางวันฝนตกทั้งวัน ทรมานอยู่ในกุฏิเมื่อวาน คือธรรมดาไม่ไปไหนเข้าทางจงกรมนะนั่น เดินยืดเส้นยืดสาย เมื่อวานนี้ออกไม่ได้เลย มันไม่ตกมากนะหากตกอยู่อย่างนั้นให้เดินจงกรมไม่ได้ เลยทรมานอยู่ในนั้นเมื่อวาน กลางคืนก็ยังตกอยู่
นี่ก็จะไปงาน เมื่อวานเขาก็นิมนต์ให้ไป บอกจะให้ไปอะไร เมื่อสองสามวันนี้ก็ไปเยี่ยมแล้วศพ ผู้ตายก็ตายไปแล้ว ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็หวังประโยชน์ต่อไป ก็สงเคราะห์ผู้มีชีวิตต่อไปละซิ ผู้ตายก็ตายไปแล้วก็ไปเยี่ยมแล้ว เมตตาก็เมตตาให้แล้ว แล้วมายุ่งอะไรนักหนาล่ะ ผู้มีชีวิตอยู่ไม่มีความหมายเหรอ มีความหมายแต่คนตายแล้วนั้นเหรอ ตายแล้วมันเกิดประโยชน์อะไร นั่น เป็นยังงั้นนะ เมื่อวานนี้ก็จะเอาไปอีก วิ่งไปหาเราขอนิมนต์ไปสวดวันสุดท้าย แน่ะ ฟังซิ สวดอภิธรรมวันสุดท้าย ใครจะมาเป็นหัวหน้าประธานสวดนั่นน่ะ คือใครเป็นเจ้าภาพ แล้วจะมานิมนต์เราไปเป็นประธาน มันยังไงกันนี่น่า เราก็ว่างั้นแหละ เราก็ไม่ตอบว่าไง
พอประมาณ ๖ โมงเราก็ไป พอเราออกมาเขาก็โทรมาพอดี เอ้อ พอดีละ เขาโทรมาว่าไปถึงนู้นทุ่มหนึ่งพอดี คืองานจะเริ่มทุ่มหนึ่ง เราไป ๖ โมง กะระยะนั้นเรากลับ เพราะงานของเรามี เขาก็บอกมาว่าทุ่มหนึ่งพอดี งานสวดเริ่มหนึ่งทุ่ม ทางนี้ก็ตอบทันทีว่าถ้าทุ่มหนึ่งเราไม่ไปเราไม่มีเวลา เราออกมาแล้วนะเตรียมตัวมาแล้ว ออกมากลับวัด กลับกุฏิทันทีไม่ไปนะ งานตั้งทุ่มหนึ่ง เวลาเราจะไปคอยงานทุ่มหนึ่งสองทุ่มอยู่เหรอ เลยไม่ไปเมื่อวาน เขาคงเสียใจ เสียก็ตามเราไม่ได้เสีย ใจเราดีๆ อยู่นี่ ใครจะเป็นบ้าก็ให้เสียใจไป เข้าใจหรือพวกนี้ พวกนี้อยากเป็นบ้าให้เสียใจมากๆ นะ ใครอยากเป็นบ้าให้เสียใจมากๆ ในศาลานี้ให้เรียกว่าโรงบ้าหมด เราไม่เป็นเราสบายอยู่นี่
วันนี้ก็ยังจะต้องได้ไปในงานศพอีก ยุ่งจริงๆ นะ ผู้ตายก็ตายไปแล้ว ผู้มีชีวิตอยู่นี้มันยุ่งกัน แล้วผู้มีชีวิตอื่นๆ ที่เขาหวังพึ่งครูบาอาจารย์ยังมีอีกมากมายมองไม่เห็น มองเห็นแต่คนตายคนเดียว มันเกิดประโยชน์อะไรพิจารณาซิ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าจะเทศน์โปรดสัตว์ เล็งญาณดู เห็นดาบสทั้งสองว่าเป็นผู้ควรแก่มรรคผลนิพพาน พิจารณาแล้ว โอ๋ เสียดายตายเสียตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว นั่น หยุดไม่ไป ตายแล้วหมดแล้ว อ๋อ หยุดเราไม่ไป นี่ตายแล้วลากพระไป ฟังซิ มันเข้ากันได้ไหม พอว่าตายแล้วหยุดเราไม่ไป ก็เข้ากันได้กับพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์ อันนี้ตายแล้ว เอาละ ได้การๆ จะได้ลากพระไป กุสลา ธมฺมา มีเท่าไรให้มา ความหมายว่างั้นนะ อู๊ย ทุกขัง ตายแล้วจึงเป็นลุกลี้ลุกลนเป็นบ้ากัน เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจ นี่ละมันขัดกับธรรม
เราก็บอกผู้ตายก็ตายไปแล้วจะให้ทำไง ผู้ยังมีชีวิตอยู่ที่หวังประโยชน์จากธรรมทั้งหลายต่อครูบาอาจารย์มีมากมายให้คิดบ้างซิ ผู้ตายก็ตายไปแล้วนี่นะ อย่างนั้นละเรื่องตายแล้วเราจึงว่าอย่างดาบสทั้งสองกับพระพุทธเจ้า โห น่าเสียดายตายเสียตั้งแต่เมื่อวาน ไม่งั้นผู้นี้จะได้รับมรรคผลนิพพานทันที ตายแล้วท่านหยุดนะ ท่านไม่ว่า เอ้า ตายไปแล้ว เอาละไปกุสลาให้ ไม่เห็นมีในตำรา มีแต่โอ๊ย หมดหวัง เทศนาว่าการไม่ได้เรื่องแล้ว อันนี้เวลาตายแล้ว อู๊ย ยุ่งเหยิงวุ่นวายเอามากกับคนตาย คนตายจริงๆ ไม่เป็นไร คนเป็นที่เกี่ยวกับคนตายนั่นซิมันลำบาก วุ่นเอาจริงๆ นะ ก็ไม่ทราบทำไง
ธรรมกับโลกมันจับกันอยู่ตลอดเวลา ขัดตรงไหนๆ รู้อยู่ตลอดเวลา แล้วจะให้ฝืนไปตามโลกสงสารทั้งๆ ที่ขัดต่อธรรม ฝืนมากไปมันก็ไม่ฝืน นี่ไม่ฝืนนะ ถ้าพออนุโลมได้ก็อนุโลมไปๆ ที่ไปเหล่านี้ไปอนุโลมทั้งนั้นนะ ถ้ามันเกินเหตุเกินผลนักก็ไม่ไป อย่างเมื่อวานมัดเข้าๆ เอาเวล่ำเวลามามัดเรา เราก็จะไปตามอัธยาศัยของเรา ๖ โมงเย็นเราจะออกไป ประมาณทุ่มกว่าเราก็จะกลับ หรือทุ่มหนึ่งเราก็จะกลับ มีธุระของเรา นี่เขาก็บอกมาว่าให้ไปเวลาหนึ่งทุ่มเป็นเวลาสวด ถ้าอย่างนั้นเราไม่ไปเราบอกเลย หนึ่งทุ่มเรามีธุระ เตรียมของออกมาแล้วกำลังจะขึ้นรถ เขาโทรมาบอกปั๊บกลับเลยไม่ไป เป็นอย่างนั้นละ วันนี้ก็พูดแล้ว อะไรก็พูดหมดแล้ว ต่อไปนี้จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |