เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ตั้งสัจจะในพรรษา
มันอะไรมันเป็นบ้าหรือ กล้องอันนี้ฟาดเข้าป่าให้หน่อยน่ะ ก็ตะกี้นี้ถ่ายแล้วคนๆ เดียวนี้ถ่าย ถ่ายแล้วเราก็มองไป แล้วคนๆ เก่ามาถ่ายอีก มันเป็นบ้าหรือคนๆ นี้น่ะ มันไม่รู้จักประมาณความพอเหมาะพอดี มันเป็นอะไรมาจากไหนนี่มาเข้าวัดเข้าวา วัดวาท่านสอนว่ายังไง เอ๊ ชอบกล ทั้งโลกเขามานั่งอยู่ด้วยกันเขาไม่มีอะไร เป็นบ้าคนเดียวหลุกหลิกๆ ดูเขาบ้างซิ ลุกลี้ลุกลนดูแล้วถ่ายรูปถ่ายแลบ ถ่ายไปหาอะไร อย่ามาทำอย่างนี้นะถ้าจะเป็นมนุษย์ต่อไปให้ฟังเสียงธรรมที่สอนเวลานี้ มันอะไรกัน ตะกี้นี้ก็ถ่ายแล้ว เราเห็นว่ามันผิดปรกติเราก็ดูเท่านั้นก่อน ก็นึกว่าจะรู้ตัวแล้ว มิหนำมาเอาอีกคนๆ เก่า ก็ย้ำเสียบ้างซิ ถ้ายังไม่รู้ตัวอีกคราวนี้จะมอบให้จ่านรกไปเลย จะตัดสินอะไรก็ตัดแหละ เราหมดวาสนาแล้วเอาไว้ไม่อยู่ เราก็จะว่างั้น นรกแตกน่ะ
มันเคยต่อนิสัย ปล่อยตัวตามความอยาก อะไรๆ อยากอะไรปล่อยเรื่อยไปเลย ไม่ได้มีเหตุผลพิจารณาควรไม่ควร นี่สำคัญ โห ธรรมะพระพุทธเจ้า คิดดูซิว่าทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา สร้างโพธิญาณ โพธิสัตว์ๆ สัตว์ที่จะตรัสรู้ข้างหน้า ความหมาย จะเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า เรียกว่าโพธิสัตว์ ทรงปรารถนามานานสักเท่าไร เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ไม่นาน ๔ อสงไขย แสนมหากัป ที่จะเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ ๔ ประเภท
๑๖ อสงไขย แสนมหากัป นี้เป็นประเภทที่เยี่ยมที่สุด คำว่าเยี่ยมนี่หมายถึงสูงส่งในการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก รื้อขนสัตว์โลกได้มากกว่าบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ความรู้แจ้งแทงทะลุนั้นเหมือนกันหมด แต่อำนาจวาสนาเหมือนกับต้นไม้ กิ่งก้านสาขาดอกใบแผ่กระจายไปหมด อย่างที่เขาเรียกว่าไทรงามๆ ต้นเดียวนี้แผ่ไปได้เป็นกิโล ไทรทั้งหลายก็มีแต่ไม่เหมือนนั้น
ประเภทที่สอง ๘ อสงไขย แสนมหากัป ฟังซินานไหมท่านทำความปรารถนาที่จะเป็นศาสดาสอนโลก รื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากความล่มจม ตายกองกัน มนุษย์ตายกองกันค่อยยังชั่ว ประเภทของเราคนเดียวนี้มันไปตายกองอยู่ทุกภพทุกชาติทุกแห่งทุกหน ทุกประเภทของสัตว์ ใจดวงนี้น่ะ
พระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขย แสนมหากัป จึงได้มาตรัสรู้ พอตรัสรู้ผางขึ้นมานี้ฟังซิ ทรงท้อพระทัย ความรู้ของศาสดาเต็มสัดเต็มส่วนแล้วก็มามองดูสัตว์โลก เหมือนว่าจะดูไม่ได้ ทรงท้อพระทัย จะสอนไปทำไม ฟังซิธรรมเลิศขนาดไหน คือมันมืดอยู่หมดเลยสามแดนโลกธาตุ ประหนึ่งว่าจะไม่มีสาระอะไรแทรกอยู่ในนั้นเลย มันมืดไปหมดภูเขาลูกนี้ถ้าว่าภูเขา มืดไปหมด หาสาระไม่ได้ ทรงท้อพระทัย มันจะมืดไปหมดเสียจริงๆ เหรอ ทรงเล็งญาณดู ในภูเขาใหญ่ๆ ภูเขาไตรภพ ดูสัตวโลกผู้ใดที่จะพอมีนิสัยปัจจัยมาต้องตาข่ายแห่งพระญาณของพระพุทธเจ้าบ้าง ก็เล็งญาณดู ก็มีแทรกอยู่ตรงนั้นๆ ในภูเขามืดลูกนั้น นี่ละทรงท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์โลก ไม่ท้อพระทัยยังไง ก็นั่งอยู่เดี๋ยวนี้มันยังมาถ่ายรูปปั๊บๆ อยู่นี้ ตัวเท่าหนูก็ได้ว่าเอาบ้างซิ ชี้หน้าไปเลย
มันสลดสังเวชนะ มันมืดอะไรนักหนา คนทั้งศาลาเขาไม่เป็น มาเป็นเราคนเดียวโดดเด่น ยืนให้เขาดูบ้างซิ ประกาศความชั่วความลามกของตัวเอง ไม่ดูหน้าดูหลังอะไรเลย ความคึกความคะนองติดสันดานมันมานี่มันจึงไม่รู้จักอาย ไม่รู้จักสูงจักต่ำ กาลเทศะไม่มี เกิดในท่ามกลางมนุษย์ที่เขามีขนบประเพณีประจำตัวในชาติของมนุษย์เรา นี่ก็คือความเคยชิน ความเคยชินมันหนา หนาเลยหนาเหมือนฝ่าเท้าไปเลย เห็นไหมล่ะ เอาเสียบ้างซิ มันพอจะได้สติบ้างไหม หรือมันจะโกยเอาความเคียดแค้นจากการแนะนำสั่งสอนนี้อีก เพิ่มเข้าไปอีกเหรอ เอาไปพิจารณานะ
การสอนนี่ไม่ได้เป็นภัยต่อผู้ใดนะ สอนนี้เป็นคุณทั้งนั้นๆ แล้วแต่ใครจะไปกอบโกยเอาทางไหนเอา ถ้าเป็นคุณก็เอาไปพิจารณา ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยเป็นภัยต่อผู้ใด สอนนี้ก็ไม่ได้เป็นภัย เห็นมันผาดโผนโจนทะยานมากนักก็เอาเสียบ้าง นั่น ความหมายว่าอย่างนั้น ถ้าธรรมดาก็ไม่ว่า มันก็พอๆ กัน นี่มันผาดโผนออกมานัก ครั้งที่หนึ่งมองดู มันผิดปรกติแล้วนั่น นึกว่าจะแล้วไปจะรู้ตัวแล้ว ปั๊บเข้ามาอีกเป็นคนๆ เก่าอีกก็ใส่เปรี้ยงเท่านั้นซิ ถ้าครั้งที่สามนี่โลกแตกนะ
โธ่ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่เราพูดจริงๆ เราแทบเป็นแทบตายนะกว่าจะมาสอนโลกนี่ พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หน เราไม่เคยสลบแต่แทบเป็นแทบตาย เฉียดความสลบเรื่อยมา งานในโลกอันนี้ไม่มีงานใดที่จะหนักหนายิ่งกว่างานฆ่ากิเลสนะ นี้แหมเอาเป็นเอาตายจริงๆ เราไม่ลืม เป็นอยู่ ๙ ปี ที่ว่าเต็มเหนี่ยวนี่ ๙ ปีเต็ม อันนี้เรียกว่านักมวยเข้าวงใน เหมือนว่าไม่ให้น้ำกันเลย ซัดกันตลอดเลย กิเลสมันขนาดนั้น เอาเป็นตายฟัดกันๆ
ตัวเท่าหนูนี่นะ ความคิดความอ่านตามความรู้สึกธรรมดาก็เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเราธรรมดา พอมันจ้าขึ้นมานี้มันก็เป็นแบบเดียวกัน อ้าว แล้วกันจะไปสอนใครได้เป็นอย่างนี้แล้ว ถึงขนาดนี้สอนใครได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ได้ยกตนนะ มันเป็นขึ้นมา โหย จะไปสอนใครได้ ลงถึงขนาดนี้แล้ว ธรรมชาตินี้เหมือนว่าสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้ สอนไปทำไม ไปสอนที่ไหนว่าที่ไหนเขาจะหาว่าเราเป็นบ้าไป อย่างที่พูดอยู่นี้มันก็จะว่าเราเป็นบ้าก็มี เข้าใจไหมล่ะ พูดไปที่ไหนเขาจะหาว่าบ้า แล้วพูดไปหาอะไร อยู่ไปกินไปพอถึงวันแล้วก็ไปเสียเท่านั้นละ ทอดธุระ ทอดอาลัยตายอยาก คือประหนึ่งว่าเกินกว่าที่จะสอนได้ พูดง่ายๆ มันมืดแปดทิศแปดด้าน
ฟังซิหัวใจเวลามันเปิดออกมาเป็นอย่างนั้น พูดให้ฟังชัดเจน ท้อใจ จนจะลงทอดอาลัยตายอยากแล้ว อยู่ไปกินไปพอถึงวันเท่านั้น อยู่ไปกินไปก็อยู่ในป่าในเขาเท่านั้นเองไม่ออกมาละ พอถึงวันเวลาก็ไปเสียเท่านั้น ดีกว่าที่จะมาให้เขาโจมตีว่าเป็นบ้า เทศน์ออกมาคำไหนเขาก็จะว่าเป็นบ้าไปหมดนั่นแหละ เหมือนว่าจะทอดอาลัยตายอยาก ที่นี่ธรรมอันหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างเน้นหนักเลยทีเดียว กระตุกเลยทีเดียว อ้าว ถ้าว่าธรรมอันนี้สุดวิสัยของโลกมนุษย์เราที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้เห็นได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมนี่ขึ้นมากระตุกเลย รู้ได้เพราะเหตุใด
คำว่าเหตุใดนี่เป็นสายทางแล้วนะ เหตุใดคือสายทางเข้ามาถึงที่นี่ มาตามสายทาง สายทางนี่คืออะไร คือบุญคือกุศลที่สร้างมามากน้อย รวมตัวๆ หนุนเข้ามาๆ เราสร้างบุญกุศลด้วยวิธีการใดก็ตาม เป็นสายทางหนุนเข้ามาทั้งนั้นๆ เพราะเหตุใดเท่านั้นมันวิ่งถึงกันเลย ทีนี้ก็ยอม ทั้งๆ ที่ว่าจะทอดอาลัยตายอยาก พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ทีแรกก็ขึ้นว่า เราเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด พอว่าเพราะเหตุใดมันก็วิ่งมาตามสายทางแห่งบารมีที่สร้างมาๆ ไม่สร้างมาไม่ได้อันนี้ อยู่เฉยๆ จะไปได้อย่างนี้ไม่มีทาง ต้องมีสายทาง สายทางก็คือบุญกุศล สร้างบารมีมาด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาภพใดชาติใดก็ตาม สร้างมาเรื่อย หนุนมาเรื่อยๆ ก็มาถึงเอง
พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ยอมรับทันที อ๋อ รู้ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ฝืนนะ แม้ไม่มากก็ได้ ได้ยันไว้เลย นั่นละที่นี่จึงมีแก่ใจ นี่ไม่ได้มาโม้ให้ท่านทั้งหลายฟังนะ เป็นในหัวใจจริงๆ แต่ก่อนไม่เคยเป็นก็ธรรมดาๆ บทเวลามันรู้ขึ้นมานี้ ประหนึ่งว่าจะไม่มีใครรู้ได้เลยธรรมชาติอันนี้ จึงทอดอาลัยตายอยาก จะว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ใครก็ตามมีนิสัยวาสนาด้วยกันทั้งหญิงทั้งชายประมาทกันไม่ได้ ท่านจึงไม่ให้ประมาทกันและกัน นิสัยวาสนามีอยู่ด้วยกัน ถึงวาระทุกข์ทุกข์เสียก่อน กรรมเป็นวาระๆ ที่จะตกทุกข์ตกหนักก็ตกไปเสียก่อนๆ พอพ้นนี่ก็ดีดขึ้นๆ เป็นวาระของกรรม
พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใดเท่านั้นมันก็วิ่งเลย อ๋อ มันมีนิสัยวาสนาด้วยกันคนเรา ต่างคนต่างบึกต่างบึนมา ผู้ใกล้ผู้ไกล เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยการสร้างบารมีคุณงามความดีทั้งหลายมา จึงรู้ได้ ไม่มากก็ได้ คำว่าได้นี้ยันเลยที่นี่ ยอมรับ จากนั้นถึงได้สอนมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้นึกได้คิดว่าเราจะได้สอนคนทั่วโลกเลย ทั่วประเทศไทยยังไม่แล้วยังทั่วโลกอีก ออกทางวิทยุ ออกทางอินเตอร์เน็ตอะไรก็แล้วแต่ ไม่คิดไม่คาดว่าจะออกมันก็ออกของมัน นี่ละที่ว่ารู้ได้ๆ ยังมีผู้มีอุปนิสัยปัจจัยอยู่ที่ไหนๆ รับฟังธรรมนี้ติดใจพอใจ อย่างเมืองนอกเมืองนา คนไทยเราไปอยู่เมืองนอกแล้วเอาธรรมนี้เป็นเครื่องกล่อมใจ นั่นเห็นไหมล่ะ ก็เป็นอย่างนั้นละ
เรื่องธรรมเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร จึงว่าดูอะไรดูไม่ได้เลย มันเลยเถิด คือเลยโลกสมมุติไปเสียทั้งมวล แล้วดูอะไรดูไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่แต่ก่อนก็ไม่เคยคิด เวลามันจ้าขึ้นมานี้มันรู้มันเห็นเสียเต็มหัวใจ ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยาน พอมันจ้าขึ้นมานี่มันรู้เต็มหัวใจ ทุกอย่างๆ สมบูรณ์แบบอยู่ในนี้หมด ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยานว่าแน่แล้วๆ ถูกแล้วๆ หรือไม่ถูก มาคัดค้านต้านทานกันอย่างนี้ไม่มี เป็นที่แน่ใจๆ จึงได้สอน
เรื่องการปฏิบัติกว่าจะได้รู้ได้เห็นอย่างนี้ก็พูดแล้ว แทบเป็นแทบตาย เรียกว่ารอดตายมาจึงได้มาสอนโลก ขอให้พากันตั้งใจนะ ที่เป็นบ้าถ่ายภาพอยู่นั่นก็ให้ไปคิดใหม่นะ ถ้าเป็นอย่างนี้อีกจมจริงๆ นะจมลงนรก การสอนนี่ไม่ได้ลากลงนรกนะ ลากขึ้นสู่ความดีงาม ให้รู้เนื้อรู้ตัว ให้เอาไปคิดนะ อย่ามาว่าหลวงตาบัวนี้ดุ แล้วก็โกยเอาความทุกข์เผาเข้าไปอีก คำพูดคำจากิริยาอาการทุกอย่างของเราเราพูดตรงๆ ไม่มีภัยต่อโลก จะเป็นกิริยาใดแสดงออกมาเป็นธรรมทั้งนั้นๆ ออกมาจากธรรมล้วนๆ เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอนจึงพูดได้ทุกแบบฉบับที่เป็นธรรม เป็นธรรมทั้งนั้นออกมา
ผู้มาปฏิบัติควรจะพินิจพิจารณาบ้างนะ อย่าสักแต่มาเฉยๆ เพ่นๆ พ่านๆ อย่างกลางวี่กลางวัน ต้องได้เขียนประกาศติดไว้หน้าวัด มันไม่ฟังเสียงอะไร เพ่นๆ พ่านๆ ออกมาเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อน เห็นเขามาก็มา อยากมาก็มาไม่ได้หน้าได้หลัง เขียนประกาศติดไว้มันรู้ตัวแล้วยังก็ไม่รู้นะ ที่นี่เป็นวัดก็บอกแล้วนั่น เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีธุระจำเป็นไม่ควรเข้ามาเที่ยวเพ่นพ่าน บอกไว้แล้วนี่เราจำได้นะ เราเป็นผู้สั่งให้ไปติดไว้ คำพูดก็อย่างนี้ด้วย พระก็เขียนคำพูดของเราไปติดไว้นั้น อย่ามาเพ่นๆ พ่านๆ เวลาไหนก็ตามออกมามองดูเพ่นๆ พ่านๆ ดูไม่ได้ สลดสังเวช กลางวี่กลางวันออกมาไม่ได้นะ เต็มด้วยความเพ่นๆ พ่านๆ ไม่ได้หน้าได้หลัง มันอะไรกัน มันน่าสลดสังเวชนะ
ผู้หาผลประโยชน์หาจริงยอมรับ แต่ผู้ที่โลเลโลกเลกหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ตามประสีประสา เหมือนไส้เดือนคืบคลานไปตามทางแบบนั้นแหละ อันนี้มีมากไม่น้อยในร่างมนุษย์เรานี้ละ มันไม่รู้ภาษีภาษาอะไรเลยจิตใจมีอยู่ในนั้น เหมือนไส้เดือนมีใจอยู่ในนั้น ไส้เดือน บุ้งกือ เขามีใจอยู่เขาก็ไปตามประสาของเขา อันนี้จิตใจมนุษย์แท้ๆ เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น ไม่ควรจะให้เป็นอย่างนั้น ควรจะแนะนำตักเตือนตัวเองได้บ้าง ก็มีศาสนามีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอยู่ ควรจะได้คติตัวอย่างอันดีงามไปปฏิบัติตัวเองให้เป็นความดีงามยิ่งขึ้น ก็จะประดับชาติมนุษย์เราว่าเป็นชาติที่สูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย อย่าให้เลวกว่าสัตว์ทั้งหลาย
นี่ก็เข้าพรรษาแล้วให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ฟิตตัวเองนะอย่าปล่อยตัว คนเราไม่ได้ดีไม่ได้เลิศเลอเพราะการปล่อยตัว ดีเพราะการเข้มงวดกวดขัน เพราะการรักษาตัว ปฏิบัติต่อตัวเอง ทุกข์ยากลำบาก เมื่อเหตุผลพาก้าวเดินทางไหนที่ถูกต้องแล้วก้าวเลย เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์ ลำบากก็ลำบาก ถือพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พระพุทธเจ้าสลบสามหนลำบากหรือไม่ลำบาก เสด็จออกทรงผนวชมีอะไรตามเสด็จ ก็มีม้ากัณฐกะตัวเดียว กับนายฉันนอำมาตย์เท่านั้นไป เอาอะไรไปพิจารณาซิ เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกทรงผนวช ขโมยเสียด้วยนะ
ทุกเวล่ำเวลามีสนมขับกล่อมบำรุงบำเรอตลอด ให้มีความเพลิดเพลิน พระองค์ก็ดูไม่หลงนะ เวลาสุดท้ายก็เผอิญ ที่ว่าไปเยี่ยมพระนคร ก็ไปเจอเอาสมณะเข้า นอกนั้นก็เห็นกันมาแล้ว รู้กันมาแล้ว เป็นเพศที่สงบเย็น เพศนี้เพศอะไร เพศสมณะ นั่งภาวนาสงบเย็น เอ้อ เพศนี้ชอบกล นั่น สงบเย็น เพศเหล่านั้น เกิดก็ดิ๊กๆ แด๊กๆ แก่ เจ็บ ตาย มีแต่เพศที่น่าสลดสังเวชไปคนละด้านละทาง พอไปถึงเพศสมณะ นั่นเป็นเพศที่สรุปพระบารมีของพระองค์จะลงในจุดนั้น ไปเห็นนั้นแล้วก็มาเป็นอารมณ์อยู่ภายในพระทัย จะเสด็จออกบวช
วันที่จะเสด็จออกบวชวันนั้นก็พร้อม พวกนางสนมที่ขับกล่อมบำรุงบำเรออยู่ในพระราชวังนั้น วันนั้นเหมือนป่าช้าผีดิบ หลับครอกๆ แครกๆ ทิ้งเนื้อทิ้งตัวเหมือนป่าช้าผีดิบ พระองค์เสด็จออกมาดู โอ้โห ทุกวันก็เป็นธรรมดาๆ แต่วันนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ กลายเป็นป่าช้าผีดิบไปหมด ทิ้งเนื้อทิ้งตัว หลับครอกๆ แครกๆ หาความน่าดูไม่ได้เลย เข้าไปแล้วเตรียมจะเสด็จออกทรงผนวช ทรงเป็นห่วงพระราหุล เป็นห่วงพระนางพิมพานั่นแหละ แต่ภาษาของโลกเขาเขียนไว้อย่างนั้น ว่าทรงเป็นห่วงพระราหุล ตามหลักความจริงก็ทรงเป็นห่วงทั้งสองพระองค์ เป็นห่วงพระนางพิมพาที่เป็นแม่ เป็นห่วงพระราหุลที่เป็นลูก
ในตำราว่าจะเข้าไปชมพระราหุลวาระสุดท้ายจะเสด็จออกทรงผนวช ก็ไปเจอแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวแม่จะกอดคอเลยจะออกไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินพระทัยไม่เข้าไป ไม่ไปหาแม่หาลูก ไปเลยออกทรงผนวช เห็นไหมล่ะ นั่นละวันเสด็จออกทรงผนวช ๖ ปีตรัสรู้ธรรมแล้วกลับมา พระราหุลก็โตแล้ว ๖ ปี ๗ ปีน่ารักมากแล้ว นั่นละท่านเสด็จออกทรงผนวช ตัดความอาลัยตายอยากทั้งหมดในพระราชวังแล้วยังไม่แล้ว ไพร่ฟ้าประชาชีทั้งหลายทั่วแผ่นดินที่พระองค์ทรงครอบครองอยู่ออกหมดโดยสิ้นเชิง หนีเข้าป่า เห็นไหมล่ะ
ป่าเป็นป่าเช่นไร ป่าดัดสันดาน พระองค์ก็ไปดัดสันดานพระองค์อยู่นั้น อาหารการบริโภคของกษัตริย์ กลายเป็นอาหารหวานคาวของนักโทษในเรือนจำไปหมดแล้ว อยู่อะไรอยู่ไป บิณฑบาตก็ไปขอทานกับเขาที่ประเพณีเขาให้ทาน ไปมาเสวยทีแรกจะเสวยไม่ลง ดูของในพระราชวังกับของที่ได้มาจากความขอทานมันดูกันไม่ได้เลย พระองค์ก็ทรงนำมาสั่งสอนพระองค์เอง สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของไม่น่าดูๆ ในไส้ในพุงในตัวของเราเป็นของน่าดูที่ไหน มันวิเศษวิโสมาจากไหน มันก็พอๆ กัน นั่นท่านเอามาเทียบ แล้วก็เสวยได้เรื่อยมา นี่ละคือดัดสันดานพระองค์ตลอดตั้งแต่วันเสด็จออกทรงผนวช
จนกระทั่งได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อยู่ในที่ดัดสันดานทั้งนั้น กิเลสถูกดัดสันดานเมื่ออยู่ที่นั่น โลกทั้งหลายเขาจะว่าพระองค์ไปดัดสันดานพระองค์ ดัดสันดานกิเลสต้องทุกข์บ้าง กิเลสอยู่กับคน คนก็ต้องทุกข์บ้างเป็นธรรมดา จนได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในป่าอะไรดงพาราณสี มันดูมานานแล้วมันก็ลืมนะ ใครอย่ามาถือสีถือสาว่าผิดไปเมืองนั้นเมืองนี้ เราลืมดูมานาน ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาจึงได้มาสอนโลก เวลาสอนโลกก็อีกแหละ มองดูโลกมันก็จะดูไม่ได้ มันมืดมิดปิดตาไปหมดเลย พระองค์ก็ทรงสั่งสอนเรื่อยมา
ถึงขนาดท้าวมหาพรหมมาทูลอาราธนาว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ นี้ก็คือท้าวมหาพรหมมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์จะทรงทอดพระทัยจะไม่สั่งสอนสัตว์ ว่าสัตว์ในโลกนี้ผู้มีมลทินเบาบางยังมีอยู่มาก ขอพระองค์ได้เมตตาสั่งสอนสัตว์โลกอย่าปล่อยวางไปเสียทีเดียว ความจริงพระองค์ทรงเล็งญาณทราบยิ่งกว่ามหาพรหมเป็นไหนๆ แต่นี้เป็นมหาพรหมมาเป็นพยานพระองค์อีกทีหนึ่ง ก็ทรงสั่งสอนสัตว์โลกเรื่อยมา แทบเป็นแทบตายการสั่งสอนสัตว์โลก แต่ไม่อยู่นานนะได้ ๔๕ ปีก็ปรินิพพานไป
ในระยะ ๔๕ ปีเป็นศาสดาสอนโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย พอถึงนั้นแล้วก็ก้าวเข้าสู่นิพพาน ประทานพระโอวาทไว้ซึ่งเป็นทางเดินให้พวกสัตว์โลกทั้งหลายได้พากันก้าวเดิน คือศาสนธรรม สอนไว้เพื่อเป็นทางก้าวเดินได้ ๕,๐๐๐ ปี คำว่า ๕,๐๐๐ ปีนี้ทรงเล็งญาณได้ทราบไว้ทั่วถึงแล้ว คนเราจะมีศีลมีธรรมเรื่อยๆ มานี้จนกระทั่งถึง ๕,๐๐๐ ปี คำว่าบาปว่าบุญอะไรไม่มีในใจ เรื่องกิเลสตัณหาพอกพูนเต็มหัวใจด้วยกันทั้งนั้น หมดนั้นแล้วศาสนาก็สอนไม่เป็นประโยชน์แล้ว ศาสนาจึงหมดใน ๕,๐๐๐ ปี
นี่เพียง ๒,๕๐๐ นี้มันก็เป็นแล้วนี่เห็นไหม ๒,๕๐๐ กึ่งศาสนานะ เวลานี้หัวใจประชาชนเป็นของเล่นเมื่อไร มันดีดมันดิ้นตามกิเลสตัณหามากต่อมาก แทบจะไม่มีศาสนาติดเนื้อติดตัวของมนุษย์ชาวพุทธเราบ้างเลย มันหนักเข้าไปทุกวันๆ อันนี้ทวีรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ส่วนอรรถส่วนธรรมที่จะกระจายออกไปเป็นน้ำดับไฟเพื่อความสงบของใจที่เต็มไปไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ไฟคือราคะ โทสะ โมหะ เผาไหม้นี่ จะได้น้ำดับไฟนี้มีน้อยมากๆ แล้วไม่สนใจจะนำมาดับนะ แล้วก็นับวันรุนแรงขึ้นโดยลำดับ นี่ละศาสนาเวลานี้เห็นไหมล่ะ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ไปที่ไหนมีแต่วัดวาเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ในป่าในเขาก็มีวัดมีวา แล้ววัดวาก็สักแต่ว่าเป็นวัดเป็นวาไปเสียมากต่อมากแล้ว วัดที่ดีเป็นสิริมงคลแก่พระเองแก่วัดเอง แก่ประชาชนผู้เข้าไปเกี่ยวข้อง รู้สึกจะมีน้อยมากเข้าทุกวันๆ แต่วัดที่มีแต่ชื่อกลายเป็นส้วมเป็นถานน่ะมีมากขึ้นทุกวัน
วัดเป็นส้วมเป็นถานเป็นยังไง ในวัดในวามีแต่เครื่องบำรุงบำเรอปรนปรือของกิเลสตัณหาทั้งนั้น ไม่มีเครื่องบำรุงส่งเสริมประดับศาสนธรรมให้สวยงาม พอจะให้นามว่าเป็นวัดบ้างเลย มีแต่เครื่องปรนปรือเต็มวัดเต็มวา ก้าวเข้าไปในวัดนั้นมองดูซิ วัตถุเป็นเรื่องของกิเลสนี้เต็มวัดเต็มวา ศาสนธรรมไม่ค่อยปรากฏ เอ้า มองเข้าไปที่ไหนหรูหราฟู่ฟ่าเป็นเรื่องของกิเลสบำรุงปรนปรือตัวเอง แล้วก็เข้าไปบำรุงปรนปรือในวัดในวา เพราะมันมัดคอพระ กิเลสอยู่ในนั้น พระก็ต้องดีดต้องดิ้นหาเรื่องอย่างนี้ละออกมา จึงเป็นเรื่องของกิเลสเกือบจะว่าล้วนๆ ในวัดหนึ่งๆ กลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดแล้ว
ดูวัดดูวาหรูหราฟู่ฟ่าสวยงาม ในสายตาของกิเลสว่าสวยงาม แหม วัดนี้สวยงามมากโบสถ์หลังหนึ่งราคาเท่านั้น ศาลาหนึ่งราคาเท่านั้น กุฏิหลังหนึ่งราคาเท่านั้น เครื่องประดับประดาตกแต่งลายคงลายครามราคาเท่าไรๆ ไม่คำนึงเอามาประดับเต็มวัดเต็มวา นี้คือส้วมคือถานของวัดตามสายตาของธรรม ผิดกัน สายตาของกิเลสเป็นอย่างที่เราเห็นนี้แหละ สวยงามน่าดูๆ ไปหมด วัดไหนน่าดูไปด้วยเรื่องของกิเลส ไม่ได้น่าดูไปด้วยเรื่องของธรรมนะ นี่เรียกว่าส้วมว่าถาน
เอ้าที่นี่พระเณรก็ปฏิบัติตนเหลวแหลกแหวกแนว ศีลธรรมมีอยู่ไม่คำนึง เหยียบย่ำศีลธรรมคือพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป วินัยไม่ดูธรรมไม่ดู เหยียบหัวพระพุทธเจ้าด้วยการข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัยไปเรื่อยๆ ประพฤติตัวเป็นมูตรเป็นคูถแหละที่นี่ ในตัวหาศีลหาธรรมไม่มี ถ้าเรื่องกิเลสตัณหาเต็มตัวๆ ด้วยกัน ก็เลยกลายเป็นพระเณรเป็นมูตรเป็นคูถไปเสีย วัดก็เป็นส้วมเป็นถาน มูตรคูถกับส้วมกับถานก็เข้ากันได้สนิทเลย เดี๋ยวนี้มีมากขึ้นโดยลำดับนะ เอ้าไปดูเอาถ้าว่าเราหาเรื่อง
เรียนมาด้วยกันตำรับตำรามีมาเป็นแบบเป็นฉบับ อะไรขัดกับตำรับตำราทำลายศาสนาก็รู้ อะไรที่จะทำความเจริญให้ศาสนาก็รู้ นี่ละเป็นอย่างนี้ ไปที่ไหนศาสนาก็ว่าศาสนา ในวัดตัวเองยังเป็นส้วมเป็นถานไปได้ แล้วนอกจากวัดไปแล้วจะไม่เป็นได้ยังไง ตั้งแต่วัดที่เป็นตัวอย่างของประชาชนมันยังกลายเป็นส้วมเป็นถาน ให้ประชาชนเห็นแล้วอิดหนาระอาใจ ผู้มีศีลมีธรรมไปดูไม่ได้นะ มันเป็นแล้วเดี๋ยวนี้ ไปดูถ้าว่าเราหาเรื่องอุตริ วัดไหนก็ตามไม่ตำหนิ วัดเขาวัดเรา อะไรไม่ดีว่าไม่ดีทั้งนั้นจึงเรียกว่าเป็นธรรม เป็นอย่างนั้นแล้วเวลานี้ ที่ยังตั้งใจประพฤติปฏิบัติดัดแปลงแก้ไขกายวาจาใจของตน ให้ดิบให้ดีไปตามศีลตามธรรม สมนามของพระผู้บวชมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่มีนะเดี๋ยวนี้ แทบไม่มีเราไม่อยากพูด มันจะลงถึงไม่มี มีบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้น นอกนั้นกิเลสกลืนตลอดเวลา ถ้าว่าสัตว์นี้กลืนเข้าไปยังเหลือแต่หางนิดหน่อย นอกนั้นมันกินหมดกิเลสกินหมด ยังเหลือแต่หางนิดๆ หน่อยๆ มันกลืนยังไม่หมดยังเหลือหางๆ พวกเรานี้ยังเหลือหางนะกิเลสกลืนยังไม่หมด แล้วเป็นยังไงจะคลี่คลายตัวออกให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้างนะ ให้พิจารณา
นี่ละที่ว่าวัดเป็นส้วมเป็นถานเป็นอย่างนี้เอง พระเป็นมูตรเป็นคูถก็ปฏิบัติตัวนอกรีตนอกรอยจากศีลจากธรรม เอากิเลสเข้ามาเป็นเครื่องปรนปรือเครื่องครอบครองหัวใจตัวเอง ก็เลยเป็นมูตรเป็นคูถไปหมด ศีลธรรมมีอยู่ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องกิเลสตัณหาความสกปรกโสมมทั้งนั้น แล้วจะเป็นพระไปได้ยังไง พระแปลว่าประเสริฐ มันประเสริฐด้วยอะไรดูซิน่ะ นี่ละสอนให้ท่านทั้งหลายได้รู้ ย่นเข้ามาหาตัวเราทุกคนๆ วัดของเราคือร่างกายของเรามันเหมือนส้วมเหมือนถาน การประพฤติตัวเหลวแหลกแหวกแนว ภายในคือใจมันก็เหลวแหลกแหวกแนว ใจเป็นมูตรเป็นคูถ ใจสกปรกโสมม แสดงออกมาทางกายวาจาความประพฤติหน้าที่การงาน กลายเป็นส้วมเป็นถานเป็นมูตรเป็นคูถไปหมดในตัวของคนแต่ละคนๆ
เอาไปพิจารณานะ วัดนอกวัดใน ดูเขาดูเรา ดูนี้ดูแบบธรรม สอนนี้ก็สอนแบบธรรม ไม่ได้ตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใดว่าดีหรือไม่ดี เอาธรรมเข้าไปสอน ผู้ที่ยึดอรรถยึดธรรมก็เป็นคติเครื่องเตือนใจแก่ตนเรื่อยไป ถ้าผู้ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรก็จะเลอะเทอะไปเรื่อยๆ ให้พากันจำนะ วัดเราเป็นยังไง ดูวัดเจ้าของบ้างซิ จะไปหาดูวัดนั้นวัดนี้วัดไหน วัดเจ้าของเลอะๆ เทอะๆ ไม่ดู ความประพฤติหน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับร่างกายของเราที่แสดงออก กิริยาแสดงออก ทีนี้ตัวมูตรตัวคูถคือใจ ใจมันเลวมันบังคับกายวาจาใจให้ประพฤติแต่สิ่งเลวร้ายทั้งหลาย นี่เรียกว่าภายในใจนั้นเป็นมูตรเป็นคูถ ออกมาทางกายวาจาก็เป็นส้วมเป็นถานในตัวของเราด้วยกันทุกคน ให้เอาไปพินิจพิจารณา จะเกิดผลเกิดประโยชน์บ้าง ไม่อย่างนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
นี่จวนจะตายๆ เท่าไรก็ยิ่งเน้นหนักทางธรรมะ กลัวจะไม่ได้ยินได้ฟัง ตายไปแล้วก็หาพระมา กุสลา ธมฺมา ไปอีกแบบหนึ่ง ผิดไปตลอดนะ หาพระมา กุสลา ธมฺมา พระนั้นก็มา กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมกล้วยไข่อยู่ที่ไหนไปอย่างนั้น ไอ้ผู้ที่ไปนิมนต์พระมา กุสลา พระท่านสวดกุสลามาติกานี่ โอ๋ย ไม่ฟังนะ โม้คุยกัน ระบายความทุกข์ต่อกัน มาเต็มเลยสถานที่นั่น ไม่มีคำว่าอรรถว่าธรรม มีแต่ความทุกข์ที่มาระบายต่อกัน ตามโอกาสที่ได้มาพบเห็นกันนานๆ จะมีสักทีหนึ่ง มาแล้วก็มาคุยตั้งแต่เรื่องระบายความทุกข์ คนนั้นก็ทุกข์เต็มหัวใจ คนนี้ก็ทุกข์เต็มหัวใจ ออกมามีแต่เรื่องกองทุกข์ ไม่ทราบว่าใครซื้อใครใครขายให้ใคร มันเต็มด้วยกันทุกคนขายไม่ออก เพราะเต็มหัวใจด้วยความทุกข์ความทรมานเต็มวัดเต็มวา ยิ่งกรุงเทพฯยิ่งแล้วนะ สนใจกับอรรถกับธรรมเมื่อไร ไปดูถ้าว่าหาว่าเราพูดผิดไป ไปดูเอา
หลวงตาไปเห็นแล้ว ถูกเขานิมนต์ไปเทศน์ นี่ละที่เห็นจังๆ เราบอกจะให้เราไปหาอะไรไปที่เช่นนั้น ก็รู้กันอยู่ทุกคน เราว่ายังไงเขาก็ออดอ้อนวิงวอนให้ไปเทศน์ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ เมื่อออดอ้อนวิงวอนหลายครั้งหลายหน เราจำเป็นจำใจก็ไป ก็รู้แล้วเหตุการณ์มันเป็นยังไงก็ฝืนไป เพื่อไปดูเหตุการณ์นี้ด้วย ไปก็อย่างว่าแหละ มาแล้วมาโม้มาคุยกัน เราก็ไปนั่งนั่น พระท่านกุสลาอะไร สวดอภิธงอภิธรรมอะไร กุสลา ธมฺมา มันไม่ได้ฟังนะ เฉย ไม่สนใจ ทางนั้นก็ กุสลา ธมฺมา หลับตา กุสลา ธมฺมา ไปเรื่อยพระก็ดี เรานั่งดูอยู่นี่ เอามันชัดๆ อย่างนี้ละ
จากนั้นเขานิมนต์เราขึ้นเทศน์ พอขึ้นเทศน์เบื้องต้นก็อย่างนั้นแหละ อย่างที่เขาเคยฟังนั่น แต่เทศน์อันนี้มันไม่เหมือนใครละซิ พอเทศน์ไปๆ สักเดี๋ยวก็ขึ้นละนะ ทางนี้ก็เปรี้ยงเลยเชียว ฟาดนี้ สุดท้ายที่นั่งมากๆ นั่นน่ะ ที่เป็นสถานที่โม้น้ำลายเงียบหมดเลย ธรรมะนี้แผดอย่างแรงนะ เปรี้ยงๆ อย่างมีเหตุมีผล เลยเงียบหมด เทศน์หนเดียวเท่านั้นละเราก็มา จากนั้นไม่เคยไปเทศน์อีก นี่ละจำได้ชัดเจน เห็นด้วยตาของเรา มันสนใจกับอรรถกับธรรมเมื่อไร เข้าไปในสถานที่เช่นนั้นน่าจะไปปลงธรรมสังเวช เรื่องเป็นเรื่องตายทั้งเขาทั้งเรา มาพิจารณาเป็นอรรถเป็นธรรม กลับไปบ้านไปเรือนจะได้มีสติสตัง ตั้งเนื้อตั้งตัวทำความดีงามและประพฤติตัวในทางที่ถูกที่ดี มันไม่สนใจนะ มันเป็นไปอย่างนั้นละ นี่เห็นประจักษ์ อะไรที่ได้เห็นแล้วมาพูดได้อย่างเต็มปาก
อย่างที่ว่าเราไปเทศน์นี่ เทศน์วัดไหนก็ไม่ต้องบอกละ วัดใหญ่ๆ อยู่ในกรุงเทพฯ เราไปเทศน์ เป็นอย่างนั้นละ มันเคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว เราขึ้นไปเทศน์ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ก็ใส่เสียเปรี้ยง เงียบหมดนะ คนมากๆ นี้เงียบหมดเลย ทีนี้เสียงธรรมก็แผดละออกอำนาจ เปรี้ยงๆๆ เลย เขาคงจะเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กัน หลวงตาผีบ้ามาจากไหน ไม่ดูบ้านดูเมืองเขาเหรอถึงเทศน์อย่างนี้ เขาก็อาจจะไปวิพากษ์วิจารณ์กัน ถ้าหากว่าเราตอบ ดูแล้วค่อยเทศน์ แน่ะ อย่าว่าดูบ้านดูเมือง ดูทั่วโลกค่อยเทศน์ จะมาว่าอะไรบ้านเมืองเท่านี้ ถ้าให้ตอบจะตอบอย่างนั้นเข้าใจไหม นี่เขาก็ไม่ได้มาว่าให้เราเราก็ไม่ว่าอะไร เฉย ทุกท่านให้จำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ ให้เป็นคติเครื่องเตือนใจด้วยกัน ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
สามเดือนให้มีข้อเป็นหลักใจของตัวเอง มีตั้งสัจจอธิษฐานจะเอาธรรมข้อใดๆ เพื่อเป็นธรรมประจำน้ำใจของเรา ในพรรษานี้เราจะทำยังไง เช่นไหว้พระสวดมนต์ วันหนึ่งจะไม่ให้ขาดเลย เอา ปักลงไป ภาวนาวันหนึ่งไม่ให้ขาด ๕ นาทีเอาให้ได้ ขาดนี้เป็นไปไม่ได้ วันหนึ่งได้ทำบุญให้ทานไม่ได้มาก ได้ถวายทานพระบิณฑบาตองค์เดียวก็เอา ให้ตั้งสัจจะไว้ ไม่อย่างนั้นกิเลสเอาไปกินหมด เศรษฐีกุฎุมพีก็ดี คนทุกข์คนจนก็ดี สำคัญอยู่ที่น้ำใจ ถ้าน้ำใจพาให้ดีเศรษฐีก็ดีเพิ่มขึ้นไป ถ้าน้ำใจไม่ดีคนทุกข์คนจนก็จมลงเรื่อยไป ถ้าดีแล้วสูงส่งขึ้นไปด้วยกัน เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้พอ
เอาให้เต็มเหนี่ยวในพรรษานี้ ให้ได้คำสัตย์คำจริงเป็นอรรถเป็นธรรมเข้าสู่ใจทุกคนๆ อย่าเลื่อนลอยเฉยๆ นะ คนหนึ่งให้ได้อันหนึ่งๆ เป็นประจำใจในสามเดือนนี้ให้ได้ทุกคน ใครจะคิดข้อไหนเป็นสาระสำคัญประจำใจ เป็นสัจจะความจริงใจ ให้ทำดังที่พูดนี้แล้ว ใครจะเอาอะไร เฉพาะอย่างยิ่งพวกเมาสุรา พวกเมาสุรา เอ้า ฟาดมันมันจะตายก็ให้ตาย หามมานี่นะพวกเมาสุรายาเมาอะไรเหล่านี้ มันสะแตกสุรามากต่อมาก เวลาเข้าพรรษาห้ามไม่ให้กินเหล้า มันอดสุรามันจะตาย หรือมันตายแล้วให้หามเข้ามาในวัดนี้ หลวงตาบัวจะ กุสลา ธมฺมา ลูกศิษย์เรานี้เก่งมากนา เข้าใจไหม สู้จนตาย อดสุราไม่กินสุรา อดสามเดือนตาย ให้หามเข้ามาเลย มาวัดป่าบ้านตาด หลวงตาจะ กุสลา ธมฺมา ดีไม่ดีจะไปยืนจังก้าอยู่หน้าประตูวัด ต้อนรับลูกศิษย์คนนี้เขาสู้จนตายสู้สุรา เข้าใจไหม เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |