เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
จุดที่บรรลุธรรม
ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนา ถึงวันที่ ๒๐ กรกฎา ที่กรุงเทพ ได้ทองคำ ๑๔ กิโล ๒๕ บาท ๖๘ สตางค์ ทองคำที่ได้หลังมอบแล้วยังไม่ได้หลอม ๒๑ กิโล ๑๒ บาท ๗๕ สตางค์ ที่หลอมแล้ว ๑๒๕ กิโล ๑๐ แท่งพอดี รวมทองคำทั้งหมดซึ่งเป็นทองคำประเภทน้ำไหลซึมได้เวลานี้ ๑๔๖ กิโล ๑๒ บาท ๗๕ สตางค์ นี่ละที่เราขอบิณฑบาตและรบกวนพี่น้องทั้งหลาย ถ้าไม่ได้พูดอะไรนี้จะไม่มีเลย ก็จะมีตั้งแต่ทองคำที่เรามอบอย่างเปิดเผยเป็นงานใหญ่ในวันนั้นเพียง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นี่ละทองคำที่พี่น้องทั้งหลายรวมกันช่วยชาติของตน นี่มอบเรียบร้อยแล้ว
พูดถึงเรื่องทองคำๆ นี่จิตใจของเรามันเป็นยังไงไม่ทราบนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายอยู่ไม่เลิกไม่แล้วนะ มันหากเป็นอยู่ในจิตนี้แหละ แต่ก็ได้สมมักสมหมายตลอดมา ประเภทซึมซาบก็ซึมเรื่อยมาอย่างนี้ ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้แหละ นี่ละความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ทองคำที่เราจะได้อย่างที่ได้นี้ไม่ได้ง่ายๆ นะ ตั้งขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ถึงจะเป็นเรื่องขึ้นมา ดังที่เราตั้งขึ้นมา เรียกว่าเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายนี่ตั้งขึ้นมาแล้ว ทีนี้ต่างคนต่างทราบว่าเราเป็นผู้นำก็เดินตามผู้นำ ผลที่ได้ก็อย่างที่ว่านี่แหละ อยู่ๆ จะตั้งขึ้นมาเลยนี้ไม่ได้ง่ายๆ นะ
อันนี้มันขึ้นอยู่กับบุพเพนิวาสชาติปางก่อนอีกด้วย ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ก็เป็นได้ อยู่กับนิสัยวาสนานี่สำคัญ ผู้นำด้วย เกี่ยวโยงกับบริษัทบริวารบุพเพนิวาสชาติปางก่อน เกี่ยวโยงกันยังไงด้วยบวกกันมา ถ้าไม่พอมีเป็นไปไม่ได้นะ
วันนี้คนมาก ถ้าหากว่าคนจะมากอย่างนี้แล้วเราก็เตรียมไปฉันข้างนอกเมื่อเช้านี้นะ แต่นี้คิดว่าคงไม่มากอะไรนัก พอเข้าตาจนเลยได้สู้เลย ด้านไหนมาก็สู้เลย วันหลังจะเอาที่ศาลาใหญ่ วันนี้ก็เป็นวันเพ็ญ เดือน ๘ วันพรุ่งนี้เป็นวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน ๘ นั่นละก้าวเข้าหน้าฝน พรรษาๆ ก็คือหน้าฝน วันนี้ยังไม่เรียกหน้าฝน มันมี ๓ ฤดู หน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว วันพรุ่งนี้จะก้าวเข้าหน้าฝน ท่านจึงเข้าจำพรรษา พรรษาๆ คือหน้าฝน วันนี้ยังไม่ใช่ วันพรุ่งนี้คนจะมากกว่าทุกวัน เต็มไปหมดศาลา วันพรุ่งนี้จึงว่าจะฉันที่ศาลานอก วันนี้คิดว่าจะไม่มากอะไรนักเลยเอานี้ก่อน อยู่ที่ไหนนั่งได้หมด แต่ยังดีฝนไม่ตก ถ้าหากว่าฝนตก โถ วันนี้...แต่มันไม่ตก ตกกลางคืนเสีย ตอนเช้ามาก็พอหลบๆ ซ่อนๆ ได้
เรากลับจากกรุงเทพเมื่อวานนี้ เราไปกรุงเทพเราก็ไปเพื่อทำประโยชน์แก่ชาติของเรานั้นแหละ ไม่ได้ไปเพื่ออะไร เราพูดตรงๆ เลยดังที่เคยพูดมาแล้ว เราพอทุกอย่างแล้ว เราไม่เอาอะไรทั้งนั้น มีแต่ความเมตตาสงสารชาติของเราเป็นอันดับหนึ่ง และสัตว์ทั่วโลกอันดับต่อไป กระจายออกไปกว้างขวาง ทั่วโลกเลยใหญ่เท่ากันกับชาติของเรา เราอุตส่าห์พยายามอย่างนั้นละ
โลกได้รับความสงบร่มเย็นต้องอาศัยธรรม ไม่มีธรรมร่มเย็นไม่ได้..โลก ใครจะอวดเก่งกล้าสามารถอำนาจวาสนามาจากโลกใดๆ ทวีปใดก็ตาม จมทั้งนั้นๆ มีแต่ลมปาก มีแต่ความสำคัญเฉยๆ ธรรมที่เป็นแกนอันเลิศเลอนี้เป็นสำคัญที่ฝังอยู่ใน เช่นอย่างชาวพุทธเรา ฝังอยู่ในหัวใจของชาวพุทธเราๆ พูดอะไรให้ฟังเสียงธรรม อย่าฟังเสียงกิเลส ถ้าฟังเสียงกิเลส แม้แต่ไปอยู่ในตู้พระไตรปิฎก มันก็ไปทะเลาะไปกัดกันอยู่ในตู้พระไตรปิฎก กิเลสมันไว้หน้าใครเมื่อไร ตู้พระไตรปิฎกเป็นตู้ธรรมเพื่อความสงบร่มเย็นแก่โลก เอา ยัดกิเลสเข้าไปในตู้ดูซิ ตู้นั้นแตกเลย
สมมุติใกล้ๆ อย่างนี้ละไม่เอาไกล วัดป่าบ้านตาดนี่ก็เป็นสมมุติขั้นหนึ่ง เป็นสถานที่อบรมธรรม ต่างคนก็ต่างมาอบรมธรรมถ้าตามกฎเกณฑ์ตามความรู้สึกจริงๆ ทั้งฝ่ายพระและฝ่ายฆราวาสมาอบรมธรรม แต่เกิดมีพวกเทวทัตแทรกเข้ามาๆ ในวัดนี้ทางพระ ทางครัวก็เป็นฆราวาส ทางนั้นก็กัดกัน ทางนี้ก็กัดกัน เลยเป็นโรงหมากัดกันไม่ใช่ที่อบรมธรรม นั่นเป็นอย่างนั้น เรื่องกิเลสไปที่ไหนแตกได้ทั้งนั้น กิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จอมปราชญ์ทั้งหลายคือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตำหนิทั้งนั้น ฟังซิน่ะ พวกเรานี่เลยกลบท่านไปหมด เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป พระพุทธเจ้าตำหนิมันทั้งนั้น พวกเรานี่กลายเป็นชมมันทั้งนั้น เห็นไหมล่ะ ถ้าใครชมกิเลสนั้นละเอาไฟเผาหัวอกตนเอง ถ้าใครชมธรรมเชิดขึ้นเรื่อยๆ จำเอานะคำนี้
จอมปราชญ์ทุกพระองค์ที่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงทำความปรารถนามานานเท่าไร กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้ารื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับลำดา จึงไม่มีปราชญ์องค์ใดที่จะพูดโกหกแม้คำเดียวไม่มีในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พูดอย่างเป็นความสัตย์ความจริงตรงไปตรงมาไปเลย แต่กิเลสหลายสันพันคม มีหลายเล่ห์หลายเหลี่ยม เรียกว่าร้อยสันพันคม หลอกลวงสัตว์โลกให้จมอยู่นี้ โลกทั้งหลายก็ยังไม่เข็ดหลาบอิ่มพอ ถ้าเรื่องของกิเลสมันหวานนะ ยาเคลือบน้ำตาลว่างั้นเถอะ เอาน้ำตาลเคลือบข้างนอก พิษมันอยู่ข้างใน เลยเป็นยาพิษอยู่ในน้ำตาลนั้นเสีย
นี่ยาพิษฝังอยู่ในหัวใจเราๆ น้ำตาลหวานเฉยๆ ข้างในเป็นพิษ กำจัดมันออกนะพิษภายในใจของเรา ความโลภ โลภให้อยู่ในความพอดิบพอดี อย่าลืมเนื้อลืมตัว ป่าช้าครอบหัวอยู่ทุกคนทั่วโลกธาตุนี้ เกิดกับตายมาพร้อมกันแล้วเป็นแต่วันเวลาต่างกันเท่านั้น นี้เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นอย่าโลภ อย่าเหยียบความตายไป คนโลภมากคือคนลืมตาย เมื่อลืมตายก็เป็นบ้าไปหมด บ้ายศ บ้าลาภ บ้าสรรเสริญเยินยอ บ้าอำนาจบาตรหลวงเลยเป็นบ้าป่าเถื่อน เป็นบ้าทำลายไปเลย นี่ละกิเลสถ้ามันขึ้นแล้วมันพองตัวอย่างนี้ ถ้าธรรมขึ้นมากเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวทำโลกให้ร่มเย็นได้ขนาดไหน แล้วสาวกแต่ละองค์ๆ ทำประโยชน์ให้โลกเฉพาะตัวเองเต็มเหนี่ยวแล้ว ทำประโยชน์ให้โลกมากขนาดไหน ไม่เคยปรากฏว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด และพระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ มากขนาดไหนได้ทำความเสียหายแก่โลกแม้องค์เดียวไม่เคยมี นี่ละธรรมจึงเป็นที่ตายใจของโลกได้เรื่อยมาอย่างนี้ ถ้าเราไม่ตายใจกับธรรม จะไปตายใจกับกิเลสก็ตายกองกันอยู่นี้ตลอดไป ล่มจมอยู่นี้ตลอดไป
ให้เชื่อ เชื่อพระพุทธเจ้า กิเลสเราเชื่อมานมนานแล้วมันฝังอยู่นั้น เวลานี้ฟังเทศน์มันก็ฝังอยู่นั้นละ มันคอยกระซิบกระซาบ นี่ท่านเทศน์ให้ฟังนะ ออกจากเทศน์นี้แล้วไปนั้นๆ นะเรา ไปนั้นมันลากลงนรกเข้าใจไหม มันกระซิบอยู่ข้างในเราไม่รู้ กิเลสมันอยู่ข้างใน ธรรมก็ฟัง แต่กิเลสมันอยู่ข้างใน พอเทศน์จบลงแล้วกิเลสลากไปเลย สองขาสามขาไม่มีเหลือ ขาขาดแขนขาดถูกกิเลสลากไป ดีไม่ดีคอขาด ถูกกิเลสลากไปไม่รู้ตัว พวกเราที่มานี่มีหัวมีขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีตอนที่มาในวัดนี้นะ พอออกจากนี้ไปแล้วขาขาดไปหมดเลย กิเลสลากไป เป็นอย่างนั้นนะ
มันเก่งมากนะกิเลส เราได้เห็นชัดเจนเวลาขึ้นเวที พูดให้ท่านทั้งหลายทราบ จึงมาพูดได้เต็มปากที่ผ่านเวทีของกิเลสมาแล้วกับธรรมฟัดกัน จึงรู้ว่ากิเลสนี้แหม แหลมคมจริงๆ แม้แต่ปฏิบัติธรรมขั้นสูงขนาดนั้นกิเลสยังตามหลอกได้ ตามหลอกได้ยังไง ที่เคยพูดอยู่บนภูเขานั้นเป็นเดือนกุมภา พอเผาศพท่านอาจารย์มั่นแล้วก็ขึ้นไปบนภูเขา ไปทำความเพียรอยู่นั้น ตอนเดือนพฤษภาถึงย้อนกลับมาอีก มาม้วนกันที่ตรงนั้น ตอนไปเดือนพฤษภานี่ไปอัศจรรย์ใจตัวเอง นี่เห็นไหมกิเลสตัวมันหลอก หลอกขนาดนั้นนะ ยืนอยู่ทางจงกรม มองไปไหนมันสว่างจ้าไปหมดเลยจิตดวงนี้น่ะ ร่างกายนี้เหมือนแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุ
หลอดไฟไส้ตะเกียงมันสว่างอยู่ในนี้ มันส่องทะลุออกมาหมด ร่างกายเลยกลายเป็นแก้วครอบไป จ้าไปหมดเลย มันก็อดไม่ได้ซิ เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา นี่เรียกว่าโอภาส แสงสว่าง นี่ก็เป็นกิเลส ไม่รู้นะ ทนไม่ไหวเราก็ดี อดอุทานไม่ได้ ขึ้นถึง โอ้โห จิตของเรานี้ทำไมถึงได้สว่างไสวถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้ มันว่างไปหมดเลยเทียว ต้นไม้ภูเขานี่เหยียบไปอย่างนั้นละ แต่ความว่างมันทะลุไปหมดเลย ไม่มีต้นไม้ภูเขา อำนาจของจิตคือความว่างนี้มันครอบไปหมด ความว่างนี้เหนือสิ่งทั้งหลายที่มีทั้งนั้น มันครอบขนาดนั้น ขึ้นอุทานเลย หือ จิตของเราทำไมถึงได้สว่างไสว ถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา ว่างั้นนะ ยืนรำพึงอยู่
ไม่นาน นี่ธรรมท่านเห็นว่าหลงแล้วติดแล้ว พออุทานสงบลงไปแล้ว ธรรมขึ้นมาเตือนนะ นั่นเห็นไหมล่ะ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ คือจุดนั้นก็หมายถึงจุดสว่างนั่นเอง ที่สว่างไสว ไส้ตะเกียงเจ้าพายุนั่นละจุดหรือต่อม ต่อมหรือจุดเป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพอยู่ที่ตรงนั้น ความหมายว่างั้นนะ เราแทนที่จะเปิดเวลานั้นกลับมืดเข้ามาอีก เอ๊ะ จุดยังไง ต่อมยังไง ไปอีก
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วคิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะตอนนั้นท่านล่วงไปแล้ว หากว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ เล่านี้ให้ท่านฟัง พอท่านฟังท่านก็จะจี้เข้าไปปั๊บ อาจจะบรรลุธรรมในเวลานั้นเลยก็ได้ นี่ละจุดที่บรรลุธรรมได้คือจุดนี้เอง พอท่านตีนี้ปั๊บ อันนี้หลุดมือปั๊บ อันนั้นจ้าขึ้นมา นี่ถึงเป็นธรรมแท้ นั่น แต่นี้ท่านล่วงไปเสียแล้วจึงเสียดาย นี่ที่ว่าพระท่านบรรลุธรรมในเวลาถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ก็เช่นปัญหาอันนี้ละ ปัญหาอันนี้บรรลุได้แน่นอน เพราะอยู่ตรงนั้น พอตีนั้นปุ๊บขาดสะบั้นก็จ้าขึ้นเลย
นี่ละปัญหาธรรมที่บรรดาสาวกทั้งหลายได้บรรลุธรรม ในขณะที่ถามตอบปัญหากันกับพระพุทธเจ้า พระองค์จี้ลงจุดนั้น นี่ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะผางออกมาตรงนั้นเลย เราก็แบกอันนี้ไป เดือนสามไปนู้น ไปองค์เดียวทั้งนั้นแหละ จนกระทั่งเดือนหกถึงได้กลับมาภูเขานี้อีก ถึงได้มาม้วนเสื่อจุดอันนี้ลง นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละเป็นของเล่นเมื่อไร กิเลสแหลมคมขนาดไหน มันหลอกเราจนได้ เพลินกับมันจนอัศจรรย์ตัวเอง ธรรมท่านเตือน อันนี้ไม่ใช่ของจริง เป็นของปลอม ความหมายก็ว่างั้น จนกระทั่งอันนี้พังลงไปแล้วมันถึงรู้ อ๋อ อันนี้เองที่ว่าจุดต่อมแห่งผู้รู้ ที่สว่างไสวที่อัศจรรย์คือตัวนี้เอง ตัวจอมปลอมของอวิชชา เงาของอวิชชา เก่งไหม
นี่ละถึงได้ว่า เรื่องกิเลสนี่ถ้าไม่ขึ้นเวทีเสียก่อนไม่รู้นา ขึ้นแล้วถึงได้รู้กัน รู้กันจุดนี้ละ จุดที่ละเอียดแหลมคม หลอกจนได้นะ หลอกจริงๆ จนเพลินอัศจรรย์ตัวเองได้ แต่เวลาอันนี้พังลงไปแล้ว ความสว่างอันนั้นเป็นหลักธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วน หรือจิตเป็นธรรมธาตุล้วนๆ แล้ว มาเทียบกับที่ว่าเราอัศจรรย์แต่ก่อนนั้น อันนั้นเท่ากับกองขี้ควาย เห็นไหมล่ะ แล้วอันนั้นจะสูงขนาดไหนจึงมาตำหนิอันนี้ว่าเป็นกองขี้ควาย ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราชมเชยมันว่าดีๆ นี่ละเป็นอย่างนั้นละธรรม เป็นของเลิศเลอ
ขอพี่น้องทั้งหลายจับธรรมให้ดีนะ อยู่ในใจของทุกคนที่ว่าอยู่นี้นะ เป็นแต่เพียงว่ากิเลสมันปกคลุมเอาไว้ไม่ให้เห็นๆ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี นี่ละที่มันปกคลุมไว้ อะไรๆ ดีหมด ปกคลุมจิตใจที่เลิศเลออยู่นี้ อันนั้นดีอันนี้ดี กองขี้กองนี้ก็ดี ขี้หมูก็ดี ขี้หมาก็ดี ขี้คนก็ดี ขี้ควายก็ดี มาครอบอยู่นี้ มีแต่ดีหมด ธรรมชาติที่ดีเลยโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ท่านจึงสอนให้แก้ๆ ถึงขนาดที่ว่าดีเลิศยังเลวสำหรับสายตาของธรรมอีก ดังที่ธรรมท่านตำหนิ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั่นท่านตำหนิ มันไม่ใช่ของจริง ความหมายว่างั้น ทีนี้พออันนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะพูดแล้ว หมด จึงได้มารู้ว่า โอ๋ย อันนี้เท่ากับกองขี้ควาย ฟังซิน่ะ แต่ก่อนก็ชมเชยมันจนลืมตัวๆ อัศจรรย์ตัวเอง พอธรรมชาตินี้พังลงไปแล้ว ธรรมชาตินั้นปรากฏจ้าขึ้นมาแล้ว กับอันนี้ต่างกันยังไงบ้าง เลยไม่มีปัญหาจะพูดแหละ หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า
ขอให้ท่านทั้งหลายหมุนใจเข้าสู่ธรรม กับกิเลสนี้ทั่วโลกดินแดน ต่างคนต่างส่งเสริมกิเลส เวลานี้ส่งเสริมกิเลสมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีใครที่จะสั่งสมอรรถธรรมให้เป็นขึ้นภายในจิตใจพอจะนำธรรมนี้ออกสู่สังคม ให้สังคมได้รับความสงบร่มเย็น กระจายออกไปๆ ทั่วโลก ถ้ามีธรรมแล้วจะสงบร่มเย็น ที่กัดฉีกกันอยู่นี้มีแต่กิเลสพาให้กัด กิเลสนั้นคืออะไร นั่นละวิชาหมากัดกัน ไม่ว่าใหญ่ว่าน้อย ฐานะสูงต่ำประการใด กิเลสเอาเป็นเครื่องมือได้เป็นอย่างดีๆ ทั้งนั้น ใหญ่เท่าไรกิเลสยิ่งเอาเป็นเครื่องมือได้ดี ทำลายกัน เบียดเบียนกัน ทุกอย่างอยู่กับกิเลสทั้งหมด
ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วจะไม่ยอมยินดีอนุโมทนาสาธุการกับใครๆ นะ อิจฉาริษยา เห็นเขาดีก็อิจฉาริษยาเขา ที่สุดใครมาอยู่ด้วยก็ให้ดีกว่าเราไม่ได้ ต้องให้เราดีกว่าเขาตลอด เท่ากับกองขี้ก็ให้ดีกว่าเขา ดีขี้ไปแข่งทองคำได้ยังไง ผู้ดีท่านมีอยู่ ดีในหลักธรรมชาติท่านไม่หาแข่งใคร ท่านแข่งแต่สิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจของท่านคือกิเลส แข่งกับนั้นเท่านั้นเอง ท่านไม่ไปแข่งกับผู้ใดๆ ทั้งนั้น ท่านแข่งอยู่ตรงนั้น ท่านชนะตรงนั้นแล้วก็ดีไป ไม่ไปหาติชมใคร ดูเจ้าของพอแล้วพอหมด นั่นเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้ากิเลสแล้วพองตัวๆ ไปไหนมันจะพองตัวของมันไป เป็นข้าศึกไปเรื่อยๆ ให้พากันระมัดระวัง
อยู่ด้วยกันก็เหมือนกัน เฉพาะอย่างยิ่งในครัวไฟ มันจะสร้างขวากสร้างหนาม สร้างฟืนสร้างไฟ สร้างเวทีหมากัดกันขึ้นมาข้างในนะ นี่เราพูดให้ฟังกี่ครั้งกี่หนแล้ว ในวัดป่าบ้านตาดตั้งแต่สร้างวัดมาจนกระทั่งป่านนี้ เราไม่เคยได้เห็นพระมีทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ไม่มีเลย จนกระทั่งป่านนี้ เพราะเหตุไร เพราะหลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ ต่างองค์ต่างมุ่งหน้ามุ่งตาปฏิบัติต่อหลักธรรมหลักวินัย องค์ไหนๆ ก็เหมือนกันหมด แล้วจะไปทะเลาะกันหาอะไร ที่ทะเลาะกันก็คือมากีดมาขวางกันด้วยอำนาจของกิเลสนั่นละ
ธรรมผู้สงบร่มเย็นก็สงบร่มเย็นไป ได้รับความกระทบกระเทือนจากพวกหมากัดกันนะ ผู้ตั้งใจภาวนาก็เลยรำคาญ พวกหนึ่งมันไม่ภาวนา มาหายุหาแหย่เรื่องนั้นเรื่องนี้ หาแต่เรื่องแต่ราว เอาโลกกิเลสมาสั่งสมภายในวัด นึกว่าจะเข้ามาสั่งสมธรรม มันไม่ได้เข้ามาสั่งสมธรรมนะ ในครัวนี่ละเราตีเข้าไปตรงนี้เลย เรานี้อกจะแตกแล้วนะ แต่นี้ฟังแล้วเหมือนไม่ฟัง พอฟังแล้วทราบปั๊บๆ เหมือนหนึ่งว่าเก็บเข้าไปลิ้นชักๆ ถึงเวลาออกก็ออกดังที่ว่านี่ละ ถ้าไม่ออกก็เหมือนไม่มีๆ รู้หมดนะเรื่องราวเป็นยังไงๆ รู้หมดแต่ไม่ได้หนัก ถ้ากิเลสอยู่ในนั้นหนักนะ อยากพูดอยากคุยอยากโม้อยากดุอยากด่าโดยหาเหตุหาผลไม่ได้ เพราะความอยากมันดัน แต่เรื่องธรรมไม่อยาก รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น เมื่อสัมผัสเข้ามาในจุดใดๆ ของธรรมที่ควรแสดงออกหนักเบามากน้อยจะออกเองๆ ออกแล้วจบหายเงียบเลย นั่น
ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ให้ดูตัวเอง ไปอยู่กับเพื่อนฝูงผู้ใดก็ตาม อย่าไปดูคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ตัวเสนียดจัญไรตัวนี้มันแส่หาโทษคนอื่น มันอยู่ในใจ ให้ดูตัวนี้ให้ดี ตัวนี้มันออกแล้วตีหน้าผากมันเลย หน้าผากมันคือหน้าผากเราแหละ ตีหน้าผากเราก็ถูกมัน ตีมันก็ถูกหน้าผากเรา ตีตรงนี้นะ ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนตรงนี้ ท่านไม่ได้สอนไปที่อื่น ให้เตือนตน ให้ดูตน ระวังรักษาตน ตัวนี้เป็นตัวเสนียดจัญไร
ถ้าต่างคนต่างรักษานี่แล้วไม่กระทบกันง่ายๆ ละ เห็นกันก็เห็นด้วยความเป็นธรรม ถ้าควรจะแนะนำสั่งสอนหรือเตือนบ้างอะไรก็เป็นไปด้วยความเมตตา เป็นไปด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้เป็นไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ความดูถูกเหยียดหยามเป็นกิเลส มันกระเทือนกันได้ ถ้าเป็นไปด้วยความเป็นธรรม ถึงจะแผดก็ไม่มีอะไร เพราะแผดด้วยธรรม เป็นน้ำดับไฟไปทั้งนั้นแหละ
วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเข้าพรรษา เข้าพรรษาก็ขอให้มีกฎมีเกณฑ์ พวกเราทั้งหลายเป็นลูกชาวพุทธ นี่พระเข้าพรรษาแล้วท่านอธิษฐานจะไม่รับของที่นอกจากบิณฑบาตมาได้เท่านั้น ท่านจะรับเพียงเท่านั้น นี่เป็นธุดงค์ข้อหนึ่งของท่าน ท่านปฏิบัติมาเป็นประจำ สำหรับวัดนี้ปฏิบัติมาตลอดเลย ตั้งแต่เราเข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ได้คิดอ่านดูทุกสิ่งทุกอย่างกับท่านแล้วจับเอา ยึดเอาๆ จากนั้นมาปฏิบัติจนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่เคยให้ตกขาดเรี่ยเสียหายไปไหนเลย ปฏิบัติมาประจำ มีขอบมีเขต ธรรมะเหล่านี้ละจะเป็นเครื่องบังคับจิตใจ บังคับทางภายนอก บังคับทางภายใน มีหลายขั้น
ภายนอกเป็นอาหารการกิน มันโลภมากไม่ให้มันมาก ดัดเข้าไปๆ อารมณ์ก็ให้น้อยลง ถ้าอาหารไม่มากอารมณ์ก็ไม่มาก คือคนเราถ้าฉันอิ่มๆ กินอิ่มๆ แล้วอารมณ์มากนะ กำลังวังชามีมากก็เท่ากับส่งเสริมกำลังของกิเลสขึ้นเอง ความพากความเพียรนี้ก้าวไม่ค่อยออก อืดอาดๆ พอผ่อนอาหารลงปั๊บ ส่วนมากจะถูกทางผ่อนอาหาร เช่นอย่างพระวัดนี้มากต่อมากมีแต่ผ่อนอาหาร อดอาหาร เพราะท่านทำความเพียรสะดวก เวลาผ่อนอาหารสติก็ดีๆ ความเพียรสืบต่อกันๆ อดอาหารผ่อนอาหารหลายวันเข้าไปๆ ทางนี้ยิ่งละเอียดๆ เข้าไป เห็นผลในการประกอบความเพียรของตน แล้วก็เห็นโทษแห่งความอิ่มหนำสำราญ เพราะฉะนั้นจึงตัดทางนั้นลง
เพราะเรื่องร่างกายนี้มันมีกำลังง่าย เช่นเราเดินมาจากภูเขาจะบิณฑบาตในหมู่บ้าน ไปไม่ถึงบ้านมันจะตายก่อนแล้ว ต้องพักกลางทาง หมดกำลัง คืออดอาหารมาหลายวัน กะว่าจะให้ถึงบ้านแหละ วันพรุ่งนี้ไปบิณฑบาตแหละ กะให้ถึงบ้านมันยังไม่ถึง ไปถึงกลางทางหยุด หมดกำลัง พักเสียก่อนแล้วก็ก้าวต่อไป นี่เวลาอดอาหารเป็นอย่างนี้ พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาจากนั้นแล้วดีดผึงเหมือนม้าแข่ง กำลังมันขึ้นได้ง่าย เข้าใจไหมล่ะ แต่กำลังใจขึ้นได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงต้องประคับประคองกำลังใจมากกว่าทางร่างกาย ร่างกายเอาเมื่อไรก็ได้ไม่ยาก แต่ใจนี้ยาก จึงต้องประคับประคอง ส่วนมากจะถูกทางผ่อนอาหาร อดอาหาร
ผ่อนนี่จะให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ไม่เต็ม ความเพียรหากดีๆ ผิดกับฉันตลอด ถ้าอดนั้นทุ่มกัน ความเพียรก็พร้อมกันเลย ทุ่มๆ อย่างที่เคยพูดเสมอ อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ ๘ ปี ฟังซิน่ะ เราอยู่กับท่านไม่เคยฉันจังหันอิ่มนะ วันนี้เปิดเสียบ้าง พระเณรเต็มอยู่นี้ไม่ดูใคร ใครจะเป็นยังไงก็ตามดูแต่เราคนเดียว เราสมาทานธุดงค์ข้อไหนปักลึกไว้นี้ไม่พูดให้ใครฟัง ปฏิบัติเฉพาะเราองค์เดียวๆ ตลอดนะ ฉันจังหันไม่เคยอิ่มอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ เพราะนั้นเป็นที่ชุมนุมรวมของพระเณร แล้วก็มารวมอยู่กับเราผู้คอยดูแลแนะนำตักเตือนสั่งสอนแทนพ่อแม่ครูจารย์ อย่าให้ท่านเดือดร้อนวุ่นวายโดยพวกเราไปกระทบกระเทือนท่านที่ท่านไม่ได้นิมนต์มา เราไปเอง อย่าให้กระทบกระเทือนท่าน เราต้องสอนกัน
สอนกันก็เรานั่นแหละคอยสอดส่องดู ไม่ให้ระเกะระกะ ให้งามหูงามตาสงบร่มเย็น เพิ่มความเมตตาของท่านมากขึ้นๆ ท่านจะได้แนะนำสั่งสอนด้วยความสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นเราจึงฉันจังหันอิ่มไม่ได้ ถ้าอด อดก็ต้องฟัดเลย นี่ไม่อด อยู่ขั้นนี้ก็เอาขั้นนี้เสียก่อน ไม่เคยฉันจังหันอิ่มนะ กะว่า ๖๐% ประมาณเอา พอๆ เอาละพอๆ อยู่งั้นตลอดเลย พอออกจากท่านไปแล้วดีดผึงเลย อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็แล้วกันเลย กี่วันช่างหัวมัน จนกระทั่งบิณฑบาตไม่ถึงหมู่บ้าน ไปไม่ถึงอยู่หมัด พูดง่ายๆ เอาอย่างนั้นตลอดนะ นี่ละการฆ่ากิเลสยากไหมท่านทั้งหลายพิจารณาเอาซิ ทนทุกข์ทรมานเอา
เวลาเราผ่อนอาหารอย่างนี้ คือความเพียรเราไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มันเกี่ยวข้องกับเพื่อนฝูง พวกพระพวกเณรเต็มวัดอยู่ในสายตาของเราที่จะคอยดูแลสอดส่องอะไรๆ องค์ไหนไม่ดีไปตักเตือนสั่งสอน ควรจี้จี้เอาเพื่อพ่อแม่ครูจารย์องค์เดียว ท่านจะได้สงบร่มเย็นของท่าน นั่นความหมาย ทีนี้เวลาอยู่อย่างนั้นก็อดไม่ได้แหละ ต้องผ่อนไว้อย่างนั้นประจำ ออกจากนั้นไปแล้วไม่ต้องบอก เรียกว่าเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นเวทีแล้วฟัดเลยๆ นี่ละการฝึกทรมานตน แล้วคุ้มค่านะ ย้อนถึงความเพียรของตัวเองตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวทีคือปฏิบัติกรรมฐาน ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันวาระสุดท้ายที่กิเลสพัง ว่างั้นเถอะ คิดย้อนหลังลงไปแล้ว โอ้โห อย่างนี้ก็ทำได้ๆ ที่จะคิดท้อใจหรือตำหนิติเตียนตนเอง ไม่เลยนะ มีแต่ โอ้โห ขนาดนั้นมันก็ทำได้ๆ
คือวัยเราแก่แล้วพิจารณาดูวัยที่ฟัดกับกิเลส มันรุนแรง เข้าใจไหม โอ้โห ขนาดนั้นมันก็ทำได้ๆ คือทำขณะนี้ตาย พูดง่ายๆ ตายเลย นี่เราเป็นอย่างนั้น ได้ชมตลอด เรื่องความเพียรของเราที่จะไปตำหนิตรงไหนว่าอ่อนแอท้อแท้ไม่มี มีแต่ผึงๆ ตลอดเลย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปด้วยอำนาจแห่งความเพียรอย่างนี้ เหตุกับผลเข้ากันได้ จึงไม่มีข้อตำหนิ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่เป็นอย่างนี้ๆ สุดท้ายก็ลงจุดนี้หมด เหตุหนักผลก็หนักๆ เราจะไปทำอ่อนแอท้อแท้ เอาแต่กิเลสมาเป็นใหญ่เป็นโต เอาความสุขจากกิเลสทั้งหมด มันไม่ได้เรื่องนะความสุขจากกิเลส มันหลอกเรา
เอาความสุขจากการหลับการนอนการอยู่การกินเฉยๆ มันไม่ได้มีความสุขความเจริญอะไร เพียงธาตุเพียงขันธ์ พออิ่มตอนเช้าแล้ว เอ้า ตอนบ่ายมามันหิวอีกแล้ว นั่น เอาธรรมเข้าสู่ใจซิ ธรรมนี้ไม่มีกาลเวลา หนุนตลอดๆ มีความเยือกเย็นผาสุก แล้วสว่างไสวๆ เรื่อยๆ ธรรมเข้าสู่ใจไม่เหมือนกับอาหารเข้าสู่ท้อง อาหารเข้าสู่ท้องมันอิ่มเวลาเช้า ตอนบ่ายมันหิวได้ ธรรมเข้าสู่ใจนี้หนุนเรื่อยๆ
นั่นละท่านทำความเพียรภาวนา พระพุทธเจ้าสลบสามหนทุกข์หรือไม่ทุกข์ เป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี พระสงฆ์สาวกผู้ขิปปาภิญญาตรัสรู้เร็วก็ไม่ว่าท่านแหละ แต่ผู้ที่ลำบากลำบนต้องเป็นแบบเดียวกัน อย่างท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก พระจักขุบาลจนจักษุบอดแตกแล้วเป็นอรหันต์ขึ้นมาๆ ท่านทำความเพียร ผู้ยากท่านก็บืนตามความยากของท่าน ผู้ง่ายก็ไปได้ง่าย อันนี้พวกเราพวกถูไถต้องถูไถ ไม่ถูไถไม่ได้นะ อ่อนแอไปตามกิเลสมันลากไปต้มยำหมดนั่นแหละเหล่านี้ ศาลาหลังนี้มีแต่อาหารว่างของกิเลสมันต้มยำ พวกเราถูกกิเลสต้มยำหมด หลวงตาบัวเป็นหัวหน้าก็ถูกต้มยำ ฟังหรือยังพวกนี้ที่เทศน์นี่
กิเลสต้มยำพวกเรา เราก็มีแต่ว่าแหมต้มยำนี้ดีนะ ต้มยำนั้นดีนะ กิเลสต้มยำเราไม่เห็นดูเลย กิเลสต้มยำมันอร่อยหรือไม่อร่อย มันเบื่อจะตายมันก็ได้กินจะทำไง ก็สอดคอเข้าไปเรื่อย อิ่มแล้วก็ไม่ฟังยังสอดคอเข้าไป อันนี้ดีนะ อันนั้นดีนะ สอดคอเข้าไปให้กิเลสเหยียบเอาขยำเอา กลืนเอา นี่ที่พวกกิเลสเบื่อ อาหารว่างของกิเลสมันเยอะมันมากเกินไป กิเลสจึงเบื่อ เข้าใจไหม เอาให้กิเลสท้องแห้งบ้างซิ ฟาดลงไปๆ กิเลสท้องแห้งนะ ถ้าธรรมเด็ดแล้วกิเลสท้องแห้ง ถ้าธรรมอ่อนกิเลสท้องป่อง เราจะให้กิเลสท้องป่อง หรือให้ธรรมเป็นที่ภาคภูมิใจ เอาไปคิดเองนะไม่งั้นจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
จิตฝึกเถอะน่ะ จิตเป็นของไม่ตาย ฝึก เวลานี้กำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ ที่กิเลสทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหามันขยี้ขยำแหลก อย่างที่พูดตะกี้นี้เรื่องความโลภ อย่าพากันโลภมากจนเกินไป ความตายครอบหัวอยู่ทุกคน ยังไงก็ตาย ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนก็ตาม มีอะไรๆ ก็ตาม นั้นเป็นสิ่งภายนอก ความตายติดอยู่กับตัวของเราไม่ได้มองใครนะ ความตายไม่มองใคร อยู่กับร่างกายของเรา เมื่อเรามองเห็นความตายว่ามีอยู่กับตัวของเรา เราก็จะได้ฟิตตัวของเราเพื่อต้านทาน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะตายด้วยความเป็นคนดี ที่ยังไม่ตายมีแต่เพลิดแต่เพลิน ตายแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร สมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนก็อยู่อย่างนั้นแหละ
นั่นเห็นไหมพัดหลวงตาบัว พัดนี้ก็ไม่ใช่อะไรนะ เราเคยพูดให้ลูกศิษย์ฟัง นี่ลงมาจากภูเขาวันนั้น คือตอนที่กิเลสม้วนเสื่อ ลงมาจากภูเขามาวัดสุทธาวาส มาคุยกับอาจารย์มหาทองสุก ท่านเป็นเจ้าอาวาส คุยกันไปคุยกันมามันไปสัมผัสอะไรไม่รู้นะ สัมผัสถึงเรื่องเรียนหนังสือหรืออะไรนี่ ท่านเลยถาม เอ้อ เรียนจนเป็นมหาแล้วเคยได้เห็นพัดไหมล่ะ พัดมหา ท่านว่าอย่างนี้นะ อุ๊ย กระผมไม่สนใจกับมันหรอก โอ๊ย ไม่ได้ๆ เรียนแทบเป็นแทบตายต้องให้มีพัดเป็นเครื่องหมายบ้างซิ ท่านปุ๊บปั๊บลุกขึ้นเลยนะ ท่านไปเอาพัดนี่มาจากในห้องของท่าน
ต้องมีพัดติดตัว เรียนแทบเป็นแทบตายไม่มีพัดเป็นเครื่องหมายใช้ไม่ได้ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านปุ๊บปั๊บไปเอามา มาก็มาตั้งกึ๊กลงนี้ เอา ให้เขาถ่ายภาพ นั่นละพัดหลวงตาบัว ท่านอาจารย์มหาทองสุกเอาพัดมาวางกึ๊กให้เขาถ่ายภาพ เลยเป็นมหาบัวพัดยศนั่นเห็นไหม เข้าใจเอานะเรื่องราวเป็นอย่างนั้น ก็เลยพอเป็นเครื่องหมายกับเขาว่าเป็นมหา นี่พัดยศ เข้าใจเหรอ พัดเจ้าคุณก็อยู่ข้างบน ใครอยากไปกราบเจ้าคุณบัวให้ไปกราบข้างบน ถ้าอยากกราบหลวงตาบัวก็กราบอยู่นี้ ไม่เคยมีใครขึ้น มีแต่ลงมาหาหลวงตาบัว สุดท้ายเจ้าคุณสู้หลวงตาบัวไม่ได้
วันนี้พูดถึงเรื่องการปฏิบัติตัวเอง แม่นยำที่สุดคือพุทธศาสนา ไม่มีที่ต้องติเลย ภาคปฏิบัติจับกันเข้าไป กระจายออกไปตรงไหนๆ หมอบๆ เลย เพียงเราเรียนมาจดจำมานี้ ทั้งเรียนทั้งสงสัยสนเท่ห์นะ เรียนถึงพระนิพพานมันก็ไปตั้งเวทีตีพระนิพพานอยู่นั้นแหละ หือ นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ มันฟังเสียงที่เรียนเมื่อไร พระนิพพานมีจริงๆ เหรอ พอออกมาภาคปฏิบัตินี้ตีเข้าไปๆ โอ๋ย ไม่ต้องถามที่นี่นะ พุ่งๆ กึ๊กเลยเทียว ถามหาอะไร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงนิพพานไว้แล้วจึงมาสอนโลก สงสัยไปไหน นี่ละเรื่องการปฏิบัติธรรม สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองๆ จากธรรมที่ท่านสอนไว้แล้ว ยึดให้ดี การปฏิบัติให้ดี ปฏิบัติดีแล้วเหมือนเราตามเสด็จทุกฝีก้าวนะ ถ้าห่างเหินจากอรรถจากธรรม ก็เรียกว่าห่างเหินพระพุทธเจ้าไป ถ้าเราปฏิบัติติดพันกับอรรถกับธรรมเข้าไป ก็เท่ากับติดพันพระพุทธเจ้า ตามเสด็จท่านทุกฝีก้าวไปเลย สุดท้ายท่านถึงไหนเราถึงนั้น เช่นท่านถึงนิพพาน พระอรหันต์ถึงนิพพานเหมือนกัน หมดปัญหา
ถ้าลงถึงนั้นแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ท่านว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน คือท่านผู้ถึงความบริสุทธิ์แล้วเสมอกันหมด นอกจากนั้นไม่เสมอนะ ส่วนอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ที่เป็นเครื่องประดับความบริสุทธิ์นั้นต่างกัน พระพุทธเจ้าบางองค์พระนิสัยวาสนากว้างขวางลึกซึ้งมากทีเดียว นั่น สั่งสอนสัตว์โลกได้มากมายก่ายกองลดกันลงมาๆ แม้ที่สุดมาถึงสาวกก็เหมือนกัน เอา บริสุทธิ์เหมือนกัน เป็นอรหันต์เหมือนกันก็ตาม แต่อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารในการแนะนำสั่งสอน ตลอดความเคารพนับถือ ลาภสักการบูชานี้จะผิดกัน
ผิดกันที่นิสัยวาสนาของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน องค์นี้สร้างนิสัยวาสนามายังไงๆ มุ่งหลักใหญ่คือต้องการเป็นพระอรหันต์ นอกจากนั้นแล้วเครื่องประดับ เป็นพระอรหันต์แล้วขอให้มีความเลิศเลอในทางนั้นๆ อีก นั่น ทีนี้พอสำเร็จแล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบออกไป ก็มีแต่สิ่งสวยงามตามๆ กันไปหมด นั่นละเครื่องประดับความบริสุทธิ์ของท่าน
วันนี้พูดก็เห็นว่าสมควร พากันเข้าใจเอานะปฏิบัติธรรม นี่ถึงเวลาเข้าพรรษาให้มีกฎมีเกณฑ์นะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ให้บังคับตัวเอง ไม่บังคับไม่ได้ อย่างพระท่านมาบวชนี่ บวชมุ่งอรรถมุ่งธรรมนะ ไม่ใช่บวชโกโรโกโสหาหลอกลวงชาวบ้านเขากิน กวนบ้านกวนเมือง พระประเภทนั้นไม่ใช่พระของศาสดา พระประเภทลูกศิษย์ตถาคตนั้น บวชมาแล้วต้องบังคับตัวเองตลอดเวลา ความหนักหน่วงถ่วงใจทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการบังคับตัวเองทั้งนั้น ทุกข์ ไม่ได้ทำไร่ทำนาซื้อขายกับเขาก็ตาม แต่การบังคับตัวเองมันอยู่กับตัว
ความผิดความพลาดมันจะออกอยู่ตลอดเวลา ตีกันอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นทุกข์มากอยู่นะ พากันจำ เราอยากเป็นคนดีต้องบังคับบัญชาตัวเอง จะปล่อยเลยตามเลยเตลิดเปิดเปิงลงนรกอเวจีนะ หรือไปนรกอเวจีหมดแล้วถึงมาเตลิดเปิดเปิงไม่มีฝั่งมีฝาเวลานี้น่ะ คิดว่านรกอเวจีมันดับไปหมดแล้วเหรอ ถึงมาเตลิดเปิดเปิงเล่นสนุกสนานจนไม่รู้จักเป็นจักตาย พระพุทธเจ้าแสดงไว้นะนรก ทุกองค์แสดงแบบเดียวกันหมด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีใครปฏิเสธนรกนะ นรกกี่หลุมๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เห็นหมดรู้หมด บอกอย่าๆ อย่าทำความชั่ว จะลงนรกหลุมนั้นๆ ให้ทำความดีจะขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นๆ บอกตลอด จนกระทั่งถึงนิพพาน ปล่อยเลย ใครถึงนิพพานแล้วพระพุทธเจ้าทรงปลดภาระ ไม่ต้องแนะนำสั่งสอนอีกแล้ว เข้าใจ เอาละที่นี่พอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |