วิถีจิตที่ละกิเลส
วันที่ 18 กรกฎาคม. 2548 เวลา 19:10 น.
สถานที่ : กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

    เทศน์อบรมฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม

   เมื่อค่ำวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

                       วิถีจิตที่ละกิเลส

 

         (เวลาแสดง ๕๒ นาที)

 

          อย่างในสวนแสงธรรมนี้ โถ รายจ่ายไม่ใช่เล่นนะ บริเวณสวนแสงธรรมนี่รายจ่ายไม่ใช่เล่น พวกสายฟืนสายไฟอะไรที่ไม่ดีนั้น ชำรุดทรุดโทรม แก้ไขถอดถอนออกใหม่ๆ ซ่อมใหม่ โถ มันเข้าล้านนู่นน่ะ ไม่ใช่เล่นๆ จัดนั้นจัดนี้อะไร รายจ่ายไม่ใช่ของเล่นนะ อยู่ในบริเวณสวนแสงธรรมนี้จ่ายน้อยเมื่อไร กระจายหมดเลย จากนั้นเราก็ให้คุณชายแยกเอาไว้สำหรับประกันในสวนแสงธรรม เพราะเมื่อเราไปแล้วมันก็หมดตัวประกัน ให้เอาสมบัติเหล่านี้ปัจจัยเหล่านี้เอาไว้เป็นตัวประกันแทนเรา หากว่าขาดเหลืออะไรเรามาก็เพิ่มเข้าอีก

เพราะงั้นจึงให้เอาไว้ให้พอ เราบอก ถ้ามันเศษเหลือเท่าไรเราก็เอาไป ไม่เศษเราไม่เอา เพราะเราเป็นตัวประกันในตัว ไปที่ไหนก็ได้ๆ อยู่ที่นี่ถ้าเราไปแล้วมันไม่มี จึงต้องจัดเอาไว้เป็นประจำอย่างนั้นตลอดมา มันจะเศษจะเหลือไปไหนก็ทำประโยชน์ให้โลกทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้ทำอะไรนะ แยกไปนู้นก็เพื่อประโยชน์ให้โลก อยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน นี่ความบริสุทธิ์ใจมันเป็นอย่างนั้นนะ มันเย็นไปหมด ความบริสุทธิ์ใจมีเท่าไรๆ มานี้เพื่อโลกทั้งนั้น เพื่อเราชัดเจนประจักษ์ตลอดไม่มี บอกไม่มีเลย

เพราะฉะนั้นจึงว่าบาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ มีแต่ความเมตตาสงสารเพื่อโลก หมุนไปทางไหนแยกไปทางไหนมีแต่เพื่อโลกเพื่อส่วนรวมทั้งนั้น ปัจจัยสำหรับใช้ตามความนิยมของโลกก็ใช้ไปอย่างนั้น โลกอาศัยอันนี้เป็นความเป็นอยู่ปูวายประสับประสานซึ่งกันและกัน มีความร่มเย็นเป็นสุขเพราะสิ่งเหล่านี้ จึงต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานแห่งการก้าวเดินเคลื่อนไหวไปมา ชีวิตจิตใจอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่ได้เพื่ออะไร เพื่อนี้ทั้งนั้น

พออย่างนี้แล้วระลึกถึงท่านหลวงปู่แหวน เวลาท่านจะพลิกปั๊บคือจะหมุนไปอย่างนั้นอย่างเดียว ไม่มีข้อคิด ใครก็ไม่คิด อยู่ๆ ท่านก็เอาธนบัตรใบละห้าร้อยมามวนบุหรี่ ตัวใหญ่ๆ อย่างที่เคยมวน มวนบุหรี่ตัวใหญ่ๆ จุดแล้วสูบปุ๊บๆ ๆ เขามาว่าให้ หลวงพ่อทำไมเอาเงินนะนี่มามวนบุหรี่สูบอย่างนี้ ท่านก็ทำท่า เหอ ก็ท่านทำเองจะว่าไง ท่านเฉย บทเวลาจะพูด ประสากระดาษ ท่านพลิกแป๊บเดียวลงในหลักธรรมชาติ ประสากระดาษ ท่านว่า ท่านก็สูบของท่านไป ท่านทำเท่านั้นแหละ ท่านไม่ได้ทำอีก ทำให้เป็นข้อคิดสำหรับโลก จะไม่มีแต่อย่างนี้อย่างเดียว จำเป็นอย่างนี้อย่างเดียว ธรรมเลิศกว่านี้เป็นอย่างไร แยกออกมาปั๊บประสากระดาษนั่น ธรรมเป็นอย่างไร ความหมายท่านว่าอย่างนั้นนะ ให้คนได้รู้ทั้งทางโลกทางธรรม ท่านทำนี้ไม่ได้ทำเป็นความเสียหาย เป็นคติเครื่องเตือนใจโลก

อันนี้เป็นความจำเป็นสำหรับโลกอยู่ทั่วกันไปหมดเลย จำเป็นใช้ตามความจำเป็น ทีนี้โลกก็จะเห็นแต่ความจำเป็นเท่านี้ สิ่งที่จำเป็นหรือเหนืออันนี้มีไหม ท่านก็แยกมาแป๊บเดี๋ยวเท่านั้น ประสากระดาษ อันที่ไม่ใช่ประสากระดาษคืออะไร นั่นความหมายว่าอย่างนั้นนะ ท่านแย็บออกมา แต่คนอาจจะไม่คิดนะ เรารู้ทันทีเลย ก็มันเป็นอย่างเดียวกันอยู่แล้วนี่จะให้ว่าอย่างไร ไม่ได้ประมาทโลก โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม ก็ใช้ประสานกับโลกไปอย่างนั้นๆ ถ้าจะไปแบบโลกแบบเดียวก็มองไม่เห็นธรรม ท่านจึงแย็บออกมาบ้างให้โลกได้เห็นบ้าง

เวลาไปสัมผัสก็มี อย่างหลวงปู่มั่นท่านก็มี ก็แบบเดียวกัน ก็ธรรมชาตินั้นอันเดียวกันแล้วนี่ นอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น อย่างหลวงปู่มั่นท่านก็แย็บออกมาแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงท่านไม่ทำอย่างนี้เท่านั้น คำพูดนี้ก็แบบเดียวกัน ว่าทำอย่างนี้ก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นแหละ สมมุติก็ให้เป็นสมมุติซี วิมุตติก็ให้เป็นวิมุตติ อย่างที่เคยพูดเสมอ เทศน์เมื่อวันนั้นก็เทศน์ ฟาดถึงที่สุดของจิตของธรรม อย่างที่เทศน์สอนพระวันนั้น เราเทศน์นี่เทศน์ย่นย่อๆ นะ เราไม่เทศน์พิศดารมากกว่านั้นเพราะเวล่ำเวลาจะไม่พอ เราจึงเทศน์เรื่องการดำเนินปฏิปทาของจิตที่ผ่านไปๆ ๆ ละไป ผ่านไป ละไป ปล่อยไปๆ ผ่านเรื่อยๆ

นั่นละวิถีของจิตที่ท่านภาวนา ท่านรู้ท่านเห็นแล้วก็ปล่อยไปๆ ก้าวขึ้นเรื่อยๆ เรื่อย พอถึงขั้นสูงขึ้นไปยิ่งพุ่งใหญ่นะ จิตนี่เหมือนเป็นอวกาศแล้ว อากาศไม่ดึงดูด มันก็พุ่งของมัน ยิ่งสูงยิ่งพุ่งๆ นี่ละจิตก้าวเข้าอวกาศแล้วไป เป็นอย่างนั้น จิตนี้ก้าวเข้าอวกาศจะไม่กลับ อย่างไรจะไม่กลับแล้ว หมุนติ้วๆ ทีนี้หนุนไปเท่าไรมันก็ปล่อยไปเรื่อยๆ ๆ ๆ นั่นละวิถีของจิตเกิดขึ้นจากการภาวนาของผู้ปฏิบัติธรรม จะไม่ต้องไปถามใครเลย สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศเป็นลำดับๆ ๆ แน่ใจๆ ๆ เหมือนเราก้าวบันได ก้าวจากขั้นนี้ขึ้นขั้นนี้ด้วยความแน่ใจๆ จนกระทั่งถึงบ้านเป็นที่แน่ใจตลอด เมื่อถึงบ้านแล้วพ้นบันไดแล้วก็รู้ แน่ใจ แน่ะ อย่างนั้นเอง

ท่านก้าวปฏิบัติธรรมก็แบบเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความสนใจในอรรถในธรรมจริงๆ จะรู้อย่างที่ว่านี้ทั้งนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ ธรรมนี้เป็นแบบตายตัวๆ เพื่อก้าวเดิน หลักธรรมหลักวินัยขนาบไว้ทั้งสองข้าง หลักพระวินัยตีไว้ไม่ให้ออก ถ้าผิดเพี้ยนไปจากหลักพระวินัยเมื่อไรแล้ว เรียกว่าข้ามทางไปแล้ว ตกเหวตกบ่อ ตีเข้าไว้ ธรรมเป็นเครื่องก้าวเดิน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก้าวเดิน ความเพียรก้าวไป ภาวนาไปเร่งจิตใจนี้ เรียกว่าธรรมล้วนๆ นะ เอาตั้งแต่จิตฟุ้งซ่านรำคาญตีเข้าไป เพราะพระวินัยสมบูรณ์แบบแล้วสำหรับพระ ก็มีแต่ตีเข้าไป ทางด้านธรรมะหนุนเข้าไปๆ

ความรู้ความเห็นที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นเลย มันมีปัญหาแต่คลังกิเลส ท่านเทศน์ออกไปที่ไหนมันขัดมันแย้ง เชื่อไม่เชื่ออะไรมันก็ขัดของมันไปนั้นละ นี่ละเรื่องกิเลสขัดธรรม มันอยู่ในหัวใจเรานะ ไม่ได้อยู่ที่ไหน อย่าไปหาดูฟากเมฆฟากหมอกที่ไหน ให้ดูหัวใจเจ้าของ กิเลสขัดธรรมมันขัดอยู่ที่หัวใจ ๆ เวลาก้าวไปๆ ธรรมตีไป ก้าวไปๆ แล้วค่อยออกเรื่อย พุ่งเรื่อยๆ

เทศน์วันนั้นเพื่อให้พระท่านได้ทราบ เพราะนานๆ จะมาได้ยินได้ฟังธรรมภาคปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนา ส่วนมากใครจะพูดอย่างนี้ไม่ได้นะ มันไม่เป็นพูดไม่ได้นะ นั่น เรียนมาเท่าไรก็เรียนเถอะน่ะ แบกคัมภีร์มันก็หลังหักเปล่าๆ ความรู้ประเภทที่ว่านี้ไม่ได้ปฏิบัติไม่รู้ จึงเรียกว่าความจริง รู้ตรงไหนเป็นสมบัติของตน สมบัติของตนเรื่อย ความจำจำเท่าไรก็ไม่ใช่สมบัติของเรา เพียงจำได้หมายรู้ไปอย่างนั้น เช่นอย่างเรียนสอบชั้นนั้นชั้นนี้ก็เอาแต่ชื่อแต่นามตามสมมุตินิยมของโลก ตายใจกันว่าคนนั้นเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ มันชั้นก็ว่าเอาเองต่างหากความจำ

จำไปได้เท่านั้นควรได้รับความยกย่องสรรเสริญถึงขั้นๆ ก็ว่าไป นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มหาเปรียญสามประโยคสี่ประโยคห้าประโยคก็เรียนเป็นหนอนแทะกระดาษไปอย่างนั้นละ ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัตินะเป็นหนอนแทะกระดาษด้วยกันทั้งหมด พูดให้มันชัดเจนเราได้เรียนมาแล้ว กิเลสตัวหนึ่งที่จะได้ถอดถอนออกจากจิตใจเพราะการศึกษาเล่าเรียนมานี้ไม่ปรากฏ ทั้งๆ ที่เราก็เรียนนี้ออกไปแล้วจะปฏิบัติ แต่ตอนนั้นมันยังไม่สนใจปฏิบัติเท่าไรนัก กิเลสมันก็นอนสบายๆ ซิ

จากเรียนมาแล้วทีนี้จะเอาละนะทีนี้ภาคปฏิบัติ ทีนี้จะเข้าตีกิเลสตามแผนการที่เรียนมาแล้ว แผนการท่านว่าอย่างไรๆ ทีนี้จะก้าวเดินไปเรื่อยๆ ทีนี้กิเลสก็ร้อนตัวๆ เรื่อยไป ตีเข้าไป ทีนี้มันก็เห็นละซิ กิเลสอยู่กับใจไม่เห็นได้อย่างไร ใจเป็นนักรู้ มันก็รู้ กิเลสอยู่กับใจ รู้ได้เห็นได้ด้วยธรรม ธรรมอยู่กับใจด้วยกันมันก็ส่องทะลุๆ ค่อยเปิดไปๆ อย่างที่เทศน์สอนพระวันนั้น เพื่อให้ท่านได้เป็นคติเครื่องเตือนใจ ไม่ค่อยมีใครจะมาสอนอย่างนี้ ถ้าหากตัวเองไม่เป็นมันสอนไม่ได้นะภาคปฏิบัติ พูดไปงูๆ ปลาๆ ผู้ฟังก็ฟังแบบงูๆ ปลาๆ ผลไม่ค่อยได้นะ ถ้าพูดตามหลักความสัตย์ความจริงนี้ผู้ฟังฟังจริงๆ จับได้ๆ เป็นคติเครื่องเตือนใจไปเรื่อยๆ ดังที่เราพูดวันนั้นพูดเพื่อเป็นแถวทางการดำเนินที่ถูกต้องให้พระจริงๆ เราจึงก้าวเดินเรื่อยๆ ๆ วันนั้น โดยไม่คำนึงถึงโลกสงสารอะไรล่ะ พูดแต่เรื่องของธรรม วิถีจิตที่ละกิเลส ละอย่างไรๆ ว่าไปเรื่อย

เมื่อวานนี้เปิด คือเปิดไปตามแถวทางของการภาวนา ละกิเลสประเภทต่างๆ กิเลสประเภทนี้เป็นอย่างไร ละอย่างไรๆ ที่มันไปกระเทือนโลกมากก็คือกิเลสกามราคะ นั่นละตรงนี้ใครก็ไม่กล้าเทศน์ คืออายกิเลส กลัวกิเลส เกรงกิเลส นั่นละถ้าไม่กล้าเทศน์ มันก็เหยาะๆ แหยะๆ กิเลสมันก็ขวางอยู่อย่างนั้นซิไปไม่ได้ จะว่าอย่างไร  ทีนี้วิธีถางกิเลส กิเลสที่มันขวาง กิเลสนั้นคือความเป็นภัย มันขวางอยู่นั่นล่ะ  ถ้าเราไม่ถางตรงนี้ไม่พูดตรงนี้ผู้ก้าวเดินจะก้าวไปได้อย่างไร ต้องบอกวิธีก้าวเดิน นั่นละที่ว่าท่านให้พิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้เรื่อยๆ เบิกทางๆ

พอเบิกทางอันนี้ อันนี้หนักมากในภาคปฏิบัติ ไม่มีภาคใดที่จะหนักมากยิ่งกว่าภาคกามราคะ พูดให้เปิดเผยอย่างจริงจัง โลกทั้งหลายจึงติดจมอยู่ในอันนี้เพราะอันนี้เหนียวแน่นมั่นคงมากทีเดียว กล่อมได้อย่างสนิทติดใจ ไม่มีวันเข็ดหลาบอิ่มพอ คือตัวนี้เอง โลกทั้งหลายอยู่ในโลกนี้เพราะอันนี้อย่างเดียว ไม่มีอะไรที่ดึงโลกให้จมอยู่ในนี้ ตัวนี้เป็นพื้นฐานสำคัญกำลังใหญ่โตมาก วัฏวนก็คือตัวนี้เป็นหัวหน้าวัฏจักรวัฏวน พอตีเข้าไปตรงนี้ ตีเข้าไปตรงนี้

นี่ละสอนวิธีพระให้ตีเพื่อจะแหวกจากนี้ให้พ้นจากมันไป ไม่มีใครสอนนะ ไม่รู้ก็สอนไม่ได้ นี่ก็สอนไปตามลำดับลำดา จึงไม่คำนึงถึงเรื่องอะไรเพราะเป็นธรรมล้วนๆ เบิกทางเพื่อมรรคผลนิพพานล้วนๆ ก้าวเดินตามนั้น เพราะงั้นจึงเทศน์ถึงเรื่องอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตาได้พอสมควร จะว่าละเอียดก็ไม่ละเอียดมากนักนะ เพราะเวลาไม่พอ เพียงให้จับเงื่อนได้ๆ เรื่อยไปจนกระทั่งถึงขั้นอสุภะอสุภัง มันชำนิชำนาญแล้วก็บอกอีก ชำนิชำนาญขนาดไหนทดลองอีกทีหนึ่ง บอกวิธีทดลอง

ถ้าทดลองดูมันยังไม่ประจักษ์ใจที่จะเข้าไปฆ่ากิเลสตัวราคะจริงๆ คือตัวไหน อสุภะอสุภังไม่ใช่ราคะนะ พิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตานอกๆ ไม่ใช่อสุภะจริงๆ พอพิจารณาแล้วอันนี้แหละเป็นทางก้าวมาหาอสุภะภายในซึ่งเป็นกิเลสจริงๆ ราคะตัณหาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ตรงนั้นๆ มันรู้เอง พอมันมาเข้าใจตรงนี้ก็ปล่อยผึงเลย ตีตรงนี้แหลกเข้าไป แหลกเข้าไป นั่นทางเดิน พออันนี้หมดปัญหาไปแล้วที่นี้ก็ก้าวเดิน นี่แหละที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ตั้งแต่นี้ไปเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าถอย หมุนเรื่อย

ในขั้นอสุภะอสุภังกามราคะขั้นนี้เป็นขั้นที่เรียกว่าชุลมุน เราจะเรียกว่าอัตโนมัติไม่ได้ มันชุลมุนเหมือนนักมวยเข้าวงในกัน อันนี้ชุลมุนมาก จึงพูดไม่ได้ว่าเป็นอัตโนมัติ มันชุลมุน พูดอะไรพูดไม่ถูก แต่ไม่สงสัยวิธีการพิจารณา เป็นความชุลมุนวุ่นวายมากหนักมากที่สุด พอผ่านนี้ไปแล้วทีนี้ก็กลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ฝึกซ้อมอันนี้ที่ได้เป็นพื้นฐานแล้วฝึกซ้อมให้ละเอียดลออเข้าไปๆ เพราะคำว่าละกิเลส ขิปปาภิญญา ผู้ที่ละได้เร็วก็มี ผู้เช่นนั้นไม่ต้องฝึกซ้อม

ผู้ที่รู้ธรรมดาเรานี้ก็ต้องได้ฝึกซ้อมให้ละเอียดละออ เช่น ส่วนใหญ่มันขาดออกไปแล้ว ผุยผงมันที่ติดแนบตามนั้นๆ ยังไม่ได้ นั่นละท่านฝึกซ้อมขัดออกๆ ส่วนใหญ่ตายไปแล้ว ส่วนเล็กส่วนย่อยนี้ก็มันจะตายก็ตาม แต่ความต้องการให้ตายปัจจุบันต่อหน้าต่อตาความเพียรของเรานี้มันเป็นของมันเอง นั่นแหละมันหมุนตรงนี้เอง อันใหญ่ตายแล้วอันเล็กจะเอาไว้อย่างไร ไล่ตีไปหมดใช่ไหมล่ะ เอาให้แหลกๆ นั่นละฝึกซ้อม ทีนี้สติปัญญาอัตโนมัตินี้จะเป็นเองตลอดๆ ๆ พิจารณาเท่าไรๆมันยิ่งละเอียดลออ ยิ่งแหลมคมเข้าไป ใจก็ยิ่งเพลินๆ การภาวนา

พอผ่านอันนี้ไปแล้วมันก็หมดเรื่องรูปธรรม รูปธรรมคือรูปกายของเรานี่หมด หมดในหัวใจ พอแล้วผ่านแล้ว อิ่มแล้ว ปล่อย เหมือนอาหารเต็มสำรับอยู่ก็ตามนะ พอแล้วหยุด ทีนี้ยังมีสัมผัสอยู่ที่หวานก็ไปตามหวานๆ เอ้า หวานก็หมด อิ่มพอแล้วผึงเลยนั่นอิ่มแท้ ไปคาวแล้วก็ไปหวานแล้วก็พุ่งถึงที่เลย จิตที่พิจารณาทางรูปอันนี้เกี่ยวกับเรื่องราคะตัณหาซึ่งเป็นส่วนใหญ่ เครื่องดึงดูดให้สัตว์โลกจมในวัฏจักรนี้ขาดลงไปแล้ว  ส่วนย่อยเท่าไรก็ขัดไปเรื่อย ฆ่าไปเรื่อย ขัดไปเรื่อย ทีนี้ผ่องใสเรื่อยๆ พุ่งเลยๆ จิตอันนี้เรียกว่าจิตไม่กลับ

เพราะฉะนั้นท่านถึงว่าพระอนาคามีท่านไม่กลับ สุทธาวาสห้าชั้น ในพรหมโลกสิบหกชั้นมีสุทธาวาสห้าชั้นเป็นชั้นที่อยู่ของพระอนาคามี ตั้งแต่ขั้นต้นของที่สำเร็จอนาคามีไป ถ้าหากตายก็ไปอยู่อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา จิตนี้ขัดเกลาเป็นเองนะ จิตขั้นนี้แล้วไม่อยู่ เป็นอัตโนมัติขัดเกลาเรื่อยๆ แล้วเลื่อนเรื่อยๆ สมมุติว่าขันธ์นี้แตกแล้วเลื่อนอยู่ในนั้น จะว่าตายนี่เราพูดไม่สนิทปากนะ มันเป็นในภาคปฏิบัติ จิตอันนี้มันไม่ได้ตาย มันปล่อยรูปธรรมอะไรไปหมดแล้วยังเหลือแต่จิตล้วนๆ ทีนี้เวลาธาตุขันธ์ขาดสะบั้นลงไปนี้มันก็เลื่อนไปตามขั้นของมันไปเรื่อยจิตดวงนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับธาตุกับขันธ์นะ ค่อยเลื่อนของมันไปเรื่อย ละเอียดเข้าไป อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ละเอียดเข้าไป อกนิษฐา เรียกว่าเต็มภูมิของพระอนาคามี ทั้งห้าชั้นนี้ไม่เกิด มีแต่ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นโดยอัตโนมัติ ให้ลงไม่มี ขึ้นเรื่อย มีกามกิเลสอันเดียวที่ดึงลงๆ พออันนี้ขาดแล้วมีแต่ขึ้น เหมือนสำลีหมุนขึ้นเรื่อยๆ

ทางภาคปฏิบัติเห็นประจักษ์ใจไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์แสดงไว้โดยถูกต้องเรียบร้อยแล้ว พอก้าวเข้าปั๊บตรงนั้นก็ยอมรับความเป็นของตนและความถูกต้องที่ทรงแสดงไว้แล้วเข้ากันได้ๆ สนิทเลย จากนี้ไปแล้วร่างกายนี้หมด ที่ว่าอสุภะอสุภังไม่มี พอละเอียดเข้าไปแล้วอสุภะอสุภังตั้งพับดับพร้อม จะไปแยกเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ เป็นสวยงามไม่สวยงามได้อย่างไร ครู่เดียวเหมือนฟ้าแลบ พอตั้งพับเป็นรูปพับดับพร้อมๆ มันก็เกิดขึ้นจากสังขาร มันก็รู้ตรงนี้เสีย เกิดแป๊บขึ้นมามันก็ดับพร้อมๆ จากนั้นก็ว่างไปหมด นี่อสุภะอสุภังไม่มี

พอเลยขั้นนี้ไปแล้วอสุภะอสุภังไม่มี มีแต่ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตานี้มันประจำอยู่กับสังขารความคิดความปรุง ก้าวเรื่อยๆ วิ่งเข้าหารากใหญ่มันคืออวิชชา มันจะวิ่ง มันออกมาจากนั้น ไล่เข้าไปๆ ไล่ออก ไล่เข้าอยู่เรื่อย หลายครั้งหลายหนก็ถึงตัวจริง พอถึงตัวจริงนี้แล้วอันนั้นขาดสะบั้นลงไปปั๊บพุ่งเลย หมด ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า หมดโดยสิ้นเชิง เรียกว่าสิ้นแล้วสิ้นทุกข์ สิ้นแล้วสิ้นกิเลส บอกในขณะนั้นว่าหมดโดยสิ้นเชิง

พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอความรู้ความเห็นสุดยอดที่หลุดพ้นจากทุกข์ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเรานี้ไม่มีการกำเริบ จะกำเริบอย่างไร มันตายแล้วนี่ เห็นอยู่ชัดๆ อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อนี้ไปเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว มันหมดแล้วสิ่งที่พาให้เกิด คืออวิชชาดับลงไปแล้ว นี่แหละพาให้เกิดให้ตาย อันนี้ตายลงไปแล้วก็ดับหมด

พอจิตผ่านนี้ไปแล้วสมมุติก็เป็นสมมุติ วางไว้ตามเป็นจริงของสมมุติ ส่วนจิตที่หลุดพ้นแล้วหมดโดยสิ้นเชิงบรรดาสมมุติทั้งหลาย ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายเส้นผมหนึ่งก็ไม่มี ที่เรียกว่าสมมุติ จึงเรียกว่าวิมุตติ คือวิมุตติล้วนๆ เลย ไม่มีสมมุติเข้าแทรกเลย เมื่อถึงนั้นแล้วจิตพ้นแล้วจากโทษทั้งหลาย หมดไม่เหลืออะไร เหลือแต่ความบริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน หรือธรรมธาตุ หรือนิพพานทั้งเป็นของจิตที่บริสุทธิ์แล้วก็ได้ ถึงนั้นเรียกว่าพ้นสมมุติทั้งปวง โทษทัณฑ์อะไรที่จะไปเกิดกับจิตดวงนั้นอีกไม่มีเลย ตั้งแต่ขณะที่จิตถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้วจากสมมุติที่มีโทษ มีบุญมีบาปอยู่ในนี้พ้นไปหมดแล้ว บุญบาปหมด เพราะบุญนี้หนุนขึ้นไปสู่ความหลุดพ้น พอหลุดพ้นแล้วก็เหมือนบันได พอถึงบ้านแล้วบันไดก็เป็นบันได ไม่ใช่บุญไปเป็นนิพพานนะ ไม่เป็น รู้ชัดๆ

เมื่อหลุดพ้นแล้วจิตหลุดพ้นแล้ว นี่เราก็เทศน์วันนั้น เทศน์ให้ถึงที่สุดเลย เมื่อจิตถึงขั้นหลุดพ้นแล้วจากสมมุติทั้งปวง เรื่องโทษเรื่องกรรมอะไรในจิตดวงนั้นจึงหมดโดยประการทั้งปวง กองอยู่กับสมมุติทั้งหมด วิมุตติเป็นธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีอะไรเอื้อมถึงแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นอาบัติสังฆาปาราชิกอะไรๆ นี้เป็นอยู่กับในวงกิเลสยังครอบหัวใจอยู่ พอจิตถอนออกจากนี้แล้วสังฆาปาราชิกไม่มี เพราะอันนี้เป็นสมมุติทั้งมวล อันนั้นเป็นวิมุตติแล้ว ก็ยังเหลือแต่ขันธ์ ขันธ์ก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามความนิยมหรือตามสังคมยอมรับ ตามธาตุตามขันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกัน

เช่น พระที่บวชมาแล้วท่านก็ปฏิบัติตามสิกขาบทวินัยตามเดิมๆ ทั้งๆ ที่โทษของท่านหมดโดยสิ้นเชิง ขันธ์นี้ยังอยู่ในวงสมมุติ วงสมมุติต้องประสานกัน มีตำหนิติเตียนกันได้ว่ากิริยามารยาทการปฏิบัติผิดถูกชั่วดีประการใด มีการตำหนิติเตียนกันได้ ยอมรับกันได้ ขันธ์เขาขันธ์เรา ตาหูจมูกลิ้นกายของเขาของเราประสับประสานกัน มีการตำหนิติชมกันได้ การปฏิบัติของท่าน ท่านจึงปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยตามเดิมเพื่อธาตุเพื่อขันธ์อันนี้ เพื่อสังคมทั่วไปๆ ที่จะให้เพื่อว่ากันไม่ให้เป็นโทษ ในจิตที่บริสุทธิ์นี้ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง

วันนั้นก็เทศน์ให้ฟังหมดแล้ว เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด เช่น ปาราชิกเป็นสังฆาอะไร อยู่ในวงสมมุติทั้งหมด พอผ่านนี้ไปแล้วหมดสมมุติ ขันธ์เป็นสมมุติก็มาปฏิบัติต่อขันธ์ให้พอถูกต้องดีงามไป นี่ก็ได้อธิบายให้พระฟังแล้ว ไม่มีใครอธิบายอย่างนี้ ไม่มี ให้มันรู้ในหัวใจ ไม่มีใครอธิบายก็อธิบายได้นะ พระพุทธเจ้าใครไปอธิบายให้ท่านฟังวะ ท่านสอนโลกถึงสามแดนโลกธาตุ ใครไปอธิบายให้พระพุทธเจ้าฟังแล้วสอนโลกมาตลอด นั่น  ธรรมอันนี้ก็เป็นธรรมอันเดียว นักรู้อันเดียวกัน เมื่อรู้เข้านั่นแล้วมันก็รู้เอง จะไปถามหาใคร ความประจักษ์อยู่กับหัวใจ ใจเป็นนักรู้

เมื่ออันนั้นหมดแล้วหมดด้วยประการทั้งปวง เวลาขันธ์ยังอยู่จิตของท่านที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นั้น กิริยาอาการอะไรที่แสดงออกมาจึงนี้ไม่มีภัย ไม่เป็นภัย อากัปกิริยาที่แสดงออกมาจากธรรมล้วนๆ แล้วเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่ากิ่งก้านสาขาใดกิริยาอาการใดที่แสดงออกมาจะนิ่มนวลอ่อนหวาน การเทศนาว่าการนิ่มนวลอ่อนหวานหรือเผ็ดร้อนดุเดือดขนาดไหน เป็นกิริยาของธรรมแสดงออกมาทั้งนั้น ไม่มีกิเลสเข้าไปแฝงพอจะเป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ฟังให้รับความกระทบกระเทือน เป็นธรรมล้วนๆ

เรียกว่ากิริยาของพระอรหันต์ล้วนๆ เป็นธรรมล้วนๆ ไม่มีสิ่งเป็นพิษเป็นภัย เพราะหัวใจท่านหมดแล้ว กิริยาที่แสดงออกมาก็ออกมาจากธรรมล้วนๆ กิริยาแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวเป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ๆ ไม่เหมือนกิริยาทั่วๆ ไปที่มีกิเลสฝังจมอยู่นั้น ถ้าดุ ดุ ดุมันเป็นกิเลสไปด้วยกัน ถ้าดีก็ดีเป็นกิเลสไปด้วยกัน อะไรๆ ก็มีกิเลสแทรกอยู่ๆ ไปด้วยกันหมด พอกิเลสสิ้นไปแล้วอาการอะไรที่แสดงออกมาก็เป็นธรรมล้วนๆ ๆ เพราะงั้นกิริยาของท่านผู้บริสุทธิ์คือพระอรหันต์จึงไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด จะเป็นกิริยาอะไรก็ตามเป็นธรรมล้วนๆ ๆ ไปหมดเลย คืออันใหญ่เป็นธรรมเสียอย่างเดียว กิริยากิ่งก้านสาขาดอกใบ ร่างกายของเรานี้มีกิริยาอาการแสดงออกไปอย่างไรมันก็เป็นธรรมล้วนๆ ไปตามๆ กันหมด ไม่มีภัย นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น

ธรรมเหล่านี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม ฟังซิ มันเป็นขึ้นจากใจมันก็รู้หมด  จะว่าไง ละเอียดกว่านี้มันก็รู้ แต่สิ่งที่จะพูดพอที่จะเป็นคติตัวอย่าง หรือพอฟังออกพอเข้าใจได้ก็นำมาแสดง ที่ไม่ได้แสดงหาประโยชน์อะไร นั่น มากต่อมาก มากกว่านี้ ที่เป็นอยู่ในหัวใจของท่าน เพราะฉะนั้นธรรมจึงกว้างขวางมากทีเดียว ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีฝั่งมีฝาคือธรรม ใจที่ลงได้ถึงขั้นนั้นแล้วไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีอะไรมาเป็นขอบเขตพอที่จะปีนไปตกลงมาไม่มี พุ่งทะลุหมดเลย นี่ละใจดวงนี้ มันหมอบอยู่อย่างนี้ เวลานี้มีแต่กิเลสครอบหัวใจอยู่ตลอดเวลา แสดงออกท่าไหนมีแต่กิเลสลากเข็นไป ลากเข็นไป ธรรมจะออกไม่ค่อยมีและไม่มี

ทีนี้เวลาปฏิบัติธรรมเข้าไป ธรรมก็มีโอกาสที่จะแทรกเข้ามา แทรกเข้ามา ฉุดรั้งกันไว้ อะไรที่ไม่เหมาะไม่สมไม่ดีงามรั้งเอาไว้ ห้ามเอาไว้ นี่เรียกว่าธรรม อะไรควรที่จะยับยั้ง ยับยั้งๆ ทีนี้เวลาธรรมมีมากแล้วจะผิดประการใดบ้างธรรมนี้ปัดปุ๊บๆ ไม่ถึงต้องรั้ง ปัดทีเดียวขาดสะบั้นไปเลย นี่เพราะธรรมชำนาญ ยิ่งเข้าไปในหัวใจ ใจมีธรรมละเอียดเท่าไรสิ่งเหล่านั้นพอผ่านเข้ามาปั๊บ ปัดออกๆ ๆ ยิ่งบริสุทธิ์แล้วขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรจะเข้าถึงนั้นเลย นั่นละธรรม

ธรรมเหล่านี้ออกมาจากไหน ออกมาจากพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสอนไว้ ไม่มีใครสอนได้อย่างนี้เลย ในสามแดนโลกธาตุไม่มีใครจะสอนได้อย่างนี้ ปฏิบัติและรู้ได้อย่างนี้ นอกจากผู้ปฏิบัติตามธรรมแล้วจะเป็นไปโดยลำดับ เช่น สาวกอรหันต์ เดินตามพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างพระพุทธเจ้า ความบริสุทธิ์เสมอกันหมดเลย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่สดๆ ร้อนๆ อยู่ตลอดเวลา อย่าไปให้กิเลสมาหลอกลวงให้จืดให้จาง เอาวันเอาเวลาเอาปีเอาเดือนมาทับมาถมว่าศาสนาล่วงไปแล้วเท่านั้นเท่านี้ บุญกุศลจะลดจะหย่อนลงไป มรรคผลนิพพานจะไม่มี ๆ ต่อไปทำบุญกุศลไม่ได้บุญ มรรคผลนิพพานไม่มี กิเลสลบหมด

ทีนี้ความสนใจก็ขาดสะบั้นลงไป ใจที่จะเสาะแสวงหาความดีต่อตัวเองไม่มี เพราะกิเลสหลอกกล่อมไปเรียบร้อยแล้ว ทำไปหาอะไร ทำไปบุญก็ไม่มี มิหนำซ้ำย้ำเข้าไปอีกกิเลสว่าตายแล้วสูญ นี่หมดนะ คนใดก็ตามที่จิตหยั่งลงไปว่าตายแล้วสูญ คนนี้จะสร้างบาปกรรมหนาที่สุดเลย จะทำอะไรก็ทำได้เพราะตายไปแล้วไม่มีอะไรเสวยผล เพราะจิตนี้สูญไปแล้วไม่มีอะไรเสวย เวลามีชีวิตอยู่อยากทำอะไรก็ทำเสีย มันอยากทำแต่ความชั่ว มันไม่ได้อยากทำความดี คือทำความชั่วมันก็ไม่ได้คิดถึงชั่วจะได้ผลหรือไม่ได้ผล ความอยากนั้นเป็นเครื่องดึงหัวใจให้ไปทำชั่วๆ นั่นละตัวกิเลสมันดึงลงไป เจ้าของไม่รู้ว่ากิเลสดึงลงให้ทำชั่วนะ ว่าทำอะไรก็ไม่ได้ผล ไม่ได้ผล อยากทำอะไรก็ทำตามความอยาก ความอยากนี้เป็นกิเลสมันไม่รู้ซี ถ้ามีธรรมแล้วทำอะไรรู้ทันทีๆ นี่แหละพากันเข้าใจเสียนะ

นี่เราก็จวนจะตายแล้วนะ เร่งพูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างหนึ่งไม่มีสอง การเทศนาว่าการสอนพี่น้องทั้งหลายเราก็ไม่เคยสงสัยในธรรมทั้งหลาย เป็นพื้นขึ้นไปจนกระทั่งถึงนิพพานหมดความสงสัย ถอดออกมาจากหัวใจทุกอย่างที่มาสอนนี้ จึงควรที่จะเอาไปพินิจพิจารณาแล้วให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ การสอนนี้เราไม่ได้เอาอะไรจากใคร อย่างช่วยบ้านช่วยเมืองแทบเป็นแทบตายเราหวังอะไรจากสิ่งที่ช่วยนี้เราไม่เคยมี มีแต่ความเมตตาสงสาร อยากให้บ้านเมืองของเรามีความสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคง นั่นเราก็สอนอย่างนั้น อะไรบกพร่องก็รีบขวนขวายหามาๆ ดังที่เห็นนี้แหละ

สำหรับเราเองเราไม่มีอะไรบกพร่อง มันพอเสียทุกอย่างแล้ว ก็บอกว่าพอ พูดอย่างจะแจ้งอย่างนี้ไม่สะทกสะท้าน พูดตามความจริงนี้เรียกว่าภาษาธรรม ถ้าโลกกิเลสมันก็จะต้องบอกว่าโอ้อวดอย่างนั้นอย่างนี้ นี่กิเลสมาเห่า เห่าฟ้อๆ ว่าโอ้ว่าอวดอย่างนั้น ดีไม่ดีจะมาจับเราไปเป็นสังฆาปาราชิกอีก ดังที่เขาจะฟ้องเรา จนป่านนี้ยังไม่เห็นมาฟ้องเลย ว่าหลวงตาบัวนี้อวดอุตริมนุสธรรม เป็นอาบัติปาราชิก เขาจะมาฟ้องร้องว่าเป็นอาบัติปาราชิก เราก็มีแต่เปิดทางให้ เอาให้มาหมดทั้งโคตร เราบอก ให้ยกโคตรมาฟ้องเลย ถ้าหากว่าเราสู้ไม่ไหวโคตรของเราก็มี เราก็จะยกโคตรมาสู้กัน ให้มาเลย เงียบจนกระทั่งป่านนี้ มันตายแล้วทั้งโคตรมันก็ไม่รู้ ไม่เห็นมาฟ้องเลย โคตรเราตายแล้วหรือไม่ตายก็ตาม เรายังมีชีวิตอยู่เราก็เทศน์ตลอด จะว่าอวดหรือไม่อวด ฟังซิน่ะ

คำว่าอวดอุตริมนุสธรรมนั้นหาสิ่งจอมปลอมมาเทศน์ ไม่มีความจริงมาเทศน์ อวด จึงเรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมขั้นสูงสุดแล้วเอามาอวดเป็นของเล่น หลอกคนให้จมไปด้วย จมไปด้วย เพราะความหลอกของตน ท่านเรียกว่าอุตริมนุสธรรม เราปฏิบัติมาเราก็ไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออวดอุตริในตัวของเรา ปฏิบัติเพื่อฆ่ากิเลสจริงๆ กิเลสมีหนาบางมากน้อยเพียงไรเห็นอยู่ในใจฟัดกันลง ฟัดกันลง บางครั้งถึงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขาก็เล่าให้ฟังแล้ว นั่นคือกิเลสหนาสู้มันไม่ได้ ฟัดลงไม่ถอย

พอกิเลสจางไปมันก็รู้ จนกระทั่งกิเลสล้มให้เห็น เหอ มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือกิเลส นึกว่ามีแต่กูหงายท้องให้มึงดูเรื่อย ทีนี้มึงเหมือนกัน พอกิเลสหงายท้องหมายความว่ากิเลสพลาดท่าเรา สู้เราไม่ได้ในจังหวะนั้น เราก็ยึดปั๊บเลย เครื่องมืออันนี้วิธีการนี้ถูกต้องแล้ว จะเน้นหนักวิธีการให้มีกำลังมากขึ้น จะฟัดมันดูท้องมันอีก เข้าใจไหม จากนั้นก็จับปุ๊บๆ ตีเรื่อยๆ สุดท้ายกิเลสก็หงายท้องเรื่อย หงายท้องเรื่อย กิเลสนิ่งแล้วทีนี่ พอหงายท้องแล้วอยากเตะก็เตะ อยากจิ้มอะไรก็จิ้มไปกำลังของธรรมมีแล้ว นี่ อำนาจของธรรม เห็นไหม

เวลาเราฝึกเข้าไป ฝึกเข้าไป มันแจ้งมันขาวขึ้นมาภายในจิตใจ กิเลสมีเท่าไรมันมองเห็นหมดๆ ซัดกันไม่ถอยเลย นั่น เวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว อะไรที่มาเป็นข้าศึกต่อใจอีกไม่มี หมด อ๋อ กิเลสเท่านั้นเป็นข้าศึกของใจ เมื่อกิเลสพังลงไปแล้วไม่มีอะไรเป็นข้าศึกของใจ ตั้งแต่บัดนั้นกิเลสตัวสร้างทุกข์ เมื่อมันดับไปแล้วทุกข์ก็ไม่มีในใจของพระอรหันต์ หมดโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนั้น ทุกข์ก็มีแต่ทุกข์ในธาตุในขันธ์ เจ็บไข้ปวดหัว มันก็เป็นอยู่นอกๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือ เป็นที่อาศัยของใจ ใจเป็นตัวการเป็นผู้ครอง แต่ใจบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้มันวิกลวิการอะไรก็รู้ แต่มันไม่ถึงใจๆ ใจจึงไม่มีทุกข์ ถึงอันนี้จะเจ็บปวดจะร้อน ถึงขนาดตายก็ตายไปเพียงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ใจไม่มีกระทบกระเทือนเลย เรียกว่าจิตบริสุทธิ์แล้วเป็นอย่างนั้น

นี่พูดถึงเรื่องใจที่บริสุทธิ์ ถึงขั้นบริสุทธิ์ทำอย่างไรมันก็รู้อยู่ชัดๆ อย่างที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม มาสอนโลกไม่เอาความจริงมาสอนโลก เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม ที่เรามาสอนนี้เราเอาความจริงจากหัวใจเรา จากภาคปฏิบัติที่เอาจริงเอาจัง เวลารู้มากรู้น้อยมันรู้ตามนี้ๆ เวลานำมาสอนโลกก็สอนตามนี้ ฟาดทะลุถึงนิพพานก็มาสอนทั้งนิพพานด้วย นั่น อุตริไปไหน ความจริงมีอยู่เต็มหัวใจอุตริที่ไหน คำว่าอุตริคือไม่มีความจริง เอาลมๆ แล้งๆ มาหลอกโลก เราไม่ได้เอาลมๆ แล้งๆ มาหลอกโลก เราปฏิบัติก็ไม่ได้ปฏิบัติหลอกตัวเองแล้วหลอกโลก ผลได้ขึ้นมาก็เป็นความจริงตลอดจนกระทั่งถึงได้สอนโลกทั่วๆไปจนกระทั่งทุกวันนี้ สอนด้วยความสัตย์ความจริงที่มีเต็มหัวใจเราแล้ว แล้วอวดอุตริที่ไหน นั่นฟังซิน่ะ

เพราะงั้นที่มาหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมมันจึงเป็นความจอมปลอมทั้งหมด เป็นกาฝากมหาภัยที่จะให้โลกทั้งหลายได้เชื่อถือ แล้วก็เป็นความเสียหายไปตามๆ กันจากปากของกาฝากหมาภัยอันนั้น ปากอมธรรมไม่ใช่ภัย ปากมหาคุณ คือปากพระพุทธเจ้า ปากพระอรหันต์ท่านเป็นปากมหาคุณ อมธรรมออกมาสอนโลก ท่านไม่ได้อมขี้อมมูตรอมคูถอมพิษอมภัยมาสอนโลก ให้เสียหายล่มจมไปตามเหมือนอย่างปากที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม ปรับอาบัติปาราชิกสังฆาทิเสสนี่ นี่ปากสกปรกที่สุด ปากที่เลวร้ายที่สุด กระจายไปที่ไหนคนเสียหายไปด้วยนะปากประเภทนี้

ปากเราที่อมธรรมนี้เสียหายที่ตรงไหน ใครจะเสียหายเราไม่ได้เสียหาย เราพูดตามความสัตย์ความจริง ใครจะยึดก็ยึดเอาซิ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็ยอมรับคนเรา ของจริงใครจะไม่ยอมรับ เราก็หาของจริงอยู่แล้ว จะไปหาของปลอมตามสังฆาปาราชิกที่เขาอวดได้อย่างไร อันนั้นก็แสดงว่ามันมืดเกินมนุษย์ไปแล้ว ถึงเขาไม่ฟ้องก็ตามพวกนี้มันก็เลยปาราชิกไปแล้ว มันเป็นปทปรมะหมด หมดค่าหมดราคามีแต่ลมหายใจ พากันจำเอานะ

นี่เราพูดถึงที่เราสอนธรรมะพระเมื่อวานนี้ เพราะนานๆ ท่านจะได้มาทีหนึ่ง เราจึงเอนไปทางพระเกือบทั้งหมด สอนให้เข้าใจวิธีการดำเนินๆ ที่ถูกต้องแน่นอน ไม่สงสัยในวิธีการสอน ถูกต้องทั้งนั้น ขอให้ยึดนี้เป็นหลักใจและนำไปปฏิบัติ แล้วจะได้เห็นผลขึ้นมาๆ การแนะนำสั่งสอนกันสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ค่อยเกิดผลนะ ยกตนเป็นอาจารย์เฉยๆ ภูมิธรรมที่จะสอนไม่มี ก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องภูมิธรรมภายในใจ ไม่ว่าเด็กว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าอายุพรรษาแก่มากน้อยแค่ไหนภูมิธรรมของผู้ใดมี ผู้นั้นละจะเป็นหลักแก่ผู้อื่น ประสิทธิ์ประสาทความดีงามให้แก่ผู้อื่นได้ เพื่อนฝูงไปหาก็เพิ่มกำลังใจให้เกิดศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส พลังของใจที่จะประกอบความพากเพียรก็มีมากขึ้นๆ เพราะได้รับคติธรรมจากท่านผู้ทรงธรรมภายในใจแล้ว ต่างกันอย่างนี้นะ

ถ้าไม่มีธรรมในใจพูดออกไปมันจืดมันชืดนะ เราพูดอะไรก็ตามเรื่องของอรรถของธรรม ถ้าไม่เป็นขึ้นภายในใจตนเองไม่เป็นสมบัติของตัวเองแล้วพูดออกไปก็พูดแบบจืดแบบชืดนะ ไม่ค่อยมีรสมีชาติเท่าไร แต่ใจที่เป็นรสชาติเต็มหัวใจอยู่แล้วนี้ พูดเมื่อไรๆ ๆ เป็นรสเป็นชาติตลอด ถึงจะพูดของเก่าของใหม่ก็รสชาติแห่งความอัศจรรย์ออกมาตลอดเวลา ไม่ได้เป็นของเก่าของใหม่รสชาติอันนั้น ธรรมมีของเก่าของใหม่ที่ไหน มีจืดมีชืดที่ไหน ธรรมเป็นธรรมเลิศเลอตลอดเวลา ออกมาแง่ไหนมุมไหนก็เป็นธรรมที่เลิศเลอ ก็เป็นรสเป็นชาติออกมาจากการแสดงและผู้ฟังก็เป็นรสเป็นชาติตลอดไปอย่างนี้ นี่แหละธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นนะ

          เรื่องภาวนาสำคัญมากทีเดียวนะ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงพูดเน้นหนักลงจิตตภาวนา มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ลงที่ใจๆ ปึ๋งๆ เลย ศาสดาองค์เอกขึ้นที่ใจจากจิตตภาวนา สาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายขึ้นที่ใจจากภาวนา มาเป็นสรณะของเราว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ออกจากภาวนา ท่านเลิศเลอแล้วจึงมาสอนเรา ไม่ได้สอนธรรมดา สอนด้วยความเลิศเลอภายในจิตใจ ถอดธรรมเลิศเลอมาสอนพวกเรา โลกทั้งหลายจึงได้เคารพเลื่อมใสยอมรับ ได้รับมรรคผลนิพพานเป็นลำดับลำดามา

พระพุทธเจ้า-สาวกสอนธรรม มรรคผลนิพพานเกิดเรื่อยๆ ต่อมามันไม่มีผู้ปฏิบัติ ธรรมเหล่านี้ก็ไม่ค่อยปรากฏ สุดท้ายก็กลายเป็นตำรับตำราเป็นความจำไป ไปเรียนอยู่ในตำรับตำรา เลยกลายเป็นหนอนแทะกระดาษไปเพราะไม่สนใจปฏิบัติ ถ้าสนใจปฏิบัติไม่เรียกหนอนแทะกระดาษ เรียนเพื่อปฏิบัติเป็นธรรมอยู่ตลอด เรียนจะเอาชั้นเอาภูมินั้นภูมินี้ เป็นบ้ายศบ้าลาภนั้นหนอนแทะกระดาษทั้งนั้น ไม่มีสาระอะไร ตื่นลมตื่นแล้งตื่นชื่อตื่นเสียง

เขาตั้งอะไรให้มา คืออยากได้ยศได้ลาภ พอบวชอออกมาให้มีพัดยศเอาไว้ที่หน้าโบสถ์ พอออกมานี่ตั้งพัดยศอันนี้เป็นอะไร อันนี้พึ่งออกมาจากโบสถ์ นี่เอา ยศนี้สะหมู ยศนี้ให้เป็นสมุห์เสีย ออกมาตามหลังยศนี้เป็นสะหมาเสีย เข้าใจไหม ตั้งมาเรื่อยๆ  สมุห์สหมาใบฎีกา ตั้งเป็นบ้ายศ เข้าใจไหม ไม่ได้สนใจกับมรรคกับผลด้วยการปฏิบัติธรรมเลย เห็นแก่ยศแก่ลาภเป็นสิ่งเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม เวลานี้พวกบ้ายศทั้งหลายมันจึงเอามูตรเอาคูถขึ้นเหยียบอรรถเหยียบธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีค่ามีราคาอะไร เห็นแก่ยศแก่ลาภว่ามีค่ามีราคา ก็มูตรคูถมันมีค่าอะไร เอาขึ้นบนหัวคนมันก็เหม็นคลุ้งอยู่บนหัวคน นั่นมันจะมีค่าอะไร มันหากเป็นบ้า ขั้นมันเป็นบ้าเป็น

เวลานี้มันเป็นบ้ามาก เฉพาะพระเรานี้เป็นบ้ามากทีเดียวจนน่าสลดสังเวช พวกเดียวกันดูกัน คนอื่นเขาไม่กล้าพูด เขาไม่กล้าแตะ นี้พูดตามหลักความจริง เพราะต่างคนต่างมุ่งธรรมด้วยกัน ผิดธรรมข้อไหนมันรู้ทันที พูดได้ตำหนิได้ การพูดนี้พูดตำหนิเพื่อให้แก้ไขดัดแปลงตัวเอง ไม่ได้พูดเพื่อเหยียบย่ำทำลาย มันเป็นอย่างนั้นมันเป็นบ้ายศ พอออกมาพัดติดมารอรับพัดยศ ขึ้นไปสมุห์สะหมาใบฎีกาขึ้นเรื่อยไป พระครูพระคัน เจ้าฟ้าเจ้าคุณ ขึ้นสมเด็จยิ่งเป็นบ้าใหญ่เลย

นี่เป็นอย่างนั้นนะ ตื่นลมปากเฉยๆ ท่านตั้งไว้เพื่อให้เป็นกำลังใจประกอบคุณงามความดี ท่านไม่ได้ตั้งไว้ให้เป็นบ้าอย่างนี้ แบบดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอน ก็ดินเหนียวมันจะไปหงอนได้อย่างไร นี่ตั้งยศขึ้นมาก็ลมปาก เข้าใจไหม ถ้าเป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ แล้วเกิดขึ้นจากตัวเอง บรรดาสาวกทั้งหลายท่านหายศหาลาภที่ไหน ท่านปฏิบัติสำเร็จขึ้นมา องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา  องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์ ยศเต็มยศแล้ว ธรรมเป็นยศที่เลิศเลอที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงลมปากเท่านั้นเอง พัดเอาตั้งมันก็ไม้..พัด เอามาตั้งเป็นพัดยศ ยศอะไรก็ไม่รู้

ศีลธรรมที่ดีงามเข้าสู่ใจนี่แหละยศ เริ่มแล้วๆ องค์นี้สำเร็จโสดา สกิทาคา องค์นี้พัดยศขึ้นแล้วนะ เรียกว่ายศของท่านขึ้นแล้ว องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นั้นสำเร็จอรหันต์ สุดยอดแล้ว ท่านตั้งยศด้วยการปฏิบัติของท่านเอง ท่านไม่เป็นบ้าหาเอาแต่ลมปากมาประดับตัวเอง ไปที่ไหนเห่อเป็นบ้ายศ ท่านไม่ได้ตั้ง ท่านเหล่านี้ท่านไม่หลงยศนะ โสดา สกิทาคา อรหันต์ ท่านไม่ได้หลงยศ ยศแห่งธรรมเลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรเกินยศของธรรม เอาธรรมมาประกอบตัวเองมาส่งเสริมตัวเองประดับตัวเองจะสวยงามมากที่สุด พระเรานะ

ถ้าเอาเรื่องยศเรื่องลาภอะไร สรรเสริญเยินยอที่เป็นบ้าอยู่นี้มาประดับ ประดับเท่าไรเหมือนกองขี้นั่นละ ยิ่งเหม็นคลุ้งเข้าไปโดยลำดับ ไปที่ไหนชื่ออยู่ฟากจรวดดาวเทียม ตัวคนอยู่ใต้ก้นนรกโน่น มันน่าฟังที่ไหน นายนี้นายขี้นายนี้นายตดก็ตาม สำเร็จโสดาสกิทานายไหนก็ช่างเถอะขอให้ได้ อันนั้นมันขี้มันตดต่างหาก  ไม่ใช่ธรรมชาติของจริงที่อยู่ใจของเรา ท่านอยู่สบาย ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น นี่มันเป็นบ้าหาแต่กระพี้หาแต่เปลือก แล้วเอามาประดับตัวว่าเป็นแก่นเป็นสาร เป็นต้นเป็นลำไปเสีย มันไม่เกิดประโยชน์อะไร

ยิ่งนับวันเป็นบ้าเข้าแล้วนะพระเราทุกวันนี้ บวชเข้ามาไม่ได้หาศีลหาธรรม นะ หาแต่ยศแต่ลาภ ความสรรเสริญเยินยอ โลกามิสโปะคลุมหัวมันจนมองหาธรรมไม่เห็น เห็นแก่สินจ้างรางวัล เห็นแก่ยศแก่ลาภ ความสรรเสริญเยินยอ เหล่านี้คลุมหัวมัน ธรรมออกไม่ได้ธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าพาดำเนินเป็นอย่างไร สาวกทั้งหลายที่ออกมาจากศาสดาองค์เอก เสด็จออกมาบวชปั๊บ กษัตริย์ก็มีมากต่อมากนะ กษัตริย์เศรีษฐีกุฎุมพีออกมา พอออกมาแล้วเข้าป่าๆ หายเงียบๆ ไม่เคยไปสนใจกับสกุล ในตำรับตำราเป็นอย่างนั้น ท่านไม่เคยไปสนใจ เหล่านี้เป็นโลกามิสอาศัย

ทีนี้จะหาธรรมเป็นเครื่องเกาะยึดของใจ ท่านออกมาท่านได้ธรรมๆ เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายที่ท่านเคยอาศัยมาแต่ก่อนที่เป็นฆราวาสนะ ท่านไม่เคยสนใจ นั่น ท่านออกมาบวชท่านบวชอย่างนั้นนี่นะ มีในตำรับตำรามากที่สุดเลย เราบวชออกมาเป็นบ้ายศบ้าลาภ มันได้เรื่องอะไร ศีลธรรมไม่เคยสนใจ เราอยากพูดอย่างนั้นนะพระเรานี้นะ มีศีลมีธรรมสักตัวก็ไม่รู้ มันมีตั้งแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นบ้าไป เป็นขี้ทั้งกองภายในหัวใจ มันไม่ได้มีธรรมติดใจนะ แล้วเห่อ

อาศัยผ้าเหลืองเรียกว่าเป็นพระ ไปที่ไหนเห่อ เอาพระเป็นโล่บังหน้า เอาผ้าเหลือง ตัวเองยิ่งกว่าเปรตกว่าผี ไปที่ไหนรบกวนทุกอย่าง ก่อกวนทุกอย่าง ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่วงสังคมที่สงบๆ ทั้งวงพระวงฆราวาสเดือดร้อนไปหมดจากพวกบ้า บ้ายศ นี่ทำลายศาสนา มันเป็นอยู่อย่างนี้จะให้ว่าไง มันมีอยู่เห็นอยู่ พูดตามหลักความจริง นี่ละภาษาธรรมฟังเอาทุกคน ไม่ได้หาเรื่องหาราวต่อผู้ใด ดีก็บอกว่าดี ท่านผู้ดีเราไม่ตำหนิ ไอ้ผู้ที่เลวนั่นซิมันทำความเสียหายแก่ส่วนรวมมากมายขนาดไหน ไม่ควรตำหนิจะไปชมมันได้ที่ไหน ถ้าไปชมมันเราก็เลวกว่าหมาซิเรา ไอ้นี้มันเลวมากแล้วไปชมมันว่าดี อย่างนี้ก็เรียกว่าชมผิดไปใช่ไหม ก็ต้องตำหนิตามเรื่องน่ะซี

ถ้าไม่แน่ใจก็เห่าดูเสียก่อน เช่นอย่างไอ้ตูบตัวเล็กๆ มันยังไม่แน่ใจ มันปากเปราะด้วยมันเห่าดูเสียก่อน เห่าๆ พูดไปพูดมาขบขันมันหากไปหาหมาละเรา มันมีช่องหนึ่ง มันนอนอยู่ใต้เตียงนะ เวลาเราไปนี้มันมองเห็นขาเรามันเป็นช่องนี้ พอเราไปนี้เรายังไม่รู้เรื่องว่ามันอยู่ไหนนะ เห่าว้อๆ ออกมาแล้ว อู๊ย ปากเปราะโว้ย มันเห่าแล้ว มันเห็นเราในช่อง เห่าออกมา เห่ามาหลายครั้งหลายหน มึงเก่งขนาดไหนวะ เลยให้เขาไปเอากระดาษแข็งๆ มาปิดช่องนี้ไว้ เวลาเราไปนี้ไม่เห็น มันก็ไม่ได้เห่า ทีนี้มันไม่ได้จนปัญญานะหมา อย่าเข้าใจว่ามันจนปัญญา เราปิดช่องนี้แล้วมันออกไปอยู่ข้างนอก เห็นเรามามันก็เห่าว้อ มึงไปเห่าที่ไหน มันออกไปข้างนอกไปเห่า นั่นเห็นไหม มันมีปัญญาเหมือนกันน่ะ พูดอะไรถึงหมาว่ะลืม ไปสนุกอยู่กับหมาแหละ ไปนี้ก็เห็นหมาหยอกกันอยู่ เราก็ไปเป็นเพื่อนของหมาซัดกันอีก หมากับเราเลยหยอกกันนัวไปเลย ไอ้ดำหูตูบสองตัวตัวนู้นตัวใหญ่นั้นน่ะมันมาเล่นกับหมาหูตูบสองตัวเล็กๆ มันมาเรื่อยนะ มาเล่นกัน เห็นเขาเล่นดูน่าสนุกเราก็ไปเล่นกับเขา เราก็เลยเป็นหมาแต่ไม่มีหูตูบเท่านั้นเอง มีแต่หัวโล้น โล้นก็โล้นเถอะน่ะ ขอให้สนิทกันได้ก็พอ ซัดกับหมาเสียนัวเลย เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้นละ 

วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ทองคำที่ได้ทั้งวัน ๓ กิโล ๒ บาท ๕ สตางค์ (สาธุ) ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ที่เรามาถึงที่นี่ ถึงวันที่ ๑๘ วันนี้ ได้ทองคำ ๑๓ กิโล ๒๔ บาท ๓๓ สตางค์ (สาธุ) เราคาดไว้ ๑๐ กิโล ฟาดเข้าไปเสียตั้ง ๑๓ กิโล วันพรุ่งนี้อาจจะได้อีก

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก