ในวัดนี้พระ ๕๐ วันนี้ขาดไปตั้ง ๒๐ พระ ๒๐ องค์นั้นท่านมีพุง ๆ เหมือนเราทุกคนแต่ท่านไม่มาฉัน วันนี้ขาดไป ๒๐ พุง มาฉัน ๓๐ พุง แบ่งรับแบ่งสู้ แบ่งให้กิเลสบ้าง แบ่งให้ธรรมบ้าง ถ้าแบ่งให้กิเลสแล้วพระองค์หนึ่งให้ได้ ๓ พุง พระ ๕๐ องค์เอา ๓ คูณเป็นเท่าไร เท่านั้นพุง นี่ละพวกนี้กินแล้วจมนรกในหม้อหมูเข้าใจไหม หม้อหมูนอนจม ถ้าผู้ที่จะแบ่งตัวให้พ้นจากหมูนอนจมแล้วก็แบ่งอย่างนี้ละ เพราะฉะนั้นวันนี้พระที่ไม่มาฉันจึงมีตั้ง ๒๐ องค์ นี่ท่านภาวนานะ ท่านอดอาหารนั้นผู้ที่ถูกจริตนิสัยอันนี้มันต่างกัน ผู้ทำความเพียรใครหนักทางไหน คือดีทางใดได้ประโยชน์ทางใด เช่น อดนอนบ้าง ผ่อนอาหารบ้าง อดอาหารบ้าง เดินมากบ้าง นั่งมากบ้าง สังเกตกิริยาการทำความเพียรของตน ทั้ง ๆ ที่ตั้งสติอยู่ด้วยกัน อย่างไหนมีผลมากผลน้อยสังเกต อย่างนั้นจึงเรียกว่าเป็นนักภาวนา
ทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ไม่ถูกทาง วิธีการที่ท่านทำเหล่านี้ท่านทำตามอัธยาศัย แล้วภาวนาเป็นพื้นฐาน ความสังเกตแนบติดตลอดเวลา ถ้าเห็นว่าทางไหนดี เช่น ผ่อนอาหารดี ท่านมักจะผ่อนไปเรื่อย ๆ อดอาหารดีท่านมักจะอดไปเรื่อย ๆ แล้วเดินจงกรมมากท่านมักจะเดินมากอยู่เสมอ หรือนั่งมากท่านมักจะนั่งมากเสมอ เมื่อทำอย่างนี้การภาวนาได้ผลดี นี่ละการทำความเพียรต้องเป็นนักสังเกต พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนโง่ สอนให้ฉลาด ๆ ทุกอย่าง ทำอะไรลงไปไม่ใช่ไม่มีเหตุมีผล พระพุทธเจ้าเป็นองค์แห่งเหตุผล ศาสดาองค์เอกเราคือองค์แห่งเหตุผล จึงขอให้นำมาใช้นะ
นี่ที่ท่านทำของท่าน ใครจะไม่อยากใครจะไม่หิว ปากท้องมีทุกคน ต้องทนอดทนหิว ไม่ฉันก็หิวแต่ไม่ยอมฉัน ธรรมเลิศเลอยิ่งกว่าการฉัน ฉันเมื่อไรก็ได้ แน่ะ แต่ธรรมไม่เอาได้ง่าย ๆ อย่างนั้นนะ ท่านจึงพยายามตักตวงเอาเวลาที่พอจะได้ ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่อยู่แก่กิน ใช้ไม่ได้ พวกนี้พวกนอนไม่มีวันสนใจที่จะขึ้นจากหล่มลึกแหละ ตกนรกทั้งเป็น ๆ ทางท้องนั่นเต็ม หัวใจเป็นฟืนเป็นไฟ ใช้ไม่ได้นะ ท้องจะแฟบบ้างก็ตามหัวใจเต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรมมีความชุ่มเย็น นั้นแลคือผู้บรรจุความสุขขึ้นภายในใจ หรือสิ่งเลิศเลอภายในใจ อยู่ตรงนั้นนะ ไม่ได้อยู่ที่พุงกาง ๆ หนา
ไอ้พุงกาง ๆ ไม่ว่ากางแบบไหนมีแต่พาให้จม ยิ่งไปฉกไปลักไปปล้นไปจี้ ไปหาอุบายรีดไถเขาคดโกงประเภทต่าง ๆ ร้อยสันพันคม พวกนี้พวกจม สมบัติเหล่านี้ได้มามากน้อยเพียงไรก็ตามกองเท่าภูเขา นั้นแลคือกองไฟเท่าภูเขา จะเผาหัวมันคนนั้นแหละ ที่เห็นแก่ได้พุงกาง ๆ นั้นแหละ พากันจำเอานะ ให้ใจกางด้วยอรรถด้วยธรรมซิ ในใจมีแต่ธรรมแล้วเลิศเลอ ในใจมีแต่พุงกางแบบรีดแบบไถ แบบคดแบบโกงร้อยสันพันคม นี้คือไฟเผาหัวมัน จำให้ดีนะ
ใครเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอา ท้าทายลงไป ศาสดาองค์ใดสอนแบบเดียวกัน พวกนี้ก็ให้ท้าทายถ้าเก่งต่อนรกจริง ๆ จำให้ดีนะท่านทั้งหลายมาศึกษาอบรม นี้สอนบางทีก่อนจังหัน หลังจังหัน สอนทุกแง่ทุกมุมที่จะให้เกิดประโยชน์ ให้นำไปทำประโยชน์ อย่าให้แต่กิเลสมัดคอ ๆ ดูแล้วสลดสังเวชนะ ดูกิเลสมัดคอสัตวโลกนี้ แหม ว่างั้นเลย มันเคยมัดคอเรามากี่กัปกี่กัลป์จนกระทั่งสะทกสะท้านขยะแขยง เมื่อเวลาเจอมันเข้าอย่างจัง ๆ แล้ว เอาละให้พร
หลังจังหัน
รูปหลวงตาบัวนี่มันพิลึกพิลั่นนะ ไปที่ไหนมีแต่รูปหลวงตาบัว หลวงตาบัวเองก็อยากเอาก้อนดินฟาดใส่รูปหลวงตาบัวสักหน่อย มันพิลึกพิลั่น ออกหน้าออกตาเขาเหลือเกิน อ้าว จริง ๆ ไปที่ไหนมีแต่รูปหลวงตาบัว ๆ มันพิลึกกึกกือ บางทีก็คันมืออยากเอาก้อนดินปาเข้าไป เขาก็คนเหมือนกัน มันเป็นบ้ามาจากไหนหลวงตาองค์นี้ มันพิลึกพิลั่น เราอยากว่าอย่างนั้นนะ แทนที่จะยอว่านี่เป็นเทวดามาจากไหน เขาก็คนเหมือนกัน หลวงตาบัวเป็นเทวดามาจากไหน เขาจะพูดกันอย่างนั้น คนทั้งโลกเขาเป็นอะไร หลวงตาบัวมันเป็นบ้าหรือ ว่าอย่างนั้นพอดี พิลึกนะ นั่นละธรรมท่านมอง-ท่านมองอย่างนั้น ถ้ากิเลสแล้วกว้านเข้ามา ๆ เขายอเท่าไรขี้ทะลักออกมาก็พอใจ ขอให้ได้รับคำยอของเขากิเลส เข้าใจไหม เขายอจนขี้แตกยังพอใจนะ
ถ้าธรรมนี่ไม่ ธรรมพอดีตลอด ความชมเชยก็ดี ความสรรเสริญก็ดี เป็นส่วนเกินทั้งนั้นไม่ใช่ส่วนพอดี ธรรมคือความพอดี เป็นอย่างนั้นนะ ระหว่างกิเลสกับธรรมเห็นกันได้อย่างชัด ๆ ในหัวใจของเราคนเดียวอย่าไปหาดูที่ไหน เมื่อมันออกจากหัวใจแล้วก็แสดงออกไปภายนอกให้เห็นชัดเจน ธรรมนี้พอดีตลอด ฟังประโยคนี้ กิเลสนี่หิวตลอด ชอบยอที่สุดคือกิเลส ไม่มีอะไรชอบยอยิ่งกว่ากิเลส กิเลสคือตัวชอบยอ ถ้าธรรมไม่ ถึงได้ต่างกันเอามาก อยู่ในหัวใจเรานะ
ใครต้องการให้ใครมาตำหนิเมื่อไร ต้องการแต่ให้เขายอ กิเลสอยู่ไหนมันต้องการตลอดเวลา หิวตลอดเวลา อยู่ภายในใจ เมื่อธรรมมีมากมีน้อย สิ่งเหล่านี้จะปัดออก ๆ พอเหมาะพอดี ๆ ในใจ เต็มที่แล้วเรียกว่าน้ำเต็มโอ่งแล้ว เอาน้ำมหาสมุทรทะเลมาเทใส่ก็ล้นออกหมด นั่นคือความพอดี พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ได้ตื่นกับความนินทา ความสรรเสริญของโลก เพราะเหล่านี้เป็นเศษเป็นเดน เป็นถังขยะอาหารของกิเลสกินเลี้ยงกันไม่มีวันอิ่มพอ คือกิเลสกินเลี้ยงกันด้วยความยกยอปอปั้น สรรเสริญชมเชย กิเลสชอบที่สุด กินเลี้ยงทั้งวันไม่มีอิ่มพอ กิเลสกินเลี้ยงกัน
อาหารของกิเลสคือความยกยอปอปั้น อาหารที่กิเลสโปรดที่สุดคือการยกยอปอปั้น แม้แต่ไปติดคุกอยู่ก็ตาม ไอ้นี้เขาบริสุทธิ์นะ นักโทษคนนี้แหละ เห็นเขาเป็นนักโทษอย่าเข้าใจว่าเขามีความผิด เขาเป็นนักโทษนะ นี่เขาถูกกลั่นแกล้งต่างหาก เขาเป็นคนดี เขาดีมาตั้งแต่สกุล แต่โคตรแต่แซ่เขานั่นน่ะนักโทษคนนี้ ถูกเขาหาเรื่องใส่ พอว่าอย่างนั้นนักโทษคนนี้ฟังยังไม่จบประโยค ขี้แตกป้าดออกเลย อู๊ย พอใจ ความจริงมันก็เป็นนักโทษมาแต่โคตรมันโน่นละจะมาว่าอะไร เป็นอย่างนั้นนะ นี่ละกิเลส ฟังเอาซิพี่น้องทั้งหลาย ไม่มีใครมาพูดอย่างนี้นะ
ใครก็ชอบแต่กิเลส ๆ ชอบยอชอบสรรเสริญชอบตลอด กิเลสคือตัวหิวโหยที่สุด เพราะฉะนั้นจึงกวนใจสัตวโลกให้หาความสุขไม่ได้เลย กิเลสหิวตลอด ๆ ธรรมแล้วอิ่มตลอด ๆ ไปเรื่อย ธรรมมีมากมีน้อยกำจัดความกวนใจคือกิเลสนั้นออกเรื่อย ๆ มีเต็มส่วนแล้วพูดอะไรก็พูดยากนะ คือพูดออกมาก็เป็นสมมุติเสีย อันนั้นเลยสมมุติแล้วเอาอะไรไปเทียบไม่ได้เลย
อย่างที่เราพูดเมื่อเช้าวานหรือไง ที่พูดถึงเรื่องความสว่างไสวของจิตจนตัวเองก็อัศจรรย์ตัวเอง นี่มันเป็นกิเลสอยู่นั่น เจ้าของไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่เราจะให้พ้นจากกิเลส แต่เวลาไปเจอกิเลสตัวสง่าผ่าเผย ตัวผ่องใสนี้เข้าไปแล้วติดเลยเทียว ไม่มีใครมายอก็เจ้าของยอเจ้าของเอง โอ้โห จิตเรานี้ทำไมมันถึงสว่างไสวเอานักหนานา โถ อัศจรรย์ กำหนดทดลองดูสิ่งไหน ๆ ก็ไม่เหมือนมัน มองดูที่ไหนมันไม่เหมือนอันนี้ อันนี้มันสว่างจ้า ทำไมจิตใจจึงสว่างไสว อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา ๆ
นี่ละท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า เครื่องกล่อมกิเลสกษัตริย์วัฏจักรของกิเลสทั้งหลายคืออวิชชา วิชชาสุดยอดของอวิชชามันกล่อมใจ ถึงขนาดผู้ปฏิบัติธรรมขั้นนี้ไม่ใช่ขั้นธรรมดานะ อย่างน้อยสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตัวไปด้วยความรอบคอบตลอดเวลา แล้วเชื่อมโยงกันกับมหาสติมหาปัญญา ซึมซาบไปด้วยความรอบคอบ เหตุใดจึงมาติดความสว่างไสวอย่างนี้ซึ่งเป็นเหยื่อของอวิชชา ฟังให้ดีนะ นี่ละเหยื่อของอวิชชาที่กล่อมสัตวโลกดังที่เคยพูด ใครอย่าไปวาดภาพหนา วาดภาพอวิชชาเหมือนเสือโคร่งเสือดาว อย่านะ ผิดทั้งเพ เวลาเจออวิชชาเข้าไปก็คือตัวนี้เอง ยอตัวเอง โถ จิตเราทำไมสว่างไสวเอานักหนา อัศจรรย์นักหนา นี่เห็นไหมมันเป็นให้ยอเอง คือมันอัศจรรย์อันนี้ จิตอันนี้ก็อยู่กับเรา โหย จิตเราทำไมสว่างไสวนักหนานา
นี่ละวิชชาสุดยอดของวัฏจักรอยู่จุดนี้ กล่อมโลก ถึงขนาดมหาสติมหาปัญญายังติดได้ ฟังซิน่ะ แต่ว่าติดในประเภทของมหาสติมหาปัญญา ติดด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาแต่ติดแล้วสลัดได้ โลกติดไม่มีทางสลัด สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมถึงขั้นมหาสติมหาปัญญายังติดอันนี้อยู่ แต่ติดเพื่อจะถอน คือพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มหาสติมหาปัญญาไม่มีคำว่านอนใจ เรียกว่าติดด้วยความไม่นอนใจ ด้วยความสิ้นปัญญาอยู่นั้นละมันยังออกหาช่องไม่ได้ มันก็ติดแบบมหาสติมหาปัญญาติดกิเลสติดอวิชชา นี่ละที่ว่าวิชชาสุดท้าย วิชชาสุดยอดของวัฏจักร คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ใครไปวาดว่าเป็นเหมือนเสือโคร่งเสือดาวเหมือนยักษ์เหมือนผี หรือว่าน่าหวาดน่ากลัวนี้ผิดทั้งเพ เวลาเข้าไปเจอจริง ๆ แล้ว ใครจะอ้อยอิ่งยิ่งกว่าวิชชานี้
จึงเทียบได้ว่า นางงามจักรวาล ว่างั้นเหมาะเลย นางงามจักรวาลกับยักษ์กับผีมันเข้ากันได้ไหมล่ะ ที่เราวาดภาพอวิชชาเหมือนยักษ์เหมือนผี ทีนี้เวลาไปเจออวิชชาจริง ๆ แล้วมันกลายเป็นนางงามจักรวาลไปเห็นไหมล่ะ ไม่รู้ นี่ก็เรียกว่า อวิชชาก็คือกิเลส จอมกิเลสจอมกษัตริย์ มันก็ไปรอตัวเองอยู่ในนั้นเสีย โห ทำไมจิตเราถึงอัศจรรย์ขนาดนี้ ทำไมสว่างไสวเอานักหนา กำหนดไปที่ไหนจ้าไปหมด ครอบไปหมดเลย อัศจรรย์ตัวเองอยู่คนเดียวฟังซิน่ะ พระธรรมท่านก็เมตตาเพราะเห็นติด คำว่าติดไม่ใช่ของดี แม้จะพ้นอยู่ชั่วระยะใกล้ ๆ ก็ตามก็ไม่ใช่ของดี
ธรรมท่านก็เตือนขึ้นมาว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ คือตัวนี้เอง ตัวสว่างกระจ่างแจ้ง นี่จุดแห่งความสว่างกระจ่างแจ้ง หรือต่อมแห่งความสว่างกระจ่างแจ้ง หรือต่อมแห่งความอัศจรรย์ นี้แลคือตัวภพ แต่เราไม่รู้ซิธรรมท่านเตือนบอก เลยงงไปอีก มันงงของมันไป ขนาดนั้นละ วิชชาสุดท้ายของวัฏจักรมายุติกันตรงนี้ หลงสุดขีดก็หลงตรงนี้ ถ้าแก้นี้ไปแล้วผางเลยที่นี่ ฟังซิน่ะที่ว่า ความสว่างกระจ่างแจ้ง ความอัศจรรย์เต็มเหนี่ยว ๆ เต็มที่ในหัวใจเรานี้น่ะ พอมหาสติมหาปัญญาฟัดธรรมชาติที่สว่างกระจ่างแจ้งเต็มที่ขาดสะบั้นลงไปหมด แล้วอันนั้นจ้าขึ้นมาคราวหลังนี้เป็นยังไง นี่ละจ้าขึ้นมาคราวหลังนี้คือจ้าวิมุตติหลุดพ้น
จ้าเบื้องต้นนั้นคือจ้าวัฏจักร ความสว่างของวัฏจักรคืออวิชชา ความสว่างของวิวัฏจักรคือจิตที่หลุดพ้นแล้ว ได้แก่ท่านผู้ตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ตรัสรู้ธรรมผางขึ้นมาคราวนี้ ความสว่างอันนี้แลเป็นความสว่างนอกจากวัฏจักรไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เวลามาเทียบกับความสว่างของวัฏจักรของอวิชชานี้ อวิชชาจึงกลายเป็นกองขี้ควายไปได้ ฟังซิธรรมชาตินั้นเหนือกันขนาดไหน จึงมาตำหนิความสว่างของอวิชชานี้ว่าเป็นเหมือนกองขี้ควาย เลิศขนาดไหนถึงจะมาตำหนิอย่างนี้ได้ลงคอ พิจารณาซิ นั่นน่ะที่พูดไม่ได้ อันนั้นเลยแล้วพูดไม่ถูกทั้งนั้น ถ้ามีข้อเทียบเคียงมาเทียบเคียงกับอวิชชาที่สว่างไสวนี้ นี้แลคือกองขี้ควาย ได้เท่านั้น ธรรมชาตินั้นคืออะไรพูดไม่ได้นะ
เราพูดถึงเรื่องกิเลสมันชอบยอ เราอย่าไปตำหนิผู้ใด ผิดนะ คำว่ากิเลสชอบยอ มันมีกับหัวใจทุกคน เรา ๆ ท่าน ๆ มีด้วยกัน ผ่านภาคปฏิบัติเข้าไปก็รู้เอง ไม่ผ่านรู้ไม่ได้ อย่างโลกธรรม ๘ ใครเป็นคนแสดงไว้ พระพุทธเจ้า โลกธรรม ๘ นินทา สรรเสริญ นั่นเห็นไหมขึ้นแล้ว ได้มาเสียไป มีสุขมีทุกข์ นินทา สรรเสริญ โลกธรรม ๘ ก็อยู่ในกรอบของวัฏจักร พอพ้นจากนั้นแล้วท่านไม่มี ตัวนี้ตัวกวนจิต กวนมากทีเดียว กวนมากกวนน้อยกวนตลอดเวลา คือหาความอิ่มพอไม่ได้ได้แก่กิเลส หิวตลอดเวลา กวนตลอดเวลา พอธรรมแทรกเข้าไป ๆ ก็เหมือนยาถูกกับโรคแล้วค่อยสงบตัวลง ๆ
ให้กิเลสสงบตัวลงโดยลำพังตัวเองไม่มีทาง ให้สงบลงด้วยอำนาจกิเลสเสริมกิเลส หามาเพื่อพอกพูนความโลภไม่มีทาง ต้องตัดออก เอาธรรมความพอดีใส่เข้าไป ๆ ท่านเรียกว่าธรรม เช่นอย่างที่ว่าสว่างไสว หรืออัศจรรย์เหมือนหนึ่งว่าเกินคาดเกินหมาย ทั้ง ๆ ที่มันไม่เกิน มันก็ยอตัวเองขึ้นไปเสียจนเกินคาดเกินหมาย นี่มันกวนอยู่ในนั้นนะ มันเพลิดมันเพลินมันกวนอย่างละเอียด กิเลสละเอียดกวนธรรมกวนอยู่อย่างนั้น พอกิเลสซึ่งเป็นเรื่องสมมุตินี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ใจดีดออกจากสมมุติแล้ว พ้นแล้วจากแหล่งวัฏจักรหรือเรือนจำแห่งวัฏจักรแล้วนี้ไม่มีอะไรกวน หมด ความอัศจรรย์ตัวเอง ความเยินยอสรรเสริญตัวเอง มันก็กวน ฟังซิน่ะ พออันนี้ผ่านปึ๋งไปเท่านั้นไม่มีอะไรกวน นั่น มันต่างกันอย่างนี้นะ
ธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี้มันเป็นยังไงชาวพุทธเราน่ะ เหมือนหนึ่งว่าธรรมนี้อยู่ฟากโลกฟากสงสาร ฟากทวีปยุโรป หรือฟากจรวดดาวเทียมไป สุดเอื้อมหมดหวังในการปฏิบัติธรรมความดี หรือปฏิบัติธรรม มันเป็นอย่างนั้นนะหัวใจมนุษย์ เพราะกิเลสมันปิด ๆ มันไม่ให้อะไรเข้ามายุ่งกับมัน มันจะทำหน้าที่เอาไฟเผาโลกคือหัวใจของสัตว์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ธรรมจึงแทรกเข้าได้ยาก ๆ เดี๋ยวนี้ใครสนใจธรรมที่ไหน มันกำลังเป็นนรกอเวจีในแดนมนุษย์เรานี้รู้ไหม ชาวพุทธเรานี้ มันเป็นแดนนรกอเวจีเผาอยู่ในชาวพุทธเรานี้
เอาธรรมมาจับเข้าซีถึงจะรู้ ไม่มีธรรมตายไปด้วยกันก็ไม่รู้ กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่รู้ เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ต่างคนต่างถูกไฟกิเลสเผาแล้วก็เพลินไปตามกิเลส มันมีทั้งไฟ มีทั้งสิ่งจะให้เพลิน ยาพิษของมันมันเอาน้ำตาลเคลือบไว้ ๆ แทรกไปในนั้น ๆ ไม่งั้นสัตว์ไม่ติด เหมือนเหยื่อล่อปลาเห็นไหมล่ะ ติดอยู่ปลายเบ็ดคือเหยื่อล่อ ข้างในคือเบ็ด เกาะเข้าไปปากเลือดสาดเห็นไหมล่ะ นี่ละกองทุกข์มันอยู่ข้างในคือเบ็ด สิ่งล่อใจนั้นเรียกว่าอาหารอยู่ปลายเบ็ด อันนั้นก็อยากเห็น อันนี้ก็อยากชม อันนั้นก็อยากดู นี้คือเหยื่อล่อทั้งนั้น อยากเห็นอยากได้ยินได้ฟัง อ้อยอิ่งทั้งวันทั้งคืน หิวโหยตลอดเวลาหาความสุขได้ที่ไหนคน ดิ้นอยู่อย่างนั้น
นี่ละเชื้อที่มันเผาก็เผาอยู่ในหัวใจทุก ๆ ท่าน อย่าไปดูหัวใจใครนะ การสอนนี้สอนเพื่อหัวใจผู้ฟัง ธรรมพระพุทธเจ้าสอนเพื่อหัวใจ อย่าไปตำหนิคนนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ผิดทั้งเพ ให้ฟังเรื่องของเจ้าของ ดึงเข้ามา ท่านว่า โอปนยิโก ท่านพูดอย่างนี้ถูกกับหัวใจเราที่กำลังแบกหามอยู่เวลานี้ในแง่ใดบ้าง เอามาพิจารณาคลี่คลายออกไปซิถ้าอยากเห็นของดี ไม่งั้นตายจริง ๆ นะจะไม่เห็นของดี ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศป้าง ๆ อยู่นี้ กิเลสมันปิด ๆ ไม่ยอมให้ฟังให้เห็นให้ปฏิบัตินะ อำนาจของกิเลสมันขนาดนั้นนะ ฟังให้ดีคำนี้ก็ดี เวลามันหนา-มันหนาอย่างนั้นนะ
พอคิดว่าจะทำความดีนี้เหมือนเอาไม้มาหนีบคอเลย หายใจก็ไม่ออกมันจะตาย เวลาเพลินดูโทรทัศน์เขาจู้จี้สุงสิงยุ่งกัน เพลินกันอยู่ในจอโทรทัศน์ ทั้งอ้าปากทั้งลืมตา ตาก็ค้างปากก็อ้า อีแร้งอีกาเข้าไปกินตับในปาก คืออ้าไม่ถอย อีแร้งอีกามีในโลกนี้หลั่งไหลเข้ามาในปากคนนั้น เข้าไปขนกินตับกินปอดหมด อีแร้งอีกาอิ่มแล้วเปิดไปไหนยังอ้าอยู่อย่างนั้น มันขนาดนั้นนะถ้ากับเรื่องอย่างนี้ เห็นไหมเพลินหรือไม่เพลิน ดูหัวใจเจ้าของซิ ทีนี้เวลาธรรมะเข้าไปตัดขาดสะบั้นลงไป นี้คือฟืนไฟก่อกวนทั้งนั้น เห็นไหมล่ะ มันเหนือกันอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงละได้ ไม่เหนือละไม่ได้ ถ้าแบบกิเลสก็เป็นกิเลสตลอดไป ถ้าเหนือกิเลสก็ข้ามกิเลสไปเรื่อย ๆ ให้จำเอานะ
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องข้ามกิเลส ให้พากันยึดเข้ามา เหนี่ยวเข้ามา ดึงเข้ามาเป็นที่พึ่งที่กำจัด เอา ทุกข์ก็ทุกข์ พระพุทธเจ้าแสนทุกข์ สลบ ๓ หน เราสลบที่ไหน มันตายเลยเราไม่ใช่สลบ มันตายเลย พระพุทธเจ้าท่านทุกข์ท่านสลบ เรานี่เพลินด้วยเสื่อด้วยหมอน เพลินไปจนตายเลย มันไปคนละแบบพวกนี้ พูดแล้วมันสลดสังเวชนะ พระพุทธเจ้าจะไม่ท้อพระทัยได้ยังไง ก็มองดูมันมืดตื้อ พระอาทิตย์ร้อยดวงมีความหมายอะไร กิเลสปิดปึ๊บเดียวหมดเลย ให้มันยกโคตรยกแซ่พระอาทิตย์มาก็สู้กิเลสตัวเดียวไม่ได้อยู่ในหัวใจคน ครอบตัวเดียวเสร็จเลย นั่นละความมืดของจิตมีวันมีคืนที่ไหน
พระอาทิตย์พระจันทร์ยังมีวันมีคืนมีมืดมีแจ้ง หัวใจเราไม่เคยแจ้ง มืดตลอดเวลาแปดทิศแปดด้าน นี่ละปทปรมะในหัวใจของชาวพุทธเราเวลานี้ เนยยะแย็บเข้ามามันตีหน้าผากหงายเลย เนยยะคือจะฉุดลากออกไป ปทปรมะตัวมืดบอด มันหลับตาตีก็ตีถูกเพราะมนุษย์เรามันโง่ ไม่ต้องลืมตาตีละ หลับตาตีก็ถูก ยิ่งหลับตาลงหมอนด้วยแล้วครอกเลย ถูกถนัด ฟังเสียงดังครอก ๆ เลย โอ๊ย ถูกถนัดนะ นั่นกิเลสตีเรามันตีอย่างนั้นนะ มันไม่ตีไปมรรคผลนิพพาน
จะพูดถึงเรื่องเณรผองให้ฟัง เราไปพักอยู่ห้วยทราย วัดนั้นมีแต่วัดพระภาวนาล้วน ๆ วันคืนปีเดือนอยู่กับการภาวนาล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ เราเป็นหัวหน้า วัดอยู่ในป่าลึก ๆ อยู่ตีนเขาห้วยทราย เดี๋ยวนี้ถนนผ่านไปใกล้ ๆ แต่ก่อนเป็นป่าช้าเป็นป่าดงป่าเสือป่าอะไร แถวนั้นเสือไปมาอยู่เสมอ ทีนี้เณรก็จะดัดกิเลสล่ะซี เณรอ้วน ๆ ถ้าเราไม่เคยเห็นเณรนั่น ให้เดิน ๆ ไปตามนี้ไปหาดูฟักแฟงแตงโมที่ลูกใหญ่ ๆ ที่เขาไสมันกลิ้งไปกลิ้งมา ให้ดูอันนั้นมันเหมือนกันกับเณรผอง ทีนี้แกก็นั่งภาวนา มันง่วงแกว่าอย่างนั้น นั่งภาวนาอยู่ในกุฏิมันง่วง จะดัดความง่วง ก็ไปนั่งหมิ่นเหม่นอกกุฏิถ้ามันเผลอก็ให้มันตกลงนี้ ก็ไปนั่งตรงนี้ละนะ นั่งภาวนาไม่นาน เรากำลังเริ่มจะออกจากที่ภาวนาพอดีประมาณ ๓ ทุ่ม เราจะลงไปเดินจงกรม ฟังเสียงตุ๊บเลย เอ๊ มันเสียงอะไรตก เราก็ฟังแต่ไม่ไป คอยสังเกตดูเป็นยังไง เสียงดังตุ๊บเหมือนอะไรตก
สักเดี๋ยวเสียงพุมพิม ๆ เอ๊ เสียงอะไรแปลก ๆ เสียงดังขึ้นตรงนั้น พุมพิม ๆ กลางคืน เราก็เลยลุกจากที่กำลังจะลงไป เห็นพระปุ๊บปั๊บมา อะไร (เณรผองตกกุฏิ) มันเป็นยังไงถึงตกกุฏิ (สู้กับกิเลส) ว่างั้น สู้แบบไหนมันถึงได้ตกกุฏิ (สู้แบบมานั่งหมิ่น ๆ คือเวลามันง่วงนอนให้มันตกลงนี้ มันง่วงนอนเลยตกจริง ๆ) เออ มันตายจะไม่ไป กุสลา ให้มันเราว่างี้ มันโง่สองชั้นสามชั้นไม่ไป กุสลา แหละ นี่พูดถึงเรื่องสู้กิเลส สู้กิเลสไม่ได้ตกกุฏิ เห็นไหมล่ะ ของง่ายเมื่อไรกิเลส ออกมาต่อสู้กันหน้าสนาม มันฟาดลงนั่นจนได้กิเลสเก่งไหม เวลามันหนา-มันหนานะ
เพราะฉะนั้นการกินมากฉันมากนี้จึงเป็นภัยต่อจิตตภาวนา กินมากเท่าไรความง่วงเหงาหาวนอนมาก กำลังวังชาที่เป็นเครื่องเสริมราคะตัณหามากไม่มีชิ้นดี นักภาวนาต้องเป็นนักสังเกต เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ผ่อนอาหารลง พอผ่อนอาหารอันนี้ก็เบาลง สติค่อยดีดได้ ผ่อนลง ๆ ควรอด-อด ถ้ามันหนักมากผ่อนไป ฉันแต่น้อย ถ้ามันพอนั้นเข้าอีก หยุดพักอาหาร ความเพียรเร่ง สติดีขึ้นปัญญาดีขึ้น สว่างไสวขึ้น นั่นมันแก้กันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระภาวนาท่านจึงติดนิสัยถูกกับทางอดอาหาร ส่วนมากจะถูกทางอดอาหาร เพราะเรื่องอาหารนี้มันเสริมด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ถ้ากิเลสแท้ ๆ ไม่ต้องพูด แล้วเสริมราคะตัณหา พอผ่อนอันนี้ลงไปเหล่านี้จะสงบลง ๆ ไป เพราะฉะนั้นผู้ที่อดอาหารเลยสองคืนไปแล้วไม่มีง่วง
คืนแรกจะมีนิดหน่อยละง่วง คืนที่สองลดลงแทบไม่ปรากฏ พอคืนที่สามไม่มีเลย นั่งเท่าไรก็ได้ มันง่วงเพราะอาหาร อาหารนี้สำคัญที่กับนะ ถ้ามีแต่ข้าวเปล่า ๆ ก็ไม่ค่อยง่วง นี่เคยทดลองแล้ว กินแต่ข้าวเปล่ามันจะกินได้มากขนาดไหนใช่ไหม ๒-๓ คำมันก็อิ่ม ไม่อิ่มมันก็กลืนไม่ลง เรื่องท้องไม่อิ่มแหละ แต่ปากมันกลืนไม่ลง ก็มีแต่ข้าวเปล่า ๆ มันจะกลืนลงได้ยังไง มันก็ไม่กินมาก เมื่อไม่กินมากแล้วความง่วงก็ไม่มี แล้วมีแต่ข้าวเปล่า ๆ ความง่วงไม่มีนะ ถ้ามีกับเข้าไป กับประเภทต่าง ๆ พวกผัดพวกมันนี้เสริมเก่งทีเดียว ดีไม่ดีหลับครอก ๆ ตั้งแต่ยังกำลังกินข้าวอยู่นั่น ทั้งเคี้ยวทั้งหลับครอก ๆ ไปเลย มันกล่อมได้ดี สังเกตซินักภาวนา อาหารพวกผัด ๆ มัน ๆ นี้กล่อมได้เร็ว ทีนี้เวลาเราอดอาหารเข้าไปคืนที่ ๓ ไม่มีเลย จากนั้นไปไม่มีคำว่าง่วง จะให้เห็นง่วงว่าปรากฏนี้ไม่มี นี่เห็นชัด ๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงอดอาหาร เพื่อความเพียรได้ดี
สตินั่นแหละสำคัญ ถ้าอดอาหารความเพียรดีคือสติตั้งได้อยู่ สติตั้งแล้วมันรู้สึกตัว สติความรู้สึกตัว รอบตัว ๆ สติดีเท่าไรยิ่งรอบตัว ทุกสิ่งทุกอย่างทุกอย่างผ่านเข้ามารู้ทันที ๆ นั่นสตินะ พออดอาหารไปหลายคืนเท่าไรไม่มีคำว่าง่วง ตั้งหน้านอนหลับมันก็ไม่อยากหลับ นั่นเห็นไหม เวลาจะหลับจะนอนผู้ที่อดอาหารนอน เราอยากจะพูดว่าอย่างมากไม่เกิน ๒ ชั่วโมง หลับกลางคืนนะ ทั้ง ๆ ที่ธาตุขันธ์ก็ดีหนุ่มน้อยอยู่ แต่เวลาอดอาหารมาก ๆ เข้าไปนี้ความง่วงไม่มี จิตใจมันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน ภาวนาเพลินไปเรื่อย ไม่ค่อยเห็นมันง่วงนะ ให้นอนมันยังไม่อยากหลับ นี่ถ้าอดอาหารไปมาก ๆ นอนไม่หลับนะ ไม่ง่วง แล้วทางด้านจิตตภาวนาดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่หมายถึงผู้ที่ถูกนิสัยกับทางอดอาหารหรืออดนอน
ใครดีทางไหนมันก็รู้เอง เด่นทางไหนผู้นั้นก็ต้องตะเกียกตะกายไปทางนั้น ยากลำบากก็ต้องบืน เพราะทางเดินอยู่ที่นี่ ผลประโยชน์อยู่ทางนี้ต้องไปทางนี้ จะยากลำบากก็ทนเอา ความสะดวก ๆ ส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลส ให้ทดสอบสังเกตดูเรา พระท่านอดอาหารอย่างนี้ใครจะอยากอด ความหิวโหยเป็นของดีหรือ มันเป็นกองทุกข์ทั้งนั้น แต่ของดีที่เหนือจากการหิวการโหยการทุกข์ทรมานเพราะการอดอาหารมันมีอยู่ในนั้นคือธรรม นั่นละอันนี้เหนือนั้น ๆ ท่านจึงตะเกียกตะกายเอาความดียิ่งกว่าเรื่องอาหาร ท่านจึงได้อด การฝึกจะให้เป็นคนดีนี้ เราจะเอาขนาดเด่นเท่าไร ความฝึกของเราก็ต้องมีเด่น ๆ ตลอดไปเลย
ไม่ใช่ว่าอยู่ธรรมดาจะสำเร็จขึ้นมา ๆ ในเสื่อในหมอนในส้วมในถานในที่นอนหมอนมุ้ง แล้วไปที่ไหนสำเร็จเกลื่อนไปหมด มีแต่คนสำเร็จ ในครัวของเรามีแต่คนสำเร็จ หลวงตาบัวนี้แตกวัดเลยอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้ เพราะเหตุใดหลวงตาบัวแทบเป็นแทบตายมาสอนหมู่เพื่อน พวกนั้นไปที่ไหนมองเห็นหน้ากันเป็นยังไง พอมองเห็นยังไม่ถามเลย พอมองเห็นหน้ากัน ถ้าอย่างมากก็ถามเป็นยังไง ทางนู้นก็บอกสำเร็จแล้ว พอมองเห็นหน้ากันไม่ต้องถาม มีแต่สำเร็จแล้ว ผลสุดท้ายไอ้ปุ๊กกี้ก็วอกขึ้นเลย สำเร็จแล้ว โอ๋ย หลวงตาบัวนี้อยู่วัดไม่ได้นะ
คือเราฝึกทรมานเราแทบเป็นแทบตาย ครั้นมาเจอพวกลูกศิษย์มีแต่พวกสำเร็จแล้ว อู๊ย อยู่ทุกแง่ทุกมุม มีแต่พวกสำเร็จแล้วทั้งนั้นมันยังไงกันวะ หลวงตาบัวนี่มันเลวขนาดนั้นนะ ลูกศิษย์เรามันเลิศเลอที่สุด อยู่ที่ไหน ๆ มีแต่พวกสำเร็จทั้งนั้น ไม่ต้องพูดละในวงศาลานี่ นอกศาลาไปนี้มีแต่แดนแห่งความสำเร็จทั้งนั้นเต็มไปหมด ฮู้ย พูดแล้วทุกขัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อาจารย์แทบเป็นแทบตาย ลูกศิษย์นี่สบายมาก สำเร็จ มันพิลึก ถ้าเป็นพวกขิปปาภิญญา เป็นอีกประเภทหนึ่ง อันนั้นดีดผึง ๆ ไปเลย ขิปปาภิญญา พวกอุคฆฏิตัญญู พวกขิปปาภิญญา ตรัสรู้เร็วบรรลุเร็ว พอเปิดประตูปั๊บผึงออกเลย ขิปปาภิญญาตรัสรู้ได้เร็ว
พวกเราไม่เป็นอย่างนั้นนะ พอเปิดประตูนี้พวกขิปปาภิญญาโดดผึงผัง ๆ พวกนี้หันหน้ามาสู้เจ้าของ ไล่ขวิดเอา คือจะไล่ออกนอกมันไม่ยอมไป มันจะเข้าลึก ๆ กว่านั้นมันไล่ชนเอา ดีไม่ดีเจ้าของตกออกนอกห้องมันไล่ชน พวกนี้พวกไล่ชนเจ้าของ เข้าใจเหรอ อู๊ย เขาไม่ยาวนะแต่มันชนเก่งพวกนี้น่ะ พูดไปเท่าไรก็มีแต่ขบขันไปเรื่อย พวกเก่ง ๆ ทั้งนั้น ไปนี่ไปหาอันนั้นมา ใครยังไม่ได้ใบประกาศไปเสนอกันนะ ข้าสำเร็จมาแล้วตั้งแต่ยังไม่บวช ข้าสำเร็จมาแล้วตั้งแต่ยังไม่เข้าวัดนี้ ไหนใบประกาศไม่เห็นให้ข้า มันจะไปทวงเอาอย่างนั้นนะ มันลำบาก ได้พวกง่ายนี่มันง่ายที่สุดอย่างนี้ละ เข้าใจไหม ง่ายอย่างพวกคนดีจะตาย ไม่ทราบจะปฏิบัติตามยังไง ปฏิบัติตามพวกนี้น่ะ
อย่างพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มีใครสอนท่านนะ หลักธรรมชาติสอนท่านเอง คืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ผลิตสติปัญญาอยู่ในนี้รับกันปั๊บ ๆ พิจารณาแก้ไขตรัสรู้ขึ้นไปเลย พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้เองเห็นเอง ทรงขวนขวายด้วยความเพียรเอง แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็เหมือนกัน สำเร็จเอง แต่ไม่สนใจจะสอนใคร รู้เฉพาะ ๆ เจ้าของแล้วผ่านไป ๆ ส่วนพระสงฆ์สาวก พวกพระสงฆ์ทั้งหลายต้องได้ยินได้ฟัง ท่านจึงว่าสาวก ๆ สาวก แปลว่า ผู้ได้ยินได้ฟัง ได้อบรมมาจากพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์องค์ใดก่อนแล้วจึงจะสำเร็จได้ ให้สำเร็จโดยลำพังเจ้าของด้วยการพิจารณาเจ้าของเองนี้ไม่มี สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้ามี เป็นอย่างนั้นนะ
วันนี้ก็พูดกันมากแล้วนะ ไม่ทราบว่าขึ้นเรื่องไหนขึ้นไปเลย วันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นละนะ วันละมากละน้อยบ้าง เพราะวัดนี้มันง่ายเหลือเกินแล้วแหละ สำเร็จเต็มวัดเต็มวา วันนี้ไม่ต้องเทศน์มาก เพราะลูกศิษย์เราเก่งกว่าครูแล้ว สำเร็จเต็มวัดเต็มวา
สรุปทองคำ ดอลลาร์ วันที่ ๒๙ ทองคำได้ขีดไม่ได้เรื่อง ดอลลาร์ได้ ๑๙ ดอลล์ ทองคำไม่ได้สักสตางค์เลย โธ้ ขายหน้าหลวงตาบัว เวลามาขาย ๆ เอาตรงนี้นะ
เมื่อวานนี้ตกลงให้รถ ๒ คันนะ คือตอนเช้าก็ภักดีชุมพล ที่ชัยภูมิ แล้วตอนสายก็ให้ยางตลาด อีกคันหนึ่ง เมื่อวานให้รถไปตั้ง ๒ คันไม่ใช่เล่นนะ รถคันหนึ่ง ๙๗๐,๐๐๐ ระยะนี้ให้รถไม่รู้กี่คันนะ หลายคันมีแต่ราคาแพง ๆ เดี๋ยวนี้ เครื่องอุลตราซาวนด์ กับรถนี้แพงกว่าเพื่อนนะ กำลังให้ระยะนี้ จะทำยังไง นี่ที่ว่าถูไถคืออย่างนี้เอง ก็เราบอกว่ายังไม่มี ก็มาขออีกแล้ว ถูไถกันไป เอ้า มาอีกแล้ว ถูไถกันไปอย่างนั้นนะจะทำยังไง คือเงินที่เราหมุนเข้าสู่ทองคำ อันนี้ถูไถกันอย่างนี้เห็นอย่างนี้ เงินที่จะเข้าซื้อทองคำเราต่อตลอดเวลาที่จะไสเข้าเลยนะ อันนี้ไม่ไส มันเลยถูไถมากกว่าไสนะเดี๋ยวนี้ มากจริง ๆ จะ ๙ โมงแล้ว ทุกวันนี้มันย่ำรุ่งเช้าขึ้นไปเรื่อย ๆ นะ ตะวันเอียงมากแล้ว พอเดือนตุลาพฤศจิกานี้จะยิ่งเอียงไปมาก กลางคืนมากขึ้น ๆ กลางวันรู้สึกจะมีน้อยเข้าไป เวลานี้กำลังเอียง ๆ
เป็นยังไงฟังเทศน์วันนี้ผู้ว่าเป็นยังไง (ถูกใจผมมากครับ เพราะเมื่อคืนนั่งได้ ๒-๓ ชั่วโมงนอนดีกว่ามันว่ายังงั้น ถูกใจมากครับมันแทงหัวใจ) เออ มันไม่ตุ๊บเหรอ ตกบ้านละซิ นอนหลับตกบ้านเข้าใจไหม ตุ๊บ เณรผองตกกุฏิ สู้มันไปจะว่ายังไง ภาวนาทุกวัน ๆ เท่านั้นละนะ
ลูกศิษย์ อย่างเราเป็นฆราวาส เรามาทำบุญและฟังเทศน์ แล้วปฏิบัติตามหลวงตาแนะนำ เราเร่งปฏิบัตินี้เรามีสิทธิ์จะที่หลุดออกไปไหมคะ
หลวงตา ทำไมจะไม่มี ตั้งแต่เราอยู่ในวัดนี้ กิเลสมันยังมีสิทธิ์ลากเราออกนอกวัดได้ ทำไมเราเป็นฆราวาสเราปฏิบัติตามฆราวาส เราปฏิบัติธรรม ธรรมก็ต้องฉุดเราออกได้เหมือนกัน เข้าใจไหม
ลูกศิษย์ หลวงตาเจ้าคะ ชาตินี้เราเกิดเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์เราจะปฏิบัติธรรมได้ไหมเจ้าคะ
หลวงตา เวลานี้เรายังไม่เกิดเป็นอย่างอื่น เราเกิดเป็นมนุษย์ฟาดให้เต็มเหนี่ยวนะ ทำบุญให้ทานให้เต็มเหนี่ยว ก็มีเท่านั้น ไปหางมเงาอะไรข้างนอก ตัวจริงมีอยู่ พากันปฏิบัติตามนี้ซิ ยังจะไปงมเงา เวลาเราตายแล้วจะทำยังไง เลยลืมตัวนี้ตัวจะทำดี แล้วเป็นยังไงระลึกได้หรือยัง เอาละพอ