อยู่ฝั่งลาวนู่น เขาไปเรียนวิชาขี่เสือ
อีตาคนนี้แกเล่าให้ฟังละเอียดละออมากทีเดียว เพราะแกเป็นนักขี่เสือมาแล้ว แกก็มาปฏิบัติวัดอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นถึงได้ซักกันละเอียดลออ รู้เรื่องหมดว่าขี่เสือจริงๆ สมกับที่เขาเล่าลือกันทั้งบ้าน คือการขี่เสือเขาห้ามไม่ให้คนทัก ร้องกรี๊ดก้ากนี้ไม่ได้เสือตบคน ถ้าเห็นก็ให้เห็นเฉยๆ ขี่ไปเขาก็ไปธรรมดา ถ้าไปร้องกรี๊ดก้ากคนขี่เสือ เขาตบคนเขาไป โดดหนีเลย แกข้ามไปฝั่งข้างนู้น ไปด้วยกันสี่คน ไปเรียนวิชาขี่เสือ ไปหาครูบอกความมุ่งหมายเขาทราบทุกอย่างแล้ว เขาก็รับละรับเป็นลูกศิษย์ ประสิทธิประสาทวิชาขี่เสือให้ ถึงเวลาแล้วก็นัดกันไปในป่า
อีตาคนนี้แกเล่าให้ฟัง แกได้วิชาขี่เสือมานี่ ไปสี่คนด้วยกัน พอไปนั่งเขาก็ยกครูของเขา ดูเขาทำพิธีของเขา พวกเราสี่คนดูเขานั่งทำพิธี เขาร่ายมนต์อะไรก็ไม่รู้แหละ มนต์เรียกเสือนั้นแหละ พอทำพิธีเสร็จแล้วมานั่งไม่นาน เดี๋ยวเสือมาแล้ว เสือโคร่งนะ ดุ่มๆ มา มานอนอยู่ตรงนั้น เหมือนสัตว์บ้านนะ ไม่ได้กลัวคน คือถ้าเสือตัวไหนอยู่ใกล้จะมาถึงก่อน ที่เขาไปวันแรกเขาว่าเสือมาตั้งสี่ตัว แถวนั้นมีเสือสี่ตัว เขาร่ายมนต์ ถ้าอยู่ในวงวิชาเขาเรียกถึงมาหมดนั่นแหละ
ตัวไหนมาก็มานอนเอ๊ะลงเลย เหมือนสัตว์บ้านนะ เหมือนไม่รู้ภาษีภาษา ไม่น่ากลัว มองเห็นคนก็เฉย เหมือนสัตว์บ้าน มองเห็นเขากลัวแล้วทีนี่ พอมองเห็นเสือทางนี้นั่งกลัวตัวสั่นอยู่แล้ว นั่งอยู่กับครูนะ ตัวสั่นแล้ว โถ มองดูตัวไหนมีแต่ตัวใหญ่ๆ จะไปขี่มันได้อย่างไร มองเห็นตัวแล้ว พอมาครบแล้วครูเขาก็บอกทีนี้นะ เขาร่ายมนต์ มันมาแล้วก็ให้คนนี้ไปขี่ตัวนี้มาหาครู นอนอยู่ตามนั้น ให้ไปขี่เสือนี้มา บอกคนไหนก็ไปไม่ได้เลย คนไหนก็ไปไม่ได้ ตัวสั่นอยู่นั้นแล้ว ถึงสามคนไปไม่ได้สักคนเดียว
แกบอกว่าแกสละชีวิตนะ แกว่านะ ที่ได้วิชาขี่เสือมานี้ คือแกว่าแกเชื่อครู เอาตายก็ตาย ถ้าครูไม่เก่งจะเรียกเสือมานอนอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ครูเก่งเรียกเสือมา ทีนี้ครูบอกให้ไปขี่เสือต้องขี่ได้ ไม่เป็นอันตราย ไปทีแรก อู๊ย ไม่ทราบว่าอ่อนว่าแข็ง ร่างกายก้าวขาไม่ออก บังคับไป เรียกว่าไปสละตายกับเสือเลย ไม่ได้ว่าไปมีชีวิตอยู่นะ บอกว่าไปสละตายกับเสือ ถึงเสือแล้วเสือจะกินก็ยอม คนที่สี่นี่ที่แกได้วิชามา พอไปถึงเสือก็นอนอยู่ก็ขึ้นบนหลังเสือ อู๊ย มันอ่อนหมดนะ แกว่าอย่างนั้นนะ ยังเหลือแต่ลมหายใจ กลัวขนาดนั้นล่ะ แกเชื่อครู ถ้าครูไม่เก่งเรียกเสือมาอย่างนี้ไม่ได้ นี่คนที่สี่ คนพวกนั้นไม่ยอมไปเลย
ไปขี่เสือตัวนี้มานี้ มาอยู่หน้าครูนี้ แล้วไปขี่ตัวนั้นมา ทีแรกมันเหลือแต่ลมหายใจ แกว่า พอตัวที่สองเข้าไปนี้รู้สึกใจค่อยฟื้นขึ้นมา ความกลัวไม่ค่อยกลัวมากเหมือนตัวแรก ไปขี่ตัวนั้นมามาลงที่นี่แล้ว เอาขี่ตัวนั้นมา ทีนี้ค่อยกล้าขึ้นๆ แกว่านะ ขึ้นไปขี่ตัวนั้น ตัวนั้นก็มานอน วันนี้เอาเท่านี่ก่อน วิชาเอาแค่นี้ก่อน ถามผู้ที่แกไปขี่เสือ เป็นอย่างไรหาญขึ้นหรือยัง หาญแล้ว ให้ขี่เสืออีกได้ไหม ได้ ว่าอย่างนั้นนะ พวกสามคนนี่เรียกว่าตายทั้งเป็นแล้วแหละ มันไม่ได้เรื่อง ก็เลยเอาคนนี้ละไปคนที่ขี่เสือได้นี่ไป สองคนเท่านั้นแหละ ให้ครูนั่งอยู่นี้ ให้ลูกศิษย์คนนี้ไปนั่งอยู่ที่ศาลา ให้แกไปร่ายมนต์เรียกเสือมาหาแกเอง แล้วร่ายมนต์เรียกเสือมาแล้วให้แกขี่เสือตัวนั้นมาหาครูเอง
เขาทดลองเป็นขั้นๆ นะ ขั้นแรกก็เอาอย่างนี้เสียก่อน พอขั้นที่สองไปอยู่ที่นู่นแล้วให้ไปร่ายมนต์เองเรียกเสือมา เสือมาแล้วก็ให้ขี่เสือนั้นมาหาครู ไปก็ร่ายมนต์ เสือก็มาจริงๆ คราวนี้ไม่ค่อยกลัว พอเสือมาก็ขึ้นขี่เสือแล้วก็มาหาครู เป็นอย่างไรกล้าหาญหรือยัง กล้าหาญแล้ว ถ้าสมมุติว่าให้ไปทำคนเดียวได้ไหม จนกระทั่งเขารับรองว่าทำได้แล้วครูก็ปล่อย ให้ไปทำคนเดียว ทำได้สบายเลย จากนั้นมาเห็นเสือเหมือนกับหมา เขาว่าอย่างนั้น เขาไม่ได้กลัว แล้วขี่เสือตั้งแต่นั้นมา นี่ที่เขาร่ำลือว่าขี่เสือขี่จริงๆ แกว่าอย่างนั้น
แต่เสือนี้มันมีความรู้สึกอันหนึ่ง กับครูคนนั้นก็แบบเดียวกัน มันไม่ใช่หูใช่ตาที่เห็นที่ได้ยินที่ให้รับทราบว่ามีคนมาข้างหน้า ว่าอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นเสือกับคนถึงไม่ได้เจอกันง่ายๆ เวลาร่ายมนต์มาแล้วขี่เสือ ขี่ไปตามด่านในดงนะ พอไปถึงที่ใดที่หนึ่งแล้วเสือมันจะมีลักษณะฝืนๆ กระดุกกระดิกจะออกนอกทาง หนี แสดงว่าคนมาข้างหน้า ว่าอย่างนั้นนะ เราตบไว้มันก็ไม่อยู่ มันอยากไป พอปล่อยนี้ปุ๊บเข้าป่า สักเดี๋ยวเห็นคนมา ถ้าเป็นคนธรรมดามีเพื่อนมีฝูงอาจจะคุยจะอะไรกันไม่รักษากิริยา มันอาจรู้ก็ได้ แต่ที่สำคัญก็คือว่านายพราน นายพรานเขาก็มาทางนู้น มาอย่างเงียบๆ ธรรมดานายพรานเขาต้องด้อม ต้องมองมา รักษาทุกอย่างไม่ให้มีเสียงดัง ทางนี้รู้แล้วนี่
พอไปถึงข้างหน้านี้เขาจะกระดุกกระดิกๆ นี่คนจะมาข้างหน้าแล้วนี่ ทางนี้ก็รู้ พอปล่อยปั๊บสักเดี๋ยวไปโผล่เจอพราน เจอพรานด้วยกัน แน่ะเป็นอย่างนั้น พรานไม่รู้ว่าคนนี้ขี่เสือมานะ ปล่อยเสือ เสือเข้าป่าแล้ว เดินไปก็ไปเจอกัน อย่างนี้ทั้งนั้นว่าอย่างนั้น มันคงมีความรู้อันหนึ่งที่จะให้หูได้ยินนี้มันเป็นไปไม่ได้ นายพรานเขาเบามากทีเดียว เขาด้อมยิงสัตว์ อันนี้รู้ทั้งนั้น ถ้าเป็นคนคุยกันมาสองคนสามคน ถึงไม่คุยก็ตามมันก็มีแง่ที่จะเข้าใจได้ว่าเสียงมันดัง แต่ที่นายพรานเขาด้อมไปหายิ่งสัตว์นี่ซิ เขาด้อมมาแท้ๆ ทางนี้ดุกดิกๆ แล้วดิ้นแล้ว พอปล่อยปั๊บนี้โดดเข้าป่า
ไปสักเดี๋ยวทางนี้แน่ใจแล้วว่ามีคนมาข้างหน้า พอปล่อยเข้าไปแล้วก็มาแล้ว เจอแล้วเจอคน นี่ละมันมีความรู้อันหนึ่ง คนก่อนก็แบบเดียวกัน เขาบอกว่าเสือนี่ไม่ใช่มีแต่ทางหูนะ มันมีอะไรของมันความรู้สึกลึกลับอยู่ภายในใจเสือ คนไปนี้เช่นอย่างนายพรานนี้จะทราบไม่ได้เลย แต่เสือทราบได้ เพราะงั้นเราจึงไม่ค่อยเจอเสือกันง่ายๆ นอกจากเขามาสะเปะสะปะ เป็นไปได้อย่างนั้น ถ้าเขาตั้งท่ามานี้ไม่เจอง่ายๆ นี่พูดถึงเรื่องเสือ ทีนี้เสือกับนายพรานคนนี้นะที่ขี่เสือนี่ ไปที่ไหนเสือนี้เหมือนกับหมานะ
บางทีเราไปนั่งอยู่เขามาหาแล้ว บางทีตามรอยเนื้อไป ดักไปเงียบๆ เดี๋ยวมาแล้วตามมาแล้ว เขามาจากไหนไม่รู้ ตามข้างๆ มานี้ ว่าอย่างนั้น แล้วเวลาเรายิงเนื้อนี่ พอเสียงปืนป้างนี่เขาวิ่งปึ๋งเลย ไล่กัด ถ้าหากเนื้อยังไม่ตายเขาไล่กัด ถ้าตายแล้วก็ขึ้นไปนั่งบนหลังมัน เช่นกวาง เช่นหมูนี่ เขาขึ้นไปนั่งบนหลัง พอเสร็จแล้วแล่เนื้อแล้วแบ่งให้เขากิน เขากินอิ่มแล้วเขาไปเลย อย่างนั้นเป็นประจำ ไปที่ไหนจะติดตามไปเงียบๆ นะเสือ นี่นายพรานที่แกขี่เสือ แกบอกว่ามันเหมือนหมาตัวหนึ่งไม่กลัวเลย บางทีเรานอนอยู่กลางคืนไปเที่ยวในป่าไปหายิงเนื้อแล้วกลางคืนนอน พอตื่นมาเขามานอนอยู่ข้างๆ แล้ว เป็นอย่างนั้นแหละ
แล้วทุกวันนี้ล่ะเป็นอย่างไร หยุดหรือยังขี่เสื่อนี่ โอ้ย หยุดแล้ว แกว่าหยุดหลายปีแล้วแหละ แล้วทุกวันนี้กลัวเสือไหม เรื่องกลัวเสือไม่กลัว เสือเขาเคยมาหาไหม ตั้งแต่หยุดวิชาแล้วเขาไม่มานะ ไม่มา แต่ก่อนมาเรื่อย นี่ท่านวันไปศึกษาจากเขามา มาอยู่ด้วยกันมาเล่าให้ฟัง เรื่องวิชาขี่เสือ เขาขี่ได้จริงๆ วิชากล่อมเสือ เรียกให้มาก็มานอนอยู่ ขี่เสือไปไหนๆ ได้สบายๆ เลย นี่เรียกว่าไสยศาสตร์ มันกล่อมใจสัตว์เอง เช่นอย่างเสือก็ไม่โหดร้าย ขี่ไปได้เลย
วิชาของเรานี้พากันเรียนแทบเป็นแทบตาย วิชาขี่เสือคือกิเลส ไม่มีตัวไหนขี่เสือได้เลย มีแต่กิเลสขี่ ขี่แล้วก็ขี้รดด้วย เต็มไปหมด ดูซิตามหลังตามอะไรมันไม่มีแต่ขี้เสือ กิเลสนี้เต็มหลังเราไปหมด พิจารณาซิ เขาขี่เสือได้สบายๆ ไอ้เรามีแต่กิเลสขี่เรา เราไม่ได้ขึ้นขี่กิเลสเลย นั่นแหละมันถึงเป็นทุกข์ กิเลสขี้ใส่ก็เป็นทุกข์ ถ้ามันยิ่งกัดด้วยแล้วตายเลย ฉิบหายเลย ไสยศาสตร์เป็นอย่างนั้นละมีได้ ใครมีวิชาทางไหนเป็นได้ทั้งนั้นแหละ อันนี้เห็นได้ชัดเจนนะ ตาคนที่ว่านี้แกขี่จริงๆ แกบอก นับครั้งนับหนไม่ได้ ขี่เป็นประจำ แกว่าอย่างนั้นนะ ถ้าไปที่ไหนหลงทาง ร่ายมนต์เรียกเสือ พอเสือมาขึ้นขี่เสือให้เสือพาไปส่ง อย่างนั้นก็มี
เสือนี้ก็กำลังวังชาต่างกัน ตาคนนี้แกเล่าให้ฟัง ถ้าเสือหนุ่มขี่ไม่ทน ไปสะเปะสะปะเดี๋ยวพาล้ม ถ้าเสือใหญ่จริงๆ ขี่นี้ทนไปได้ไกล ถ้าเสือเพียงเป็นหนุ่มหรือแตกหนุ่มนี้ขี่ไม่ได้นาน สะเปะสะปะแล้วพาเจ้าของล้ม เสือนี่พาคนล้ม นี่แกเล่าให้ฟัง ถ้าเห็นอย่างนั้นเราก็ปล่อยเสีย ให้มันไปเสีย ไม่ขี่ต่อไป แสดงว่ามันสู้ไม่ไหว ขี่ตัวใหญ่ๆ ตัวใหญ่นี้ขี่ทนทานดี เสือมันมีหลายวัยหลายขนาด เรียกว่าวิชาพวกไสยศาสตร์ พวกไสยศาสตร์เขาทำอย่างเมืองสุรินทร์มากนะ วิชาอย่างนี้มาก ทำวิชาอะไรๆ มากนะ วิชาดักคนฆ่าคนทำอะไรได้ โลกมันมี ปฏิเสธไม่ได้ ค้นไปพบใครก็เจอขึ้นมาอย่างนั้นๆ วิชาอย่างนั้นๆ การอยู่ยงคงกระพันอย่างนี้ ปืนยิงไม่เข้า ยิ่งไม่ออก อย่างนี้มี นั่นเป็นอย่างนั้นแหละ
พวกต.ช.ด เขารักษาอยู่ เขาเข้าออกอยู่ตลอดแถวบนนั้น เขาคำรามเอาไว้ ถ้าหากว่ามาทะลึ่งเขายิงจริงๆ เขาว่าอย่างนั้น เขาก็ไม่กล้ามา ทีนี้หมูทั้งหลายมันก็อยู่สะดวกสบาย และขึ้นไปอยู่ข้างบน อาศัยกินอาหารจากท่านตลอดมา
หมูเป็นร้อยๆ ไม่ใช่ธรรมดา พวกม้านี่ม้าในป่าก็มี ลงมาอยู่ในวัด มาวัดได้สบาย เราก็ไม่เคยได้ยินว่าม้าป่านะ นี่ท่านเล่าให้ฟัง มาจากป่าล้วนๆ เลยลงมา ม้าป่าก็มีมา ส่วนมากสัตว์นี้จะเป็นสัตว์ป่าทั้งนั้นละ เราเอามาเลี้ยงไว้นี่มันกลายเป็นสัตว์บ้านไป ส่วนมากจะมาจากป่าเอามาเลี้ยงไว้ ก็เลยกลายเป็นสัตว์บ้าน ทีนี้เห็นสัตว์ป่าเป็นของแปลกประหลาดไป ความจริงสัตว์บ้านนี่ก็เป็นสัตว์ป่านั่นแหละเอามาเลี้ยง ที่เราเลี้ยงไว้ในบ้านในเรือนของเรา อย่างควายอย่างนี้เหมือนกัน ควายป่ามันน้อยเมื่อไรแต่ก่อน ควายป่า เดี๋ยวนี้มีแต่ควายบ้าน เลยเห็นควายป่าเป็นของแปลกประหลาดไป
ดงบ้านตาดแต่ก่อนมีควายป่านะ เต็มดง ต่อมาก็หมดไปๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย ตั้งแต่เราโตขึ้นมานี้ไม่เคยเห็นควายป่า แต่ยังมีอยู่นิดหน่อย จากนั้นก็หายเงียบเลยควายป่านะ หนองหนึ่งที่บ้านอะไรบ้านโดนเดื่อ หนองนั้นเขาเรียกหนองลาดควาย คำว่าลาดควายคือสนามควายอาศัยกินน้ำในนั้น ควายนี้เป็นควายป่าทั้งนั้นมากิน เดี๋ยวนี้มีแต่ชื่อ หนองลาดควาย ควายตายหมดแล้วหายหมด เป็นอย่างนั้นนะ พวกแรดดงบ้านตาดมีน้อยเมื่อไร หมดไปเลยมีแต่ชื่อของมัน พวกเนื้อพวกสัตว์ต่างๆ ไม่ต้องพูดถึงหมดโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เป็นบ้านหมดแล้วนี่ อย่างดงใหญ่ๆ ซึ่งเป็นบ้านของสัตว์นะ ดงเรียกว่าบ้านของสัตว์ กลายเป็นบ้านของคน ตั้งอำเภอแล้วนะ อำเภอหนองแสง นั่นละบ้านของสัตว์ สัตว์ตายหมดกลายเป็นบ้านของคน ตั้งอำเภอขึ้นที่นั่นแล้วเวลานี้ เป็นอำเภอหนึ่งเรียกอำเภอหนองแสง แต่ก่อนเป็นบ้านของสัตว์ทั้งนั้นละ ดงนี้เป็นดงสัตว์อยู่ทั้งหมด ทีนี้คนมากต่อมากรุกเข้าไปๆ สุดท้ายสัตว์ก็ไม่มีเหลือ เอาเป็นอาหารหมด ป่าไม้ถูกทำลาย เลยมีแต่คน เขาเรียกอำเภอหนองแสง เดี๋ยวเป็นอย่างนั้นแหละ กลายเป็นอำเภอไปแล้ว ที่ว่าดงป่าหรือว่าสัตว์ทั้งหลายนี้พูดเฉยๆ หมดโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือ
สมัยที่เราเที่ยวกรรมฐานสัตว์พวกเนื้อพวกเสือพวกอะไรนี้มีสมบูรณ์ เต็มที่นะ เหมือนเมื่อครั้งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านเที่ยวอยู่ก่อน หลวงปู่มั่นท่านเที่ยวเรียกว่าพวกสัตว์นี้เต็มป่าเลย ท่านเล่าให้ฟังเอง ชัดเจนมากถ้าท่านเล่าตรงไหนไม่มีผิดละ ตอนกลางวันนี้พวกไก่ป่าไก่ฟ้าเต็มยั้วเยี้ยๆ มันไม่กลัวคน คือไม่มีใครไปทำอะไรมัน บ้านมีไม่กี่หลังคาเรือน เขาหากินอยู่ตามรอบๆ บ้านเขาก็พอแล้ว การซื้อการขายก็ไม่มี การซื้อขายนี่สำคัญมากนะ กินเฉยๆ ค่อยยังชั่ว เอาไปซื้อขายนี่ มีเท่าไรเอาไปขายหมด นี่ละสัตว์ฉิบหายตายไปเพราะเหตุนี้
ยิ่งมีถนนหนทาง มีการซื้อการขาย แต่ก่อนไม่มีละเรื่องการซื้อการขายกันไม่มี ใครหามานี้เป็นสัตว์ตัวหนึ่งได้มา เช่นหมูเช่นกวางมากินกันทั้งบ้าน ไม่มีการซื้อการขาย ตนเราเป็นเด็กเราก็เห็น เขาไม่มีซื้อขายกัน แจกกันกินทั้งบ้านเลย ครั้นต่อมานี้ค่อยมีการซื้อการขาย ก็เป็นของแปลกหูแปลกตาอยู่ ซื้อขายที่แรกนะ จนกระทั่งทุกวันนี้ อันนี้ละที่สัตว์ทั้งหลายฉิบหายไปก็เพราะการซื้อการขาย ไม่ว่าวัตถุต่างๆ ถูกถากถูกถาง ปลูกนั้นปลูกนี้ทำขาย เลยกลายเป็นสินค้าไปหมดเลย สัตว์ทั้งหลายต้นไม้อะไรเหล่านี้ หมดไม่มีเหลือ
อย่างเรายังดีอยู่ สมัยที่เราเที่ยวกรรมฐานยังดี มาสร้างวัดป่าบ้านตาดนี้ประมาณสักสิบปีเป็นดงล้วนๆ อยู่ในป่า ไม่มีคนล่ะ เป็นดงเป็นป่าล้วนๆ พวกช้างพวกเสือเนื้อยังเต็มอยู่ แม้แต่วัดเรานี้พวกหมูพวกกวางเขาก็มาเที่ยว เพราะมันเป็นดงอันเดียวกันต่อกับดงใหญ่ เป็นทำเลของเขาทั้งนั้นแหละ พวกลิงพวกค่างชะนี เราอยู่ที่วัดเขาร้องอยู่ต้นไม้เสียงลั่นอยู่ข้างบน ตอนไปสร้างวัดทีแรก ชะนี่นี่โหยแผดมากนะ เสียงมันร้อง ร้องอยู่ข้างบน พวกค่างพวกลิงชะนีเต็มหมด
ทีนี้พอเราไปสร้างวัด ดงนี้ก็ถูกเขาทำลายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเป็นอำเภอหนองแสงนู่นนะ สัตว์เหล่านี้ก็เลยตายหมด กระรอกเรายังจำได้มีอยู่สองสามตัว เขตของวัดที่เราอยู่นี้ กระรอกอยู่ในเขตนี้ ไก่ป่าก็มีสองพวก พวกหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ พวกหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ มันไปยกพวกตีกันเรื่อยละแต่ก่อน แล้วกระรอกก็มีสองสามตัว เขตนั้นกระรอกก็ตายหมด สัตว์อะไรๆ ตายหมดทั้งนั้นแหละ มีอยู่เขตวัด สัตว์อะไรมีเท่าไรก็ยังอยู่เป็นปรกติ พวกกระรอก พวกกระจง อีเก้งมันออกไปข้างนอกถูกเขาฆ่าตาย แต่ก่อนมันมีอยู่ทั่วไปในวัด พอออกข้างนออกไปก็ถูกเขาฆ่าๆ หมด เก้งก็หมด หมูก็หมด
มีแพร่หลายอยู่แต่กระรอก ทีแรกมีอยู่สองสามตัว มันแพร่พันธุ์มากเต็มวัด ทีแรกมีสองสามตัว แล้วก็หมดเลย ยังเหลือแต่กระรอกกับไก่ เดี๋ยวนี้ไก่ป่าที่ว่าสองพวกที่ยกพวกมาตีกันนั่นละ ครั้นต่อไปมันก็มากขึ้นๆ ไม่ทราบว่าพวกไหนต่อพวกไหน เลยกลายเป็นไก่บ้านไป ไม่ได้กลัวคนเลย จากไก่บ้านแล้วเป็นไก่บ้าไปเลย เข้าใจไหม ไปดูในครัวซิ มันกลัวคนเมื่อไรไก่อยู่ในวัดนี้ มันไก่ป่า ไก่บ้าน ไก่บ้า มันเป็นสามชั้น เวลานี้อยู่ในขั้นบ้าทั้งหมดเลย ไม่รู้จักกลัวคน กระรอกก็เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกันไม่กลัว
อย่างนั้นละธรรมไปอยู่ที่ไหน ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนสัตว์ตายใจๆได้ทั้งนั้นละ ไม่ได้กลัวคน สัตว์ในวัดสนุกสนานรื่นเริง อาหารเราก็ให้กิน แล้วความปลอดภัยพระก็รักษาเองโดยหลักธรรมชาติ ใครจะเข้าไปยุ่งไม่มี เขาก็อยู่สบายๆ พวกกระรอก กระแต พวกนกพวกอะไรที่อยู่บริเวณวัดนั้นเขาอยู่ผาสุขสบายทั้งนั้นแหละ ออกจากนั้นไปตายหมด ไม่เหลือนะ อยู่ในบริเวณวัดเท่านั้นแหละ นี่ละธรรมไปอยู่ที่ไหนเย็นสบายตายใจได้ๆ พระอยู่ที่ไหนสัตว์จึงเข้าไปแอบอาศัยอยู่ เช่นพระไปเที่ยวกรรมฐานอยู่ในป่าในเขา เขาอาจจะเคยบวชเป็นพระมาในภพชาติก่อนๆ ก็ได้ เพราะศาสนาพุทธนี้มีมาเป็นพื้นฐานมาดั้งเดิม จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาเรื่อยๆ นี่เขาเกิดในภพใดภพหนึ่งเขาอาจเคยเป็นพระมาแต่ก่อน เพราะฉะนั้นเวลาเขาเห็นพระสีผ้าอันนี้แล้วเขาสนิทง่ายๆ นะ แอบเข้ามานะ เห็นพระเท่านั้นแหละค่อยแอบเข้ามาๆ ตัวนั้นแอบเข้ามาแล้วมากเข้าๆ นะบริเวณพระอยู่ เป็นอย่างนั้น เขาไม่กลัว
ตอนที่เราเที่ยวอยู่นั้นมันสมบูรณ์แบบทุกอย่าง นั่นละมาอยู่นั้นประมาณสักสิบปีค่อยเห็นคนผ่านเข้าผ่านออกเข้าไปในป่าในดง ผ่านเข้าผ่านออก เขาไปดูทำเลปลูกบ้านปลูกเรือนขึ้นในป่านั้นแหละ ผ่านเข้าผ่านออก ต่อมาก็เข้าบุกเบิกป่า สุดท้ายก็บุกเบิกหมด คนที่ผ่านเข้าผ่านออกมันเลยเถิดเสียที่นี่ ทางไหนผ่านเข้าผ่านออกได้ทั้งนั้น ดงใหญ่ๆ เลยกลายเป็นอำเภอ หมด สัตว์ทั้งหลายหมด นี่เรามาอยู่ที่วัดนั้นได้ประมาณสักสิบปีนะ เรื่องราวนี้ค่อยเป็นไปจนกระทั่งทุกวันนี้หมดเลย แต่ก่อนก็เหมือนกัน อย่างวัดเรานี้เป็นดงเป็นป่าเสมอกันหมด ไปที่ไหนพวกเนื้อพวกสัตว์เต็ม เดี๋ยวนี้ไม่มี เสือก็มีแต่วาดภาพเอาไว้ เสือจริงๆ ไม่มี แต่ก่อนไปที่ไหนเสือชุม
เพราะงั้นพระกรรมฐานจึงได้ดัดสันดานตนด้วยป่า ป่าลึกป่าอันนั้นเท่าไรยิ่งมีสัตว์มีเสือแล้วเข้าไปฝึกทรมานตนได้สบายในที่นั้น กลัวเท่าไรจิตยิ่งหดเข้ามา หดเข้ามา ความกลัวนี้ทำให้จิตหมุนเข้าหาธรรมนะ คือการภาวนาจิตเวลาจำเป็นจริงๆ ต้องหมุนเข้าหาธรรม เช่นพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ เป็นคำบริกรรม ยึดอันนี้ไว้ไม่ให้ไปคิดภายนอก ทีนี้ก็สั่งสมธรรมขึ้นมา ความอบอุ่นความกล้าหาญชาญชัยก็ค่อยเกิดขึ้นๆ ทีนี้ที่เราเคยกลัวมันไม่กลัวนะ จิตใจอาจหาญขึ้นมาแล้วมันไปได้หมด นั่นเป็นอย่างนั้นนะการฝึกหัดจิตใจ จึงต้องเข้าไปหาฝึกในที่กลัวๆ อย่างนั้น
เราเองนี้มันนักพอแล้วล่ะ ดัดสันดานเจ้าของ เดินบุกป่าไปกลางคืนก็ไป มันกลัวที่ไหนเข้าตรงนั้น เราทำแล้วเราถึงมาพูดได้เต็มปากน่ะซิ ก็เราทำแล้วดัดเจ้าของ มันกลัว ที่เคยพูดให้ฟัง เดินจงกรมนี้มันวาดภาพเสือหมอบคอยกินเราคนเดียวไว้ทั้งสองข้างทางจงกรม เต็มไปหมด ความจริงมันไม่มีเสือ มีแต่สังขารมันวาดภาพหลอก ทางนี้ก็กลัวตัวสั่น กลัวภาพเจ้าของหลอกเจ้าของนั่นแหละ เวลามันจนตรอกจนมุมมันก็หาทางออกละซิ ไปที่ไหนภาพมันปรากฏว่าเสือหมอบเป็นแถวเลย ทางนี้หมอบเป็นแถวทางจงกรม คอยกินพระขี้ขลาดองค์เดียวนี้แหละ
นั่นละวาดภาพนี้กลัวซิ พอกลัวไปมากๆ มันก็มีทางพลิกของมัน เหอ มีจริงๆ เหรอเสือนี่น่ะ มันจะกินจริงๆ เหรอ เอาวันนี้เอากัน เอาอาหารคือตัวของเราให้เสือเหล่านี้กินให้หมด ตั้งท่าแล้วนะนั่น สู้มัน เราทำแล้วนะนี่น่ะ เราเคยเป็นแล้ว จนก้าวขาไม่ออกมันกลัวเพราะไปอยู่ในป่า ป่าเสือจริงๆ มันเลยวาดภาพหลอกเสียก่อน เสือยังไม่มาสักตัวเดียว ภาพหลอกนี้มันเต็มสถานที่ เอาให้เสือกิน วันนี้สละให้เสือ มันเก่งนักเรื่องความกลัวนี้ เอ้า ตัวไหนใหญ่ มันจะมีภาพหนึ่งบอกอยู่ในนี้ละ มันหลอก ตัวนั้นใหญ่ ตัวไหนใหญ่เข้าตัวนั้นก่อนเพื่อให้ตัวนี้กิน ตัวเล็กๆ ไม่สนใจ ไปหาตัวใหญ่ๆ นั้นแหละ มันหากหลอกแล้วล่ะ ตัวไหนใหญ่กว่าเพื่อนมันจะบอก อยู่ตรงนั้นๆ บุกเข้าไปไม่มีอะไรเลย หายเงียบ หนึ่งแล้วนะนั่น มันโกหกเรานี่
ไปอีก ไหนตัวไหนอีก ไปตรงนั้น ไปตรงนั้นหายเงียบๆ หมด ทางจงกรมไม่มีเสือสักตัวเดียว มีแต่ภาพหลอกเจ้าของทั้งนั้น มันก็ได้สิ่งที่มันหลอกลวงขึ้นมาสอนตัวเอง มันกล้าหาญ มันหลอกทั้งนั้น เอ้า ตัวไหนอีก ตัวไหนอีกก็วาดภาพเลย ตามเลยตามไปก็เข้าป่าเลย ถ้ามันไม่หายกลัวเมื่อไรจะไม่อยู่ คือจะไม่กลับที่พัก นี่เวลามันสละ ใครจะว่าบ้าว่าบออะไรก็ตาม มันเป็นได้นะจิตนี้นะ สมมุติว่าบุกไปนี่ถ้าจิตยังไม่ถอยเรื่องความกลัวนี้มันจะบุกเรื่อย เสืออยู่ตรงไหนสัตว์ร้ายอยู่ตรงไหนจะเข้าหาๆ เข้าไปเรื่อยๆ มันจะไปโดนเอาบ้านผู้บ้านคนเพราะมันไปไม่หยุดไม่ถอย ตามที่เสือหลอก ตามแก้ปัญหาความหลอกของเสือใช่ไหมล่ะ มันอาจจะไปโดนบ้านคน เอา โดนบ้านไหนก็ตามเราไม่ใช่คนบ้า เราดัดสันดานกิเลสต่างหาก บุกเลย ไปเลย
ไปตรงไหนก็หายเงียบๆ กำหนดไว้ๆ ทีนี้จิตกล้าหาญขึ้นมา เออ เรานี้มันโกหกเจ้าของ สังขาร ตั้งแต่เริ่มเดินจงกรมเสือหมอบเป็นแถวเลยนะทางจงกรม ครั้นเข้าไปหาดูแล้วจะให้มันกินจริงๆ ไม่มี ออกไปมันก็หลอกอีกว่าหมอบอยู่ตรงนั้นๆ ตามเข้าไปเลยเข้าไปเลยละ เอาไป ไปตรงไหนก็เหลวไหลๆ ยิ่งสร้างความกล้าหาญขึ้นมาและรู้เรื่องความหลอกลวงของตัวเองหนักเข้าๆ ไปเลย ตัดสินใจ ถ้าจิตนี้ยังไม่กล้าหาญเมื่อไรแลเสเราจะบุกไปเลย ตกบ้านไหนก็ตาม เขาจะว่าบ้าก็ตามเราไม่ใช่บ้า มันเป็นจริงๆ นะในจิตนี้ เราไม่ใช่บ้าเขาจะว่าบ้าก็ตาม พอไปถึงบ้านไหนเรากลับมาที่ของเราก็ได้ ก็เราไม่ใช่บ้า เราดัดกิเลสต่างหากมันหลอกเรา
ที่นี้พอไปถึงที่มันแล้วมันไม่มีที่กลัว ไปที่เหลวไหลๆ มีตั้งแต่สังขารความคิดความปรุงหลอกเจ้าของทั้งนั้นๆ รู้กลมายาของจิตใจเองหลอกเจ้าของ กล้าหาญชาญชัยขึ้นมา ไม่กลัว เอากำหนดดูกลัวอะไรบ้าง ไม่มีกลัวเลย นั่นเห็นไหมเวลามันกล้า กล้าขนาดนั้นนะ กำหนดในโลกนี้กลัวอะไร ไม่มีเลยนั่น กลับมา กลับมาอย่างสง่าผ่าเผย มาเดินจงกรม เอา มันกลัวอะไรอีก โอ๋ย ไม่กล้า ไม่กล้าคิดนะ เดินสง่าไปเลยเชียว จิตใจกล้าหาญชาญชัย นี่ละเวลามันกล้า กล้าอย่างนั้นนะ นี้เคยทำแล้วนะบุกป่า ถ้าเขาไปเจอคงจะว่าบ้าละ เราบุกไปคนเดียวในป่าไม่มีคนเลยนะ แต่มันไม่ไปเจอคน กลางคืน ไปกลางคืน ไม่ใช่กลางวันนะ บุกป่าไปกลางคืน
นี่ละวิธีดัดจิตดัดอย่างนั้นนะ จนได้ความกล้าหาญชาญชัยกลับมา ไม่มีสะทกสะท้านเลย เดินจงกรมได้อย่างสบายๆ เอา มันกลัวตรงไหนมันจะตามอีกนะนั่น เอาอีก ทีนี้หมอบเลยความกลัว มันก็เป็นในระยะนั้นนะ วันหลังขึ้นมามันก็หลอกอีก หลอกอีกก็ซัดกันอีก เอากันอยู่เรื่อยๆ ฝึกเจ้าของ จิตเราก็มีความอาจหาญชาญชัย ได้อุบายต่างๆ จากวิธีการทรมานแบบนี้ๆ เพราะฉะนั้นเราไปอยู่ในสถานที่ใดที่มีความกลัวมาก ที่นั่นความเพียรจะดี ทั้งวันทั้งคืนนี้จะไม่เผลอตัวเลย รักษาตัวได้ดี พอจิตของเรามันชินต่อที่นั้น ความกลัวสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ค่อยมี ทีนี้จิตมันจะไม่แกล้วกล้านะ ลักษณะความขี้เกียจขี้คร้านมันจะมีของมัน คือมันนอนใจ มันไม่กลัวอะไรมันนอนใจ เปลี่ยนใหม่ เอาที่ไหนอีก ดัดอีก เปลี่ยนเรื่อยเปลี่ยนสถานที่ จิตมันหลอกเรา เราก็หลอกมัน เป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ มาการฝึกทรมาน
มันตามแต่นิสัยวาสนาของใครนะ อันนี้ไม่มีใครสอนนะ มันหากเป็นเองนะ ฝึกตัวเองเป็นแบบนั้น วิธีการแก้ตัวเองแก้แบบนั้น เช่นอย่างว่าเสือหมอบตามทางจงกรม ตามหาให้เห็น ก็เราหลอกเราเอง ไปไม่มีแล้ว ตามไปๆ จนเกิดความกล้าหาญกลับมา เอา วิธีไหนอีกแก้กันอีก ทีนี้จิตใจก็ได้กำลังขึ้นเป็นลำดับจากวิธีการเหล่านี้ๆ นะ ไปที่ไหนถ้าภาวนาไม่ค่อยดีๆ เปลี่ยนเรื่อย จิตนี่มันเป็นขั้นของจิตนะ จิตที่ขั้นล้มลุกคลุกคลานนี้ โอ๋ยกลัว กลัวนี่เป็นสำคัญมากนะ กลัวมาก ต้องได้ใช้การฝึกทรมานแบบนี้ละ พอจิตได้หลักได้เกณฑ์เข้ามาความกลัวเหล่านี้ไม่ค่อยมี แล้วความกลัวแบบไหนอีก หาลึกลับอีก จะฝึกจิตแบบนี้อีก นั่นเป็นขั้นๆ ไปเลย
จนกระทั่งจิตใจออกทางด้านวิปัสสนา พิจารณาเป็นธาตุเป็นขันธ์ไปหมด ไม่มีสัตว์มีเสือมีเนื้อมีอะไรเป็นร้ายไม่มี มีแต่ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟเต็มโลกธาตุ จิตพิจารณาแยกไปหมดแล้วนี้ก็ไม่กลัว มันเป็นขั้นๆ ของการพิจารณา อยู่ในขั้นเริ่มต้นต้องให้จิตเข้ามายึดธรรม เช่นพุทโธเป็นต้น เป็นหลัก ถ้าไม่เคลื่อนจากนี้แล้วจะไม่กลัว จากนี้แล้วมันก็แน่นหนามั่นคงขึ้นมา แน่นหนามั่นคงขึ้นมาอาศัยจิตที่มีความสงบแน่วแน่นั้นละ สติอยู่กับจุดนั้นก็ไม่กลัว มันมีที่เกาะของจิตเป็นพักๆ ที่เกาะของจิตในขั้นล้มลุกคลุกคลานนี้ต้องอาศัยคำบริกรรม เกาะติดไม่ปล่อย แล้วสติอยู่ที่นั่น คำบริกรรมอยู่ที่นั่น บำรุงจิต จิตเกิดความกล้าหาญขึ้นที่นั่น นี่ก็ได้ขั้นหนึ่ง
จากนั้นจิตมีหลักมีเกณฑ์ มีความสงบแน่นหนามั่นคงเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ความรู้จ่ออยู่กับจุดที่แน่นหนามั่นคงนั้น ไม่ให้เผลอไปไหน สติครอบอยู่นั้นก็ไม่กลัว ไม่กลัว ๆ เรื่อยไป การฝึกเจ้าของ จนกระทั่งก้าวออกทางวิปัสสนา ทีนี้พลิกใหม่นะ พอก้าวออกทางด้านปัญญาพิจารณาอะไรเป็นธาตุไปหมด ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าว่าสัตว์ว่าเสืออะไรเป็นสัตว์อะไรเป็นเสือ มันไล่เบี้ยของมันโดยการพิจารณาของเรา นี่แหละ มันออกข้างนอกมันก็ออกเวลาเดียวกัน เป็นสัตว์เป็นเสืออะไรมันก็ไม่มี มันก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เราสำคัญต่างหาก มันก็ไม่กลัว ไม่กลัว เป็นขั้นๆ การฝึกจิตใจ
ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลานนี้ไปแล้ว ไปถึงขั้นวิปัสสนาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ของสัตว์ เช่นอย่างเสือเป็นต้น มันกลัวเสือกลัวอะไรมัน ไล่หาตาหาปากหาลิ้นอย่างที่เคยพูดให้ฟังมันก็ไม่กลัว มันไม่มีอะไรที่น่ากลัว ของเราก็มีเหมือนเขาไม่เห็นน่ากลัวนี่ มันก็แก้กันๆ จากนั้นอันนี้หมดปัญหา จิตใจมันหมดทางด้านวัตถุ ทีนี้มันก็ว่าง มันเป็นขั้นๆ นะ พอจิตใจหมดทางด้านวัตถุแล้วจะกำหนดเป็นเสือขึ้นมาตั้งพับดับปุ๊บ ไม่ได้แยกธาตุแยกขันธ์นะ มันรวดเร็ว พอตั้งขึ้นมาเสือแผล็บมันเป็นภาพเสือปั๊บดับปุ๊บพร้อมกัน นี่สังขารเป็นเสือ สังขารเป็นผู้หลอก พอตั้งปุ๊บดับปุ๊บๆ พิจารณาเรื่องเสือเรื่องสัตว์อะไรไม่ทัน มันผ่านของมันแล้วนะ มันจะไม่พิจารณาไม่เป็นอารมณ์
จากนั้นก็เข้าถึงความว่าง นั่น ทีนี้สัตว์เสืออะไรไม่มี ความกลัวอะไรกับสิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้วที่นี้ มันผ่านไปหมดแล้ว มีแต่ความว่างเปล่าของจิต ว่างๆ ว่างไปเรื่อย กำหนดอะไรก็ว่าง มันผ่านเป็นขั้นๆ ขึ้นไป พิจารณารูปธรรมนี้ไม่มีทางพิจารณา คือมันผ่านไปหมดแล้วจะมาพิจารณาหาอะไร ทั้งเข้าใจด้วย ทั้งผ่าน ภาพเหล่านี้ไม่ปรากฏในจิตด้วย เรื่องสัตว์เรื่องเสือจะมาตั้งเป็นรูปเป็นนามให้เราได้กลัวไม่มี พอตั้งพับดับปุ๊บ ๆ หมดเลย มันผ่านไปของมัน จากนั้นก็เป็นความว่างของจิต ว่างของจิตทีนี้อะไรมันก็ว่างหมด ที่มันไม่ว่างคือสังขารความคิดความปรุงของจิต สัญญาความสำคัญมั่นหมายมันกวนใจนี้ พิจารณาตามนี้อีก ภายในนี้เรื่อยๆ เข้าไป
วัตถุไม่มี แต่นามธรรมมันกวนใจ ต้องพิจารณานามธรรมที่มองไม่เห็นตัว เห็นแต่ความปรากฏ คิดนั้นคิดนี้ มันเป็นขึ้นที่ใจ พิจารณาที่ใจ ไล่เข้าไปๆ นี่แหละเรียกว่าแคบเข้าๆ ๆ ส่วนหยาบผ่านไปหมด ไปถึงขั้นมันว่างมันว่างจริงๆ นะ กำหนดอะไร รูป อะไรๆ นี้เอามาพิจารณาไม่ได้ คือมันผ่านแล้วมันรู้นะ มันผ่านแล้วรู้ไปหมด ตั้งอะไรขึ้นมาดับพร้อมๆ จะเอามาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ได้อย่างไร พอพับดับพร้อมๆ อะไรที่มันยังไม่ดับที่มันปรากฏชัดเจนอยู่ คือความคิดความปรุงของจิตที่เกิดมาจากใจ มันไปวาดภาพว่าดี ว่าชั่ว ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าอะไรน่ายินดีไม่น่ายินดี มันขึ้นจากใจๆ ตามเข้าไป อะไรเกิดขึ้นมามันก็ดับด้วยกัน ดับด้วยกัน สติปัญญาตามเข้าไปๆ
ตอนนี้ละเรียกว่าว่างจิต คือวัตถุไม่เหลือ วัตถุที่เราเคยพิจารณาภายในใจไม่มี หมด ว่างไปหมด ต้นไม้ภูเขา เขาก็เป็นของเขา แต่จิตนี้ว่างจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่มี เรียกว่าจิตว่าง นี่ว่างอันหนึ่งแล้วนะ ว่างอันนี้จิตเป็นฐานของจิต จิตว่างที่นี้ นี่ก็เป็นขั้นหนึ่ง เป็นฐานว่างแล้ว มองอะไรๆ ว่างไปหมด เดินอยู่บนภูเขา มองเห็นภูเขาด้วยตานี้เป็นรางๆ แต่จิตนี้มันทะลุไปหมด ว่างไปหมดเลย เรียกว่าจิตว่าง นี่เป็นว่างอันหนึ่ง ว่างอยู่ภายนอก ตัวเองยังไม่ว่าง มันย่นเข้ามา สิ่งเหล่านี้ว่างไปหมด จิตนี้เห็นสิ่งเหล่านั้นว่างไปหมดแต่ไม่เห็นตัวของตัวว่างหรือไม่ว่าง มันก็ไม่ว่างอยู่ตรงนี้
เหมือนเราเข้าไปในห้อง คือห้องนี้มันว่าง เราไปยืนจังก้าอยู่กลางห้อง ไปยืนดูห้องนี้ว่างๆ ทีนี้มีความรู้อันหนึ่งๆ หรือมีผู้ใดผู้หนึ่งเข้ามา ทางนี้ก็ชมว่าห้องนี้ว่างๆ ทางนั้นก็ทักเข้ามา มันว่างอย่างไร ก็แกนั่นเองไปยืนขวางห้องอยู่ จังก้าอยู่กลางห้อง มันว่างอย่างไร ถ้าอยากให้ห้องว่างก็ถอนตัวออกมาซิมันก็ว่า นี่เข้ามาหาใจนะ คือใจเห็นว่าอันนั้นว่างอันนี้ว่าง แต่ตัวเองไปขวางความว่างทั้งหลาย ตัวเองยังไม่ว่าง พอย้อนเข้ามาพิจารณาปั๊บอันนี้ว่างปึ๋งด้วยกันหมด ทั้งว่างทั้งวางปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ว่างทั้งภายนอกว่างทั้งภายใน
ทีแรกว่างภายนอกเสียก่อน ภายในยังไม่รู้ตัว ยังไม่ว่าง เหมือนคนไปอยู่กลางห้องนั่นแหละ มีแต่ชมห้องว่าว่างนั้นว่างนี้ ตัวเองไปยืนขวางห้องไม่ดูตัวเอง มีคนอื่นมาทัก สติปัญญานั่นแหละทัก จะเป็นอะไรไป เทียบว่าคนหนึ่งมาทัก สติปัญญาทัก มันว่างอย่างไรตัวเองมาขวางความว่างอยู่นี้ ถ้าอยากให้มันว่างก็ถอนตัวเองก่อนซิ มันก็ไม่รู้ตัวเองเป็นผู้ขวางธรรมทั้งหลาย พอรู้อันนี้แล้วผู้นี้ก็ถอนปึ๋งเลย ว่าง ว่างหมด ทั้งภายนอกก็ว่าง ภายในก็ว่าง วางหมด ทั้งภายนอกก็วาง ทั้งภายในก็วาง นี่เรียกว่าว่างสุดรอบ ถึงขั้นหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ว่างภายนอก ว่างภายใน วางภายนอก วางภายใน ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง นั่น ทีนี้ไม่มีอะไรจะพิจารณา โลกนี้หมด จิตอันนี้พอว่างแล้ววางหมดเลย ท่านเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ เรียกว่านิพพานก็ได้
นี่ละการพิจารณาจิตใจ วิธีการพิจารณานี้ใครมาพูดที่ไหน พูดอย่างนี้ใครพูดที่ไหน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านพิจารณาเต็มภูมิของท่าน รู้เฉพาะท่านๆ ตามนิสัยของท่าน อย่างเราที่มาพูดอยู่นี้เราก็พิจารณาตามเรา รู้ตามภูมิของเรา เราพิจารณาอะไรเป็นไปตามที่เราพิจารณามาแล้วทั้งนั้นที่นำมาพูดนี้ มันเป็นไปอย่างนี้ พอถึงขั้นที่มันว่างหมดทั้งภายนอกภายในมันก็รู้ชัดๆ อย่างนี้ วางหมดเลย โล่งไปหมดทั่วโลกธาตุว่างไปหมด สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกนี้สูญหมด ว่างหมด มันว่างอยู่ที่หัวใจ สิ่งใดมีก็ตาม แต่มันว่างอยู่ที่หัวใจ ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านเลย ท่านเรียกว่าจิตว่าง ไม่ได้ไปลบต้นไม้ภูเขาอะไรละ ลบตัวที่มันสำคัญตนว่าตัวว่าเขาว่าเราว่าต้นไม้ภูเขาอยู่ภายในใจนี้ออกหมดโดยสิ้นเชิง อันนี้ก็ไม่มี จิตจึงว่างไปหมดเลย เรียกว่าจิตว่าง จิตวาง
นี่ละภาคจิตตภาวนา ทีนี้พอมาถึงนี้แล้วมันหมดปัญหา โลกทั้งสามแดนนี้เราจะเอาอะไรมาเป็นสาระแก่นสารมันไม่มี อันนี้มันเลยทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาเทียบกับธรรมชาติตัวปล่อยวางทั้งหมดมาแล้วเป็นธรรมธาตุแล้ว ตัวธรรมธาตุนี้เองเลิศเลอสุดยอดแล้ว แล้วจะไปหาเกาะหายึดอะไร ไม่มีอะไรจะยึดจะเกาะ ธรรมชาตินี้พอตัวแล้ว นี้ละเรื่องจิตตภาวนา พุทธศาสนาเท่านั้นที่จะชี้แจงสอนธรรมทั้งหลายได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันหมด ถอดถอนได้อย่างนี้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาประจำโลกประจำธรรมมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เป็นแบบเป็นแถวเป็นแนวเป็นหลักเป็นเกณฑ์มาโดยลำดับ ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าไปคว้าเอาคนนั้นมาเป็นศาสดาไปคว้าเอาคนนี้เป็นศาสดา เป็นศาสนานั้นศาสนานี้ขึ้นมา เป็นศาสนาของคนมีกิเลส ใครอยากตั้งตัวเป็นศาสดา ก็ตั้งตัวขึ้นมาเป็นศาสดาเจ้าของศาสนานั้นๆ ศาสนา ก. ศาสนา ข. แล้วมีตั้งแต่กิเลสเต็มตัวๆ แสดงออกมาแง่ใดมุมใดมันก็มีกิเลสแสดงตัวออกไปสอนโลก โลกก็รับอันนี้ไปก็เป็นกิเลสด้วยกันหมด เรียกว่าศาสนกิเลส ไม่ใช่ศาสนธรรม เป็นคำสอนของกิเลส สอนคนให้เป็นไปตามกิเลสทั้งมวล ไม่ได้สอนคนเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานเลย เหมือนพุทธศาสนา
พูดให้ชัดเจน เราผ่านมาอย่างนี้ปฏิบัติมาอย่างนี้ มันดูหมดเลย พอมันรู้นี้แล้วมันปล่อย อะไรๆ มันรู้หมดนี่จะให้ว่าอย่างไร มันรู้อยู่ภายในใจ ใครจะเชื่อไม่เชื่อมันไม่สนใจกับใคร ไม่มีอะไรที่เป็นนักรู้ยิ่งกว่าใจ เวลามันเป็นอย่างไรมันก็รู้ของมันเป็นลำดับ เวลามันรู้หมดปัญหาโดยสิ้นเชิงมันก็รู้ของมันอย่างนี้ นั่น ว่างหมด วางหมด นี่พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส รู้แจ้งเห็นจริงๆ แสดงในธรรมบทใดบาทใดไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย ตรงแน่วๆ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ให้เป็นที่นอนใจสำหรับชาวพุทธเรา นี้แลเป็นหลักยึดชั้นเอกๆๆ ไปเลยคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านว่าให้ทานได้บุญจริงๆ ไม่ได้ลูบๆ คลำๆ นะ พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งเห็นจริง ทำบาปเป็นบาปจริง ทำบุญเป็นบุญจริง รู้ออกมาจากจิตใจจริงๆ ท่านจึงสอนให้ละบาปทำบุญ สอนตามที่ท่านรู้ท่านเห็นแล้ว ถ้าข้ามคำสอนลงไปแล้วจมนะ ผิดทั้งนั้นละ นั่น จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้แล้วนี้ไม่ผิด ใครฝืนคำสอนที่ตรัสไว้โดยถูกต้องแล้วผู้นั้นผิด แล้วเป็นพิษแก่ผู้ฝ่าฝืนนั้นแหละ ไม่เป็นพิษแก่ผู้ใด มันอยู่กับผู้ปฏิบัติ ธรรมนี้กางไว้แน่วแน่แล้วจากใจของท่านผู้สิ้นกิเลส ไม่ได้มีกิเลสสอนโลกนะ สอนอะไรเป็นธรรมทั้งนั้นๆ ผิดกันกับคลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา สอนอะไรๆ เป็นกิเลสทั้งหมดเลย ไม่เป็นธรรม ผู้ปฏิบัติตามก็ยึดตามกิเลสไปตามๆ กัน ใครจะมีกี่ศาสนา หมื่นศาสนาก็เป็นแบบเดียวกันหมด เป็นศาสนาของคลังกิเลส จะหาความเลิศเลอไม่มี พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้วเปิดแจ้งไปหมด โลกวิทูรู้แจ้งโลก โลกนอกโลกในรู้ตลอดทั่วถึง นี้คือศาสดาองค์เอก ท่านสอนธรรมจึงไม่มีที่สงสัย เรียกว่าถูกต้องๆ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมามาในโลกนี้ได้พบแล้วพุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก เอา เกาะเถิด เกาะตรงไหนไม่ผิด การให้ทาน เอา ไม่ผิด การรักษาศีลการภาวนารักษาความดีทุกประเภทไม่ผิดทั้งนั้น เป็นคุณงามความดีแก่ตนโดยลำดับลำดา นี่คำสอนของพระพุทธเจ้า ให้พากันจำเอานะ นี่ก็สอนมาอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เปิดจ้าไว้แล้ว เอาอ่านปั๊บมันเข้าหัวใจหมดแล้ว มันก็ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าล่ะซิ ก็มันรู้อย่างเดียวกันแล้ว พูดออกมาอย่างแม่นยำๆ แน่นอนๆ เลย เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละพอ
วันที่ ๑๔ กรกฎา ทองคำที่ได้ทั้งวัน ๓๖ บาท ๙๔ สตางค์ ทองคำที่ได้หลังมอบเข้าคลังหลวงแล้ว ที่ยังไม่ได้หลอม ๑๔ กิโล ๓๘ บาท ๖๕ สตางค์ ที่หลอมแล้ว ๑๒๕ กิโล ๑๐ แท่ง รวมได้ทองคำทั้งหมด นี่ประเภททองคำน้ำไหลซึมนะ ได้ทองคำทั้งหมด ๑๓๙ กิโล ๓๘ บาท ๖๕ สตางค์ นี่เพิ่มขึ้นเรื่อย
แล้วกรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบอย่างตายใจเถอะ หลวงตานี้เป็นหลวงตาที่ตายใจในตัวเองว่าเชื่อตัวเองบริสุทธิ์สุดส่วน นี่เราเชื่อตัวเองเต็มเหนี่ยวแล้ว ไม่มีอะไรๆกับพี่น้องทั้งหลาย มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ครอบไปหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มานี้ที่จะ แย็บมาเป็นของเรานี้ไม่มีเลย ว่างั้นเถอะน่ะ มีแต่เพื่อชาติบ้านเมืองของเราทั้งนั้น เพราะงั้นขอให้ตายใจ ท่านทั้งหลายจะไปหาผู้นำที่ไหนอีก เราชี้นิ้วเลย เรานี้สุดขีดแล้ว เอาใจเป็นเครื่องกางอยู่ตลอด เหมือนกับเรด้าร์กาง แย็บออกไปตรงไหนมันจะผิดตรงไหนทางนี้ตีปั๊บๆ ผิดไปไม่ได้ว่างั้นเลย เงินทองข้าวของได้มามากน้อยนี้มันจะแย็บออกไปในทางเป็นมลทินนี้ โอ๋ย ไม่ได้เลยนะเรา ตีปั๊บ มันหากเป็นของมันเองนะ จะให้เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ เรื่อยมา
ตั้งแต่ทองคำ-ดอลลาร์-เงินสดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เราบริสุทธิ์สุดส่วนต่อพี่น้องทั้งหลาย ต่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เราช่วยจริงๆ เราจึงไม่มีอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ได้มามากน้อยเข้าหมดๆ ส่วนที่จะออกช่วยโลกดังที่เห็นนี้แหละ ออกจนกระทั่งจนจะไม่มีเหลืองเงิน ออกเรื่อยๆ ขนาดที่ว่าดอลลาร์แต่ก่อนเอาเข้าคลังหลวงนะ ก็ได้เพียงสิบล้านสองแสน จากนั้นเราก็พูดแล้วนี่ก็พูดตามความคิดของเราว่าต่อไปนี้ดอลลาร์จะไม่แน่นะ เพราะเงินสดที่จะช่วยชาติบ้านเมืองเราไม่พอ เนื่องจากหยุดการเทศนาว่าการช่วยชาติแล้วเงินที่จะนำมาช่วยชาติก็ไม่มี ก็มีแต่เงินเขาถวายเราธรรมดาๆ ไม่พอ
เพราะฉะนั้นจึงเดือดร้อนถึงดอลลาร์ ทีนี้ดอลลาร์มีเท่าไรๆ เราจะหนุนเข้ามาช่วยเงินสด เพราะฉะนั้นดอลลาร์เวลานี้จึงหนุนเข้ามาช่วยเงินสด ทั้งนั้นละเพื่อช่วยชาติเรา นอกจากนั้นเช่นอย่างทองคำนี่ร้อยทั้งร้อยตลอดไป อะไรมาแตะไม่ได้ทองคำ ไม่ว่าจะได้ที่ใดๆ ก็ตาม คนที่รับใช้เรานั้นเป็นหัวใจเดียวกับเรา จะมีทุจริตหรือมีมัวหมองให้เราเห็นไม่ได้นะ คอขาดเลย นู่นน่ะฟังซิน่ะ เราขนาดนั้นนะ เพราะงั้นเราจึงแน่ใจในทองคำ จะได้จากที่ไหนๆ เขาจะนำมาเอง ใครมอบให้เขาที่ไหนเขาจะนำมามอบให้เรา บอกได้มาจากทางนู้นๆ เขามอบให้ๆ ที่จะมีเก็บงุบงิบๆ ไม่มี ขนาดนั้นละ
เราถึงได้ภูมิใจในการช่วยชาติคราวนี้ เราไม่มีอะไรที่จะทำความมัวหมองแก่ชาติ และให้เป็นความกระทบกระเทือนแก่ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เราแน่ใจเลยว่าเราไม่มี มีแต่อุ้มตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เองอะไรที่เป็นข้าศึกศัตรูต่อสามพระองค์ คือชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี้ กับเรามันจึงเกิดเรื่องกันทันที เกิดเรื่องกันทันที เพราะเราขวนขวายอุ้มมาตลอดเวลาทุกแบบทุกฉบับที่เราจะทำได้นะ และไม่มีการทำลาย ไม่มี มีแต่อุ้มขึ้นมาตลอด ใครจะมาทำลายให้เราได้เห็นได้ยินต่อหน้าต่อตา ต่อความรู้สึกนี้มันจึงฟัดกันเรื่อย ฟัดกันเรื่อย พากันเข้าใจอย่างนี้นะ ที่เราทำนี้ก็เพราะเรารักสงวนชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นี่เรารักมากทีเดียว ใครจะมาทำลายนี้ไม่ได้
สมบัติเงินทองข้าวของเพียงได้ยินว่า กินที่นั่น กลืนที่นี่ คดกันที่นั่น โกงกันที่นี่ แหม เรากระเทือนใจเรามากนะ โห มันทำไมถึงสกปรกเอานักหนาพวกนี้นะ ยกใครเข้ามาเป็นผู้ใหญ่ผู้โต ให้เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตเพื่ออุ้มชาติบ้านเมือง โดยมีหัวหน้าเป็นผู้นำอุ้มชาติบ้านเมือง มันทำไมเวลาใครเข้ามาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตั้งรัฐบาลชุดไหนขึ้นมา ชุดไหนๆ ขึ้นมา นี่เราพูดตามหลักความจริง ชุดนั้นก็กินแบบนั้น ชุดนี้กินนี้ กินแบบโกงแบบรีดแบบไถ แอบกินแฝงกันมาเรื่อยๆๆเข้ามา จนกระทั่งเข้ามาสุดท้ายนี้จน กระเทือนใจหนัก
เลยสรุปลงได้ ฟังคำพูดคำนี้นะ คำพูดสรุป ฟัง ตั้งรัฐบาลชุดไหนๆ มาก็เหมือนกับปล่อยหมาเข้าถาน มันกินจนอิ่มไม่ยอมออกจากถานนะพวกนี้ ทั้งกินทั้งกลืนทั้งรีดทั้งไถ เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน เข้าไปรัฐบาลแล้ว รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลเหมือนถาน ปล่อยใครอะไรเข้าไปรัฐบาลแล้วเหมือนปล่อยหมาเข้าถาน ปล่อยหมาเข้าถานเป็นยังไง เข้าใจไหมพวกนี้น่ะ หรือยังไม่เข้าใจอยู่เหรอ โอ้ย มันโง่เกินไป ถ้าไม่เข้าใจละมันโง่เกินไป เอาละเราก็ฉลาดสุดขีดเพียงเท่านี้ เราก็โง่ของเรา เราอธิบายต่อไปไม่ได้แล้วเข้าใจไหม คือเราฉลาดเพียงเท่านี้ละ
นี่ละมันแบบปล่อยหมาเข้าถาน ให้ใครเป็นรัฐบาลๆ เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน เวลานี้ก็กำลังกระทบกระเทือนมากมายก่ายกองในรัฐบาลปัจจุบันเรานี้ จนกระทั่งเราได้เตือน ท่านทั้งหลายก็ได้ยินมิใช่เหรอ นี่ละธรรม ธรรมสอนโลก เราไม่ได้ไปเกี่ยวว่าวุ่นกับการบ้านการเมือง ธรรมสอนโลกเข้าใจไหม มันสกปรกรกรุงรัง ที่ไหนจะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เราซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้วยกันเราต้องต้านต้องทาน ต้องตักต้องเตือน ต้องดุด่าว่ากล่าว ในฐานะว่าธรรมสอนโลก
นี่ละเป็นอย่างนี้ ให้ระวังนะพวกรัฐบาลมันเป็นหมาเข้าถานมาเรื่อยๆ มาชุดปัจจุบันมันจะเป็นหมาใหญ่ เข้าถานใหญ่แล้วนะ กินแล้วมันไม่รู้จักออก มันจะหาวางอำนาจแบบต่างๆ เข้าไป เพื่อจะเป็นผู้ใหญ่เข้าไปอีก เป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงเข้าไปอีก เป็นหมาตัวใหญ่เข้าถานใหญ่อีกละนะ ให้ระวังนะ เรากลัวเหลือเกิน กลัวมันจะเข้าถานใหญ่อีกถานใหญ่รัฐบาล ปล่อยเข้าไปตรงนั้นแล้วเหมือนปล่อยหมาเข้าถานไม่รู้จักออก กินไม่อิ่ม ไม่มีวันอิ่ม คนนี้สะแตก คนนั้นกิน คนนั้นกลืน คนนั้นรีดคนนี้ไถ คนละแบบคนละฉบับ มีตั้งแต่แบบกินขี้ในถานทั้งนั้น ไม่ยอมออกนะ เอาละพูดเท่านี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่