พระเป็นผู้รักษาธรรมวินัย
วันที่ 11 กรกฎาคม. 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : ศาลา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อเช้าวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

พระเป็นผู้รักษาธรรมวินัย

 

เมื่อคืนนี้ทางวัดสังฆทานก็มากันเยอะ...พระ แล้วเรื่องมันไปสัมผัสกับเรื่องศพเรื่องตาย เราเลยชี้แจงเรื่องหลักธรรมวินัยให้ฟัง คือหลักธรรมวินัยนี้ไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมวินัยสมบูรณ์แบบแล้วที่พระจะปฏิบัติตามนั้น นี่โยนไปถึงศาลถึงอะไรให้เขามาตัดสิน เลอะเทอะไปแล้วนี่ แสดงว่าเราไม่มีหลักธรรมวินัยเป็นตัวของตัวจึงต้องไปกวนทางศาลเขา เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดให้ฟัง ดูเหมือนพูดสองหนแล้ว เรื่องความเป็นความตาย หลักธรรมวินัยสมบูรณ์แบบที่พระจะปฏิบัติตามผู้ตาย ผู้มอบพินัยกรรม มีอยู่สมบูรณ์ ไม่ได้เกี่ยวกับทางกฎหมายบ้านเมือง ทีนี้เวลาสะเปะสะปะออกไปนอกลู่นอกทางมันก็ไปกระเทือนถึงศาลซิ ศาลเลยต้องมาวินิจฉัยให้ ที่ถูกต้องแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ทางศาลทางกฎหมาย พระวินัยสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงได้ชี้แจงให้ทราบ เรื่องอย่างนี้ถ้าโลเลในหลักธรรมวินัยล้มเหลวทั้งนั้นแหละ ถ้าจับติดตามหลักธรรมวินัยแล้วยืนตัว ไม่มีอะไรใหญ่ยิ่งกว่าธรรมวินัยของพระ

นี้เราก็เคยเตือนมาแล้วเรื่องอย่างนี้ มันคงจะเป็นแบบนี้แหละ สะเปะสะปะออกไป แต่นั้นไม่ได้ออกไปถึงศาล พระผู้ใหญ่ท่านเสียไป ท่านมอบพินัยกรรมให้ มันก็มีแล้วในหลักพินัยกรรมก็สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีตัวแสบตัวไปกีดไปขวางอยู่งั้นให้ก้าวเดินพินัยกรรมไม่สะดวก ประชุมกันถึงสองวันเต็ม เราเองเข้าไปเกี่ยวข้องถึงรู้ได้ชัดว่ามันเหลวไหลเพราะเหตุนี้เอง ผู้ทำให้เหลวไหลมี แล้วทำให้หลักธรรมวินัยเอนเอียงไปด้วย ก็เราไม่ได้เอาอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์นี่ สิ่งที่จะให้ยุติสำหรับพระก็คือธรรมวินัยเท่านั้นเอง อย่างอื่นไม่มีอำนาจ ประชุมกันตั้ง... คือมาเกี่ยวกับเราเองเราได้เห็นชัดเจนที่ว่ามันเหลวไหลไปอย่างนี้เอง

ไม่ใช่คุย เราเองไปตีเข้าธรรมวินัย หาที่ค้านไม่ได้ ประชุมกันอยู่สองวัน ฟาดเอาเจ้าคณะนั้นคณะนี้มาประชุมกัน ล้มเหลวๆ หมด ผู้ใหญ่เจ้าอาวาสท่านก็เลยเขียนจดหมายย่อๆ มาสองสามตัว วัดป่าบ้านตาดแต่ก่อนไม่มีทางรถ เดินด้วยเท้า ให้เณรถือจดหมายไปแผ่นเท่านี้ สองสามตัว เพราะถือเป็นกันเอง บอกชัดๆ มาเลยว่า ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟให้ด้วย เวลานี้ไฟกำลังไหม้วัดโพธิฯ บอกท่านอาจารย์เท่านั้น เราอ่านเสร็จแล้วเราก็ไม่สบายอยู่ด้วย เอ๊ มันยังไง บอกว่าประชุมมาตั้งสองวัน ฟาดตั้งแต่บ่ายโมงถึงบ่ายสี่โมงไม่ลงกันได้เลยเรื่องพินัยกรรม

เวลาเราจะมา ทางเจ้าอาวาสกับพระในวัดโพธิฯ ทั้งหมดตกลงกันไว้เรียบร้อย ท่านลงก่อนแล้วนะ คือท่านรอลงเราอยู่แล้ว พวกนั้นมาเตะมาถีบเฉยๆ นี่ บอกให้ฟังเสียงท่านอาจารย์มหาบัวเท่านั้น ว่างั้นเลยนะ ท่านอาจารย์มหาบัวไม่เหมือนใคร บอกตรงๆ เลย ท่านจะป๋างๆ ไปตามหลักธรรมวินัย ให้คอยยึดเอาตามนั้นก็แล้วกัน จดหมายปุ๊บๆ ส่งไปหาเรา เราก็เดินด้วยเท้ามาวัดโพธิฯ เลย ไม่มีรถ เราก็เข้าประชุม ผู้ว่าฯ ก็มานะ ไม่ใช่เล่น มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ลุกลามไปหาผู้ว่าฯ ทั้งๆ ที่ธรรมวินัยมีสมบูรณ์ ผู้ว่าฯ ก็ต้องมี ใครต่อใครข้าราชการใหญ่ๆ มา มันเห็นได้ชัด เราเห็นด้วยตาของเราถึงพูดได้เต็มปาก เราไปเจอเอง เจอมรสุมใหญ่ นี่ละถ้าเอนเอียงหลักธรรมวินัยแล้วล้มเหลวอย่างนี้ละ เกิดเรื่องเกิดราวยุ่งไปหมดเลย

เราไปก็เอาตรงๆ เลย ตีเข้าหาหลักธรรมวินัย ถามซักเข้าไปๆ ซักเข้าไปตรงไหนหลักธรรมวินัยติดแนบๆ มัดกันเข้าไปๆ พูดเพียง ๔๕ นาที พอพูดขึ้นตรงไหน เอ้า ใครเห็นด้วยให้ยกมือขึ้น พรึบเลย เอ้า ใครไม่เห็นด้วยให้ค้านมา เงียบเลย ก็หลักธรรมวินัยเรามีอยู่แล้วนี่ มันเอาแต่ความโลภไม่เป็นธรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปขวางอยู่นั้น หลักธรรมวินัยเลยก้าวไม่ออก เราก็แบกหลักธรรมวินัยไปละซิ ตีโน้นตีนี้ พอพูดขึ้น เอ้า เอาจริงๆ นะ เพราะถึงสองวันแล้วที่ประชุมกัน ไม่ลงกันเลย ท่านจึงได้เขียนจดหมายว่าไฟกำลังไหม้วัดโพธิฯ ก็เห็นแต่ท่านอาจารย์เท่านั้น แล้วก็บอกพระไว้ด้วยให้คอยฟังเสียงท่านอาจารย์มหาบัว ท่านมาท่านจะไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้นแหละ หลักธรรมวินัยท่านจะขึ้นป๋างเลยเชียว

ก็เป็นจริงๆ ด้วย ไปก็ซักกันเข้าๆ ซักตรงไหนมัดกันเข้าๆ เอาธรรมวินัยตีเข้าไปๆ ก็อันหนึ่งมีหลัก อันหนึ่งไม่มีใช่ไหมล่ะ สะเปะสะปะ พอพูดลงประโยคไหน เอ้า ถ้าใครเห็นด้วยให้ยกมือขึ้น พรึบเลยๆ ใครไม่เห็นด้วยให้ค้าน เงียบเลยๆ ๔๕ นาที ซัดกันอย่างหนักนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็นั่งอยู่นั่น เราไม่สนใจกับใครละ มีแต่หลักธรรมหลักวินัยเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องเดิน คนทั้งหลายมานั่งนี้คอยฟังหลักธรรมหลักวินัยเท่านั้น เราเลยไม่ลืมนะ ๔๕ นาที ยุติลงพรึบเลยเทียว ไม่มีใครค้านเลยนะ เอ้า ค้านๆ มา ไม่มีเลย ลงกันหมด เป็นอันว่าเรียบร้อย อย่างนั้นนะ เราเองละไป

หลักเกณฑ์มีอยู่มันไม่ไปตามนั่นซิ ปักเขปักขาไปมันก็กระเทือนกันจนกระทั่งถึงศงถึงศาลก็มี ศาลท่านไม่ได้มาเกี่ยวข้อง กฎหมายไม่มาเกี่ยวข้อง หลักธรรมวินัยปกครองพระสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าของเรา ถ้าเดินตามนี้แล้วจะไม่เกี่ยวข้อง อันใดที่จะเกี่ยวกับกฎหมายมันเป็นเอง เช่นไปฆ่าคน นี้ขาดจากพระแล้ว กฎหมายปุ๊บเข้ามาเลย มัดคอเลย นี้ไม่ใช่พระ แน่ะ กฎหมายเป็นเอง ถ้าอยู่ในขอบเขตของธรรมวินัย กฎหมายจะไม่มายุ่งนะ ถ้านอกเขตไปแล้วก็เป็นอย่างนั้น อันนี้ก็สะเปะสะปะไปอย่างนั้น ให้กฎหมายได้ลำบาก ให้ทางศงทางศาลลำบากด้วย มันยังไง พระเราปฏิบัติยังไง หลักธรรมวินัย กฎเกณฑ์อันดีงาม มีอำนาจสุดยอดแล้วในศาสนามีอยู่ทำไมไม่ยึดไม่เกาะ สะเปะสะปะไปยังไง

แต่ก็เดชะนะมันถึงคราวที่จะพูดก็พูดเสียบ้างเรา ประชุมใหญ่ๆ นี้หลายครั้งนะเรา ก็เป็นอีตาบัวนี่ละฟาดลงเรียบวุธๆ เลย คือหลักเกณฑ์เท่านั้น เอ้า ใครดิ้นไปไหนดิ้นไป ดิ้นไปตรงไหนขายตัวซี หลักเกณฑ์มีอยู่ หมอบๆ นั่น มันไม่เอามาซิ นี้เอาหลักเกณฑ์มา ประชุมใหญ่ๆ เรื่องอย่างนี้ โอ๋ย มีหลายครั้งนะ แต่ก็เดชะนะสงบลงทุกครั้งที่เราเป็นผู้ชี้แจง แล้วลงเห็นด้วยเรา ลงเรียบๆ เพราะเราเอาหลักธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ ไม่ได้เอาใครมาเป็นใหญ่เป็นเล็กลูบหน้าปะจมูก เราไม่มี เอาศาสดาเท่านั้นใส่เปรี้ยงๆ เข้าไปเลย

หลักธรรมหลักวินัยจึงเป็นหลักที่เด็ดขาดที่สุด คือความถูกต้องดีงามอยู่นั้นหมดแล้ว ถ้าเอนไปจากนั้นล้มเหลวๆ นะ คิดดูอย่างพระเราก็เป็นผู้รักษาธรรมวินัย พอเอนจากหลักธรรมวินัยมันก็สะเปะสะไปนอกๆ จนกระทั่งไปรบกวนทางกฎหมายทางศาลให้เข้ามายุ่งด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย อันใดที่ทางกฎหมายจะมายุ่งด้วยก็รู้กันเอง เช่นพระอยู่ดีๆ ไปฆ่าคนปั๊บ นี่ทางกฎหมายเข้าแล้วใช่ไหม ขาดจากพระแล้ว เป็นเรื่องโลกไปแล้ว..จับ ไม่ต้องบอก จับไปเลย นั่น อย่างนั้นก็มี ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างนั้นพระปกครองกันเอง ไม่มีกฎหมายเข้ามายุ่ง

เรื่องหลักธรรมวินัยนี่เป็นกฎเป็นเกณฑ์ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย ถ้าเดินตามนั้นเรียบทุกอย่างๆ นั่นแหละ ถ้าออกจากนั้นแล้วก็สะเปะสะปะไปอย่างว่า เพราะฉะนั้นหลักธรรมวินัยท่านจึงบอกว่าเป็นศาสดาแทนเราตถาคต คือเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต หลักธรรมและวินัยนี่ละเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต คือให้ยึดนี้เป็นหลัก ความหมายว่างั้น ถ้าเอาอื่นเป็นหลัก เลอะเทอะทั้งนั้นละ

นี่ก็เคยดำเนินมาอย่างนั้น ตั้งแต่บวชมาชีวิตของฆราวาสนี้ปัดออกหมดเลย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ตั้งแต่ก้าวเข้าบวชออกมาแล้ว เป็นชีวิตของพระแล้วที่นี่หลักธรรมวินัยจะเข้ารอบตัวเลย ชีวิตของโลกของฆราวาสปัดออกหมดโดยสิ้นเชิง นอกจากอันใดที่มันมาเกี่ยวข้องหรือประสานกันได้ไม่มีอะไรขัดข้องต่อธรรมวินัย ก็ดำเนินธรรมดา ถ้าอะไรขัดข้องต่อหลักธรรมวินัยก็ปัดออกๆ เราปฏิบัติอย่างนั้นจนชิน ในหัวใจนี่เป็นหลักธรรมหลักวินัยล้วนๆ เลย ไม่เอาอะไรมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าศาสดาคือหลักธรรมหลักวินัย เราเองก็ก้าวตามนี้ตลอดจนเป็นนิสัยว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นเวลาเห็นใครมาทำกีดขวางหูตานี่ไม่ได้ละ ถ้าเกี่ยวข้องก็เตือนๆ ถ้าไม่เกี่ยวข้องที่จะเตือน หรือเหตุการณ์อะไรที่ควรบอกใครมาสั่งมาบอกก็บอก เพราะมันขัดก็รู้อยู่

หลักธรรมหลักวินัยเป็นหลักที่ถูกต้องดีงาม ในวงพระก็เรียบร้อย ไม่มีทะเลาะเบาะแว้งกัน...พระนะ ถ้าเป็นไปตามธรรมวินัยแล้ว ถ้าดื้อด้านมันเป็นได้ ถ้าลงดื้อด้านจากหลักธรรมวินัยแล้วเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่นพระชาวเมืองโกสัมพี พระธรรมกถึกกับพระวินัยธรทะเลาะกัน เรื่องทะเลาะนั้นก็ทราบแล้วแต่เราไม่เอามาพูด พูดเอาเรื่องทะเลาะ พระพุทธเจ้ามาระงับ ฟังซิพระพุทธเจ้าเองมาระงับ ไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้าเลยนะ เห็นไหมล่ะเวลามันดื้อ ดื้อนะพระเรา แล้วใครจะเลิศยิ่งกว่าศาสดา ดื้อแบบไหนท่านก็จะใช้แบบนั้น เรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง พูดง่ายๆ

ท่านมาระงับไม่ยอมฟังเสียง ท่านเสด็จออกปั๊บเข้าป่าเลไลยก์ ๓ เดือน จำพรรษาที่นั่น ให้พวกเก่งๆ มันกัดกัน พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกไปอยู่ป่าเลไลยก์เท่านั้น ใครๆ ไม่ได้ใส่บาตรให้เลยที่นี่ จะตายซิพระไม่ได้กินข้าว พอไปบิณฑบาตเขาก็ถาม คณะไหนวินัยธร คณะไหนธรรมกถึก วินัยธรก็คือผู้ทรงไว้ซึ่งวินัย อีกอันหนึ่งก็นักเทศน์ ทั้งสองประเภทนี้เขาชี้หน้าๆ เลย มันจะตาย..อยู่ไม่ได้ จึงต้องให้พระอานนท์ไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าจึงดัดอย่างนี้ พระองค์ทรงเล็งญาณทราบหมดแล้ว ควรจะดัดแบบนี้ๆ

พระพุทธเจ้ายังไม่มาถึงแหละมันลงกันแล้วมันจะตาย ทีนี้ฟังอุบายพระพุทธเจ้านะ พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงพวกประชาชนญาติโยมไหลเข้ามามืดฟ้ามัวดินเลย มาหาพระพุทธเจ้า มาฟ้องพวกวินัยธร พวกธรรมกถึก เอานี้มาฟ้องพระพุทธเจ้า ฟังคำพระพุทธเจ้านะ อย่ามายุ่ง นั่นเห็นไหมล่ะเสียงศาสดา อย่ามายุ่ง นี่เป็นลูกของเราตถาคต เราจะชำระเรื่องราวของเราเอง เธอทั้งหลายมีลูกกี่คนทะเลาะกันทั่วบ้านทั่วเมืองทั่วโลกทั่วสงสาร ไม่เห็นเราตถาคตไปยุ่ง พระท่านไปยุ่ง อันนี้เป็นเรื่องของเราตถาคตกับสาวกทั้งหลาย มีเรื่องกันเป็นธรรมดา พระทั้งหลายท่านมีกิเลส พวกเธอทั้งหลายก็มีกิเลสทะเลาะเบาะแว้งกัน พระท่านไม่เห็นไปยุ่ง อันนี้พระท่านมีอะไรๆ กันมายุ่งทำไม ท่านไล่ขนาบเลย

เห็นไหมพระพุทธเจ้ารับสั่ง บอกว่าอย่ายุ่ง ไล่แตกกระจัดกระจายไปเลย ลูกตถาคต ตถาคตจะชำระเอง ลูกของเธอทั้งหลายตถาคตไม่ได้ไปยุ่งนะ ให้ชำระกันเอง นั่นเห็นไหมล่ะผิดไหมท่านพูด นี่ละคำพูดของพระพุทธเจ้า ลูกของเธอทั้งหลายกัดกันขนาดไหนเราไม่เห็นไปยุ่ง นี้ลูกของเราเป็นคนมีกิเลส ก็ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นธรรมดามายุ่งทำไม เราตถาคตจะพิจารณาเองลูกของเรา เลิก ไล่ อย่ายุ่ง เอาอย่ายุ่งปัดเลยเชียว หนีหมด พระเหล่านั้นยอมรับหมดเลย พระองค์แสดงธรรมปึ๋งๆ พระสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่น้อยนะ อย่างนั้นละมีเหตุมีผลทุกอย่าง นี่พูดถึงเรื่องทะเลาะกัน ที่มันมีมันก็มี แม้แต่ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าก็ยังมี แต่พระพุทธเจ้ามีเหตุมีผลทุกอย่าง ไปอยู่ป่าเลไลยก์ จำพรรษาโน้นเลย ปีนั้นละปีพระชาวโกสัมพีทะเลาะกัน พระองค์เสด็จหนีเลย พอกลับมาก็มาชำระ

อย่างนั้นละเรื่องทะเลาะ ถ้านอกเหนือจากหลักธรรมวินัยแล้วเป็นไปได้ แม้พระพุทธเจ้ามันก็ยังไม่ฟังเสียง พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณทราบหมดแล้ว ปล่อยไว้ตามนี้เป็นระยะๆ เสด็จหนีเลย พอกลับมาก็เป็นไปตามนั้น นี่พูดถึงเรื่องการทะเลาะ ถ้านอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัยเป็นได้ แม้ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าก็เป็นได้อย่างนี้ ถ้าอยู่ในกรอบแล้วไม่เป็นไร ดีหมด วันนี้ไม่พูดอะไรมากละ จะได้ไปเทศน์ที่โรงพยาบาลราชวิถี ตอนเที่ยง ประมาณ ๕ โมงเราก็จะได้ออกจากนี้ไปพอดี

วันนี้คงไม่ได้เทศน์อะไรแหละ ที่พูดเหล่านี้ก็เป็นคติเครื่องเตือนใจพี่น้องทั้งหลายด้วยกันอยู่แล้ว การเทศน์เรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง มันก็มีอยู่ทั่วทุกครัวเรือนนั่นแหละ เราอยากจะว่าทุกครัวเรือน ถ้าพ่อแม่ไม่ทะเลาะกัน ลูกมันก็ทะเลาะกันจนได้ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่ามีอยู่ทุกครัวเรือน ถ้าพ่อกับแม่ไม่ทะเลาะกัน ลูกเต้าไม่ทะเลาะกัน หมาก็กัดกันเห่ากัน แน่ะมันก็มีอยู่ใช่ไหม มันมีอยู่ในบ้านนั้นแหละเรื่องอันนี้ทราบกันแล้ว วันนี้จึงไม่พูดอะไรมาก พูดเหล่านี้เป็นคติเครื่องเตือนใจแล้วให้ท่านทั้งหลายทราบ ให้ยึดหลักความถูกต้องดีงามไว้เป็นข้อปฏิบัติในตัวเองและครอบครัวของเรา ตลอดหน้าที่การงานส่วนรวมจะถูกต้องดีงามไปหมดนั่นละ ถ้าขัดจากความดีงามแล้วทะเลาะเบาะแว้งกันได้

ทองคำเช้าวันนี้ได้ ๕ บาท ๑๕ สตางค์ รวมยอดทองคำตั้งแต่วันที่ ๓๐ ถึงเช้าวันนี้เป็น ๕ กิโล ๖๒ บาท ๔๘ สตางค์ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตาได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรมกรุงเทพฯและสถานีวิทยุอุดร

FM103.25MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก