จิตสิ้นโทษ
วันที่ 7 กรกฎาคม. 2548 เวลา 19:10 น.
สถานที่ : กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

จิตสิ้นโทษ

ทุกวันนี้กลางคืนมีแค่ ๑๐ ชั่วโมง กลางวันมีถึง ๑๔ ชั่วโมง พอตี ๕ สว่างแล้ว ตอนค่ำนี้ก็ทุ่ม ๑๐ นาทีถึงจะมืด กลางคืนมีเพียง ๑๐ ชั่วโมง กลางวันมีถึง ๑๔ ชั่วโมง แต่ยังไงก็ไม่เหมือนอังกฤษ เราไปอังกฤษหนหนึ่ง ไปในฤดูที่กลางวันมีมาก กลางคืนมีน้อย พอได้มาโม้ให้ลูกศิษย์ฟัง คือตะวันมันก็ไม่ได้ไปตรงแน่วอะไรพอที่จะเป็นกลางวันมากๆ นะมันก็ไปเอียงๆ อย่างนั้น แต่ครั้นแล้วกลางวันตั้ง ๑๙ ชั่วโมง กลางคืนมีเพียง ๕ ชั่วโมง เท่านั้นแหละ ผิดกว่าเมืองไทยเรามาก ซึ่งกลางคืนมี ๑๐ กลางวันมี ๑๔ เกินไป ๒ ชั่วโมง แต่ที่อังกฤษกลางวัน ๑๙ ชั่วโมง กลางคืนมีเพียง ๕ ชั่วโมงเท่านั้นแหละ ทุ่มสองทุ่มยังไม่ได้มืดนะ ยังไปที่ไหนๆ สบายๆ

ฟังแต่ว่ากลางวันมีถึง ๑๙ ชั่วโมง ตะวันมันก็เอียงๆ ไปอย่างนั้น กลางวันมากๆ มันน่าจะตะวันตรงแน่ว ไม่ มันเอียงๆ ไปอังกฤษนั้นเราไปเพื่อทัศนศึกษาด้วย ไปเพื่อผลประโยชน์เกี่ยวกับทางเมืองนอกด้วย เพราะฉะนั้นจึงต้องบังคับให้ไป ขี้เกียจไม่อยากไปก็ไป พอบ่ายสี่โมงแล้วก็ไป ไปเป็นเวลา ๒ ชั่วโมง เขาพาไปเที่ยวดูที่นั่นที่นี่ ที่สำคัญๆ หกโมงเย็นกลับมา ไปบ่ายสี่โมง กลับมาหกโมงเย็น ยังวันอยู่มากนะนั่น มาก็เทศน์ให้พี่น้องชาวไทยทางอังกฤษฟัง ทางฝรั่งก็มามากอยู่นะ คนไทยเรามามากเต็มไปหมด ที่กรุงลอนดอนนะ คนไทยมากกว่าฝรั่ง

ครั้นต่อมานี่ฝรั่งมากขึ้นๆ สุดท้ายคนไทยสู้ไม่ได้นะ ฝรั่งมากขึ้นๆ เขาก็เหมือนกันกับเรา เขาเคยชินกับการนั่งเก้าอ้งเก้าอี้นะพวกนี้ เวลาเขามาที่นี่แล้วคนมากต่อมาก เก้าอี้เลยไม่มีความหมาย ใครมาที่ไหนนั่งเลยๆ พวกฝรั่งมังค่านั่งแบบเดียวกันหมดกับคนไทยเรา เป็นอย่างนั้นนะ นี่ใจมันลงเสียอย่างเดียว คนที่เขามารับเขาว่าเขามาสังเกตการณ์ เขาพูดเอง ครั้นสังเกตไปนานเข้าๆ ทีนี้ความสังเกตการณ์หายหมดเลย ไม่ได้มาอยู่ไม่ได้ อยากมา แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ สุดท้ายฝรั่งเลยมากกว่าคนไทย เต็มไปหมดเลย

แต่เราเสียใจที่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้เช่นเดียวกับภาษาไทยของเรานี้ยังจะมากกว่านั้นอีก อันนี้มันยื่นไปให้เป็นล่ามไป เราพูดแล้วท่านปัญญาก็อธิบายต่อ มันก็จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เหมือนออกจากเราพุ่งถึงเลยๆ อันนี้มีน้ำหนักมากกว่ากัน เพราะฉะนั้นจึงว่าธรรมนี่เข้าได้ในใจทุกดวง ถ้ามีธรรมแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงของมันเอง มีธรรมเข้าสู่ใจ ใจเป็นผู้บังคับทุกอย่างในสกลกายกิริยามารยาท มีธรรมเข้านั้นใจจะเป็นผู้บงการ ธรรมจึงเข้าได้ทั่วโลกดินแดน มีธรรมในใจแล้วมันหากเปลี่ยนเองใจ เปลี่ยนไปทางที่ถูกที่ดี ที่สวยงามน่าดูน่าชม

ไปอยู่เมืองอังกฤษแล้วฝรั่งมากขึ้นทุกทีๆ สุดท้าย.. คนไทยเราก็ไม่น้อยนะอยู่นั้น เทียบกันแล้วสู้ฝรั่งไม่ได้ ฝรั่งมากกว่า มากขึ้นโดยลำดับลำดา เราเสียดายที่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้เช่นเดียวกับภาษาไทยนี้ยังจะเป็นผลมากยิ่งกว่านี้อีกมากมายนะ เพียงแค่ให้ท่านปัญญาเป็นล่ามแปลเท่านั้นก็ยังได้ผลอยู่ พุทธศาสนาเป็นศาสนาเลิศเลอสุดยอดแล้ว ในโลกนี้มีศาสนาเดียว เราพูดได้เต็มยันขึ้นเวทีมาแล้ว เห็นชัดเจนทุกอย่างไม่สงสัยเรื่องศาสนาทั้งหลายทั่วโลก ยืนตัวได้แต่พุทธศาสนาเดียวนี้เท่านั้น ว่าอย่างนั้นเลย

เป็นศาสนาที่รื้อขนสัตว์ออกจากโลกจากสงสาร สอนบาปตามบาป สอนบุญตามบุญที่มีอยู่ดั้งเดิมจริงๆ สอนนรกสวรรค์นิพพานถูกต้องตามความมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้นจริงๆ คือพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นก็ลูบๆ คลำๆ สอนกันไป เราไม่กล่าวถึงแหละ กล่าวถึงคำสัตย์คำจริงที่เราจะได้ประโยชน์ของเราเอง ขอให้แน่ใจบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว หาอีกไม่ได้ ในโลกนี้เรียกว่าหมด ไม่มี หาได้อันเดียวเท่านั้น ภาคอันนี้มันขึ้นอยู่กับภาคปฏิบัติ ถ้าเรานับถือธรรมดาตามตำรับตำรามันก็จืดๆ จางๆ ไปอย่างนั้น แล้วเรื่องตำราก็มาเป็นกิเลสไปเสีย ด้วยความจดความจำได้มาก็เป็นทิฐิมานะ เป็นกิเลสแทรกเข้าไปๆ เสีย

ไม่เหมือนภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี้ผิดกันมากทีเดียว ที่เราได้มาพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มตามกำลังของเรานี้ก็เพราะเราผ่านทั้งด้านปริยัติด้วย ผ่านทั้งด้านปฏิบัติด้วย ผ่านทางด้านปริยัติก็พอเป็นแนวทางไป เป็นแนวทางๆ แต่ที่จะให้จริงจังหายสงสัยๆ โดยลำดับนั้นต้องเป็นภาคปฏิบัติ มีจิตตภาวนานี้เท่านั้นที่จะเบิกกว้างหาความจริงทั้งหลายได้ชัดเจนๆ เป็นลำดับ เพียงเราเรียนตามตำรับตำราแล้วจำมา ก็คาดนู้นคาดนี้เดานู้นเดานี้ สุดท้ายก็มีแต่ความสงสัย หาความแน่ใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แน่นอนความจริงสุดส่วน เลิศเลอสุดส่วน

แต่จิตใจเต็มไปด้วยกิเลส มันก็ลากลงมาหากิเลสให้เป็นของต่ำทรามไปตามๆ กันเสีย เลยกลายเป็นกิเลสไปเสียทั้งหมด ชาวพุทธก็กลายเป็นชาวเปรตชาวผีไปได้ เพราะกิเลสเข้าแทรกตรงไหนมันจะเปลี่ยนแปลงจากดีมาชั่ว จากสูงมาต่ำโดยลำดับลำดา กิเลสไม่พาให้สูง มีแต่ดึงลงๆ ทั้งนั้น คำว่ากิเลสๆ นี้บรรดาชาวพุทธเราก็ไม่เข้าใจนะ กิเลสนี่คือสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย สิ่งที่หลอกลวงทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกิเลสนี้ทั้งหมด ซึ่งอยู่ในหัวใจของเรา ครอบอยู่ในหัวใจของเรา

เพราะฉะนั้นอาการที่แสดงออกจึงมีแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋น ไว้ใจตัวก็ไม่ได้ แม้ที่สุดเชื่อกันก็ไม่ได้ เพราะเรื่องของกิเลสนี้ทำให้เชื่อกันไม่ได้คนเรา ตัวเองก็เชื่อตัวเองไม่ได้ อย่าว่าแต่เชื่อคนอื่นไม่ได้เลย มีแต่กิเลสมันแทรกเข้าๆ ทีนี้พอภาคปฏิบัติจับเข้าไปๆ มันเห็นจริงๆ เห็นความจอมปลอมของกิเลส เห็นได้เป็นลำดับลำดา ไม่สงสัยๆ เห็นความจริงคือธรรมก็เห็นเป็นลำดับ เป็นคู่เคียงฟัดเหวี่ยงกันไป ทีนี้กิเลสมันก็ค่อยล้มเหลวไปๆ สู้ธรรมคือความสัตย์ความจริงไม่ได้ จิตใจก็สง่างามขึ้นด้วยธรรม นี่ภาคปฏิบัตินะ

อันอื่นมาจับไม่ได้ ไม่หายสงสัย การปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าไม่หายสงสัย ให้เป็นภาคปฏิบัติด้วยความสัตย์ความจริงของผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ จะเจอความจริงเป็นลำดับลำดาไป เพราะธรรมเป็นของจริงล้วนๆ ในธรรมทุกขั้นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้ว มันปลอมอยู่แต่หัวใจของเรา เมื่อได้รับการซักฟอก เฉพาะอย่างยิ่งคือจิตตภาวนา การทำบุญให้ทานซักฟอกมาเป็นลำดับ นั้นส่วนหยาบส่วนกลางเข้ามา เข้ามาหาส่วนละเอียดก็คือว่าซักฟอกจิต ซักฟอกจิตให้เห็นเหตุเห็นผล ให้เห็นภัยเห็นคุณจริงๆ ภายในใจของเรา ซึ่งมีทั้งสองอย่าง

กิเลสฝ่ายเป็นโทษเป็นพิษเป็นภัย ธรรมเป็นฝ่ายบุญฝ่ายคุณ ทีนี้เวลานำจิตตภาวนาเข้ามานี้ เข้ามาจ่อในมหาเหตุ มหาเหตุคือเป็นเหตุอันใหญ่หลวงอยู่ที่จิตใจ บาปก็อยู่ที่นั่น บุญอะไรๆ อยู่ที่นั่นหมด กิเลสนี้ละจะพาให้ไปทางต่ำ ธรรมะจะพาให้ไปทางสูงก็อยู่ด้วยกัน เวลาเราปฏิบัติไปๆ จิตใจมันก็คิดไปตามภาษีภาษา ส่วนมากต่อมากก็คือว่าคิดไปอะไรก็เป็นกิเลสชักจูงไป ลากเข็นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหมือนเราจูงวัวจูงควายไปนั่นละ จะจูงไปฆ่ามันก็ไม่รู้ พอถึงที่ฆ่ามันสายไปเสียแล้ว ต้องยอมตาย นั่น ถ้ารู้ตัวตั้งแต่ต้นใครจะไปยอมให้เขาจูงไปฆ่า

นี่เราก็เหมือนกันไม่รู้ว่ากิเลสมันจูงไปยังไงต่อยังไง พอรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้วๆ นั่นเป็นอย่างนั้นละ กิเลสจูงสัตว์โลกจูงอย่างนั้นเอง เราจะทราบได้ชัดเจนในเวลาภาวนา ธรรมเป็นเครื่องสอดส่อง ธรรมเป็นของจริงล้วนๆ รู้มาแง่ไหนๆ มีแต่ความจริงออกมา รู้ก็รู้กิเลสซึ่งเป็นของจอมปลอมแล้วมันจะไม่รู้ได้ยังไง ตัวรู้นี่เป็นของจริง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้คือกิเลสมันเป็นของปลอม ของจริงกับของปลอมมันก็เห็นกันได้ชัดเจนๆ เป็นลำดับลำดาด้วยจิตตภาวนา ค่อยมั่นคงภายในตัวเองเป็นลำดับ เชื่อตัวเองเข้าได้เป็นลำดับทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนา ในธรรมขั้นนี้ก็มีความอบอุ่น เราบำเพ็ญธรรมขั้นนี้มีความอบอุ่นในขั้นนี้ๆ แล้วอบอุ่นไปเรื่อย ความแน่นหนามั่นคงก็ตามกันไปๆ ความสว่างกระจ่างแจ้งก็เห็นชัดขึ้นเป็นลำดับลำดา กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนพ้นสายตาของธรรมไปไม่ได้ จะสอดส่องมองทะลุไปจนได้นั่นแหละ

ทีนี้จิตใจเมื่อมีธรรมเข้าฟัดเหวี่ยงกันกับกิเลสให้เห็นทั้งโทษทั้งคุณแล้ว ใจก็ต้องดีดต้องดิ้น หาทางดีดขึ้น หาทางที่จะแคล้วคลาดปลอดภัย หรือพ้นจากสิ่งต่ำทรามทั้งหลายนี้ไปโดยลำดับลำดา แล้วความพากเพียรก็หนักแน่นขึ้นๆ นี่ละเรื่องภาวนาทำให้จิตใจมีความพากเพียรและความเชื่อนี้หยั่งลงไปลึกไปโดยลำดับลำดา ท่านเรียกว่า อจลศรัทธา อจลศรัทธาหมายถึงจิตที่หยั่งลงถึงความจริงแห่งธรรมแล้วไม่ถอน นี่เรียกว่าอจลศรัทธา ภาคปฏิบัติถ้าลงได้รู้เห็นตามความจริงเป็นขั้นๆ ขึ้นไปแล้ว จะเริ่มเป็นอจลศรัทธาไปเรื่อยๆ ต่อไปก็เป็นอจลศรัทธาไม่หวั่นไหว เน้นหนักๆ ลงไปเรื่อยๆ เรื่องภาวนา

เบื้องต้นเรากับท่านมันพอๆ กันทั่วโลก มืดดำกำตาเพราะกิเลสปกคลุมหุ้มห่อจิตใจไว้ด้วยกันทั้งนั้น แต่เวลาชำระซักฟอกออกมันจะค่อยสว่างออกไปๆ เมื่อจิตสว่างออกไปทีไรมันก็เห็นทั้งภัยทั้งคุณไปพร้อมกันๆ จิตใจก็ยิ่งสงบร่มเย็น ยิ่งสง่าผ่าเผย ทีนี้ก็สร้างหลักสร้างเกณฑ์ให้ตัวเองไปในขณะเดียวกัน มีความแน่นหนามั่นคงขึ้น ที่พึ่งก็อยู่ที่ใจ ไปอยู่ที่ไหนก็สงบเย็นใจ สบาย ไม่ต้องไขว่คว้าหาที่พึ่งทางนู้นทางนี้อะไรเหมือนโลกทั่วๆ ไปที่ไขว่คว้ากัน อันนี้ไม่ต้องบังคับ ไม่ได้ตำหนิติเตียนผู้ใด มันหากเป็นทั้งจิตเขาจิตเรา เพราะไม่มีที่เกาะที่ยึด ที่แน่นหนามั่นคงให้พอตายใจได้มันก็คว้านั้นคว้านี้ คว้าอะไรก็กลายเป็นคว้าน้ำเหลวไปหมดเลย คว้าน้ำเหลวๆ จิตใจก็เลื่อนลอย

ยิ่งไม่มีธรรมเป็นที่เกาะด้วยแล้วก็ยิ่งคว้าทั้งวันทั้งคืน ตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตาย คว้าแต่น้ำเหลวทั้งนั้น ตายไปด้วยความเป็นคนเหลวไปเลย ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เพราะฉะนั้นจึงให้ยึดธรรมเป็นหลักเกณฑ์เอาไว้ทุกคน อย่าได้ลืมเนื้อลืมตัว สิ่งที่จะทำให้ตายใจได้ เกาะได้ยึดได้แน่นหนามั่นคงภายในใจ มีความอบอุ่นภายในใจคือธรรมเท่านั้น หลักนี้เป็นหลักสำคัญมาก อันนี้เกาะติดๆ ถ้าลงได้เกาะติดธรรมนี้แล้วไม่ไขว่คว้านะคนเรา ยิ่งจิตตภาวนายิ่งแม่นยำมากนะ ไม่ไขว่คว้าเลย ภายนอกการสร้างคุณงามความดี อันนี้ก็เป็นเครื่องอบอุ่นสำหรับเราอยู่แล้ว ยิ่งเข้าไปถึงจิตตภาวนายิ่งแน่นหนามั่นคง เห็นแก่นของธรรมเข้าเป็นลำดับลำดา

จิตผู้มีธรรมในใจจะไม่ไขว่คว้านะ เวลาจะเป็นจะตายก็ไม่ได้เดือดร้อนเสียใจ ผิดกับคนที่ไขว่คว้าตลอดเวลา โดยไม่มีธรรมเข้าเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะเลย ไขว่คว้าไปตามภาษาของกิเลส พาลากพาเข็นไปที่ตรงไหนก็ไปตรงนั้นๆ ตายก็ตายไปแบบเลื่อนลอย ทีนี้ความเป็นแบบเลื่อนลอยไป จะตายเกิดที่ไหนมันก็เกิดแบบเลื่อนลอย เกิดไม่มีหลักมีเกณฑ์เหมือนคนมีหลักใจนะ คนมีหลักใจมีกฎมีเกณฑ์ ถ้าจิตไม่มีอะไรเลยมีแต่โลกล้วนๆ นี้เหลวไหลกันทั้งเพ สามแดนโลกธาตุก็เถอะ ไม่มีจิตดวงใดที่จะผ่านเข้าสู่ความแน่นหนามั่นคงได้เลย มีแต่ความเหลวไหลด้วยกันหมด เพราะเป็นเรื่องของกิเลสชักจูงไปทั้งนั้น

ความไม่มีธรรมเป็นโทษอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอา ให้ยึดธรรมเป็นหลัก ธรรมนี้เป็นหลักตายตัว เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ตามกำลังแห่งธรรมที่เราได้บำเพ็ญมา จะไม่เป็นอื่น มีมากมีน้อยเหมือนเรามีสมบัติในบ้านเรือนของเรา เราใช้สอยได้ตามสะดวกสบาย ตามกำลังของสมบัติที่มีมากน้อย ถ้าไม่มีเสียเลยไขว่คว้าไปที่ไหนก็ไม่มี ทีนี้เป็นยังไง ความหิวโหยอดอยากมันก็ยิ่งหมุนเข้ามาๆ การไขว่คว้าหาอะไรมาสนองตอบแทนความหิวโหยมันก็ไม่มี อันนี้จิตใจไขว่คว้าหาหลักหาเกณฑ์ หาความดีงาม หาความสุขความเจริญ ไขว่คว้าไปที่ไหนก็ไม่มีๆ เพราะไขว่คว้าไปตามกิเลส ทีนี้สารคุณก็ไม่มี ตายไปด้วยความหิวโหยโรยแรงแบบเหลวไหลโลเล ไม่มีหลักมีเกณฑ์

จิตนี้ให้แน่ใจไว้เลยนะว่าพร้อมที่จะเกิด ตายเมื่อไรปั๊บเกิดทันทีๆ ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยว ไม่มีคำว่าฉิบหาย ตายลงปั๊บเกาะปุ๊บเลย ภพใดชาติใดเกาะด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตัว ถ้ามีกรรมดีก็ติดปั๊บไปเลยไปทางดีเลย มีกรรมชั่วความชั่วติดปั๊บไปทางชั่วเลย ไม่อยากไปก็จะเป็นยังไง มันไม่รู้นะว่าอยากไปหรือไม่อยากไป เพราะกรรมนั้นลากไปเอง ไปเกิดภพใดแดนใดก็มีแต่ภพไม่สมหวังๆ นี่เพราะความโลเลของจิตใจ ไม่หาหลักยึดไว้เสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่

นี่เราเกิดในพุทธศาสนา เป็นวาสนาเลิศเลอสุดยอดแล้วในอัตภาพแห่งมนุษย์ของเรา อย่าปล่อยวางให้เสียไปสูญไปนะ อันนี้เป็นเลิศเลอ เป็นธรรมของศาสดาทุกๆ พระองค์สอนมาเลิศแบบเดียวกันหมด ให้ยึดเอาไว้เป็นหลัก เรื่องกิเลสมันก็เลวแบบเดียวของมันนั่นแหละ มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์เช่นเดียวกับธรรม เป็นคู่แข่งกันมาอย่างนี้ เรียกว่าสองฝั่ง ฝั่งนั้นเป็นกิเลส ฝั่งนี้เป็นธรรม ให้ยึดฝั่งธรรมให้แน่นหนามั่นคง อย่าไปคว้าเอาฝั่งกิเลสจะพากันจมทั้งโลกทั้งสงสาร หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ให้ยึดหลักคือบุญกุศล-ธรรมภายในใจ นี้เป็นหลักใจ

เรื่องที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าเขาว่าเรามีความทุกข์ความจนเหมือนๆ กันหมดในโลกอันนี้ เราอย่าว่าโลกไหนจะเป็นโลกที่เจริญรุ่งเรืองสมบูรณ์พูนผล นึกอะไรได้ตามนึกตามหมาย ไม่มี ต้องดีดต้องดิ้น โลกอันนี้เป็นโลกขวนขวาย ไม่ขวนขวายไม่ได้ ต้องขวนขวายหามาถึงจะมีจะเกิดให้ได้ใช้สอย นี่เราก็ต้องขวนขวายหาคุณงามความดี เราจะไปล้างมือเปิบบนสวรรค์-นิพพานโดยไม่เสาะแสวงหาความดีงามไม่มีทาง เรียกว่าท้องแห้งถ้าว่าท้องก็ดี แห้งตลอดไปเลย ต้องได้เสาะแสวงหามาตั้งแต่บัดนี้

จิตนี้สมบุกสมบัน ท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตายไม่มีหยุดมีถอยมากี่กัปกี่กัลป์ คนคนหนึ่งนับไม่ได้นะว่าท่องเที่ยวเกิดตายมานี้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ หมุนกันอย่างนี้ แต่ตัวเองไม่รู้ ร่องรอยที่เป็นมายังไงถูกกิเลสลบหมดๆ ไม่ให้รู้เลย แล้วก็มีแต่ใหม่เอี่ยมไปเรื่อยๆ เจออะไรก็ตื่นกันไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เป็นของเก่า แต่มันไม่รู้มันก็เข้าใจว่าเป็นของใหม่ คว้าไปเรื่อย หลงไปเรื่อยอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงให้ยึดหลักใจ มีจิตตภาวนา

เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐานเสียด้วย อาจารย์ที่สอนก็หลวงตาบัว เดี๋ยวนี้หลวงตาบัวกำลังสอนท่านทั้งหลาย สอนด้วยความทุ่มเทลงหมดหัวใจที่ได้ปฏิบัติมา ไม่สงสัยแล้วในพุทธศาสนา เต็มหัวใจทุกอย่าง มรรคผลนิพพาน นรกสวรรค์หายสงสัยทั้งหมด กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบทีเดียว เพราะเป็นที่แน่อยู่ในหัวใจ พระองค์ทรงทราบมาก่อนหมดแล้วๆ พอเราทราบปั๊บนี่วิ่งถึงกันหมด พระองค์สอนไว้แล้วแต่เมื่อไร นี่ละที่มาสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เราจึงสอนด้วยความแน่ใจ ไม่ได้สงสัย เรื่องบาปเรื่องบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ทรงสอนมาก่อนพวกเราเรียบร้อยแล้ว

นี่สอนให้รู้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ อย่าฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าฝืนเป็นการทำลายตัวเองทันทีๆ ใครเดินตามพระพุทธเจ้าโดยที่ท่านสอนไว้แล้วยังไงให้บึกบึนไปตาม นั้นชื่อว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดไป จะตามเสด็จช้าเร็วก็เอาตามกำลังของเรา แล้วก็ถึงเองถ้าตามพระพุทธเจ้า ถ้าตามกิเลสแล้วจมตลอดๆ นะ โลกทุกวันนี้ยิ่งกิเลสหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ มองหาอรรถหาธรรมแทบไม่เห็นในแดนมนุษย์เรา เราอยากจะพูดให้เต็มหัวใจอย่างนี้เลย

ยิ่งพิจารณาเวลาสงัด ๆ เอาเปิดเสียบ้างวันนี้น่ะ สิ่งที่โลกไม่เห็น สิ่งที่โลกไม่รู้แต่หัวใจมันรู้เต็มหัวใจ จากจิตตภาวนาเป็นพื้นฐานทีแรกจนได้ผลขึ้นมาเป็นที่พอใจ ได้รู้ได้เห็นสิ่งใดหายสงสัยๆ แม้จะเกิดมากี่กัปกี่กัลป์ไม่เคยเห็นก็ตาม พอเจอเข้าปั๊บหายสงสัยทันทีๆ นี่เวลาได้พิจารณาลงไปนี้มองดูจิตใจ จิตใจนี้เป็นยังไง มันสว่างจ้าครอบโลกธาตุ เอา ฟังท่านทั้งหลาย หลวงตากำลังจะตายอยู่แล้วไม่นานนะ เอาธรรมเหล่านี้มาโกหกท่านทั้งหลายหรือ ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย จะถึงขั้นสลบไสลก็เคยพูดให้ฟังแล้ว

ทุกข์แสนสาหัสในการบำเพ็ญธรรม เพื่อความหลุดพ้นแก่ตัวเองแล้วก็เพื่อโลกทั่วๆ ไป จะได้รับผลประโยชน์เต็มกำลังตามความสามารถของตนๆ เราได้บึกบึนเต็มกำลัง ทุกข์ในอัตภาพร่างกายของมนุษย์นี้ไม่มีทุกข์ใดจะหนาแน่นหนักมากยิ่งกว่าทุกข์ด้วยการภาวนา ทุกข์รักษาศีลรักษาธรรมธรรมดาก็เป็นธรรมดา ไม่ได้มากมายนัก แต่ทุกข์เพราะการฝึกฝนทรมานฆ่ากิเลสนี้ทุกข์มากที่สุดเลย บางคราวถึงเอาเป็นเอาตายใส่กันเลยเชียว เอา ถ้ากิเลสไม่ตายเราต้องตาย ซัดกันเลย ๆ นี้เอาเรื่อยนะอันนี้

นี่ละทุกข์ขนาดนั้น เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ในเวลา ๙ ปีที่เราได้ปฏิบัติฆ่ากิเลสมาตั้งแต่เริ่มขึ้นเวที หลังจากได้รับโอวาทพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างถึงใจแล้วก็ถึงใจตลอด เรื่องความพากความเพียรเอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่มีลดหย่อนอ่อนข้อกันตั้งแต่บัดนั้นมาเป็นเวลา ๙ ปี นี่เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นๆ ตลอดเลย บางทีก็มาตำหนิเจ้าของก็มี นี่ละกิเลสนะมันตำหนิเจ้าของ เอ้อโลกสงสารเขาก็อยู่สะดวกสบาย ทำไมเราจึงมาอยู่ด้วยความทุกข์ความทรมานที่โลกทั้งหลายเขาไม่ประสงค์เลย ทำไมเราถึงมาบึกมาบึน ได้รับความทุกข์ความทรมานถึงขนาดนี้ อย่างนี้ละกิเลสมันแทรกขึ้นมากล่อมใจเราให้เราอ่อนแอ

ทางนี้ก็รับกันปึ๋ง โลกเขาอยู่สะดวกสบายก็สะดวกสบายตามโลก เราทุกข์ก็ทุกข์เพื่ออรรถเพื่อธรรม เอา ทุกข์ถึงไหนถึงกัน พ้นจากโลกไปก็เพราะอรรถเพราะธรรม เอาจะเอาตัวเองให้พ้นจากโลก ทุกข์ขนาดไหนเอาทุกข์ไป แน่ะมันแก้กันนะ ทุกข์แบบนี้เราไม่เคยทุกข์เพื่อธรรมทั้งหลายนี้ นี่ละมันฟัดกันไปฟัดกันมา เรื่องกิเลสนี้เวลามันหนาแน่นหนาจริงๆ นะ เอาตัวนี้ออกยันเลย ตั้งแต่เบื้องต้นที่ฝึกทรมานล้มลุกคลุกคลาน ร้องห่มร้องไห้อยู่บนภูเขา สู้กิเลสไม่ได้ๆ นี่เอามาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังกี่ครั้งแล้ว มาเล่านี้ก็เพื่อเป็นคติตัวอย่างจากการที่เราสู้ไม่ถอยเป็นคติได้ดี สู้ได้ว่างั้นเลย

โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลาจะเป็นจะตายสู้กิเลสไม่ได้ น้ำตาร่วงกลับมาหาท่าน ท่านอบรมอีกกลับไปอีก เอาอีกหงายมาอีก สองหงายสามหงาย นี่ละพูดให้ท่านทั้งหลายฟังชัดเจน ไม่ใช่ว่าเอาทีหนึ่งทีเดียวได้นะ ล้มทั้งหงายกลับไป กลับมาอีก นึกว่าเกรียงไกรแล้วขึ้นไปยังไม่ได้ยกครู กิเลสเตะทีเดียวตกฟากเวที เอากลับมาอีกสู้มันไม่ได้ หลายครั้งหลายหน เพราะความบึกบึนนั่นเองละเป็นสำคัญมาก ถ้าเราถอยเสียอย่างเดียวแหลกเลย กิเลสยำแหลก แต่นี้ไม่ถอย สู้คราวนี้ไม่ได้เอาๆ ใหม่ฝึกใหม่ กลับมาอีกๆ หลายครั้งหลายหน พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป จากนั้นก็ก้าวละที่นี่

นี่พูดให้ฟังวิธีการฆ่ากิเลส ไม่มีงานใดในโลกนี้จะหนักยิ่งกว่างานฆ่ากิเลส ท่านทั้งหลายอย่าเอางานทางโลกมาอวดนะ ให้เอากิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวที คือจิตตภาวนาเสียก่อน จะทราบได้ชัดว่างานหนักงานเบาขนาดไหน งานฆ่ากิเลสนี้เป็นงานที่หนักมากที่สุดสำหรับคนเราที่มีนิสัยสามัญธรรมดา แต่ท่านผู้มีนิสัยแก่กล้าสามารถที่จะรู้ได้อย่างรวดเร็วนั้นมี เช่น ขิปปาภิญญา เป็นผู้บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว

สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติทั้งสะดวกทั้งรู้ได้เร็ว อย่างนี้ก็มี

ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว อย่างนี้ก็มี

ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า อย่างนี้ก็มี

ไอ้เรามันปฏิบัติแบบไหนก็ไม่รู้ละ แบบถูไถกันไป เรียกว่าแบบตกนรกทั้งเป็น พูดอย่างนี้เลย ก็ไม่พ้น ได้มาจนได้นั่นแหละ ปฏิบัติไปๆ หนักเข้าๆๆ แดนอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นที่ใจละซิ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยพบเคยเห็น ก็มาพบมาเห็นในเวลาขึ้นเวทีภาวนาฟัดกับกิเลสนั้นแหละ แดนอัศจรรย์ก็เห็น ความทุกข์ลำบากแสนสาหัสที่สุดก็เห็นบนเวทีนั่นแหละ และแดนอัศจรรย์ที่ได้ผลเกิดขึ้นจากการภาวนาไม่คาดไม่ฝันก็จะเจอกันบนเวทีนั่นแหละ นี่ละถึงได้เล่าทั้งสองอย่าง

จากนั้นจิตของเราก็มีกำลังมากขึ้นๆ ทีนี้เรื่องกิเลสที่มันหนาแน่นบีบเราอยู่ตลอดเวลามันก็อ่อนตัวลงๆ สุดท้ายกลายเป็นเราบีบกิเลสละที่นี่นะ คำว่าบีบกิเลสบีบยังไง ถึงขั้นสติปัญญาที่มีความเกรียงไกรทุกอย่างแล้วนี้ กิเลสเหมือนมันหมอบไปบ้าง เหมือนไม่มีบ้าง คือมันไม่มีกำลังมาต่อต้านกับเรา ซัดกันไปซัดกันมาบางครั้งกิเลสสงบเงียบไปเลย หายเงียบ มีแต่จิตใจสว่างจ้า จ้าอยู่ในธรรมขั้นนั้นนะ แต่ไม่ใช่ธรรมขั้นหลุดพ้น มันสว่างจ้าอยู่ในนั้น บางทีขึ้นในหัวใจ เหอ กิเลสมันไปไหนหมด ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มันเป็นจริงๆ นะนี่มาเล่าให้ฟัง คือกิเลสเงียบหมดเลย มีแต่จิตใจสว่างจ้าอยู่ภายในตัวเอง เหอ กิเลสไปไหนหมด ไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ

แต่ไม่สำคัญตัวนะว่าเป็นพระอรหันต์ คือรู้อยู่ว่ากิเลสยังมีอยู่นั่นแหละ แต่เวลานั้นกิเลสมันหมอบ เราถึงออกว่า เหอ ไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ สักเดี๋ยวกิเลสโผล่ขึ้นมาก็ซัดกันอีก เลยลืมอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ฟัดกันเลยๆ ไม่หยุดไม่ถอย สติ-ปัญญามีความเกรียงไกรเท่าไรเรื่องกิเลสนี้อ่อนตัวลงเป็นลำดับ แต่ก่อนกิเลสนี่ โห หนาแน่น นั่งร้องไห้อยู่บนภูเขา ฟังซิ สู้มันไม่ได้ ทีนี้ถึงขั้นที่เราสู้มันได้แล้ว จนกระทั่งถึงว่าได้ค้นหามัน เหอ มันไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ กิเลสไปไหนหมด มันหมดหรือไม่หมด ความจริงมันยังไม่หมด เราก็รู้มันยังไม่หมด

นี่ละเวลามันอ่อนตัว แย็บออกมาขาดสะบั้นเลย นี่ละสติปัญญาขั้นนี้จะรู้จากผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาตามขั้นแห่งธรรมของตน ธรรมขั้นสติปัญญาแก่กล้าสามารถนี่กิเลสผ่านไม่ได้เลย เป็นเอง ฆ่ากิเลสฆ่าเอง เป็นอัตโนมัติในการฆ่ากิเลสของธรรม พอแย็บนี้ขาดไปแล้วๆ นี่ละถึงขั้นธรรมมีกำลังเป็นอัตโนมัติเหมือนกันกับกิเลสมีกำลัง มันเป็นอัตโนมัติฉุดลากสัตว์โลกไปทั่วโลกดินแดนนี้ โดยอัตโนมัติของมัน หัวใจทุกดวงกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ฉุดลากสัตว์ทั้งหลายไปโดยอัตโนมัติ

ทีนี้เวลาเรามาฝึกนี้ก็เป็นแบบนี้ละ ทีแรกธรรมก็อย่างที่พูด เอาเราเป็นตัวอย่างเลย ตัวอย่างชั่วหรือดีก็แล้วแต่ท่านทั้งหลาย นั่งร้องไห้อยู่บนภูเขา สู้กิเลสไม่ได้ นี่ก็เป็นอันหนึ่ง ทีนี้เวลาเข้าถึงขั้นที่ถามหากิเลส มันก็ใจดวงนี้แหละ เหอ มันไปไหนหมดกิเลส มันไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ เวลามันแก่กล้าสามารถสติปัญญาเกรียงไกร สติ-ปัญญาอัตโนมัติ มหาสติ-มหาปัญญาเข้านี่แล้วกิเลสตัวไหนผ่านไม่ได้เลย เป็นขาดสะบั้นลงโดยไม่ต้องได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะทำลายมันละ มันหากเป็นด้วยหลักธรรมชาติของธรรมหรือกิเลสฟัดกันเองโดยอัตโนมัติ เพราะมันมีกำลังกล้าแล้ว สุดท้ายฟาดเสียกิเลสจนขาดสะบั้นลงไป จ้าขึ้นมาบนหัวใจ พระอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่หายหมดเลย ไม่ถาม ตั้งแต่บัดนั้นไม่ถาม จนกระทั่งบัดนี้ ไม่ทราบอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่สอนเต็มภูมิของตัวเองโดยไม่ต้องสงสัย

นี่มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้สอนด้วยความไม่สงสัยทุกอย่าง การตำหนิติเตียนก็ดี การชมก็ดีเป็นธรรมล้วนๆ ในธรรมทั้งหลายจะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด กิริยาอาการของผู้สิ้นกิเลสแล้วแสดงออกมาจะไม่เป็นภัยต่อโลกเลย ไม่มี จะเป็นกิริยานิ่มนวลอ่อนหวานหรือกิริยาขึงขังตึงตังเหมือนจะกัดจะฉีกก็ตาม เป็นกิริยาของธรรมแสดงตัวเพื่อเป็นคติของโลก เพื่อเป็นความสงบร่มเย็น หรือเป็นน้ำดับไฟแก่โลก หรือเป็นน้ำที่ชะล้างของสกปรกของหัวใจของโลกเท่านั้นเอง ให้เป็นเรื่องเป็นพิษเป็นภัยไม่มี

พอจิตสิ้นโทษคือกิเลสออกจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วทุกอย่างเป็นธรรมหมด ในใจก็เป็นธรรม กิริยาอาการถึงจะเป็นอาการใดๆ ตามจริตนิสัยที่เคยเป็นมาตามนิสัยของคนเราก็ตาม แต่นิสัยนั้นธรรมครอบอยู่แล้ว จะเป็นนิสัยใดก็ตามเป็นธรรมล้วนๆ ด้วยกันหมด ไม่มีกิเลสเจือปน นี่พูดให้ฟังอย่างชัดเจน เวลามันหนาแน่นหนาแน่น เวลามันเปิดเปิดหมดจริงๆ ไม่มีอะไรสงสัย คำสอนของพระพุทธเจ้า บาป บุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน หายสงสัยทั้งหมด พูดอยู่คนเดียว ใครไม่รู้ไม่เห็นเขาก็ไม่พูด เรารู้เราเห็นเราก็พูดตามความรู้ความเห็น จะว่ายังไง

นี่ละธรรมเป็นของเลิศเลอขนาดนี้แล้ว ให้พากันยึดกันเกาะ อย่าคว้าตั้งแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาบ้านเผาเมือง เผาซึ่งกันและกันด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ตามืดตาบอดตามัว สำคัญว่าตัวยิ่งตัวใหญ่ตัวอำนาจบาตรหลวงมาก นี่ละตัวกิเลสตัวนี้เป็นตัวฟืนตัวไฟเผาชาติบ้านเมืองได้ อย่างในเมืองไทยของเรานี้เผาชาติได้ เผาศาสนาได้ เผาพระมหากษัตริย์ก็ได้ กิเลสตัวใหญ่ๆ นี้ไปอยู่กับคนผู้ที่เขาเสกสรรปั้นยอขึ้นว่าเป็นผู้ใหญ่ให้ปกครองบ้านเมืองเพื่อความสงบร่มเย็น กลับมาเป็นฟืนเป็นไฟกองใหญ่เข้าเผาบ้านเผาเมืองก็ได้ เรื่องของกิเลสอันนี้นะ

ถ้าหลงตามมันเมื่อไรแล้วหลงทั้งนั้น อย่างมันหลงอยู่เวลานี้ ไม่ว่าเขาว่าเรา หลงอำนาจ หลงความรู้ความฉลาด หลงไปทุกอย่าง ลืมเนื้อลืมตัวไปทุกอย่าง กิเลสทำให้หลงทั้งนั้นละ ถ้าธรรมแล้วไม่หลงไม่ลืม จะใหญ่ขนาดไหนธรรมแทรกอยู่ตลอด มีความรู้สึกตัวตลอด ปกครองบ้านเมืองก็ปกครองไปด้วยความสงบร่มเย็นให้สม่ำเสมอกัน โดยถือว่าชาติทั้งชาตินี้เราเป็นผู้ใหญ่ปกครองบ้านเมือง ทำไมชาติของเราจะมีความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน ให้พยายามขวนขวายในทางนั้น

ไม่ขวนขวายเพื่อความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่พุงของตัวและพวกของตัว และบีบบี้สีไฟประชาชนให้เกิดความเดือดร้อนทั่วทั้งแผ่นดิน โดยตัวเองขึ้นไปนั่งกินโต๊ะกันสองสามคน เอาตับเอาปอดประชาชนมากินโต๊ะเลี้ยงกัน อย่างนี้ใช้ไม่ได้เลย เลวที่สุด ขอให้นำไปพินิจพิจารณา ยิ่งวงราชการด้วยแล้วควรจะพิจารณาอย่างนี้ให้มาก ประชาชนเขาพึ่งเขาอาศัย จุดสำคัญอยู่ที่ผู้ใหญ่ในการปกครอง ถ้าผู้ใหญ่ไม่เป็นธรรมเสียอย่างเดียวประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ นอกจากนั้นศาสนา พระมหากษัตริย์ก็จะเดือดร้อนฉิบหายไปตาม ๆ กันจากบ้าอำนาจบาตรหลวงอันใหญ่หลวงนี้แหละ

ให้รู้ตัวนะอย่าเป็นบ้าอำนาจ ถ้าเป็นบ้าอำนาจเป็นได้อย่างนี้แหละ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าลงมันเป็นบ้าแล้วมันเป็นไปได้หมด บ้าอำนาจ บ้าโลภ บ้าลืมตัว บ้าลืมฐานะของตัว ลืมว่าเราเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดานะ ที่เขายกยอให้เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองนี้เรามันเป็นมนุษย์หรือเทวดาน่ะ มันลืมตัวแล้วหรือ กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพญาราชสีห์ เป็นยักษ์เป็นผี เป็นเพชฌฆาตสังหารชาติบ้านเมืองไปเสีย ถ้าเป็นรัฐบาลเขาก็เรียกรัฐบาลเพชฌฆาต รัฐบาลสังหารบ้านเมือง ไม่มีใครประสงค์เลย ขอให้พินิจพิจารณา

ชาติไทยอยู่ด้วยกันมีความสุขความเจริญมากน้อยเพียงไร กระเทือนมาจากผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่มีศีลมีธรรมเสียอย่างเดียวผู้น้อยก็เห็นอกเห็นใจ ถึงจะจนก็จนไปด้วยกัน มีก็มีไปด้วยกัน อย่าเอาความยิ่งใหญ่มาใส่ตน แล้วเอาฟืนเอาไฟไปเผาไหม้ประชาชนราษฎรทั่วประเทศให้เขาเดือดร้อน อย่างนี้ไม่สมควรแก่ความเป็นผู้ใหญ่ที่เขายกย่องขึ้นมาด้วยการหย่อนบัตรทั่วประเทศ ให้เห็นใจเขา บัตรของเขานั้นคือน้ำใจของเขา หย่อนมาหาเรานี้หย่อนมาเพื่ออะไร เพื่อยกเราให้เป็นผู้ใหญ่ให้ปกครองบ้านเมืองให้เป็นความสงบร่มเย็น เขาหย่อนเข้ามาอย่าถือเป็นดาบเป็นอะไรกลับฟันคอฟันหมดทั้งร่างให้ฉิบหายวายปวง ไม่สมควรแก่ความเป็นผู้ใหญ่

ให้มองหน้ามองหลัง ความเป็นผู้ใหญ่ต้องมีความเฉลียวฉลาดรอบคอบ มีธรรมแทรกในหัวใจ ถ้ามีตั้งแต่อำนาจเฉยๆ ก็เป็นอำนาจป่าเถื่อน กลายเป็นยักษ์ไปเสีย ไม่ใช่เป็นผู้ปกครองประชาชนให้มีความสงบร่มเย็น มันกลายเป็นยักษ์เป็นผี เป็นโจรเป็นมาร เป็นรัฐบาลเพชฌฆาตไปเสีย นี่ให้คำนึงมากๆ ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่ เช่นในวงรัฐบาลต้องคิดให้มากกว่าประชาชนทั้งหลาย เพื่อความสงบร่มเย็นแก่ประชาชน อย่าไปคิดมากตั้งแต่เรื่องกอบเรื่องโกย เรื่องรีดเรื่องไถ กินประชาชน ด้วยอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ มาบีบบี้สีไฟประชาชน อย่างนั้นแม้แต่หมาเขาก็ไม่ต้องการความคิดประเภทนั้น ผู้ใหญ่ที่ปกครองบ้านเมืองจึงไม่ควรจะนำมาใช้ให้โลกมนุษย์เราซึ่งมีหัวใจด้วยกันได้เห็น ได้เอือมระอา

ให้ตั้งหน้าตั้งตา ถ้าผิดพลาดไปประการใดให้รีบแก้ไขเพื่อชาติไทยของเรา รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลของชาติไทย คนไทยทั้งชาติอาศัยรัฐบาล รัฐบาลเป็นผู้ปกครองชาติไทยให้มีความแน่นหนามั่นคง ร่มเย็นตลอดทั่วหน้ากัน ไม่ใช่เป็นรัฐบาลมาสังหารชาติบ้านเมือง ให้ต่างคนต่างคิด ฝ่ายผู้ใหญ่ก็ให้คิด ฝ่ายผู้น้อยให้คิด

นี่ละเรื่องธรรม ธรรมเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเหนือธรรม ธรรมท่านพูดอย่างตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เพราะธรรมนี้เหนือทุกอย่างแล้ว เรียกว่าธรรมสอนโลก สำหรับเรานี้มันไม่ได้เหนือกันนะ กิเลสมีได้ด้วยกัน มันกัดกันเหมือนหมาไม่ผิดกันเลยละ ถ้ามีธรรมแล้วจะไม่กัด สิ่งใดดีงามแล้วจะมาประพฤติปฏิบัติต่อกันให้เป็นความสงบร่มเย็น วันนี้ได้พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมเกี่ยวมาจนกระทั่งถึงทางชาติบ้านเมืองของเรา การปฏิบัติธรรมเราก็ได้เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว การเทศนาว่าการเราหายสงสัยทุกอย่าง ไม่มีอะไรสงสัย เทศน์ด้วยความแม่นยำของใจ เทศน์ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใดไม่สงสัย มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว จึงสอนออกมาด้วยความถูกต้องแม่นยำ

จึงขอให้นำไปปฏิบัติทุกผู้ทุกคน สมกับเราเกิดมาพบพุทธศาสนาเป็นวาสนาอันเลิศเลอแล้ว ให้นำไปยึดไปปฏิบัติทุกคน ได้มากได้น้อยให้พยายามอุตส่าห์ทุกคน อย่าเห็นแก่กิเลสเป็นหัวหน้าอย่างเดียวแล้วธรรมฉิบหายภายในใจ จะมีแต่ไฟเผาหัวอกตลอดไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า จะไม่มีจุดหมายปลายทาง เกิดตายที่ไหนหาจุดหมายปลายทาง หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ คนไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีศีลมีธรรมภายในใจ มีแต่กิเลสรุมล้อมภายในจิตใจ ไปที่ไหนกิเลสเผาเอาๆ ภพใดชาติใดไม่พ้นที่กิเลสจะเผาที่หัวใจนั่นแหละ ให้พากันทราบเสียตั้งแต่บัดนี้

พูดเท่านี้ก็พอสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ (สาธุ)

ทองคำวันที่ ๖ เมื่อวานทองคำได้ ๔๘ บาท ๑๒ สตางค์ วันที่ ๗ กรกฎา ทองคำที่ได้ทั้งวันวันนี้ ๕ บาท ๙๕ สตางค์ ทองคำตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนาถึง ๗ กรกฎาวันนี้ได้ ๓ กิโล ๑๔ บาท ๙๗ สตางค์แล้วนะ ตั้งแต่วันหลวงตามาถึงวันนี้ มันจะค่อยไหลซึมเข้ามา เสร็จแล้วให้พร


รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก