เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
อะไรมาก็เหยียบหัวเมืองไทย
หลวงตา นั่นเห็นไหมล่ะ เราไปเยี่ยมหลวงพ่อสังวาลย์วันนี้ ท่านตามมาทอดผ้าป่าให้เรา ดีไม่ดีวันพรุ่งนี้เราอาจไปอีกก็ได้
โยม ลูกศิษย์ชาวสิงคโปร์เจ้าค่ะ ลูกศิษย์หลวงปู่สังวาลย์ชาวสิงคโปร์ ถวายมาเป็นเงิน ๗๙๐ เหรียญสิงคโปร์ เหรียญหนึ่งประมาณ ๒๕ บาท
หลวงตา โธ่ เก่งอยู่นะ หัวคนไทยต่ำไหม อันไหนมาก็เหยียบหัวคนไทยๆ เขาสูงกว่าเราตลอดๆ เรียกว่าเขาเหยียบหัวเรา เข้าใจหรือเปล่าล่ะ อันหนึ่งเราดีใจ อันหนึ่งเราเสียใจมันแทรกอยู่ในนั้น ให้รักนวลสงวนตัวนะชาติไทยของเรา อะไรมาๆ ก็เป็นน้อยกว่าเขาๆ ไม่ได้มีความสะกิดใจตัวเองบ้างพอจะตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมา ถ้าอ่อนเปียกไปเรื่อย ก็เรียกว่าก้มหัวให้เขาเหยียบไปเรื่อย อะไรมาๆ ก็เหยียบหัวไป หัวคนไทยต่ำ
เอาไปพิจารณาซิที่พูดเหล่านี้ผิดหรือถูก เอาไปพิจารณากันนะ เราเป็นเนื้อเป็นหนังเราเต็มตัวๆ ด้วยกันทั้งชาติไทยเลย แล้วเป็นยังไงจึงต่างคนต่างทั้งชาติก้มหัวให้ต่างประเทศ มาจากที่ไหนก็เหยียบไปๆ ข้ามไป เหยียบไป ข้ามไป โดยที่คุณค่าของเขาสูงกว่าของเราๆ มันเสียตรงนี้ พากันคิดบ้างนะ ไม่คิดจะก้มตลอดไป ให้พากันคิดทั้งประเทศ ไม่คิดจะก้มตลอดไปให้เขาเหยียบตลอดไป ทุกสิ่งทุกอย่าง สินค้าต่างๆ นานามีคุณค่าสูงกว่าเมืองไทยๆ ตลอดเงินเหล่านี้ ออกมาจากทางไหนๆ เท่านั้นเหรียญเท่านี้เหรียญ เหยียบหัวเมืองไทยไปเลย
เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดได้อ่านในเรื่องเหล่านี้ด้วยนะ นี่ละธรรมกระจายไปให้เห็น ตอนไหนๆ ที่จะรักนวลสงวนตัวเราต้องรักนวลสงวนตัว ไม่ใช่อะไรๆ ก็หมอบเลย ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ธรรม ธรรมเช่น อย่างเราทำความเพียรวันนี้แพ้กิเลส แพ้กิเลสมาฟิตตัวใหม่ เอาให้ชนะ วันนี้ไม่ชนะไม่นอน สุดท้ายก็ชนะ ถ้าหากวันนี้สู้ไม่ได้แล้วนอนวันหลังนอนตายเลย เข้าใจไหม ไม่ใช่นอนธรรมดา ไม่ต้องมีพระมากุสลา มันตายไม่มีค่ามีราคา
มานิมนต์หลวงตาบัวไป กุสลา ธมฺมา เราจะส่งไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หยอง ไปแทน ให้มันไปเห่าว็อกๆ ใส่ เข้าใจไหม กุสลา ธมฺมา ของไอ้ปุ๊กกี้ไอ้หยอง เสียงกุสลาของมันมันจะ ว็อกๆๆ เป็นยังไงมันตายทั้งเป็น แพ้ตลอด แพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที ใช้ไม่ได้ ไอ้ปุ๊กกี้ไอ้หยองเรามันขู่เอา เข้าใจไหม ว็อกๆ นั่น จำให้ดีนะ อยู่ที่ไหนก็อ่อนกว่าเขาๆ ให้ฟิตเนื้อฟิตตัวตั้งใจบ้างซิคนเรา ถือพุทธศาสนาด้วยซ้ำนะ ศาสนานี้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปทางลบหรือทางบวก จะแก้ไขทันทีๆ เลย นี่เรื่องพุทธศาสนา
ที่จะยอมอ่อนแพ้ไปเลยนี้ไม่มี ผู้ตั้งใจปฏิบัติ เช่น พวกปฏิบัติธรรมะเพื่อมรรคเพื่อผลจริงๆ นี้ ซัดเข้าไปว่าแพ้ไม่ได้ แพ้ไม่ได้เลย ถ้าวันไหนแพ้ก็ เอาๆ ยอมรับวันนี้แพ้เพราะเหตุผลกลไกอันนั้นทำให้แพ้ เช่น ธาตุขันธ์ชำรุดทรุดโทรม ไม่ดี การประกอบความพากเพียรก็ไม่สะดวก กิเลสมันไม่มีโรคมีภัย มันมีโรคมีภัยแต่ผู้ปฏิบัติธรรม เจ็บท้อง ปวดศีรษะ วันนี้กินมาก ง่วงเหงาหาวนอนมาก แล้วขี้เกียจมาก นี่ละเรื่องธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมเลยอ่อนแอลงๆ กิเลสมันยิ่งเหยียบไป อ่อนลงไป กูจะ กุสลา ทั้งเป็นให้หมดนี่จะว่าอย่างนั้นเลย ชาวพุทธเรานี่
ธรรมะท่านไม่เป็นอย่างนั้นนะ พลิก พลิกเรื่อยๆ อย่างที่พูดอยู่เวลานี้และที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายดูกิริยาเอาซิ เป็นกิริยาอ่อนแอท้อแท้ไหมที่มาสอนอยู่ทุกวันนี้ ขึงขังตึงตังเหมือนจะกัดจะฉีก ทั้งๆ ที่ไม่มีกิเลสตัวเดียวพอจะโมโหโทโสให้ใครนะ แต่เป็นไปด้วยความเมตตาล้วนๆ เป็นอย่างนั้นละ เด็ดๆ กิริยาท่าทางพุ่งๆ ออกมาเพื่อปลุกจิตปลุกใจให้มีกำลังวังชาต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยต่อเรา มันเหยียบหัวเราตลอดเวลา คือกิเลสทั้งหลายนั้นแหละ ไม่เช่นนั้นไปไม่รอดนะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว นำมาปฏิบัติขึ้นเวทีถึงได้รู้กันชัดเจน
เวลาขึ้นเวทีกับกิเลสก็เหมือนนักมวยเขาต่อกรกัน ใครก็หวังชนะอย่างเดียวกัน นักมวยที่เขาต่อกรกันเขาไม่ได้กลัวกันนะ ที่เขาขึ้นต่อกรกันบนเวทีเขาไม่ได้กลัวกัน ต่างคนต่างหวังชนะ ฟัดกันตลอดเลย ส่วนแพ้ชนะมันจะเป็นตามกำลังวังชาไหวพริบปัญญาของคน แต่เรื่องจิตใจนี้หวังชนะตลอด ทั้งสองนักมวยที่ต่อกรกันนั่นแหละ อันนี้การสู้กับกิเลสก็เหมือนกัน แพ้ชนะมันก็ฟัดกันเต็มเหนี่ยวๆ นั่นละ อ่อนข้อไม่ได้นะ กิเลสไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย เรานี้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย วันนี้เหนื่อย นี่เจ็บไข้แล้ว ไข้เหนื่อย วันนี้ธาตุขันธ์ไม่ดี เอาอีกแล้ว มีแต่ให้กิเลสเหยียบเอาๆ
ผู้ปฏิบัติท่านพิจารณาของท่าน ฟิตไปฟิตมา พลิกหลายสันพันคม ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน เราจะเห็นกิเลสที่มีความละเอียดแหลมคมสมควรที่จะเป็นมหาอำนาจครองโลกวัฏจักรนี้ได้ก็ให้ขึ้นเวทีด้วย กิเลสหลายสันพันคมมากทีเดียว เมื่อได้ประกอบความพากเพียร ธรรมมีกำลังแล้วฟัดกันนั่นละ รู้กันตรงนั้น กิเลสมันแหลมคมมากก็รู้ตอนที่ปัญญาแหลมคมตามๆ กันไป หรือเหนือกันไปเรื่อย ทีแรกก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป ทีแรกล้มทั้งหงายๆ เรียกว่าล้มหงายหมา เข้าใจไหม ครั้นต่อมาสู้ไม่ถอยก็เป็นล้มแมว ล้มแมวนี่มันตบได้นะ ล้มหมาร้องแง็กๆ เคยเห็นไหม ล้มแบบหมา หมาล้มมันล้มทั้งหงาย ไม่มีตบเลย ส่วนแมวนี้ล้มมันตบได้นะ พวกเรานี้ล้มแบบหมา เข้าใจไหม ล้มลงหมอน ครอกๆ นั่น ไม่มีคำว่าคู่ต่อสู้ ใช้ไม่ได้นะ
พอเอาธรรมะมาพูดกับโลกที่อ่อนเปียกๆ ไปด้วยกิเลสเหยียบย่ำทำลายนี้ แหม มันสลดสังเวชนะเรา เพราะเคยขึ้นฟัดมาเต็มเหนี่ยวแล้ว ถึงได้มาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง ไม่ใช่มางูๆ ปลาๆ มาเทศน์เพื่อโอ้อวดอย่างนั้นอย่างนี้เราไม่มีอย่างนั้น ผ่านมาทุกอย่างแล้ว จึงได้เห็นทั้งเรื่องกิเลสเรื่องธรรม ว่าอะไรฉลาดแหลมคมต่างกันอย่างไรบ้าง ขึ้นฟัดกันบนเวทีรู้กันทันทีเลย เอา มันพลิกอย่างไรๆ สติปัญญามันจะหมุนของมันทันกันตลอดเวลา สุดท้ายถึงขั้นมันจริงๆ แล้วมันไม่หลับไม่นอนนะ เรื่องธรรมหมุนฟัดกับกิเลส เพราะกิเลสมันไม่นอนละ มันคอยฟัดเราอยู่เรื่อยๆ แต่เรามันอ่อนเพลียซิ มันก็มีพักผ่อนนอนหลับบ้าง
ทีนี้เวลามันมีกำลังมากแล้วๆ เห็นโทษแห่งวัฏจักร กองทุกข์ทั้งหลายตายกองกันอยู่นี้ อยู่กับกิเลสเป็นเจ้าอำนาจ นั่นมันรู้แล้ว ทีนี้การที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าเอื้อมพระหัตถ์ลงมา เอื้อมมือลงมาฉุดลากๆ คุณค่าของธรรมภายในใจก็เต็มเหนี่ยว โทษของกิเลสก็เต็มหัวใจ มันรู้ได้ทั้งสองอย่างแล้วมันจะอยู่ได้ยังไงคนเรา มีแต่จะไปท่าเดียวเท่านั้น ฟัดกันตลอดเวลา ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เวลามันเอาจริงๆ แล้ว เรื่องความหลับนอนมันเป็นอุปสรรคด้วยซ้ำไปนะ อุปสรรคต่อการประกอบความเพียรโดยอัตโนมัติ ความเพียรที่ฆ่ากิเลสเป็นความเพียรอัตโนมัตินะ
เมื่อถึงขั้นที่เกรียงไกรแล้ว ความเพียรนี้เป็นอัตโนมัติ คำว่าที่ประกอบความเพียรหรือหนุนไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ มันจะเลยเถิด บางทีลืมหลับลืมนอน สุดท้ายสว่างโร่ขึ้นมายังไม่นอน แล้วตอนกลางวันมันยังจะไม่นอนอีก ฟัดกันอีกตลอด นั่นละเวลาธรรมมีกำลังแล้วเป็นอย่างนั้น กิเลสออกแง่ไหนๆ มันตามต้อนทันกันหมดเลย จึงว่ากิเลส แต่ก่อนเราไม่รู้มัน เหล่านี้มันเคยออกมาพอแล้ว เราไม่รู้เลย ทีนี้พอธรรมะมีกำลังแล้วตามรู้ตามเห็นทันกันๆ ฟัดกันเรื่อย ขาดสะบั้นไปเรื่อย นี่เรียกว่าธรรม
เมื่อมันขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจหมดแล้ว มันจ้าหมดเลยที่นี่ ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรมาเป็นภัยต่อใจ มีกิเลสเท่านั้น บอกเท่านั้นเลย กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรมาผ่านหัวใจเลย หมด ก็เรียกว่ามีแต่กิเลสเท่านั้น จะหยาบละเอียดก็เป็นเสี้ยนเป็นหนามทิ่มแทงไปตลอดๆ จนกระทั่งมันหมดเสียโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว เรียกว่าหมดทุกข์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์และพระพุทธเจ้าจึงไม่เคยมีทุกข์ในหัวใจตั้งแต่วันตรัสรู้หรือบรรลุธรรมแล้ว ไม่เคยมี จ้าอยู่งั้นตลอดเวลา นั่นละเรียกว่านิพพานเที่ยง ดูเอาตรงนี้ก็รู้ ไปดูอะไรอดีตอนาคต อันนี้เห็นชัดๆ ประจักษ์อยู่นี่ ความเที่ยงอันนี้มันครอบไปหมด ครอบอดีตอนาคต ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้นิพพานเที่ยงครอบไปหมดแล้ว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงจิตดวงนี้เลย ไม่มี คำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อจะข้ามให้พ้นจากโลกตายกองกันนี้เท่านั้น
ท่านทั้งหลายอยากเห็นของอัศจรรย์ให้ดูจิตให้ดีนะ อย่ามีตั้งแต่นอนเฝ้าเสื่อเฝ้าหมอนอยู่เฉยๆ ของเลิศจริงๆ อยู่ที่หัวใจ ที่เลวที่สุดก็อยู่ที่หัวใจ เวลามีแต่เลวกับเลวที่สุดมันเต็มหัวใจพวกเรา ไปที่ไหนมีแต่กองทุกข์ๆ มาสนทนากันนี่จะเอาความสุขความสบายมาสนทนาพอได้เป็นคติตัวอย่างต่อกันนี้ เราอยากจะว่าไม่มี มีแต่กองทุกข์ๆ ใครออกมาก็เอาทุกข์มาพ่นสู่กันฟัง ใครก็ทุกข์ๆ ใครจะไปซื้อใครขายใคร เมื่อต่างคนต่างมีเต็มหัวใจอยู่แล้วจะเอาไปขายจำหน่ายให้กับใคร ใครก็ไม่เอาซิ
นี้ละเรื่องกิเลส มาหากันเจอแต่ความทุกข์ พูดตั้งแต่เรื่องความทุกข์ แต่ก็ไม่เข็ดไม่หลาบ บืนไปตามกิเลสนั่นแหละ หลงไปตายกองกันไปอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ นี่เป็นทุกข์หรือไม่เป็นทุกข์ คือกิเลสมันก็กล่อมไว้ไม่ให้เข็ดหลาบอิ่มพอ แต่เวลาธรรมะได้จ้าขึ้นมาๆ แล้ว ความเห็นโทษของกิเลสนี่เห็นหนักเข้าๆ ความเห็นคุณของธรรมยิ่งหนักเข้าๆ สุดท้ายเป็นอัตโนมัติ ความพากเพียรไม่มีการที่ว่าหนุน เพียรหนุนไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด นี่ธรรมเวลาอบรมให้มีกำลังกล้าแล้วก็เป็นอย่างกิเลส
ธรรมดากิเลสมันเป็นอัตโนมัติของมัน ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรจะเป็นกิเลสไปหมดๆ เลย เวลากิเลสครองอำนาจนะ พอมองเห็นปั๊บนี่เป็นกิเลสแล้ว ได้ยินปั๊บเป็นกิเลส ไม่ว่าเสียงสรรเสริญนินทาเป็นกิเลสในนั้นๆ แทรกไปหมดเลย เราไม่รู้ แต่เวลาธรรมะมีกำลังกล้าขึ้นแล้ว มันแย็บออกตรงไหน มันทันกันๆ ทันกันแล้วมันก็ฆ่ากันล่ะซิ ไม่ทันฆ่าได้ยังไง ขาดสะบั้นลงไปๆ จนกระทั่งมันเงียบหมดเลย บางครั้งมี เหมือนไม่มีอะไรในจิตใจเลย
เราก็เคยพูดให้ลูกศิษย์ฟัง ก็เราพูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ แต่เราไม่ได้สำคัญ ซัดกันไปซัดกันมา ละเอียดเข้าไปๆ จนเงียบเลย ไม่มีกิเลสตัวใดมาแสดง เห็นแต่ธรรมนี้จ้าอยู่ในหัวใจของเรา ทีนี้พอเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็ขึ้นภายในใจนะ เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วหรือ กิเลสไม่เห็นมี หมดไปไหนน่ะกิเลส ไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ไม่สำคัญตนนะ เอาตอนที่มันว่างตอนนั้นเฉยๆ สักเดี๋ยว กิเลสน้อย กิเลสใหญ่ก็ซัดขึ้นมา ทางนั้นก็ซัดกันเท่านั้น มันโผล่ขึ้นมาก็ฟัดเลย เพราะเราไม่ได้สำคัญพอให้ตายใจ สอดส่องหาอยู่ตลอดเวลา
สติปัญญาอันนี้ก็เป็นอัตโนมัติ มันจะจ้องมันจะดูของมัน พิษภัยคือกิเลสมันออก แง่ใดมุมใดมันจะทันกันๆ นี่ขึ้นบนเวทีด้วยความตั้งอกตั้งใจต่อมรรคต่อผลจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น ทีแรกก็ล้มลุกคลุกคลาน ล้มขนาดไหนก็ตาม ล้มหมาก็ตาม ล้มแมวก็ตาม ไม่ถอย จะไม่ให้ล้มทั้งสองอย่าง ล้มหมาก็ไม่ให้ล้ม ล้มแมวก็ไม่ให้ล้ม ให้กิเลสล้มโดยถ่ายเดียว มันก็ซัดกันไปซัดกันมา สุดท้ายกิเลสมันก็ล้มให้เห็นละซิ ล้มไปเรื่อยๆ ทีนี้มีวิชาให้กิเลสล้มทั้งหงายให้เห็นแล้ว ทีนี้วิชานี้ก็ขึ้น สั่งสมขึ้น ฟัดกิเลสหงายเรื่อยๆ นั่น
โธ่ เรื่องฆ่าวัฏวนให้สิ้นซากไปจากใจเป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมา อยู่เหนือกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หมดนี้เป็นของง่ายเมื่อไร ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะท้อพระทัยหรือ เวลาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็อุตส่าห์พยายามบึกบึน เพราะคาดเอาเฉยๆ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า พอเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะสั่งสอนด้วยความสะดวกสบายๆ บทเวลาเป็นขึ้นมาจริงๆ พระพุทธเจ้าอันแท้จริง ความรู้อันแท้จริงที่เลิสเลอนั้นกับสิ่งที่จะสอนนี้ประหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้เลย ทรงท้อพระทัย โถ มองดูโลกนี้มืดตื้อไปหมดเลย อันนี้มันสว่างเกินคาดเกินหมาย เลยสมมุติไปหมดแล้ว ดูอันนี้มันดูเห็นได้หมดนี่
นี่ละใจดวงนี้ละฟังเอานะ ใจที่อยู่กับทุกคนเวลานี้ กำลังมืดหนาสาโหดอยู่นี้ เวลามันจ้าขึ้นมาด้วยการอบรมไม่หยุดไม่ถอย เป็นขึ้นมาอย่างที่ว่านี่ละ พระพุทธเจ้าพอตรัสรู้ขึ้นมาท้อพระทัยทันทีเลย มองดูโลกนี้มืดตื้อไปหมด โอ้โห จะสั่งสอนอย่างไร มองดูโลกนี้เป็นโลกมืดทั้งหมด แต่ก่อนเราก็อยู่ในโลกมืด เราก็มีหูมีตาก็ดูไปตามตาตามหูที่ได้ยินของเรานี่ละ แต่มันมืด คือกิเลสปิดไว้มันไม่เห็นละซิ ทีนี้พอเปิดกิเลสตัวมืดออกจากใจแล้วมันก็จ้าขึ้นมาๆ ตรัสรู้แล้วท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์โลก นั่นละมันต่างกันขนาดไหน
ตั้งแต่ก่อนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าแสนทุกข์ละ ผู้ที่ปรารถนาเป็นโพธิสัตว์เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านี้น่ะ คือคาดเอาเฉยๆ ว่าตรัสรู้แล้วสั่งสอนโลกจะสะดวกสบายไปทุกอย่าง พอตรัสรู้แล้วความรู้อันนี้มันเห็นหมดนี่ อะไรเป็นภัย อะไรเป็นพิษ อะไรยาก อะไรลำบาก อะไรง่าย มันก็เห็นหมด มองเห็นมีแต่เรื่องมืดตื้ออยู่ทั้งโลกเลยจะทำอย่างไร จะยกโลกทั้งโลกที่มืดตื้อไปหมดนี้ขึ้นได้ยังไง นั่น จึงต้องแยกแยะ แยกแยะที่โลกมืดบอดนี่ โลกของสัตว์มันมืดบอดอยู่ในหัวใจมันเพราะกิเลสครอบงำ
เวลาแยกแยะแล้ว โลกมืดบอดนี้มันจะมืดไปหมดเหรอ หรือจะมีสิ่งที่เป็นสารประโยชน์แทรกกันอยู่ในนั้นมากน้อยเพียงไร ทรงพิจารณา ก็ทรงรู้ทรงเห็น อ๋อ มีๆ นั่น ถึงจะมืดขนาดไหน สิ่งที่เป็นสาระแทรกอยู่ในความมืดนั้นยังมี มีอยู่ทั่วไป อย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง อย่างละเอียด สูงสุดมีอยู่นั้นหมด พระองค์ก็แยกแยะ จึงสอนโลกประเภทที่จะได้ขึ้นมาจากความมืดบอดนั้น คือสัตว์โลกที่มีนิสัยมีอุปนิสัยอยู่ในนั้น ดึงผู้นั้นขึ้นมาๆ พ้นจากความมืดนั้นขึ้นมาๆ พระองค์พิจารณาแยกแล้ว
เวลามันเป็นขึ้นแล้วใจดวงใดมันก็เหมือนกัน เพราะความมืดบอดนี้แต่ก่อนเวลาหลงมันก็หลงอย่างเดียวกัน เวลารู้มันก็รู้อย่างเดียวกัน เห็นโทษมันก็เห็นอย่างเดียวกัน มันต้องได้พูดออกมาจนได้นั่นแหละ นี่ละเรื่องของกิเลสเป็นของง่ายเมื่อไร พระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัย ใครก็ตามเถอะท้อทั้งนั้นแหละ ที่จะสั่งสอนไปด้วยความไม่ท้อรู้สึกจะไม่มี ท้อทั้งนั้น แต่ความเมตตา มีอำนาจมากนะความเมตตา ให้บึกบึนสั่งสอนไปๆ อย่างนั้น นี่ความเมตตาออกจากธรรม สั่งสอนโลกพอได้มีหูมีตา ลืมหูลืมตา ได้รู้บุญรู้บาป รู้ความผิดถูกชั่วดีแล้วได้แก้ไขดัดแปลงตนเองเพื่อความเป็นคนดีเรื่อยๆ ไป สุดท้ายมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นจนสุดยอดได้
ให้พากันนำไปปฏิบัตินะ อยู่ไปกินไปนอนไปเฉยๆ เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ถามหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ทั่วโลกธาตุนี้ ถามใคร ใครมีหลักมีเกณฑ์ไว้ในจิตใจ เอ้า เวลาตายนี้จะไปไหน ไม่มีนะ พิจารณาซิ หากไขว่หากคว้ากันอยู่อย่างนั้นทั่วโลกดินแดน ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้ตัวปิดบังอันใหญ่โต และตัวฉุดลากสัตว์ได้อย่างง่ายดาย สัตว์ล่มจมเพราะความเชื่อถือมัน ไม่มีการคัดค้านต้านทานมันบ้าง พอที่จะต่อกรกันกับกิเลสเหล่านี้ แล้วก็หมุนไปตามมัน โลกจึงเป็นโลกมืดบอด แล้วโลภก็โลภไม่มีเมืองพอ จนจะตายมันก็ไม่ถอย กิเลสไม่พาให้ถอย กิเลสหิวโหยตลอดเวลา ไม่เคยมีกิเลสตัวใดอิ่มแล้วพอแล้ว นอกจากธรรมเท่านั้น
ได้เท่าไรๆ ไม่พอๆ มันจะตายอยู่เดี๋ยวนี้ไม่ดูหรือ มันไม่สนใจ ทั้งๆ ที่ความตายติดอยู่กับตัว ตัวโลภๆ มากๆ นั่นละ มันก็ไม่ได้ดูนะ เหมือนจะอยู่ค้ำฟ้าๆ ครั้นตายแล้วก็คนนั้นละพระไปกุสลา ธมฺมาถ้ากุสลาก็ดี แล้วคนนั้นละเพื่อนฝูงด้วยกันไปเผาศพเผาเมรุให้ สมบัติเงินทองข้าวของยศถาบรรดาศักดิ์มีมากมีน้อยที่เป็นบ้าอยู่แต่ก่อนนั้น ไม่มีสมบัติเงินทองข้าวของอันใดที่มาเผาศพให้เลย เงินจะมีกี่ล้านกี่แสนกี่อะไรก็ตาม ทิ้งอยู่อย่างนั้น สมบัติอะไรๆ ก็ตาม ทิ้งอยู่อย่างนั้น ไม่มีที่จะมาเผาศพให้ตัวเอง ก็เพื่อนมนุษย์ด้วยกันแหละไปเผา ไม่เผามันก็น่าเกลียดเหลือเกิน ก็ต้องเผากันละ ฝังกันไปอย่างนั้นแหละ นี่ละมันตายด้วยกันนะ ถึงเวลาตายมันตายด้วยกัน
จึงอย่าพากันเห่อจนเกินไปนะมนุษย์เราเป็นชาวพุทธ ควรพิจารณาอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มรณัสสติ ระลึกดูซิ มันมีอยู่กับทุกคน ทำไมไม่นำมาระลึกบ้าง สัตว์มันก็มี มนุษย์เรานี่ตัวใหญ่ละ ใหญ่เท่าไร เท่าช้าง ช้างตายทั้งตัวได้ มดตัวหนึ่ง เกิดมามันก็ตายเป็นมดได้เหมือนกัน มนุษย์เราเท่ามนุษย์นี่มันตายทั้งคนนั่นแหละ ไม่มีที่จะนอกเหนือกันไปได้ละ เวลามีชีวิตอยู่ควรจะพินิจพิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้
ธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก โกหกโลกที่ไหน ไม่เคยมี สอนแต่ความสัตย์ความจริงให้สัตว์โลกได้รู้เนื้อรู้ตัว แต่กิเลสกล่อมลงตลอดๆ บอกว่านรกไม่มี พระพุทธเจ้าบอกว่านรกหลุมนั้นๆ มีนะ บาปบุญอะไรๆ มี สวรรค์-นิพพาน บอกขนาดไหน พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ก็มาบอกสิ่งที่มีอยู่นี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีมาดั้งเดิม บอกเท่าไรกิเลสมาลบทีเดียวพรึบเลย ไม่มี มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานนี้เต็มหัวใจ เดินตามอันนี้จมเลยๆ
นี่เราพากันจมเลยมานานสักเท่าไร รู้สึกตัวบ้างซิ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาองค์เอก สอนโลกรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ได้จำนวนมากมาย เราเป็นคนประเภทใด จะพอเข้าจำนวนที่พอจะหลุดพ้นไปได้เล็กๆ น้อยๆ บ้างไหม ให้ถามตัวเองนะ อย่าไปถามคนอื่น ถ้าถามกันมันกระทบกระเทือนกัน ให้ถามตัวเองเป็นอรรถเป็นธรรม แล้วก็รู้ในตัวของเราเอง แล้วให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งใดที่ไม่ดี พระพุทธเจ้าว่าไม่ดี จะดีขึ้นมาไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าว่าชั่ว ชั่วตลอด กิเลสมันบอกว่าดีก็ตามชั่วตลอด นี่ให้จำ
เสียงธรรมกับเสียงกิเลสต่างกันนะ เสียงกิเลสหลอกตลอด เสียงธรรมจริงตลอด บอกสัตว์โลก ประกาศป้างๆ อยู่เวลานี้ มีแต่เสียงอรรถเสียงธรรมที่เป็นเสียงจริงแท้ทั้งนั้น แต่โลกไม่ยอมฟัง มันฟังแต่เสียงกิเลสนั่นแหละ อยู่ที่ไหนฟังกันหมด หลงเป็นบ้ากันทั้งนั้น เลยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตายกองกันอยู่นี่มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ให้พินิจพิจารณาบ้างนะ ตัวกิเลสนี้พาให้เกิดให้ตาย พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีคำว่าเกิดตายดังที่ท่านแสดงไว้ พระพุทธเจ้าแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านแสดงไว้สี่บทสี่บาทแห่งธรรม หรือสี่คาถา
ท่านแสดงไว้เบื้องต้น เราก็ลืมเสีย ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว ความหลุดพ้นจากทุกข์ จะให้พลิกมาเป็นไม่หลุดพ้นไม่มีอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคต นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ประกาศให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าฟัง
พอวาระสุดท้ายพระอัญญาโกณฑัญญะก็ออกอุทานขึ้นมา ว่าได้บรรลุโสดาบัน โสตะแปลว่ากระแสพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว แน่ที่จะถึงพระนิพพาน โสตะแปลว่ากระแสพระนิพพาน จากนั้นก็ขึ้นอุทานว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามในโลกนี้ แต่ก่อนก็รู้ธรรมดาๆ ไม่ถึงใจเหมือนเวลาบรรลุธรรมขั้นนั้นขึ้นมา ว่าสิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้น หาที่แน่ใจไม่ได้เลย เกาะอะไรไม่ได้ทั้งนั้น พังทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่าอย่างนี้ ท่านว่าสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ไว้ใจไม่ได้ พังทั้งนั้น นี่พระอัญญาโกณฑัญญะเปล่งอุทานขึ้นมา
พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งอุทานรับกันว่าอญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ ได้รู้แล้วหนอ นี่ละธรรมที่ท่านประกาศรับกัน รับตั้งแต่ความอัศจรรย์ พระอัญญาโกณฑัญญะประกาศขึ้นก็เป็นธรรมอัศจรรย์ในเบื้องต้น พระพุทธเจ้าประกาศรับกัน ก็ประกาศชมเชยสรรเสริญอริยธรรมขั้นต้น เราจะเอาอะไรไปประกาศ ถามเป็นอย่างไรภาวนา เมื่อคืนนี้เป็นอย่างไร โอ๋ย เมื่อคืนนี้ไม่ได้ภาวนา มันเป็นอย่างไร ไปนั้นไปนี้มาเหนื่อยมากเลยนอน มันเอาอย่างนี้มาอวดกัน จะได้มรรคได้ผลยังไง ก็ได้แต่เสื่อแต่หมอน เสื่อขาดหมอนขาดไปหามาอีก มาเย็บใหม่ตัดใหม่เรื่อย เป็นอย่างนั้นนะ พวกเราพวกเสื่อขาดหมอนขาด
ให้ภาวนานี่เหมือนจูงหมาใส่ฝน เคยเห็นไหม เขาจูงหมาใส่ฝน กำลังฝนตกจั้กๆ จั้กๆ นี้ จูงหมาไป ร้องแหง็กๆ มันไม่อยากตากฝน เข้าใจไหม อันนี้จูงเข้าห้องพระให้ภาวนา ร้องแหง็กๆ มันไม่อยากไหว้พระ มันขี้เกียจ มันเหมือนจูงหมาใส่ฝนนั่นละพวกเรา เข้าใจไหมนี่ หมดศาลานี้มันเหมือนจูงหมาใส่ฝนนั่นแหละ พูดอย่างนี้ละลูกศิษย์หลวงตาบัว ไม่อย่างนั้นไม่รู้ตัวกันเลย หลวงตาบัวนั้นก็จูงหมาใส่ฝนมาแล้วเหมือนกัน ก็ร้องแหง็กๆ เหมือนกัน แล้วเอาตัวอย่างนี้มาสอนลูกศิษย์ อย่าให้เป็นแบบหลวงตาบัว ร้องแหง็กๆ จูงหมาใส่ฝน จูงใส่ทางจงกรม จูงเข้าให้ประกอบความเพียร มันร้องแหง็กๆ แหง็กๆ มันขี้เกียจอยู่ในใจ เสียงมันร้องแหง็กๆ อยู่ในหัวใจ มันขี้เกียจ เข้าใจหรือเปล่า
ให้เร่งบ้างซิภาวนา ความเลิศเลออัศจรรย์นี้มันจ้าขึ้นแล้วไม่เหมือนอะไรนะ ในโลกธาตุนี้ไม่มี บอกอย่างนั้นเลย พระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัยในการสั่งสอนสัตว์โลก ทั้งๆ ที่ตั้งความปรารถนาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนโลก พอได้สั่งสอนแล้ว พุทธะที่แท้จริงศาสดาที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ แล้วความคาดความหมายเป็นอย่างหนึ่งต่างหาก มันเข้ากันไม่ได้ นั่นละเลิศเลอขนาดไหนธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็ธรรมเหนือโลกไม่มีอะไรที่จะคาดจะฝัน จะบีบบังคับธรรมได้เลย ธรรมเหนือโลก ท่านเรียกว่าโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกตลอดไป ที่จะให้ต่ำกว่าโลกไม่มี มีแต่เป็นธรรมเหนือโลกทั้งนั้น
ถ้าเอาธรรมนี้มาครองก็เหนือกิเลสไปโดยลำดับ เดี๋ยวนี้มีแต่กิเลสเหนือธรรมนะ ไม่มีธรรมเหนือกิเลสได้เลย โลกก็คือโลกกิเลสนั้นแหละ เวลาฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วธรรมเหนือกิเลส ขาดสะบั้นลงไปหมด จากนั้นมาแล้วไม่เคยมีเรื่องกิเลสที่จะมายุแหย่ก่อกวนท่านั้นท่านี้เหมือนแต่ก่อนไม่มีเลย เรียบไปหมด นั่นละตั้งแต่นั้นพระอรหันต์ทั้งหลายพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่เคยมีทุกข์ ตั้งแต่วันตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมขึ้นมา ผาง เป็นบรมสุขล้วนๆ เรียกว่านิพพานเที่ยงตลอดเลย มันจ้าอยู่ในหัวใจ เที่ยงหรือไม่เที่ยงมันก็รู้อยู่นี่ ไม่มีอดีตอนาคตเข้ามายุ่ง เรียกว่าสมมุติทั้งมวลไม่เข้ามา สมมุติเป็นความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนนะ วิมุตติไม่มี มันเห็นชัดกันอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านจะไปหลงอะไร ท่านจึงบอกว่า นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว การเกิดอีกของเราไม่มีอีกแล้ว ท่านชัดแล้วนั่น ขาดแล้วตัวพาให้เกิดให้ตาย คือกิเลสอวิชชา ตัวนี้ขาดสะบั้นลงไป ความเกิดความตายจึงไม่มีต่อไป มีนิพพานเที่ยง ให้พากันจดจำเอานะ
วันนี้พูดเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ พูดเรื่องอ่อนแอท้อแท้อะไรมาให้เขาเหยียบหัวไปๆ มันไม่มีแก่ใจคนเรา อย่าพากันอ่อนจนเกินไปซิ ประเทศไทยทั้งประเทศเป็นเนื้อเป็นหนังของตน ควรที่จะฟิตตัวเองให้ทันเขาบ้างอะไรบ้าง หรือจะแซงหน้าเขาไปก็ให้เห็นบ้างซิเมืองไทยเรา มีแต่อ่อนเปียกๆ อะไรมาให้เขาเหยียบหัวไปๆ มันน่าอายไหมล่ะเมืองไทยเรา คว้านั้นคว้านี้เร็วยิ่งกว่าลิง ที่จะฟิตตัวเองให้เป็นคู่แข่งของเขา แล้วเอาไปขายเขาอย่าสง่าผ่าเผยไม่เห็นมีอะไร ขายก็มีแต่ขายหน้าละ ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไร ให้พากันตั้งอกตั้งใจ เราเป็นลูกชาวพุทธต้องมีหนักมีเบา มีทุ่มมีโมงซัดกันไปเรื่อยมันก็เห็นเท่านั้นเอง นี้มีแต่ฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็หลับครอกๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ ผู้สอนก็ขี้เกียจสอน
นี่พูดถึงเรื่องกิเลสกับธรรมเป็นของง่ายเมื่อไร ให้ขึ้นบนเวทีเสียก่อนถึงรู้ได้ชัดเจน เรื่องกิเลสละเอียดขนาดไหน มันครอบโลกธาตุ เป็นมหาอำนาจครอบโลกธาตุนี้ เป็นวัฏจักรให้หมุนเวียนไปตามกันหมด เพราะอำนาจของกิเลสตัวเดียวนี้เท่านั้นครอบหัวใจสัตว์โลก ให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเกิดแก่เจ็บตายขึ้นๆ ลงๆ อยู่นี้ พอธรรมนี้ฟาด กิเลสตัว อวิชฺชาปจฺจยา ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความเกิดตายอีกไม่มี นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว เกิดเพียงชาติเดียวเท่านั้นที่เกิดมาแล้วนี้ นอกนั้นไม่มีอีกแล้ว ท่านชัดเจนในหัวใจของท่าน
พากันตั้งใจปฏิบัติทุกคน เอ้าสร้างลงไปความดีงามของเรา สังขารร่างกายของเราเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งที่เราจะต้องวิ่งเต้นขวนขวาย หามาเพื่อเยียวยารักษาเขา เพราะสิ่งเหล่านี้มีความบกพร่องต้องการความเยียวยาอยู่ตลอดเวลา พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่ายอยู่อย่างนั้นตลอด เราก็ขวนขวาย สิ่งเหล่านี้เราก็ไม่ขี้เกียจ แต่จิตใจมีที่พักที่อยู่ที่อาศัยหรือไม่ นี่ละมันขาดอันนี้นะ ถ้าขาดอันนี้เป็นขาดอย่างใหญ่หลวงนะ สิ่งเหล่านี้กองพะเนินเทินทึกตายแล้วไปจมอยู่ในนรก เพราะไม่มีความดีติดใจ มีแต่ความชั่วความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม พอตายแล้วนึกว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นที่พึ่งของตัว เป็นที่ไหนได้ กองพะเนินเทินทึก เวลาไปเผากันก็เอาคนไปเผา สิ่งเหล่านั้นไม่เห็นมาตามเผาเลย
ไม่ได้เหมือนกับบุญกุศลนะ บุญกุศลเราสร้างเข้ามา ทางโน้นก็จำเป็น เอา เยียวยารักษาไปด้วยการขวนขวาย ทางนี้ก็จำเป็นเรื่องศีลเรื่องธรรมเข้าสู่ใจ พยายามบำรุงรักษาไว้คนนี้จะเสมอ อยู่ในโลกนี้ก็เสมอ สุดท้ายก็มาปรากฏในหัวใจ อะไรจะบกพร่องขาดเขินอะไรพอมองดูใจสง่างาม นั่นมันลบไปหมดแล้วนะ ความทุกข์ความลำบาก ความบกพร่องขาดเขินอะไรไม่มีอำนาจนะ ถ้าลงธรรมได้ครองใจขึ้นมาแล้วอันนี้มีอำนาจครองไปหมด เย็นสบาย อยู่ที่ไหนเย็นสบายๆ นี่คือธรรมครองใจ ถ้ากิเลสครองใจร้อน เป็นมหาเศรษฐีก็ร้อนถ้าไม่มีธรรมในใจ เรื่องกิเลสอย่าเข้าใจว่าจะพาใครให้เย็น ไม่มี มีแต่ร้อนทั้งนั้น ร้อนทั้งหมด ยศถาบรรดาศักดิ์สูงจรดเมฆก็ตาม ร้อนอยู่บนเมฆนู่นละ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าธรรมครองใจแล้วอยู่ไหนสบายหมด สบายแสนสบาย ให้พากันจดจำเอา
วันไหนก็เทศน์ทุกวันๆ ขึ้นมาเอะอะก็ขึ้นแล้ว ให้เขาเหยียบหัวมาก็เป็นกัณฑ์เทศน์ขึ้นมาละซิ วันนี้เทศน์กัณฑ์ที่เขาเหยียบหัว เข้าใจไหม อะไรๆ มาสูงกว่าเมืองไทยๆ เพราะไม่มีแก่ใจที่จะฟิตตัวให้ดิบให้ดีขึ้นกว่านั้น มันก็จะอ่อนเปียกไปอย่างนี้ เราอ่อนเปียกลูกหลานของเราก็อ่อนเปียก ไม่มีแก่ใจด้วยกัน ตายไปด้วยความไม่มีแก่ใจ อ่อนเปียกกับเขาไปตลอด ไปที่ไหนเขาเหยียบหัวไปๆ ดูได้ไหมล่ะเมืองไทยเรา คนไทยเรา เอาอย่างนี้ละนะ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |