เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
โทษของกิเลส คุณค่าของธรรม
ถ้าอะไรมาจากเมืองเมืองนาแล้วเห่อเป็นบ้าไปหมด หรือเราเป็นบ้าคนเดียวก็ไม่รู้ เราเป็นอย่างนั้นนะ รักชาติ รักศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องรักเนื้อรักหนังของตัวเอง เหล่านี้เป็นเนื้อหนังของเราทั้งนั้น ไม่จำเป็นไม่เอา เป็นอย่างนั้นนะ อันนี้ตั้งแต่เป็นฆราวาสมันก็มีของมันอย่างนั้น ฝังลึกเลย แม่จะไปซื้อผ้าที่ดี ๆ มาให้ ไอ้พี่ชายไอ้บ้า นี่ เข้าใจไหม อะไรมันเอาหมดไอ้บ้า ลิงสู้มันไม่ได้นะ พี่ชายเรา คนที่สองคือเรา พอพูดอย่างนี้ก็ไปสัมผัส แม่จะไปซื้อผ้าไหมอย่างดีเลยมาให้เรา ส่วนพี่ชายไม่ต้องพูดละ มันข้ามหัวแม่ไปนานแล้ว
แม่คงสงสารละ นิสัยเป็นอย่างนั้นนะ คืออะไรที่จะไปหาซื้อนั้นสุ่มสี่สุ่มห้าไม่เอาง่ายๆ นะ เราไม่เอา จนแม่เกิดสงสารเอง หาซื้อผ้ามาให้ ผ้าไหมอย่างดีเลยจะเอามาให้ ไม่เอา ก็แม่ทอเป็นอยู่นี่ เอาทอมาเราจะใช้ ถ้าเป็นของแม่แล้วใช้ ของคนอื่นไม่ใช่ ยังไงก็ไม่เอาจริง ๆ นะเรา สุดท้าย เอ้อ ไอ้นี่จิตใจมันทำไมไม่เหมือนบ้านเมืองเขา เราไม่ลืมนะ โยมแม่ เอ๊ ไอ้นี่มันเป็นยังไง จิตใจมันไม่เหมือนบ้านเหมือนเมืองเขาเลย เขาทั้งหลายเขาอยากได้ของดิบของดีมาโอ้มาอวดกัน ไอ้นี่เอาอะไรมาให้มันไม่เอาเลย ถ้าว่าเป็นของแม่ทอให้นี้ใช้หมด เราก็ว่าอย่างนั้นจริง ๆ ด้วยนะ ของแม่ทอมาใช้หมดเลย เป็นอย่างนั้นละ
มันเป็นนิสัยมาตั้งแต่ฆราวาส อันนี้รักสงวนเนื้อหนังของตัวเอง ไม่อยากเอากาฝากภายนอกเข้ามา มากัดตับกัดปอดเราออกไป ความหมายว่าอย่างนั้น สิ่งภายนอกเป็นกาฝากมันก็เป็นภัยเข้ามา ส่วนที่เป็นเนื้อหนังของตัวเองขาดไปหลุดลอยไปไม่ดี เรื่องเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลาแก่มาแล้วก็เลยสอนลูกสอนหลาน ให้รู้จักประมาณบ้าง ถ้าอะไรของแม่ยื่นให้ไม่เอา ถ้าเป็นของฮ่องกงฮ่องเกงสหรัฐหะเริดฟาดห้ามือก็เอา มีกี่นิ้วคว้าเลย พวกบ้าพวกนี้นะ หรือใครเป็นบ้าวินิจฉัยดูซิ กับเราพูด เอาๆ วินิจฉัย ถ้าหากเราเป็นบ้าเราก็จะยอมรับ ต้องมีเหตุผลนะเราถึงจะยอมรับ ไม่มีเหตุผลเราจะตีแหลกหมดเลย มือเดียวเท่านี้ฟาดแหลกได้หมดเลย
วันนั้นนายกเทศมนตรีอยุธยานั่งอยู่นั้นด้วย ไอ้ตัวดีเราละมา ได้ของดิบของดีมาจะถวายอาจารย์ ดีใจ โอ๋ย เหมือนจะเหาะลอย ได้ของมาถวายอาจารย์ ช็อกโกแลตนี้ได้มาจากฝรั่งเศส พอว่าอย่างนั้นก็ปั๊วะเลย ใส่เปรี้ยงๆๆ นายกเทศมนตรีอยุธยานั่งฟัง เขาไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้ๆๆ และมีเหตุผลทุกอย่างๆ นั่งจ้อฟังเลยจริงๆ นั่นอย่างนั้นซิ การจะตั้งรากตั้งฐาน ตั้งบ้านตั้งเมืองให้มีหลักมีเกณฑ์ เราต้องเป็นผู้มีหลักเกณฑ์ในหัวใจของเรา เลื่อนๆ ลอยๆ เหลาะๆ แหละๆ ใช้ไม่ได้นะ
เข้ามาสู่ภายในนี้ยิ่งแล้วนะทางภาคปฏิบัติ อรรถธรรมนี้ยิ่งละเอียดลออยิ่งกว่านั้น อปฺปิจฺฉตา เข้าไปปั๊บเลย ให้มักน้อยที่สุดพระ ผู้ปฏิบัติให้เป็นผู้มักน้อยที่สุด มามากมาน้อยอย่าตื่นเต้น มันจะเป็นเครื่องปลุกกิเลส นั่นเห็นไหมล่ะ มีมากก็ไม่เอา มีแต่น้อยๆ ดังที่พระกัสสปะท่านใช้ผ้าสามผืนมา พระองค์ทรงโปรดมากนะพระกัสสปะ ท่านใช้ผ้าสามผืน ครั้นแก่มาก็อยากให้ท่านใช้อะไรดีๆ ท่านบอกไม่เอา เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา เรียกว่ามักน้อย พระกัสสปะองค์หนึ่ง
จากนั้นก็สันโดษ อย่างคืบขึ้นไปอีกก็เพียงสันโดษ ให้ยินดีตามที่มีที่เกิด อย่าฟุ้งเฟ้อ อย่าปีนเกลียว อย่าแหวกรั้วแหวกลูกกรงไป นอกรั้วนอกกำแพงไปจะมีอันตรายอยู่ข้างนอก ยินดีแต่สิ่งที่มีที่เกิดนี้จะไม่ดีดไม่ดิ้น จิตใจสงบร่มเย็น ไม่ทำคนให้เสีย นอกจากนั้นเป็นส่วนรวมก็ต่างคนต่างไม่ทำชาติให้เสีย ด้วยการระมัดระวัง
พูดถึงเรื่องความมักน้อย ที่เด่นที่สุดในวงลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ท่านอาจารย์หลุย ยกนิ้วให้เลย ไม่มีใครเหมือนนะท่านอาจารย์หลุย ไปที่ไหนท่านไปองค์เดียวๆ ชอบสงัด ชอบไปองค์เดียว บริขารใช้สอยไม่ให้มีอะไรติดไป นอกจากผ้าไตรเท่านั้น ท่านเป็นอย่างนั้นตลอด เอาผ้าใหม่ๆ ให้ท่านไม่เอานะ มักน้อยที่สุด ไปที่ไหนๆ ก็เป็นอย่างนั้น ในครั้งพุทธกาลก็พระกัสสปะท่านใช้ผ้าสามผืน จนกระทั่งพระองค์ทรงเมตตารับสั่ง นี่เธอก็เฒ่าแก่มาแล้ว ให้ใช้ตามอัธยาศัยสะดวกสบายตามวัยของคนแก่จะ เป็นความสะดวกดี ทางนั้นก็ทูลท่านว่า เท่าที่ข้าพระองค์ใช้อยู่นี้ และมีอยู่นี้ เป็นความสะดวกดีแล้ว เออ ถ้าอย่างนั้นเราก็อนุโมทนาสาธุ แน่ะจะค้านยังไงไม่ค้านนะ ตถาคตอนุโมทนาสาธุ ถ้าได้พระปฏิบัติแบบนี้ๆ มากๆ ศาสนาก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง พระเราจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากภายในจิตใจ และการแนะนำสั่งสอนคนอื่นก็เอาแบบฉบับอันดีงามนี้สอนโลก โลกก็จะได้รับความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมากมาย นั่นเห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้าไม่ทรงค้านนะ
พอพูดอย่างนี้ก็ย้อนเข้ามาหาหลวงตาบัว แต่ก่อนก็ใช้ผ้าสามผืน เวลานี้ในกุฏิหลวงตาบัวมีแต่ผ้าเต็มห้อง ไม่ทราบว่าผ้าอะไรต่ออะไร เราก็ปล่อย เดี๋ยวนี้ปล่อยนะ มีอะไรๆ ไม่สนใจ เลอะๆ เทอะๆ เป็นหมด ไม่ว่าจะสอนอะไรเรื่องข้อวัตรปฏิบัติกับพระกับเณร ก็เราตัวเลอะเทอะอยู่แล้ว จะไปสอนใครก็จะสอนให้เลอะเทอะละซิ นี่มันมาเข้าเรานะเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนก็ปฏิบัติอย่างนั้นละ เพราะนิสัยมันจริงจังตลอด เรื่องผ้าสามผืนติดแนบเลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ทีนี้เวลาแก่เข้ามาๆ มันหากเป็นของมันเองนะ เราก็ไม่มีเจตนาอะไรที่ว่าใครเอามาคว้ามับๆ เหมือนฮ่องกง เข้าใจไหม มันก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆ สุดท้ายกุฏิของเรามีแต่เครื่องบริขารใช้สอย เฉพาะอย่างยิ่งผ้าอังสะก็ไม่ทราบกี่ตัว สบงกี่ตัว จีวรกี่ตัว นอกนั้นไม่ค่อยมีละในนั้น มีมากๆ แล้วปาให้เห็นต่อหน้าละเรา คือมันเหลือที่จะทนแล้วก็ปาเข้าป่าให้เห็นซิ
มันขัดต่อธรรมขัดกับนิสัย จะมาขวางธรรมขวางนิสัยที่ถูกธรรมได้ยังไง ทุกวันนี้เลอะเทอะไปหมด ไม่มีแบบมีฉบับนะ เราก็ยอมรับว่าเราไม่มีแบบมีฉบับ แต่พระเณรทั้งหลายท่านก็ทราบได้ดีแล้วว่าแต่ก่อนเป็นยังไงๆ มาปัจจุบันนี้เป็นยังไงท่านก็ทราบดีแล้ว ท่านจะมาตำหนิเรานี้คงตำหนิไม่ลง เพราะท่านทราบมาโดยลำดับๆ แล้ว กุฏิเดี๋ยวนี้ที่อยู่ทุกวันนี้ อันนี้ต้นเหตุมาจากกระต๊อบนะ ไม่ใช่อะไร คือเราปลูกกระต๊อบสูงแค่นี้ จากพื้นขึ้นมาสูงแค่นี้ เฉลียงกว้างประมาณ ๑ เมตร มันก็อยู่ในเกณฑ์ ๓ ปีนะ
คือต้นเสานี้เราไปคว้าเอาไม้สดมาปลูกเป็นต้นเสา คว้าตามในวัดนั่นแหละเอามาปลูก ทีนี้พอไม้สดมันแห้ง ปลวกมันเข้าไปกินไม้สด ต้นเสานี่ พอกินแล้วมันก็หักล้มโครม ปลูกใหม่ขึ้นปั๊บ ก็ไม้สดมันเก่า มันก็ได้สองสามปีเท่านั้น แล้วปลวกกินขาดก็ล้มลง ทีนี้ตอนสุดท้ายนี้ก็กระต๊อบนั่นเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นกฐิน ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯเขาไปทอดกฐิน เขาเข้าไปดูกุฏิเรา แล้วมีพระท่านเดินอยู่บริเวณนั้น ไหนกุฏิท่านอาจารย์หลังไหน หลังนี้ ว่างั้น เหอๆ ขึ้นเลย เห็นกระต๊อบเล็กๆ เหอๆ หลังไหน หลังนี้ รีบให้พระท่านเปิดประตูให้ดู ประตูก็อย่างว่า ฝาก็เป็นฟางเป็นอะไร แอ้มด้วยฟาง มุงด้วยหญ้า
เขาปุ๊บปั๊บไปก็ขอให้เปิดประตู พระท่านเข้าไปเปิดประตูให้ดู แกก็คลานขึ้นไป ขึ้นไปเฉลียง ความกว้างมัน ๑ เมตร ดูหมด ก็มันไม่มีอะไร จะให้มีอะไร ก็มีหนังสือ เราทำแคร่ไว้บนหัวนอนเรา หนังสือจะเอาไว้สูงกว่าตัวเองเสมอ เพราะเคารพธรรม เอาหนังสือไว้ข้างบน หนังสือธรรมะ ครั้นไปดูๆ แล้วร้องไห้อยู่ตรงนั้นเลย พระมาเล่าให้ฟัง ร้องไห้อยู่ในนั้นเลย ดูแล้วดูเล่า ทั้งร้องไห้ทั้งดูทั้งอะไรหมด พอลงมาแล้วก็ขึ้นไปบนศาลาซิ พอไปนั่งปั๊บร้องไห้เลย ยังไม่พูดอะไร เป็นอะไรไม่ใช่เป็นบ้าเหรอ ก็ว่าอย่างนั้นละเรา ก็มันนิสัยอันนี้ พูดกับลูกศิษย์จะให้ว่ายังไง ถ้าไม่ว่าอย่างที่ว่านี้
มันเป็นอะไรอาจารย์ของเรานี่ ไปดูกุฏิแล้วหลังเท่ากำปั้น ชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศไทย เวลามาดูกุฏิหลังเท่ากำปั้น ทำไมจึงอยู่ได้นอนได้ ว่างั้นนะ เราก็บอก โอ๋ย อยู่ในท้องแม่อยู่ในท้องเท่านี้ อยู่ในนั้นไม่ทราบว่านั่งว่านอนอยู่ได้ทั้งนั้น ๙ เดือน ๑๐ เดือนก็ยังออกมาได้ แล้วมาอยู่กุฏินี้ กุฏิหลังนี้นั่งได้นอนได้เดินได้สบาย ยังจะว่าแคบอยู่เหรอ ถ้าอยากให้กว้างก็ให้ไปปลูกไปสร้างที่ทุ่งอยุธยานู่นนะ เราก็บอก เอาอีกแหละ ร้องไห้อีกๆ กลับไปเลยส่งเงินมา นั่นน่ะเรื่องราว ที่กุฏิหลังนั้นจะปรากฏขึ้นมา เพราะต้นเหตุอันนี้แหละ
พอไปไม่บอกละที่นี่ เขาไม่บอก เขาส่งเงินมาตูมให้สร้างกุฏิหลังนี้ เอ๊ ทำยังไง ก็เราไม่ได้สั่งเสียอะไรๆ เขาส่งมาส่งกลับผิด นั่น พอจากนั้นมาแล้วก็จำเป็นจำใจ ก็เลยปลูกกุฏิหลังนั้นให้ อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ จากนั้นกำชับกำชาเลย อะไรก็ตามที่จะมาปลูกมาสร้างต่างๆ ซึ่งเราไม่อนุญาตนี้จะมาทำไม่ได้ ส่งมาก็ต้องส่งกลับ เราบอกเลย ถ้าเราไม่ตกลงอนุญาตการก่อนั้นสร้างนี้ จะมาทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่จะทำอะไรจึงต้องมาขออนุญาตเรื่อยๆ มาจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
พระครั้งพุทธกาลกับพระสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าเทียบตามตำรับตำราที่ท่านจดจารึก ไว้อย่างถูกต้องมันเข้ากันไม่ได้นะ พวกเรามันพวกพระปลอมพระกาฝากไปอย่างนั้นถึงถูก ทำศาสนาแทนที่จะให้เจริญเหยียบศาสนาให้ล่มจมลงไป พวกพระกาฝาก พวกเรานี้น่ะพระสมัยปัจจุบัน นับตั้งแต่หลวงตาบัวลงไป แบบฉบับท่านวางไว้ยังไงๆ ไม่ดู ทำเอาตามความชอบใจๆ ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์มาก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ทุกอย่างเป็นหลักเป็นเกณฑ์มาตลอด ไม่คลาดเคลื่อนนะ ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน
ท่านสืบทอดมาได้เป็นลำดับตลอดทางด้านวัตถุ ที่อยู่ที่หลับที่นอน ที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา เรียกว่าที่อยู่ที่พักเป็นป่าล้วนๆ เป็นแบบครั้งพุทธกาลล้วนๆ กุฏิก็กระต๊อบกระแต๊บพออยู่ได้อยู่ไป ท่านเองเขานิมนต์มาอยู่ก็กั้นห้องศาลาอยู่เสีย ให้กั้นห้อง ให้ปลูกกุฏิไม่เอา อยู่นี่มันสะดวกแล้ว ออกมานี่ก็มาศาลาเลย ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านไม่พูดมาก ให้กั้นห้องให้อยู่เสีย อยู่ทางบ้านโคกนามนก็แบบเดียวกัน มาหนองผือนี้ก็เป็นวัดใหญ่วัดโตท่านก็มากั้นห้องอยู่
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายซึ่งเห็นมาโดยลำดับท่านคิดว่าเวลานี้ท่านแก่มากแล้ว ให้ท่านอยู่สะดวกสบายเถอะ จะมาขอปลูกสร้างกุฏิให้ เป็นหัวหน้าโยมมา เขาอยากสร้างกุฏิแต่เขากลัวท่าน ก็มีครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมาขอร้องท่าน ท่านก็บอกว่าที่นี่มันก็สบายแล้ว ไปหาสวรรค์นิพพานที่ไหนอีก นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านว่าอย่างนี้นะ ที่นี่ก็สะดวกสบายแล้วกับธาตุกับขันธ์ทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นฟังซิน่ะ ธาตุขันธ์ของเรามันวิเศษวิโสมาจากไหน เหล่านี้กับธาตุกับขันธ์มันเข้ากันได้สนิทดีแล้ว จะไปหาท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนมาอยู่วิเศษจากธาตุขันธ์อันสกปรกโสมมป่าช้าผีดิบนี่ละ นั่นเห็นไหมเวลาท่านตอบ ฟังซิ
สภาพเหล่านั้นกับสภาพนี้มันเข้ากันได้สนิทแล้ว ไปเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นอะไรอีก อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไปได้ นั่นเวลาท่านพูดออกมา นี่เป็นยังไงเป็นการสอนพวกเราไหมล่ะ ฟังซิ คือสภาพของร่างกายนี่กับสภาพอันนี้มันอยู่กันได้พอดี ให้อยู่กันพอดี ส่วนจิตเป็นอันหนึ่งต่างหาก จิตเป็นธรรม ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นอันหนึ่งต่างหากจากนี้ ถึงจะอยู่ที่ไหนท่านก็สบายหมด เพราะจิตใจท่านสง่างามมากแล้ว อย่างหลวงปู่มั่นเรานี้ ก็คือพระอรหันต์ในปัจจุบันนั้นเองร้อยเปอร์เซ็นต์ อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ อัศจรรย์มากมาย แปลกประหลาดทุกสิ่งทุกอย่าง แปรเป็นพระธาตุ อัฐิเป็นพระธาตุ ไม่ได้เหมือนพระทั้งหลาย ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเป็นพระธาตุได้ แต่ของหลวงปู่มั่นนี่รู้สึกว่า อู๊ย เป็นไปทุกแบบทุกฉบับ เป็นสีชมพู เป็นสีอะไร เป็นแก้วเป็นอะไร เป็นไปได้ทุกแบบนะของท่าน
นี่พูดถึงเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของท่าน ตรงเป๋งกับตำรับตำราที่แสดงไว้เลย ท่านไม่ผิดเพี้ยนนะ ตลอดวันท่านมรณภาพไป กุฏิหลังนั้นเขามาขอสร้างนะ ท่านดุเอา ครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ก็ขอร้องท่าน หลายครั้งหลายหนท่านก็เลยนิ่ง เขาก็เลยสร้างขึ้นนั่นแหละ เรื่องราวนะ องค์ท่านเองท่านกั้นห้องอยู่ ท่านบอกว่านี้มันสะดวกสบายแล้ว อันนั้นขึ้นๆ ลงๆ แน่ะท่านว่าอย่างนั้นนะ อันนี้ไม่ต้องขึ้นๆ ลง ๆ ปุ๊บปั๊บถึงแล้ว ท่านว่าสบาย ไปอย่างนั้นเสีย
คือท่านพอทุกอย่างภายใน สภาพภายนอกให้เป็นสภาพภายนอก ธาตุขันธ์กับสิ่งเหล่านี้มันพอเหมาะพอดีกัน ให้มันอยู่ด้วยความพอเหมาะพอดีกัน ไม่ให้ปีนเกลียว ความหมาย ส่วนจิตเป็นจิต ธรรมเป็นธรรม เป็นสภาพหนึ่งต่างหาก ไม่มายุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นั่น ส่วนสภาพเหล่านี้กับสภาพทั่วๆ ไปมันเหมือนกันก็ตกแต่งให้อยู่ให้กิน ให้หลับให้นอนพอๆ กัน นี่เหมาะกันแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะเวลาท่านพูด ฟังซิค้านท่านได้ยังไง จะไปปลูกหอปราสาทราชมณเฑียรก็คือเอาป่าช้าผีดิบนี้แหละขึ้นไปกองไว้บนนู่น มันวิเศษวิโสอะไร อันนั้นก็อิฐ อันนี้ก็ปูน อันนั้นก็ทราย อันนั้นก็เหล็กก็หลา มันวิเศษวิโสอะไร สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหนมันก็มีทั่วไป ส่วนธรรมมีได้เมื่อไรง่ายๆ นั่นเห็นไหมท่านหักเข้ามาหาธรรม ธรรมนี้มีที่ไหนได้ง่ายๆ วะ ไม่ทะนุถนอมธรรมะทะนุถนอมอะไร บวชมาก็เพื่อบำรุงรักษาธรรม ไม่ใช่เพื่อเหยียบย่ำทำลายธรรมทำลายศาสนานี่นะ แล้วค้านซิใครจะค้านท่าน
ท่านอยู่อย่างนั้นตลอด เรื่องภายนอกปล่อยตามสภาพเลย เรียกว่าท่านปล่อยตามสภาพ ปลงตกทั้งภายนอกภายใน อยู่ตามสบาย ทางภายในของท่านเป็นอย่างที่ว่านั่นละ อยู่ไหนอยู่ได้หมด ทางภายนอกก็ปล่อยตามสภาพอยู่ได้เช่นเดียวกัน อยู่ยังไงท่านอยู่ได้ ท่านสบายๆ จิตใจสบายเสียอย่างเดียวอะไรสบายหมด ถ้าจิตใจว้าวุ่นขุ่นมัว เดือดร้อนวุ่นวายนี้ดิ้นทั้งวันทั้งคืน มีเท่าไรก็ไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอ มีเท่าไรไม่พอ ความโลภมันทำลายคนให้เดือดร้อนวุ่นวายฉิบหายวายปวงไปมากขนาดไหน ใครก็ยังไปเพลิดเพลินกับความโลภอยู่ โลภได้ไม่พอ ได้เท่านี้มาอยากได้เท่านั้น ได้เท่านั้นมาอยากได้เท่านั้น
เรื่องกิเลสจะไม่มีคำว่าพอ เหมือนกับไฟได้เชื้อ ไสเชื้อเข้าไปซิ ไสเชื้อเข้าไป เปลวไฟมันจะแสดงจรดเมฆ ให้มันถอยไม่ถอย ไฟถอยเชื้อไม่มี เชื้อไสเข้าไปเท่าไรไฟเผาแหลกๆ ความโลภนี่ก็เหมือนกัน กิเลสคือตัวโลภนั้นแหละ ทำคนให้ตายอยู่เวลานี้ ได้เท่าไรก็ไม่พอๆ ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น ครั้นหามาได้แล้วความผิดหวังก็มาด้วยกันๆ ได้มาแล้วก็เสียไป ได้มาแล้วก็เสียไป ทางเข้ามีทางออกมันก็มีละซิ ได้มาก็เสียไป ก็ทางเข้าทางออกของสิ่งเหล่านี้แหละ มันเป็นอย่างนั้น
นี่ละความโลภ มันทำลายโลกเวลานี้ โลกกำลังเดือดร้อนวุ่นวาย ไม่ใช่สิ่งของอะไรที่พาอยู่กันกินกันทั่วโลกดินแดนนี้มันอดอยากขาดแคลนนะ มันอดอยากมันหิวโหยอยู่ที่หัวใจต่างหาก ได้เท่าไรยิ่งไม่พอๆ ใหญ่เท่าไรยิ่งอยากใหญ่ อยากใหญ่กว่าคนทั้งโลก เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมทั้งโลก ให้มากราบไหว้คนคนเดียว ที่มีความอยากมากที่สุด เลิศเลอสุดยอดคือคนโลภมากคนนี้แหละ แล้วใครจะมากราบ โลภมากเท่าไรมันยิ่งเลวมากลงไป ใครจะกราบยังไง
พระพุทธเจ้าธรรมท่านสอนให้ไปชำระความโลภแล้วจะสะดวกสบาย ไม่ดิ้นรนกระวนกระวายจนเกินเหตุเกินผล ความพออยู่พอกินอะไรสร้างไป พออยู่พอกินแล้วเป็นไป โลกก็สงบร่มเย็น ถ้ามีธรรมคอยควบคุมอยู่นะ ถ้าปล่อยให้กิเลสควบคุมอย่างเดียวหาไปเถอะ หาไปที่ไหนก็หาไป ใครจะว่าเก่งขนาดไหน ในโลกธาตุนี้จะหาความสุขมาแข่งพระพุทธเจ้าจะไม่มีเลย มีตั้งแต่ความทุกข์เดือดร้อน เอาถามไปซีเป็นรายๆ มีความสุขความสบายอะไร มีสมบัติเงินทองข้าวของ มีตึกรามบ้านช่อง มีที่กี่แปลงกี่ไร่ มีบริษัทบริวารมากน้อยเพียงไร มีความสุขขนาดไหน เอาตั้งแต่ความทุกข์มาต้อนรับนะ มันไม่ได้เอาความสุขมาต้อนรับ พวกที่โลภมากๆ นี่แหละ เวลาเอามาผลของมันก็คือความทุกข์จากความดีดความดิ้นนั้นแหละ ไม่มาจากไหนนะ
ท่านจึงตำหนิความโลภ ได้เห็นโทษรึยังความโลภนี้ มันโลภจนวันตายนู่นน่ะของง่ายเมื่อไร กิเลสไม่มีถอย มีแต่คืบหน้าเรื่อยๆ ไป ไม่มีที่ไปที่มาแท้ๆ ก็นับข้อมือเจ้าของ นี่ลูกศิษย์เขามาเล่าให้ฟังนะ เศรษฐีในปัจจุบันนี้ละ เศรษฐีครั้งก่อนเศรษฐีเงินเหรียญ เงินเหรียญไม่ใช่เงินกระดาษ คนนั้นมีสูงสุดแหละทางภาคอีสาน เงินสูงสุดของแกมีถึงเจ็ดหมื่นบาท เงินเหรียญนี่นะ เขาร่ำลือกันทั่วภาคอีสาน แกอยู่อำเภอนู้นแกเป็นคนมั่งมี เพราะการค้าขาย ดูว่าขายช้างขายอะไรต่ออะไร หลายอย่างหลายประการ ติดต่อกับประเทศลาวบ้างซื้อขายกัน
ทีนี้เวลาจะตายที่นี่จนตรอก มานับข้อมือ นอนอยู่เฉยๆ ป่วยหนักเข้าๆ ไม่มีหวังแล้วละ มานอนแล้วนับข้อมือ คุณพ่อนับอะไรล่ะ คุณพ่อไม่สบายหรือ คุณพ่อเป็นอะไรถึงมานับนิ้วมือ ที่นับนี่คือว่า นี่เราก็จวนจะตายแล้วไม่มีหวังที่จะได้คืนแหละ เงินเหล่านี้นะ คนนั้นติดหนี้เท่านั้น คนนั้นติดหนี้เท่านั้น คือทวงหนี้ด้วยข้อมือ เขาติดหนี้มากต่อมากนี้ไม่มีหวังได้คืนแหละ เราตายก็จมไปหมดเลยหนี้สินเหล่านี้ พ่อจึงได้นับข้อมือ เมื่อมันผิดหวังจริงๆ แล้วก็มานับข้อมือ แล้วก็ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เห็นได้อะไรไป ซากศพเขาก็เอาไปเผากัน ก็ไม่เห็นได้อะไร เงินเจ็ดหมื่นบาท แต่ก่อนเจ็ดหมื่นบาทเป็นเงินน้อยเมื่อไร เงินถึงเจ็ดหมื่นบาทถึงขั้นเศรษฐี ปัจจุบันนี้เรียกว่าเศรษฐีเงินเหรียญถึงเจ็ดหมื่นบาท ไม่มีใครมีได้ง่ายๆ ละ นี่เวลาตายก็ไปอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ
นี่เอามาพูด ลูกศิษย์เขามาเล่าให้ฟัง คนคนนั้นเราก็เคยเห็นเนื้อเห็นตัวแล้วแหละ เห็นทั้งครอบครัว เป็นครอบครัวที่สูงส่งมากที่สุด เวลาตายก็เป็นอย่างนั้น มานับข้อมือ ตายไปร่างกระดูกนี้เขาก็เอาไปเผาเสียไม่เห็นได้อะไร มันน่าจะเอามาเป็นคติ ต่อพวกเรา ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ควรจะเป็นคติได้ดี เหล่านี้ใครจะเอาอะไรไปบ้างล่ะ มีตั้งแต่ความโลภเต็มตัวๆ เวลาตายแล้วความโลภเหยียบลงแหลกหมดเลย ความโลภแทนที่จะมาช่วย ไม่ได้ช่วยนะ เหยียบลงหมด หวังนั้นหวังนี้ เมื่อมันผิดหวังๆ นั่นละมันผิดหวังของความโลภ มันไม่ได้อย่างใจมันก็เป็นกองทุกข์ขึ้นมาเผาตัวเองๆ แหลกเหลวไปหมด
นี่ละกิเลสมันกำลังออกหน้าออกตา อยู่ที่ไหนบ้านใดเมืองใด ใหญ่เท่าไรความโลภความโลเลที่ได้ไม่มีเมืองพอนี้ยิ่งหนาแน่นขึ้นมา อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ ก็แทรกกันขึ้นมา แทรกกันขึ้นมาด้วยอำนาจเป็นกิเลสทั้งนั้นละที่ออกมาแสดงให้โลกได้รับความเดือดร้อน ผู้ใหญ่ใหญ่เท่าไรเหยียบผู้น้อยลงไปๆ ผู้มั่งมีเท่าไรเหยียบคนทุกข์คนจนลงไป ไม่ว่าบ้านใดเมืองใดเป็นอย่างนั้นถ้ากิเลสปกครองบ้านเมือง ไม่มีธรรมปกครองบ้านเมือง เราอย่าเข้าใจว่าบ้านใดเมืองใดจะเจริญรุ่งเรือง มีความสุขความเจริญ เป็นความทุกข์ด้วยกันหมดทั้งนั้นแหละถ้าลงให้กิเลสปกครองบ้านเมืองนะ ได้มากเท่าไรยิ่งบีบยิ่งบี้สีไฟคนอื่นเข้าไปมาก ได้มากเท่าไรยิ่งกอบยิ่งโกย ไม่มีวันหยุดวันถอย เวลาตายแล้วก็ตายเหมือนโลกเขาตายนั่นแหละ ไม่เห็นตายพิเศษอะไร คนนี้เขาโลภมากควรจะตั้งยศถาบรรดาศักดิ์สูงพิเศษให้เขา ก็ไม่เคยมีใครไปตั้งให้เลยนะ
ความโกรธ ความเคียดแค้นเขามาก ความอิจฉาพยาบาท อาฆาตจองเวร ความเบียดเบียน อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ของเขามาก ควรที่จะไปชมเชยเขา ไม่มีใครชมเชย มีตั้งแต่เขาแช่งไปตามหลังเท่านั้นละ โอ๊ยมันตายเสียดี ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่มันยังจะโลภมาก ทำความเดือดร้อนให้แก่โลกมากยิ่งกว่านี้อีก คนคนนี้ควรจะตายเสีย ตายแทนหมาก็ได้ หมาเขาไม่ได้โลภมากอย่างนี้ อันนี้มันโลภเลยเถิดเลยแดน มนุษย์มนาทั่วโลกดินแดนเดือดร้อนเพราะความโลภมาก อำนาจป่าเถื่อนของมันนี้มากนั้นเอง ทำโลกให้เดือดร้อน ไอ้หมาเขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไร หมาเขาดีกว่าคนประเภทนี้ เขาจะแช่งกันอย่างนี้นะ
เป็นยังไงมีใครไปชมเชยไหม คนโลภมากไม่มีอรรถมีธรรมภายในใจ ถ้ามีธรรมแล้วมีมากมีน้อยดีไปหมดนะ มันแปลกกันอย่างนี้ คนมีอรรถมีธรรมข้างนอกก็สม่ำเสมอ ข้างในก็สม่ำเสมอ ไม่เหยียบย่ำทำลายใคร ไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร ไม่หาช่องหาโอกาสคดโกงรีดไถใคร ได้มาตามความสามารถวาสนาของตนเองที่อุตส่าห์พยายามดีดดิ้นมาเท่าไร ได้มาๆ เอาทางด้านนี้เป็นส่วนจำเป็นอันนี้ อันนี้แยกออก ทำเป็นประโยชน์ส่วนภายในคือจิตใจ ซึ่งเป็นของที่มีคุณค่ามากและเป็นผู้สมบุกสมบันในการเกิดตายไม่หยุดไม่ถอย ต้องอาศัยความดีงามทั้งหลายนี้เป็นเสบียงเครื่องก้าวเดินในภพชาติต่อไป ผู้นี้ไม่ประมาท
สร้างความดีงามก็ เอา สร้าง มีเท่าไรสร้าง ส่วนที่เก็บไว้สำหรับครอบครัวเหย้าเรือน ก็เก็บไว้เป็นความจำเป็นของธาตุของขันธ์ ส่วนที่จะช่วยโลกสงสาร ใครมาติดต่อขอที่ไหนเป็นให้ไปๆ นี้คนมีจิตใจอันกว้างขวาง คนนี้เรียกว่ารื่นเริง อิธ นนฺทติ อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิง ไปที่ไหนคนรักคนชอบ เปจฺจ นนฺทติ ละไปแล้วก็ไปรื่นเริงบนสวรรค์ นั่นท่านสอนไว้อย่างนี้ ท่านไม่ได้สอนว่าคนนี้โลภมากไปที่ไหนเขาตอมไปเลยละ คนตอมไปเลยคนโลภมาก คนเห็นแก่ได้แก่เอา เขาแตกหนีหมดไม่มีเหลือ เข้าใจไหม เขาไม่ได้วิ่งตามนะ เขาแตกหนีหมด เพราะนี่เปรตมหายักษ์มาแล้ว
มันจะมาเอาท่าไหนไม่รู้ ระวังนะตับอยู่หมิ่นๆ ไม่ได้นะ มันจะเอาตับไปกินหมด เพราะพวกนี้มันมือเร็วที่สุด คว้าตับคว้าปอดคนมากิน อำนาจป่าเถื่อนอย่างนี้ เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นละ ถ้าเรื่องของธรรม อยู่ที่ไหนเย็น คนมีธรรมเย็น ทั้งคนมีคนจนเย็นด้วยกัน ดีด้วยกัน ธรรมะท่านชมไปด้วยกันหมดนั่นละ คนมั่งคนมีสร้างความดีเพื่อจิตใจของตนก็สร้าง เพื่อจิตใจของตัวเองก็เพื่อชาติ เพื่อส่วนรวมอีก แล้วก็เข้ามาสู่จิตใจของตน อานิสงส์แห่งการเสียสละแก่เพื่อนฝูงทั้งหลายก็เข้ามาหาตัวเองๆ แน่ะ ข้างนอกก็กว้างขวาง ข้างในก็กว้างขวางด้วยบุญด้วยกุศล ข้างนอกก็กว้างขวางด้วยความสงบร่มเย็น พอได้อาศัยผู้เสียสละด้วยความมีเมตตา ต่างกันอย่างนั้นนะ
ให้พากันพิจารณานะ วันนี้ธรรมออกแง่ไหนก็ไม่รู้แหละ แล้วแต่จะออกละ เพราะเรื่องเหล่านี้มันมีทุกแง่ทุกมุม ธรรมไปที่ไหนโดนทั้งนั้นแหละ พูดจะผิดไปไหน เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในโลก ปฏิเสธได้ไหมว่าพูดไปนี้ผิดไป โดนทั้งนั้นละโดนทั้งเขาทั้งเราไปเลยละ อย่าว่าจะไปโดนแต่เขาเลย โดนเราด้วย สิ่งเหล่านี้มีอยู่กับทุกคน แม้ผู้เทศน์ก็อาจโดนเหมือนกัน จะว่าโดนเสียจริงๆ เราก็ไม่กล้า เพราะใจนี้มันปล่อยหมดแล้ว จะไปว่าโดนจริงเราก็พูดยาก แต่นี้เพราะอ่อนลงหาลูกศิษย์ ลูกศิษย์ลูกหาจะว่าหลวงตานี้โกรธแค้นเกินไป โกรธแค้นก็มีแต่คำพูดเท่านั้นแหละ หัวใจเต็มไปด้วยเมตตา ให้ท่านทั้งหลายจำเอา
นี่พูดถึงเรื่องโทษของกิเลสกับคุณค่าของธรรม ถ้าธรรมแทรกเข้าตรงไหนจะมีเกาะมีดอนพอซุกหัวนอนได้นะ ถ้าไม่มีธรรมใครจะเป็นขนาดไหนสูงขนาดไหนก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผามันอยู่ตลอดเวลา ให้พากันเข้าใจเอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ก็พอแล้วละ
พูดถึงเรื่องมะขามป้อม-สมอในป่า ท่านอธิบายในพระวินัยนะ พระท่านเที่ยวธุดงค์ ส่วนมากมีแต่เที่ยวธุดงค์ในป่าในเขาทั้งนั้น คือของนั้นต้องรับประเคนเสียก่อนพระถึงจะฉันได้ ทุกอย่างต้องรับประเคน ไม่ประเคนปรับโทษ เป็นเรื่องตะกละตะกลาม ไม่เป็นเรื่องเรียบร้อยสวยงาม เหมือนพระผู้ชำระความโลภ ทีนี้เวลาพระไปเที่ยวกรรมฐานท่านอนุโลมให้นะ คือพระไปเที่ยวกรรมฐาน ไม่ว่ามะขามป้อม-สมออะไรๆ ถ้าจะฉันนี้แล้วต้องได้ประเคนทั้งหมด เว้นไว้แต่น้ำกับไม้ถูฟันไม้จิ้มฟัน มีสองอย่างที่ท่านเว้น นอกนั้นล่วงเข้ามุขทวารแล้วต้องได้เคนทั้งนั้น นอกนั้นปรับอาบัติทั้งหมด มียกเว้นไว้สองอย่าง คือน้ำ อญฺญตฺร อุทกทนฺตโปณา ในพระปาฏิโมกข์ก็มี น้ำและไม้ถูฟันไม้จิ้มฟัน นอกนั้นประเคนทั้งหมด
ทีนี้เวลาพระไปบิณฑบาตในขั้นท่านผ่อนผันนะ พระไปเที่ยวธุดงคกรรมฐาน ไปด้วยความหิวโหย เดินป่าเดินเขาไปนี้ ไปเห็นมะขามป้อม-สมอมันหล่นลง หล่นแล้วไม่มีอนุปสัมบันคือประชาชนคนใดก็ตาม ไม่มีฆราวาสญาติโยมเขามาเอามะขามป้อมนั้นประเคน พึงกำหนดภายในใจ ว่าอย่างนั้นนะในพระวินัย ให้เก็บเอามะขามป้อมหรือสมอนั้นติดย่ามไป ติดถุงไป กำหนดไว้ว่าเพื่อไปพบฆราวาสข้างหน้าแล้วจึงให้เขาประเคนให้ นี่เรียกว่าท่านอนุโลมนะนี่ อนุโลม ให้เขาประเคนให้ เมื่อไปถึงที่แล้วไม่มีใครประเคนให้เลย เจ้าของก็หิวเต็มทน พึงฉันเสียเถิด นั่น สุดท้าย
นี่ละพระวินัย ธรรมดาแล้วฉันไม่ได้ เว้นแต่น้ำกับไม้ถูฟัน ทีนี้เวลาไปเที่ยวธุดงคกรรมฐานในป่าในเขาแล้วไปเจอมะขามป้อม-สมอแล้วไม่มีใคร เธอก็อยากได้หิวเต็มทนก็ให้พึงเอามะขามป้อม-สมอนั้นใส่ถุงไปเสียก่อน กำหนดไว้ว่าเวลาไปเจอคนข้างหน้าให้เขาประเคนแล้วฉัน ท่านว่าอย่างนี้นะ ครั้นไปถึงที่แล้วไม่มีใครประเคน เธอก็หิวเต็มทนแล้วฉันเสียเถิด นั่น เท่านั้นละนะ นี่ละพระวินัยเห็นไหมขนาดนั้น แล้วใครเคารพพระวินัยก็คือเคารพศาสดา ศาสดาสอนว่ายังไงก็ต้องดำเนินตามนั้น ถ้าเพี้ยนจากนั้นแล้ว เรียกว่าเหยียบหัวศาสดา ใครที่ข้ามเกินพระธรรมวินัยคือข้ามเกินเหยียบหัวพระพุทธเจ้านั่นเอง ใครประคับประคองธรรมวินัยดีนั้นคือผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ให้พากันเข้าใจเอานะ
(ลูกศิษย์ขออาราธนาให้หลวงตามีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง อายุยืนๆ เพื่อเป็นมิ่งเป็นขวัญของชาวพุทธสืบไป อันจะเป็นการสืบทอดอายุพุทธศาสนาไปในตัวค่ะ) เออ เราจะสู้ไปจนกระทั่งหมดลมหายใจเราถึงจะถอย ถ้าไม่หมดลมหายใจไม่ถอย ว่างั้นเถอะ เราก็เป็นนักสู้เหมือนกันนี่วะ พอใจนะเราจะสู้จนสุดลมหายใจ ให้ถอยไม่มี พอพูดถึงเรื่องสู้สุดลมหายใจนี้เราก็ระลึกได้ตอนที่จะไปจริงๆ อยู่หนองผือนะ มันอะไรก็ไม่รู้นะ คือยาขวดนั้นเราก็ไม่เคยเห็น เขาว่าเขาอยู่กรมการแพทย์ โรงพยาบาลนครพนม บอกจนกระทั่งห้อง ๗ นี่ละเวลาเป็นเหตุแล้วมันไม่ลืมนะ
เขามา เราก็ปัดกวาดไปถึงศาลา พอดีเขาก็มาถึงนั้น เราปัดกวาดพอดีเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาไม้กวาดไปวางไว้แล้วก็เลยขึ้นไปศาลา พอขึ้นไปเห็นเขาเปิดหีบออกมา กระเป๋าของเขานั่นละมียาหลายประเภท แต่ยาขวดนั้นมันสะเทือนใจ พอมองเห็นปั๊บปั๊วะเข้านี่เลย ออกอย่างไม่คิดไม่อ่านอะไร ออกรับเหตุการณ์กันในขณะที่มากระเทือนกัน มองไปปั๊บ โอ๊ย ยาขวดนี้ไม่ได้นะ ใครฉันตายนะ เราว่างี้นะอยู่ๆ จนเสียมารยาท เขาหน้าแห้งไปหมดละ ไปว่าให้เขา ยาขวดนี้ใครฉันไม่ได้นะ ตายนะ เราว่าอย่างนั้น
จากนั้นแล้วเราค่อยพลิกใหม่ ยาขวดนี้เป็นยาแก้อะไร เราถาม ยาถ่าย เขาว่าไม่เป็นอะไรละครับพวกผมมียาห้าม เขาว่าอย่างนั้น ยาขวดนั้นละดัดเรา เห็นไหมล่ะเวลามันดัด เขาว่าเขามียาห้ามมันเลยปล่อยใจเสีย ทีแรกเจอไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันออกอย่างแรงเพราะมันสะเทือนอย่างแรง มองเห็นปั๊บปั๊วะเข้าเลย ทางนี้ก็ออกรับกันเลยว่า ยาขวดนี้ใครกินไม่ได้นะ ตายนะเราว่าอย่างนั้น พอถามเขาแล้วเขาก็บอกว่ามันเป็นยาถ่าย แต่ไม่เป็นอะไรแหละพวกผมมียาห้าม คำว่ายาห้ามเลยกล่อมเรา เราก็เลยปล่อย
ทีนี้เอายานี้มาฉัน ก็ฉันธรรมดา พระองค์ละช้อนๆๆ ท่านถ่ายธรรมดา พอถึงสองทุ่มเขาเอายาห้ามมาห้ามพระท่านก็หาย ไอ้เราก็ฉันเท่ากันกับเขา เวลายาห้ามมามันไม่ยอมหายซี ถ่ายเสียจน ตั้งแต่นั้นจนกระทั่งถึงเช้าถ่าย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อาเจียนนี่ เรานั่งอยู่ส้วมนะ เวลามันอาเจียนอย่างรุนแรงนี้เศษอาหารนี้มันพุ่งไปติดฝาส้วม แรงหรือไม่แรงติดฝาส้วม พุ่งๆ พอมันอาเจียนเต็มเหนี่ยวแล้วทีนี้มันอ่อนลงๆ รู้ในตัว อ่อนลงๆ หดเข้ามาเลย มันเต็มที่แล้ว ถ้าธรรมดาเรียกว่าไปตอนนั้นเลยละ ไม่อยู่
หดเข้าๆ สุดท้ายตาหูจมูกลิ้นกายอะไรนี้ความรู้สึกนี้หดปุ๊บเข้ามาหมดเลย เข้ามาอยู่ตรงกลางอันเดียว ความรู้อันเดียวเท่านั้น ตาบอดหูหนวก เลยหนวกไปแล้วมันเป็นท่อนไม้ท่อนซุงไปหมดในส่วนร่างกาย ทุกขเวทนาที่สาหัสดับหมดเลย ร่างกายของเรานี้เวลามันจะไปจริงๆ ทุกขเวทนานี้จะดับหมดนะ ทุกขเวทนาของเรา พอมันหดเข้ามา ตาหูจมูกลิ้นกายหดเข้ามาสู่ความรู้นี้หมดแล้ว ร่างกายไม่มีทุกข์ ธรรมดา เป็นท่อนไม้ท่อนซุง มีแต่จิต พอมันหดเข้ามานี้ ก็สติมันดีอยู่เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าจะตั้งสติท่านั้นท่านี้ มันเป็นหลักธรรมชาติของมัน ไม่เคยเผลอกันเลย พอเข้าถึงนี้ปั๊บหมดละที่นี่ หมดทุกอย่าง
ทุกขเวทนาที่แสนหาหัสนั้น พอร่างกายหมดความรู้สึกทุกด้านทุกทางแล้ว ทุกขเวทนาทั้งหลายที่มันเป็นอยู่นั้นดับไปพร้อมกันหมดเลย ขณะนั้นเรียกว่าขณะเงียบหมดทุกอย่าง ความทุกข์ไม่มีเลย ร่างกายของเราเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เหลือแต่ความรู้อันเดียว มันเป็น ๙๙% จนกระทั่งเจ้าของวิตกขึ้นมา หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป พอว่าอย่างนั้นก็มีสมมุติอันหนึ่งตั้งสติขึ้นมา สติเป็นสมมุตินะ สติจับปั๊บเข้าไปตรงนั้นอีก ที่นั่นมันหดเข้าหมดแล้ว หมดทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ ทุกข์ก็ดับ ร่างกายก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ดีดคราวนี้ก็เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ตายนะ
พอถึงนั้นแล้วเราก็วิตกขึ้นมา หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาจะไปก็ไป เราว่าอย่างนั้นนะ พอว่าอย่างนั้นสติเป็นสมมุติอันหนึ่ง จับปั๊บเข้าไปตรงนั้น เข้าไปหนุนอันนั้นนะ หนุนความรู้อันนั้น ความรู้อันนั้นมันจะไปแล้วละ พอไปหนุนอันนั้นปั๊บความรู้นี้ซ่านออกมา ซ่านขึ้นข้างบนข้างล่างไปหมด ทุกขเวทนาก็เริ่มมีขึ้น จึงรู้ได้ชัดว่าคนเรานี้เมื่อเวลาจะตายจริงๆ ทุกขเวทนาจะต้องดับหมดถ้ามีสตินะ ถ้าไม่มีสติทิ้งเนื้อทิ้งตัวตกที่หลับที่นอน ตกตงตกเตียงอะไรไปได้นะ ไม่มีสติควบคุม มีแต่ทุกข์ครอบงำ แต่นี้เวลาเอาจริงๆ แล้วทุกข์ดับหมด ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความรู้ พอสติจับปั๊บเข้าไปมันก็ซ่านออกมารู้อีก ซ่านออกไปรู้ตามเดิม ไม่ไป
นี่ละถึงวาระสุดท้ายต้องดับหมดนะ ทุกอย่างในร่างกายนี้จะไม่มีอะไรเหลือ ทุกข์ทั้งหลายก็ตามจะดับหมด ร่างกายจะหมดความรู้สึกทุกอย่าง ดับไปด้วยกัน เหลือแต่ความรู้ ถ้าความรู้เคลื่อนคราวนี้ก็ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย นี่พูดถึงจิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ไม่ได้สงสัยตัวเอง แม้เวลาที่จะไปนั้นก็ยังว่า หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ จะวิตกวิจารณ์กับการไปการอยู่การเป็นตายของเจ้าของไม่มีเลย หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป แน่ะว่าอย่างนั้นนะ สติจับปั๊บเข้าไปนี้สติเลยไปหนุน หนุนแล้วก็มีกำลังออกมา ความรู้นี้ซ่านออกมาข้างนอก เลยไม่ตาย ความหมายว่าอย่างนั้น
จึงได้รู้ชัดเจน อ๋อ คนเราถ้ามีสติอยู่แล้วเวลาจะตายจริงๆ ทุกขเวทนาจะดับหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความรู้นั้นก็ดีดออกเท่านั้นเอง แต่จิตดวงไหนล่ะที่จะมีสติคุ้มครองรักษาใจได้ขนาดนั้นนะ ไม่มี นอกจากจิตที่ได้รับการอบรม และอบรมมาเต็มที่แล้วดังที่กล่าวนี้เป็นเองรู้เอง นี่เรื่องความตาย มีเหลือแต่รู้อันเดียว เหล่านี้หมดแล้วนะ หมดสภาพ หมดเลย แต่อันนั้นไม่หมดธรรมชาติที่รู้ จิตที่เป็นเจ้าของร่างนะอันนั้นละครองอยู่ ถ้าอันนี้ดีดปั๊บเดียวเท่านั้นหมดเลย ไปแล้ว ร่างกายก็เรียกว่าตาย อันนี้ยังอยู่นั้น จึงได้ว่า หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ
นี่ละคุณค่าแห่งการอบรมจิตใจ เมื่อถึงที่แล้วดังที่เป็นอย่างนี้เราก็ไม่ได้วิตกวิจารณ์ กลัวเป็นกลัวตาย ดูตามความจริงๆ ถึงขั้นมันจะไป ๙๙% มันจะดีดออกก็ยังถามว่า หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป สติปั๊บเข้าไปอีกทีหนึ่ง เป็นสมมุติหนุนกันเข้าไป ธาตุขันธ์ก็เลยมีกำลังซ่านออกมา เลยไม่ตาย ไม่งั้นตายตั้งแต่นู้นแล้วละ นี่ละอำนาจแห่งการอบรมจิตใจ มันเป็นเองนะ ไม่มีการบังคับบัญชาอะไร เผลอไม่เผลอมันก็เป็นเองของมัน รู้กันอยู่ตลอดเวลาทุกระยะ เป็นเพราะไม่เผลอ แล้วจะเป็นจะตายจะวิตกวิจารณ์กับเรื่องความเป็นความตายไม่มี มีแต่ว่า หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ ไปก็คือว่าตาย เอาไปก็ไป ก็เท่านั้นเอง ความจริงต่อความจริงเข้าถึงกัน ไม่มีอะไรกลัวอะไรกล้ากันนะ เป็นธรรมชาติอย่างนั้น
วันนี้ทองคำที่ได้ทั้งวันนะ ตั้งแต่เช้าถึงปัจจุบันนี้ได้ทองคำ ๑๔ บาท ๖๙ สตางค์
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |