คติจากฝน
วันที่ 27 สิงหาคม 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

ทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

คติจากฝน

ก่อนจังหัน

นี่ลูกหลาน ก่อนให้พรจะสอนเป็นเครื่องสะกิดใจทุกคนให้ทราบทั่วถึงกัน โดยยกพระที่ท่านตั้งอกตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความดีงามใส่ตัวเองโดยตรงแล้ว ปรกติของวัดนี้พระจะไม่เคยมาฉันครบตามจำนวนของพระที่มีอยู่ในวัดเลย จะขาดไปเป็นลำดับลำดา องค์ที่ขาดไปท่านไม่ฉัน การไม่ฉันคือท่านเร่งความดีใส่หัวใจท่าน การขบการฉันมาก ๆ ทำให้เป็นการเสริมทางธาตุขันธ์แล้วก็เสริมกิเลสตัณหา พร้อมกับการเสริมความทะเยอทะยานมากขึ้น ท่านจึงตัดลง ๆ การขบการฉันของพระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง เช่นที่ปฏิบัติอยู่ในวัดนี้นั้น ทำตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าที่สอนโลกให้เป็นสัตว์ดีคนดี

วันนี้พระปรกติในวัดนี้ปีนี้มีพระ ๕๐ องค์ แต่วันนี้มาฉันจังหันเพียง ๒๒ องค์ ขาดไป ๒๘ องค์ ที่ขาดไปนั้นท่านเร่งภาวนาของท่าน ไม่ใช่ขาดไปนอนแผ่สองสลึงอยู่เฉย ๆ ท่านขาดไปเพื่อเร่งภาวนา เพราะการผ่อนอาหารซึ่งเป็นการเสริมกำลังของร่างกายนี้ เป็นการช่วยการภาวนาให้สะดวกยิ่งขึ้น จิตใจคล่องแคล่วว่องไวในการแก้ไขถอดถอนสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายภายในใจออกเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นท่านจึงอดอยู่เสมอ ๆ ไม่ค่อยลดละ สำหรับวัดนี้ไม่มีพระมาฉันครบจำนวนเลยนะ ขาดไป เช่น วันนี้ขาดไปถึง ๒๘ องค์ ท่านฉันเพียง ๒๒ องค์เท่านั้นในจำนวนพระ ๕๐ องค์ ให้ลูกหลานเอาไปพินิจพิจารณา

การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าให้พากันอดข้าวอดน้ำอะไร ๆ นะ การฝึกทรมานเพื่อความเป็นคนดีต้องได้พยายามฝ่าฝืนสิ่งที่เราต้องการให้ลดน้อยลง ฝ่าฝืนสิ่งที่เราต้องการคือต้องการตามกิเลสนั่นแหละ ธรรมนั้นต้องได้ฝืนกันเรื่อย ๆ ฝืนแก้กิเลสแล้วฝืนบำเพ็ญตามธรรม วันนี้ลูกหลานให้ดูเสียนะ พระท่านภาวนาท่านทำอย่างนั้น ท่านไม่อยู่เร่ ๆ ร่อน ๆ ท่านมีกฎมีเกณฑ์ตลอดเวลา อันใดไม่ดีท่านจะตัดออกทันที ๆ ทั้ง ๆ ที่อยากทำอยากไปอยากมาอยากพูดอยากจา อยากกินอยากดื่ม ท่านตัดออก ๆ อะไรที่จะทำให้เสีย ส่วนใดที่ดีท่านเสริมเข้ามา ๆ นี่ละวิธีการปฏิบัติเพื่อความเป็นคนดี เด็กดี ผู้ใหญ่ดี หญิงชายดี ทั่วประเทศไทยเราให้เป็นคนดี สมกับชื่อว่าเป็นลูกชาวพุทธ ต้องฝึกหัดดัดแปลงตัวเองเสมอ อย่าพากันปล่อยตามอารมณ์ของใจจะเสียผู้เสียคนไปวันละเล็กละน้อย แล้วก็เสียไปอย่างมากขนาดที่ว่าไม่มีราคาเลยมีเยอะ เพราะการปล่อยตามใจที่ชอบที่อยากที่ทะเยอทะยาน

นี่พูดธรรมะย่อ ๆ ให้ลูกหลานทั้งหลายได้ฟังเอาไว้ ให้จำไปฝึกทรมานตน อดบ้างอิ่มบ้างเอาเถอะ ถ้าเพื่อความดีแล้วไม่เสียหาย ไม่ขาดทุนสูญดอก แต่สมบูรณ์พูนผลเพื่อกิเลสตัณหาเพื่อฟืนเพื่อไฟมาเผาตนนี้อย่าพากันทำ ให้จำเอาไว้นะ วันนี้สอนอุบายวิธีการ พระที่ท่านมาฉันที่นี่ท่านก็ฉันแต่เพียงเล็กน้อย ท่านไม่ได้ฉันเต็มอารมณ์แห่งความต้องการของพุงที่กางรอไว้นะ พุงนี่พอตื่นนอนมันกางไว้แล้ว กางรออาหารกล้วยหอมกล้วยไข่ทุกสิ่งทุกอย่างมันกางไว้ แต่ธรรมะตีเอาไว้ไม่ให้มันกางมากเกินไป มันจะกินบ้านกินเมือง พุงกางนี่กินบ้านกินเมืองให้ล่มจมได้นะ เรื่องพุงกางคือความไม่อิ่มพอ ได้เท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งกลืนยิ่งกิน กินจนลืมเนื้อลืมตัว ด้วยอำนาจเป็นยักษ์เป็นผีครองบ้านครองเมือง ครองครอบครัวเหย้าเรือน แหลกเหลวไปหมด กินไม่ถอย ๆ

ถ้าเป็นในครอบครัว ผัวก็ไม่พอกับเมีย เมียก็ไม่พอกับผัว หามาสัก ๒๐-๓๐ ผัว ๕๐ เมียเรื่อยไป นี่เรียกว่ากลืนครอบครัวเหย้าเรือน บ้านเรามีกี่ครอบครัวผัวเมียต่างกลืนกันแบบนี้แล้วโลกนี้พินาศเป็นไฟ แล้วบ้านเมืองของเราถ้าปกครองกันด้วยวิธีการกลืนกินบ้านกินเมืองอย่างนี้แล้ว โลกนี้ฉิบหาย เฉพาะเมืองไทยเรานี้กลืนแบบนี้แล้วล่มจมโดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นจึงอย่าให้มันกลืนนะ ให้มันกินแต่พอดี อย่างพระที่ท่านมาฉันจังหันนี้ ท่านฉันแต่น้อยนะ บางองค์จิ๊บ ๆ แจ๊บ ๆ ไม่กี่คำ พอทนได้ท่านทนเอา แต่ทางธรรมะเพื่อความดีงามท่านจะเร่งของท่านตลอด ให้ลูกหลานทั้งหลายจำเอาไว้นะ ที่พระท่านมาฉันเหล่านี้ท่านไม่ได้กางพุงมาฉันนะ ท่านฉันด้วยความจำเป็นพอบรรเทากันไปสำหรับธาตุขันธ์ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้ทำประโยชน์ ท่านก็บรรเทากันไปเท่านั้นพอให้อยู่ได้วันหนึ่ง ๆ แต่ความดีนี้พอกพูนขึ้นเป็นลำดับลำดา

นี่ละคนจะดีเพราะการฝึกฝนอบรมตน ไม่ใช่เพราะการปล่อยตัว ให้จำเอาไว้นะลูกหลาน ดังตัวอย่างที่พระ วันนี้จนมองไม่เห็นเลย พระเต็มวัดมาฉันไม่กี่องค์ดูซิ ท่านฉันพอบรรเทาเท่านั้นท่านไม่ได้ฉันมากมาย แม้ท่านจะมาฉันก็ฉันพอบรรเทาไปวันหนึ่ง บางองค์ท่านอดมาหลายวันแล้วพึ่งมาฉันวันนี้ก็มี บางองค์ก็ค่อยบรรเทาตัวเองไปเรื่อย ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ก็มี ให้ลูกหลานทั้งหลายจำเอาไว้ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว เมืองไทยเราจะเสียจริง ๆ นะ มองดูแล้วศาสนาจะไม่มีในใจของชาวไทยเราเลย หลวงตาเองเป็นผู้นำพี่น้องชาวไทยทุกวันนี้ทางศาสนา ทางด้านวัตถุดังที่เห็นกันอยู่นี้ก็รู้สึกว่าเป็นห่วงใยมากนะ นี่เทศน์สอนออกมาด้วยความห่วงใย ลูกหลานทั้งหลายให้พากันจำแล้วไปปฏิบัตินะลูกหลาน ต่อไปนี้จะให้ศีลให้พร

หลังจังหัน

ฝนตกตลอดคืนนะตกแบบนี้ ฝนตกแบบนี้ตลอดคืนเลย ดูซิมันตกนี้เข้าท่าดีนะ จะนำมาสอนพวกเราภายในวัดก็ได้ ฝนนี่ตั้งแต่เย็นเมื่อวานนี้มาเรื่อย พรำเบา ๆ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ไม่ได้ไปเดินจงกรมเลย มันพรำเบา ๆ แต่ทรมานไว้ไม่ให้ไป นี่มันแบบที่ว่าขนาดนี้กำลังหลับดี หลับเล็กหลับน้อยครอก ๆ แครก ๆ อยู่งั้นตลอดรุ่งเลย ขนาดนี้หลับดีกล่อมดีมาก หลวงตาเป็นหัวหน้าใหญ่ก็เลยถูกกล่อมเหมือนกัน ลงเดินจงกรมไม่ได้ เงียบ ๆ มันจะไม่มีฝนแล้วมั้ง พอเดินออกไปยิบ ๆ แย็บ ๆ โอ๊ย ถอยกลับอีก เป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ เอามาคิด ตลอดรุ่งไม่มากตกตลอด ขนาดนี้กำลังหลับดี หลับเล็กหลับน้อยกรนเล็กกรนน้อยครอก ๆ แครก ๆ อยู่ตามเสื่อตามหมอน ถ้าจะนั่งก็เจ็บเอว คือยังไม่ได้นั่งนะมันเจ็บเอวแล้ว ถ้านั่งแล้วเจ็บเอวค่อยยังชั่ว ยังไม่ได้นั่งมันเจ็บเอวแล้ว

ทีนี้พูดถึงเรื่องฝนดีนะ คือมันเป็นกับตัวเอง ถ้าคืนไหนที่เรานั่งตลอดรุ่งฝนพรำอย่างนี้ โหย เก่งมากนะ จิตนี้พุ่ง ๆ เลย ท่านถึงว่า อุตุสัปปายะ ดินฟ้าอากาศเป็นที่สบาย ท่านบอกสัปปายะสามสี่อย่าง อาหารสัปปายะ คืออาหารเป็นที่สบาย นั้นหมายถึงอาหารที่ฉันลงไปแล้ว ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อธาตุต่อขันธ์ แล้วก็ไม่เป็นภัยต่อจิตตภาวนา อาหารนั้นท่านเรียกว่าอาหารสัปปายะ นี่เป็นอาหารสัปปายะตามคำสอนที่สอนไว้ ไม่ได้หมายถึงว่าอาหารกินแล้วสะดวกสบาย นอนหลับไม่ตื่นก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลาพระมาบิณฑบาตไม่เห็นใครใส่บาตรเลยแล้วกลับไปวัด ปรึกษาหารือกัน เป็นยังไงบ้านนี้หายเงียบไปหมด เป็นยังไงไม่ใช่ตายแล้วหรือ ไปดูมีแต่หลับครอก ๆ แครก ๆ พระไม่ได้บิณฑบาต เพราะไปบิณฑบาตก็ไม่มีใครใส่บาตร มันหลับครอก ๆ แครก ๆ เพราะฝนพรำกล่อมดี นี่แยกไปทางนั้น

ทีนี้แยกมาทางด้านภาวนา ถ้าวันไหนดินฟ้าอากาศอย่างนี้ วันนั้นเป็นวันสละตายด้วย สละตายทุกวันถ้าลงว่าวันนี้ต้องอย่างนั้น เท่านั้นเอง แต่นี้เวลาเรามาเทียบเคียงกันดูถึงผลประโยชน์ เวลาร้อนไม่ดีการภาวนาลำบากมากทีเดียว นี่เราหมายถึงคืนที่สละเป็นสละตาย เอา นั่งตลอดรุ่งนะวันนี้ ขีดเส้นตายให้เลย ถ้าอากาศร้อนไม่ดีเลย การภาวนาซัดกันเต็มเหนี่ยว ลงได้ ถึงแดนอัศจรรย์ที่เคยได้-ได้แต่ช้าและบอบช้ำมากทีเดียว กว่าจะลงได้นี้เอาจนเต็มเหนี่ยว บางทีถึงเที่ยงคืนยังลงกันไม่ได้ ฟาดแต่ยังไม่มืด นี่คือดินฟ้าอากาศไม่อำนวย การพิจารณาของเราก็ไม่สะดวก

ทีนี้เรามาเอาตรงนี้เลย ตรงที่ฝนพรำ เย็นสบาย ๆ ฝนตกฝนพรำ วันนั้นพิจารณาจิตนี้พุ่ง ๆ เลย ไม่ได้ยากนะ ธาตุขันธ์อันนี้ ใจดวงนี้ สติปัญญาอันนี้ กิเลสอันนี้แหละ เมื่อมีสิ่งที่อำนวยช่วยส่งเสริมแล้ว เช่น ฝนพรำๆ การภาวนานี้พุ่งเลย ลงอย่างอัศจรรย์ ๆ และลงได้อย่างง่ายดายด้วย ผิดกัน ท่านจึงว่า อุตุสัปปายะ ดินฟ้าอากาศสะดวกสบายเป็นเครื่องหนุนได้ ถ้าวันไหนร้อน แหม นั่งภาวนา…

ทีนี้การนั่งภาวนาเราอย่าไปคำนึงคำนวณว่านั่งนานเหนื่อย นั่งไม่นานไม่เหนื่อยมาก อันนี้เป็นธรรมดา แต่ที่มันแทรกเข้ามาในนั้น นั่งนานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับจิต ถ้าจิตภาวนาได้สะดวกสบายนี้ลงอย่างที่พูดว่า นั่งตลอดรุ่ง คืนวันนี้ดินฟ้าอากาศพร้อมทุกอย่าง ฝนพรำตลอด นั่งตลอดรุ่งเวลาเท่าไร กี่ชั่วโมง ไม่ได้มีความลำบากในร่างกายนะ พอถึงเวลาที่จะออกแล้วลุกไปเลย ฟังซิ นั่งตั้ง ๑๒-๑๓ ชั่วโมง บางทียังไม่มืดนั่งแล้วจนกระทั่งตะวันโผล่เป็นวันใหม่ขึ้นมา นี่ที่ว่าจิตได้รากได้ฐานการภาวนาสะดวกสบาย ได้กำลังวังชาทางด้านจิตใจ พอถึงเวลาแล้วลุกไปเลย เวลา ๑๒-๑๓ ชั่วโมง

ถ้าวันไหนลำบากบอบช้ำมากทีเดียวร่างกาย เวลาเท่ากัน แต่การภาวนาผลที่พึงได้รับไม่ได้สมมักสมหมายเหมือนดินฟ้าอากาศช่วยนะ วันเช่นนั้นเวลาจะลุกขึ้นลุกไม่ได้นะ คือร่างกายมันตายหมดแล้ว จับไม่รู้เลย แต่มือของเรารู้ว่าแข้งขาของเรานี้เย็น ส่วนแข้งขานี้เงียบเลย เรียกว่าตายหมดแล้ว นั่นละวันที่ลำบากลำบนที่ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย นั่งเวลาเท่ากันก็ตาม จิตลงได้เรื่องลงได้ เวลาลงมันไม่มีปัญหาอะไรนะ เวลามันถอยขึ้นมามาเกี่ยวกับธาตุกับขันธ์กับสุขกับทุกข์ล่ะซี มันบีบบี้สีไฟนานเท่าไร บอบช้ำนานเท่านั้น ๆ พอถึงเวลาออกลุกไม่ได้นะ ลุกนี้ล้มเลย มันตายหมดแล้วนี่ เวลาเท่ากันก็ตาม มันขึ้นอยู่กับใจนะ

เราเคยมาแล้วที่เอามาพูดนี่ ล้มแล้วกระดุกระดิกไม่ได้นะ ขาอยู่ยังไงอยู่อย่างนั้นนะ จนกระทั่งเจ้าของงงเจ้าของ อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ล้มลงไปแล้วจะคู้ขาเข้ามามันก็ไม่คู้ มันตายแล้วมันจะคู้อะไร เป็นแต่เพียงว่าใจของเราปกครองกันอยู่มันรู้ มันตายจากนี้ไป หมดเจ็บหมดปวด ถ้าลงได้ตายแล้วหมด วันไหนที่การภาวนาไม่สะดวก เพราะดินฟ้าอากาศไม่อำนวย แต่ความตั้งใจมันเหมือนกัน ส่วนเครื่องเสริมไม่เหมือน เย็นบ้างร้อนบ้างมันไม่เสมอ นี่ละถ้าวันไหนมันลำบากลำบนเช่นนี้ วันนั้นจะทุกข์มากนะร่างกายของเรา ร่างกายนี้บอบช้ำมากทีเดียว เหมือนกับถูกทุบถูกตีไว้ตลอดทั่วสรรพางค์ร่างกาย นอนเวลาเราพักกลางวัน คือถ้าวันไหนเราได้เอาตลอดรุ่งเต็มเหนี่ยวแล้ว กลางวันก็ต้องพักให้บ้าง นอนเวลาหลับนี้สะดุ้งเลยนะ ร่างกายมันกระตุกของมันสะดุ้งจนตื่น เพราะมันเจ็บปวดบอบช้ำมาก มันเป็นได้อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นดินฟ้าอากาศจึงเป็นการช่วย ท่านจึงบอก อุตุสัปปายะ ดินฟ้าอากาศเป็นที่สบาย เป็นอย่างนี้

เย็น ๆ นั่งภาวนามันมีแต่หมุนเข้าสู่ภายในสะดวก ๆ ก็ลงผึง ๆ คำว่าลงผึง ๆ ใครไม่เคยลงไม่รู้นะ ผู้พูดมันเหมือนบ้าพูด เพราะเหตุไรผู้พูดจึงเหมือนบ้าพูด เพราะผู้ฟังก็มีแต่บ้าฟังเหมือนกัน มันก็บ้าต่อบ้าพูดกันก็ไม่รู้เรื่องล่ะซี นี่เอาผลออกจากการปฏิบัติสด ๆ ร้อน ๆ มาพูดจะผิดไปไหน กาลเวล่ำเวลาเรานั่งเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้ชั่วโมง อย่าเอามาวัดมาตวงกันนะไม่ได้ สำคัญอยู่ที่ใจ ถ้าใจมีความหนักแน่นแม่นยำในธรรมทั้งหลายในเวลาที่พิจารณา นั้นละเวล่ำเวลาไม่ค่อยสำคัญ ลุกจากที่ไปเลย เวลาเท่ากันนะ เหมือนไม่ได้นั่งภาวนาตลอดรุ่งอะไรเลย พอลุกขึ้นมาไปเลย ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร นี่ใจ

ถ้าวันไหนที่บอบช้ำมาก ๆ ลุกต้องได้จับขาดึงออกวาง ๆ เสียก่อน จนกว่าเลือดลมมันเดินสะดวกสบาย คู้เข้าลองดู เหยียดออกลองดู กระดิกนิ้วเท้าลองดู ถ้ากระดิกไม่ได้มันเฉยนี้อย่านะ มันไม่รับตามคำสั่งของเรา คู้มานี้มันเฉยอย่าลุก ลุกก็ล้มตูมเลย ลองกำหนดคู้เข้าคู้ได้ เหยียดออกได้ กระดิกพลิกแพลงได้ค่อยคล่องตัว พอแน่ใจแล้วลุกไปได้ ถ้ากำหนดให้กระดิกพลิกแพลงมันไม่ทำตามคำสั่งแล้วอย่าลุก ลุกก็ล้มตูมเลย นี่เรียกว่าร่างกายมันตาย นี่ได้ทำมาแล้ว จึงว่าการภาวนาเช่นนี้เหมาะมากนะ นั่งภาวนาช่วยได้อย่างชัดเจนทีเดียว การภาวนาก็จิตอันนั้นแหละ นี่ละที่ว่าอุตุสัปปายะ คือดินฟ้าอากาศช่วยสนับสนุน ลงได้ง่ายไปได้ง่าย

คำว่าลงแดนอัศจรรย์นั้น คือรวมเรารวมธรรมดาไม่ได้เหมือนนะ เราภาวนาธรรมดาลงรวมธรรมดานี้ธรรมดา ๆ จึงไม่บอกว่าอัศจรรย์ คือมันไม่แปลก อันนั้นแปลกประหลาดอยู่นะ เช่น พิจารณาถึงขั้นเรื่องเป็นเรื่องตาย เวลามันทุกข์-ทุกข์มากจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ ทุกขเวทนาในร่างกายของเรานี้ ร่างกายของเราเป็นเหมือนท่อนฟืนว่างั้นเถอะนะ ทุกขเวทนาเป็นเหมือนไฟเผาเข้าไปเลยในนี้ เผาคนทั้งเป็นจะไม่ทุกข์มากยังไง แล้วเราก็เป็นคนทั้งเป็นจะยอมให้เผาได้ง่าย ๆ เหรอ นั่นซิทีนี้สติปัญญาซัดเข้าไป แยกธาตุแยกขันธ์ แยกส่วนแบ่งส่วน อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นสุข อะไรเป็นทุกข์มากทุกข์น้อยไล่กันเข้าไป

ว่าขาเป็นทุกข์เหรอ ไล่เข้าไปในขานี้มีอะไรบ้าง มีหนัง มีเส้น มีเอ็น มีกระดูก อะไรเป็นทุกข์ถามมัน ถามมันก็ไล่เข้าใส่กองฟอน เอาไปเผาอวัยวะไหนมันดีดมันดิ้นมันร้อนมีไหม ทั้งตัวเอาไปเผามันก็เป็นเหมือนท่อนฟืนไปเหมือนกันหมด ไม่เห็นมีอะไรดีดดิ้นว่าเจ็บว่าปวด เวลานี้มันเจ็บปวดอยู่กับอะไร มันไล่เข้า ไล่เข้าไป ๆ นี่ที่ว่าสติปัญญาจะหมุนติ้วนะ ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญาจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ มันหากเป็นของมันเองนะ เป็นธรรมจักรเลยเทียว

เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดที่ว่า คนเราอย่าเข้าใจว่าจะโง่ตลอดเวลาหนา ถ้ายังหวังทางออกอยู่ไม่โง่ ถ้าแบบหมูขึ้นเขียงนั้น เวลาไหนก็ขึ้นเขียงอยู่งั้นไม่ต้องมาพูด ผู้ที่มุ่งจะรู้จะเห็นอรรถธรรมทั้งหลายจากการภาวนาการฝึกทรมานตัวเองนี้ จะต้องรู้ด้วยเวลามันเข้าความจนตรอกจนมุม เช่น ทุกขเวทนาโหมเผามาหมดทั้งตัว สติปัญญาที่รับผิดชอบตัวเองที่จะบุกเบิกออกให้พ้นจากนี้มันก็หมุนของมันซิ พอมันรู้รอบ ๆ แล้วก็พังลง รู้รอบมากน้อยพังลง ๆ ทางนี้ก็ผ่านปึ๋งเลย นี่สติปัญญาใช้เวลาจนตรอกจนมุม

คนเราจึงว่าไม่ได้โง่ตลอดเวลาหนา เวลาจนตรอกจนมุมมันเอาตัวรอดจนได้นั่นแหละด้วยสติปัญญา ก็เห็นได้อย่างเวลาเรานั่งภาวนา ร่างกายทั้งท่อนมันเหมือนท่อนฟืน ทุกขเวทนาโหมตัวเข้ามาเหมือนไฟเผา แต่ทำไมมันเบิกออกได้ ดีไม่ดีไฟทั้งหลายดับพึบเลย นั่นเห็นไหมล่ะ มันเห็นต่อหน้าต่อตาประจักษ์อยู่นี้ เราจะไม่เชื่อความจริงได้ยังไง เป็นอยู่กับเรา ทุกข์จริง ๆ เวลาทุกข์ แต่สำคัญอย่าไปทนทุกข์เฉย ๆ เรานั่งได้นานไม่ได้นานไปทนทุกข์เฉย ๆ ไม่ใช่ความเพียร ต้องทนทุกข์ด้วยวิธีการพิจารณา ด้วยวิธีการต่อสู้ด้วยความเพียร สติปัญญาหมุนติ้ว ๆ นี่เรียกว่าความเพียร มันจะออกได้ตอนนี้ พอมันรู้แล้ว พูดให้คนฟังเฉย ๆ จะพูดว่ายังไง ก็เหมือนเอาฟืนทั้งดุ้นมาวางไว้ให้ดู นี่ฟืน เท่านั้นแหละ เรื่องความแยบคายของใจที่มันรู้มันเห็นในเวลาพิจารณานี้พูดไม่ได้

เราพูดถึงเรื่องฝนตก มันเคย เช่น คืนวันนี้เราไม่ได้นึกว่าจะนั่งตลอดรุ่งแหละ ครั้นนั่งไป ๆ ฝนมาช่วยล่ะซี ฝนพรำ โฮ้ วันนี้เย็น ตั้งข้อบังคับกึ๊กกั๊ก ตั้งสัจจอธิษฐานกึ๊กกั๊ก ๆ วันนี้นั่งตลอดรุ่ง เห็นฝนตกนะ ทีแรกยังไม่ได้ตั้งพอเห็นฝนตก วันนี้เข้าทีแล้ว ก็มันเคยได้ผลมาแล้วนี่ว่าไง วันนี้เข้าท่าแล้วนั่งตลอดรุ่ง ตั้งสัจจะปุ๊บปั๊บแล้วพุ่งเลย มันเห็นฝนนี้เป็นเหตุก็มี ตั้งแล้วเผอิญฝนตกอย่างนั้นก็มี ตั้งปุบปับก็มี เพราะเคยเห็นผลจากนี้ ถ้าอากาศร้อนไม่ดี ฝนตกเป็นที่หนึ่ง การนั่งภาวนาสละเป็นสละตายนี้ฝนพรำแล้วเป็นที่หนึ่ง แล้วหนาวธรรมดาเป็นที่สอง ร้อนเลว ไม่อยากว่าเป็นที่สาม ชอกช้ำมากทีเดียว ถึง ๓ พักสำหรับเราเอง นั่งภาวนาตลอดรุ่ง

ที่ว่าตลอดรุ่งคืนไหนที่จิตไม่ลงถึงความอัศจรรย์ไม่เคยมีนะ นั่งตลอดรุ่งคืนไหนได้คืนนั้น แต่มันช้าและเร็วต่างกัน ถ้าดินฟ้าอากาศช่วยอย่างนี้ไม่นานลงผึงได้ พอลงอย่างนั้นแล้วถึงจังหวะของมัน ก็เหมือนเราตื่นนอน เป็นแต่เพียงว่าอันนี้ไม่ใช่นอนเท่านั้นเอง พอมันลงเต็มที่แล้วพอได้จังหวะแล้วก็เหมือนคนตื่นนอน ได้จังหวะมันก็ถอยออกมา พอยิบแย็บออกมามาทราบเรื่องราว พอจิตนี้ถอยออกมาแล้วมาทราบเรื่องราวสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย แล้วพิจารณาอีก ลงอีก เรื่องทั้งหลายนี้เงียบหมด แต่อันหนึ่งที่พูดไม่ได้คือความอัศจรรย์ อันนั้นพูดไม่ได้เลย ที่เด่นอยู่ในโลกนี้คืออันนี้ มันชัด ๆ อยู่อย่างนั้น

พอมันมีกำลังพอตัวแล้วไม่ต้องบอกมันจะออกเองถอยเอง พอมันมีกำลังพอตัว เหมือนเราตื่นนอนนั่นแหละ พอกำลังพอตัวแล้วมันก็ตื่นขึ้นมา อันนี้กำลังพอตัวแล้วยิบแย็บ ๆ ออกมาออกรู้ ก็พิจารณาอีกลงอีก บางคืน ๓ ครั้ง อย่างนั้นละที่มันสะดวก มันลงได้หลายครั้ง ครั้งละนาน ๆ แล้วสุดท้ายก็ตลอดรุ่งเลย บางคืนลงได้ครั้งเดียวก็มีที่ลำบากมากที่สุด ๒ ครั้งนี้รู้สึกเป็นประจำ ๓ ครั้งนี้ง่ายลงได้เร็ว ๓ ครั้ง เช่น ฟ้าฝนช่วยลงได้ถึง ๓ ครั้ง ถ้าธรรมดา ๆ ๒ ครั้ง ถ้าร้อนแล้วครั้งเดียว แต่ครั้งไหนก็ตามถ้าลงอัศจรรย์แล้วไม่มีกาลเวลาเข้าไปตัดสินกัน อัศจรรย์เท่านั้นพอเหมือนกันหมด แต่ที่มันถอยออกถอยเข้าเราบอกว่าครั้งนั้นครั้งนี้เฉย ๆ เมื่อเข้าถึงอันนั้นแล้วมันไม่มีครั้งมีคราวอะไรแหละ เหมือนกันเลย อย่างนี้มีมาก

ที่ว่าไม่มีเคลื่อนคลาดพลาดไปเลย วันไหนได้นั่งตลอดรุ่งแล้ววันนั้นได้อัศจรรย์ทุกคืน อันนี้แน่มากไม่มีพลาดเลย เป็นแต่เพียงว่าลงช้าลงเร็วได้หลายครั้งหรือน้อยครั้งต่างกันเท่านั้น เช่น ลงถึง ๓ ครั้งอย่างนี้มี ๒ ครั้งมี บางทีครั้งเดียวมี ครั้งเดียวมักจะเป็นเวลาลำบากลำบนมากที่สุด มันไม่ลงง่ายนะ มันไฟเผาเจ้าของตลอดเวลาจนกว่ามันจะลงได้ ไฟเผานั่นคือความทุกข์ มันเหมือนกับว่าเผาคนทั้งเป็นพูดง่าย ๆ ว่างี้เลย เอาคนทั้งเป็นขึ้นไปนั่ง ไฟคือทุกขเวทนาเผาตลอดเลย ถ้าเราพิจารณาแยกไม่ได้เมื่อไรต้องถูกเผาตลอด ก็ลำบากตลอดล่ะซี เพราะฉะนั้นร่างกายถึงบอบช้ำมาก

วันไหนถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เวลาลุกออกมานี้ต้องได้นั่งแล้วก็จับขาดึงออก ๆ มันรู้แล้วมันเคยล้มแล้ว คืนแรกเป็นครูสอนอย่างเอกทีเดียว นั่งตลอดรุ่งคืนแรกมันลงอัศจรรย์ พอมันถอยขึ้นมาแล้วมันไม่ได้เจ็บ มันตายแล้วมันจะเจ็บอะไร ก็ธรรมดาเหมือนไม่เจ็บไม่ปวดอะไร พอถึงเวลาจะลุก พอลุกนี้ล้มตูมเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ขาไหนก็ขานั้นทำไงเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน ก็ไม่รู้นะ นี่ครั้งแรก เอ๊ ทำไงขาเราเป็นอย่างนี้ ความจริงมันตายแล้ว นี่คืนแรก จึงว่าเป็นอาจารย์ชั้นเอกเหมือนกัน ทีนี้พอต่อจากนั้นแล้วมันก็รู้ล่ะซี ถ้าวันไหนขนาดนี้แล้วลุกนี้ต้องได้จับขาออก ทีนี้สอนตัวเองแล้ว พอวันไหนเป็นอย่างนั้นแล้วจะลุกนี้ต้องมาจับดู เฉย ไม่มีอะไรรับรู้ จากนั้นเราก็จับขาวางออก คือมือดีหมด ส่วนขาตายหมดแล้ว จับขานี้วางออก ๆ วางทิ้งไว้อย่างนั้นนะ พอวางไว้ไม่นานเลือดลมมันก็วิ่งของมัน มันก็ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา ถ้ามันเฉยอยู่นี้อย่าไปลุกไม่ได้นะ

พอรู้สึกตัวแล้วก็กำหนดดู กระดิกนิ้วเท้าดู ถ้ากระดิกไม่ได้อย่าด่วนลุก แล้วคู้เข้ามาลองดู เหยียดออกลองดู นิ้วเท้ากระดิกได้ เลือดลมเดินได้สะดวก แน่ใจแล้วค่อยพยายามลุก ลุกได้ไปเลย ถ้ามันลงแบบนั้นแล้วลุกล้มตูมเลย ล้มไม่เป็นท่านะล้มเหมือนคนตาย แข้งขามันก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนไม่ทำประโยชน์อะไรเลย ถ้าวันไหนมันลงได้ง่ายมันรู้เองไม่ได้บอกเจ้าของแหละ พอถึงเวลาลุกปุ๊บปั๊บไปเลยเหมือนเราไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง นี่จิตเป็นของสำคัญยิ่งกว่าเวล่ำเวลานะ เวลาเท่าไรก็ตาม ถ้าจิตไม่ได้เชื่อแน่ตัวเองแล้วทุกขเวทนานี้หนักมากทีเดียว

นี่พูดถึงเรื่องความเพียรให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราอยากพูดว่ามันนิสัยผิดใคร ๆ อยู่มากก็ไม่น่าจะผิดไป เพราะนิสัยเราเรียกว่าจริงจังมากทุกอย่างเลย ถ้าลงได้พุ่งตรงไหนแล้วขาดสะบั้นเลยไม่มีอะไรมาผ่านได้นะ มันเป็นอย่างนั้น นิสัยนี้มันจริงจัง เพราะฉะนั้นถึงว่า เอาหนาวันนี้ จึงเคลื่อนไม่ได้เลย เจ้าของเคลื่อนไม่ได้ ดัดเจ้าของขนาดนั้นนะ ทีนี้เวลานั่งตลอดรุ่งอย่างนั้นจิตจะไปคิดเพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้เด็ดขาดนะ ให้มันหมุนอยู่ในร่างกายจิตใจนี้เป็นอริยสัจ ให้มันหมุนอยู่ในนี้ ไม่ให้ออกแย็บไปโน้นคิดไปนี้ไม่ได้เลย นี่มันทุกข์หลายด้านนะ ๑) ต้องเอาให้ได้ถึงเวลานั้นถึงจะลุก ๒) เวลาเราทำความเพียรนี้ เวลานี้เราสละตายแล้วเราจะให้จิตใจนี้ส่ายแส่ไปไหนเสียเวล่ำเวลา ไม่สมควรอย่างยิ่งกับความเสียสละตายของเรา นี่ซิมันถึงต้องได้บีบบังคับ จิตคิดออกข้างนอกไม่ได้ ถึงมันไม่ลงข้างในก็ตามแต่ไม่ยอมให้ออกข้างนอก ตีเข้า ๆ ทุกข์มากที่สุดนะ

เรื่องทรมานจิตนี้ แหม หนักมากทีเดียว ทรมานแบบเอาตายเข้าว่ายิ่งหนักทีเดียว วันเช่นนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทีนี้เมื่อจิตถูกสติปัญญาบีบบังคับตลอดเวลา กิเลสก็ไม่ออกเพ่นพ่าน ตีเข้า ๆ มันก็ลงได้ นั่น ความทุกข์นี้ที่เด่นชัดก็นั่งตลอดรุ่ง เด่นชัดมาก ทางร่างกายเด่นมากทีเดียว เป็นวัน ๆ ไป วันไหนดินฟ้าอากาศช่วย วันนั้นก็ดีไปเรื่อย ๆ ไม่เป็นไร ถ้าวันไหนร้อนมากวันนั้นจะทุกข์มากทีเดียว แต่สำคัญที่ว่าลงถึงแดนอัศจรรย์นี้ไม่มีพลาด ได้ทุกคืนเลย สมกับเจตนาของเราที่สละเป็นสละตายแล้วจิตจะออกเพ่นพ่านไม่ได้ ให้มันหมุนอยู่ในนี้ ทุกข์ก็ทุกข์อยู่ในนี้ ซัดกันอยู่ในนี้ ได้ก็ได้อยู่ในนี้เลย

นี่ในเรื่องความเพียร นั่งตลอดรุ่งเป็นอันดับหนึ่ง บังคับทั้งร่างกาย บังคับทั้งจิตใจพร้อมกันไปเลยทีเดียว เวลานั้นต้องเอาสว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมา เป็นวันใหม่เรียบร้อยแล้วถึงจะลุกจากที่ได้ ตั้งสัจจอธิษฐานไว้อย่างนั้น ถ้าไม่ถึงนั้น ลุกไม่ได้ ล้มลงแล้ว พอได้สติแล้วจะลุกขึ้นนั่งทันที ไม่ยอมตาย ว่างั้นเถอะน่ะ เอาตายกับนั่งเลย ตายกับท่าต่อสู้เลย จึงว่ามันหนักมากนะ นี่ละการฝึกทรมานตัวเอง เวลามันหนักมันหนัก มี เราจะมีแต่เอาเบา ๆ ไปใส่กิเลสคลื่นใหญ่ ๆ เท่ามหาสมุทรทะเลหลวงไม่ได้นะ

ความเพียรเราเท่าฝ่ามือ ๆ เรื่องความหนาแน่นของกิเลสมันเท่ากับคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวง มันจะเข้ากันได้หรือ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ตั้งคลื่นทางนี้ขึ้นซิ คลื่นความเพียรก็เป็นมหาสมุทรทะเลหลวงเหมือนกัน ก็ซัดกันแตกกระจาย ๆ ละซิ ทำอ่อนแอไม่ได้นะ นี่เรียกในชีวิตนี้สุดยอดเลย คือชีวิตในการบวชนี่ไม่พูด เวลาออกกรรมฐาน ขึ้นเวทีแล้ว พูดได้ตรงนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องทุกข์เรื่องสุขเรื่องเป็นเรื่องตายอยู่ในนั้นหมดเลย สละเลยเทียว เรียกว่ามันทุกข์มาก เห็นทุกแง่ทุกมุม

ทีนี้ความทุกข์มากนั้นก็รู้ว่าทุกข์ แต่อำนาจของความเพียรนี้ก็เป็นที่ชมได้อย่างถึงใจ มันไม่ถอยนี่ มันจะทุกข์มากขนาดไหนไม่เลยตาย บอกงั้นเลยนะ ขีดเส้นตายไว้ข้างหน้า มันไม่เลยตาย มันถึงแค่ตายเท่านั้นแหละ ว่างั้น ฟัดกันเลย นี่ซิมันหนักมากนะ แต่ทีนี้ผลนั่นซิ เวลาได้ ถ้าวันธรรมดามันไม่เคยได้อัศจรรย์อย่างนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ ผลของมันเวลาที่ทุกข์แสนสาหัส สติปัญญาฟัดกันเต็มเหนี่ยว ได้ผลอัศจรรย์ขึ้นมา นี่มันรับกัน ภาคภูมิใจ

ความทุกข์ก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์ แต่ผลที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ๆ ถึงแดนอัศจรรย์ ๆ นี่ภูมิใจ นั่น มันรับกันอยู่อย่างนี้จะว่าไง ไม่ใช่นั่งอยู่ วันนี้ออกมาอย่างไม่มีราค่ำราคานี้ไม่เคยมี ดีไม่ดีมันจะเอาเจ้าของแบบไหนก็ไม่รู้นะ ถ้าสมมุติว่าวันนี้มันไม่มีราค่ำราคาอะไร วันหลังมันจะเอาอีกนะ จนกระทั่งได้ราคาออกมา ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ที่จะให้มันถอยคงไม่ถอยแหละ

จิตอันนี้ ถึงว่ามันแปลกอยู่มากนะ แต่มันเคยได้อัศจรรย์แล้ว มันก็ปล่อยอาลัย ก็แสดงว่า เราสง่า เรามีความสง่าผ่าเผย เรียกว่าภูมิใจในความเพียรของเรา ว่าได้ตามมรรคตามหมาย ถ้านั่งตลอดรุ่งแล้วไม่ได้อะไรเลย ถอยหลังมาแบบผู้แพ้นี้ วันหลังอาจจะเอาอีกก็ได้นะ วันนี้เป็นอย่างนั้นนะ วันนี้จะเป็นอย่างนั้นไหม จะเอาอีกนะ วันนี้ยิ่งจะหนักกว่านั้นอีกนะ เมื่อวานนี้ออกมาแบบผู้แพ้ แล้ววันนี้จะแบบไหน นั่น มันจะซ้ำอีกนะ คืนต่อไปนั่นแหละ แต่มันก็ได้ทุกวันไม่ซ้ำ เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง ซัดตลอดรุ่ง ๆ ถ้าสมมุติว่ามันเป็นอย่างว่านั่น น่าจะคืนต่อไปจะเอาอีกนะ จะเป็นยังไงวันนี้น่ะจะแพ้อย่างนั้นเหรอ วันนี้ยิ่งจะหนักนะ เรียกว่าเขียนใบตายให้เลย มันเป็นอย่างนั้นนะจิตอันนี้ ไม่ได้คุยนะ พี่น้องทั้งหลายทราบเอานะ ถึงเวลามันเด็ด เด็ดจริง ๆ บอกว่าไม่เลยตายเท่านั้น เมื่อไม่เลยตายมันจะถอยได้ยังไงใช่ไหม มันถึงแค่ตายเท่านั้นแหละ ซัดเลย ก็ได้อัศจรรย์มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง

ทีนี้ธรรมก็อย่างนั้นที่นี่ นี่ผลฟังซิ เรื่องความเพียร เรื่องธรรม วิริยธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม อุตสาหธรรม ขันติธรรม นี้คือธรรมเป็นเครื่องบุกเบิกกิเลสให้มุดมอดลงไปได้ มีธรรมเหล่านี้ทั้งนั้น ธรรมเหล่านี้แข็งกล้าเท่าไร อันนั้นลงเรื่อย ๆ หมุนติ้ว ๆ เลย นี่ต้องเอามาใช้ตลอดเวลา

เวลาพิจารณาย้อนหลังนี้มันภาคภูมิใจ ไม่ได้มีเหี่ยวห่อในจิตในใจ ว่าเราท้อแท้อ่อนแอ ทำความเพียรแบบท้อแท้อ่อนแอ เหงาหงอย แบบนั้นมันไม่มี มีแต่ได้ขยะ ๆ ความเพียรของเจ้าของ คำว่าว่า ขยะ คือยังไง ระยะนั้นเป็นระยะที่ต่อสู้ ขึ้นเวทีเต็มเหนี่ยว ไม่คำนึงถึงเป็นถึงตาย แต่เวลาลงจากเวทีมาแล้ว มาดูภาพเจ้าของที่ต่อยอยู่ในเวลานั้น โห น่ากลัว แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ ขยะแขยง วัยนั้นเป็นวัยต่อสู้ กำลังวังชาทุกอย่างดี ทีนี้วัยนี้ไม่ใช่วัยต่อสู้ แล้วกำลังวังชาก็อ่อน แล้วไปเทียบดูนั้น เราทำความเพียรอย่างนั้น แบบทุกวันนี้ทำความเพียรอย่างนั้นแล้ว ตายเลยไม่มีเหลือ

เพราะงั้นถึงได้ภาคภูมิใจ ถึงขนาดที่ว่า โอ้โห ขนาดนั้นมันก็ทำได้ ๆ คืออย่างทุกวันนี้ทำไม่ได้ ตายเลยว่างั้นเถอะน่ะ นั้นมันทำได้มันถึงภาคภูมิใจ ทีนี้ผลที่ได้มานี้ มันก็ไม่มีที่ต้องติ เราทำความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงขั้นสละเป็นสละตาย แต่ไม่มีธรรมอัศจรรย์เป็นเครื่องตอบแทนนี้ ไม่มีเลย ตอบรับกันเป็นลำดับลำดาไป

นี่จึงได้ยกความเพียรให้พี่น้องทั้งหลายทราบ การต่อสู้ การหนักก็เอาเบาก็สู้ ด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเรานี้เป็นผลตลอดเลย ไม่ขาดทุนสูญดอก เอาให้เต็มเหนี่ยวก็แล้วกัน ถึงเวลามันเอา มันเอาจริง ๆ เวลาทุกข์-ทุกข์มาก ขึ้นเวที ออกภาคปฏิบัติล้วน ๆ แล้ว นั่นเรียกว่าขึ้นเวที ฟัดกันใหญ่เลย จากนั้นมาแล้วก็เป็นธรรมดาพูดไม่ได้ ที่พูดได้อย่างเต็มเหนี่ยวอย่างถึงใจ ๆ ก็เวลาก้าวขึ้นสู่เวทีตั้งแต่วันปฏิบัติ เราก็จำได้พรรษาของเรา พรรษา ๗ สอบเปรียญได้ พร้อมนักธรรมชั้นเอก มหาเปรียญก็เอาแค่ ๓ ประโยค ตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้ว ไม่ให้เลย พอได้เปรียญ ๓ ประโยค เอาเปรียญ ๓ ประโยคนั่นแหละเป็นฐานที่ตั้ง จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียว อย่างอื่นไม่มีอะไรมากีดกันได้เลย นักธรรมตรี โท เอก ก็สอบได้ตาม ๆ กันไป สอบเปรียญตก นักธรรมก็ได้ขึ้นมาเรื่อย ๆ สุดท้ายนักธรรมกับเปรียญพร้อมกันเลย ออกเลย เรียกว่าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคนะ ออกได้ตลอด พอออกแล้วก็บึ่งเข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็จี้ลงเลยเทียว โห มีแต่เครื่องไสนะ เป็นที่ภาคภูมิใจมากจริง ๆ

มาก็ใส่เปรี้ยงเลย เราไม่ลืม พ่อแม่ครูจารย์กับเรานี่ ถ้าพูดธรรมดาเหมือนพ่อกับลูกคุยกัน สนิทสนมหรืออะไรกันก็เหมือนพ่อกับลูก ไม่มีอะไรคุยกันธรรมดา แต่พอก้าวออกทางความเพียรนี้ โถ ไม่ได้นะ ทุกครั้งเลยพ่อแม่ครูจารย์กับเรา ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียรท่านขึงขังขึ้นเลย เปรี้ยง ๆ เลย ไม่ทราบเป็นยังไง หากเป็นอย่างนั้น ถ้าพูดธรรมดาเหมือนพ่อกับลูกคุยกัน สนิทสนมทุกอย่างเหมือนพ่อกับลูกนั่นแหละ ว่างั้นเถอะ พอก้าวออกทางความเพียร พิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ท่านใส่เปรี้ยงมาเลยนะ ไม่มีอ่อน ทีไรก็ทีนั้นเลย ถ้าเป็นเรื่องความเพียรเป็นไม่อ่อน ผึงทันทีเลย นิสัยเราก็เป็นนิสัยหมา พอได้รับการยกยอบ้าง ตรงนั้นดีอย่างนั้นนะดีอย่างนี้นะ เอานะ โห พอออกมาจากท่านทั้งจะกัดทั้งจะเห่า มองเห็นใบไม้สดใบไม้แห้งก็นึกว่าคู่ต่อสู้ ทั้งจะเห่าทั้งจะกัด เราก็เหมือนกับหมาตัวหนึ่ง พอดีแล้วแหละที่ท่านยุหมา ไม่ว่าใบไม้สดใบไม้แห้ง มันเข้าใจว่าศัตรูทั้งหมด มันจะเห่ามันจะกัด เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่เคยพูดอ่อน ๆ ธรรมดานะพูดธรรมะกับเรา ไม่เคยมี เปรี้ยงทันทีเลย ทีไรก็ทีนั้น ท่านเห็นนิสัยอันนี้แหละ คือนิสัยนี้มันผาดโผน พูดธรรมดามันไม่ถึงใจ ถ้าไม่ถึงใจมันไม่ลง ความเพียรไม่เน้นหนัก ถ้าลงเปรี้ยง ๆ ลงหมอบปั๊บ ดีดขึ้นก็ซัดตูมเลย มันเป็นอย่างนั้น

พ่อแม่ครูจารย์สอนโลกนี้ แหม ละเอียดลออรอบคอบมาก วางให้พอดี ๆ กับลูกศิษย์แต่ละองค์ ๆ ที่มาเกี่ยวข้อง ธรรมะจะควรวางประเภทไหน ๆ ท่านจะวางพอดีเลย ประเภทของเรานี้มันประเภทสอนหมา ว่างั้นเถอะน่ะ ก็คิดดูซิ พอขึ้นไปหาท่านวันไหนพูดถึงเรื่องความอัศจรรย์ให้ท่านฟัง ทีแรกท่านก็ยุแหละ พอได้ที่แล้วท่านก็ยุ เอ้า ทีนี้เอาเลยได้หลักแล้ว เอาตายเป็นตาย อัตภาพนี้มันไม่ตายถึงห้าหน มันตายหนเดียว ท่านว่างั้น ทีนี้ได้หลักแล้วเอาเลยอย่าถอยนะ ทางนี้ก็เหมือนกับว่า อ้าปากจะเห่าแล้วจะกัดแล้ว พอลงมาก็ซัดใหญ่ พอนั่งทีไรขึ้นไปเล่าถวายท่าน ท่านก็เสริม ครั้นต่อไปค่อยเงียบ อ่อนลง ๆ การเสริมนะ เราก็ยังไม่รู้ตัว

พอถึงวาระท่านจะเอา คือท่านสงบลงนั่นท่านเห็นมันผาดโผนเกินไป มันจะเลยเถิดแล้วนั่น ความหมายว่างั้น พอขึ้นไปคราวหลังที่ท่านจะเอาคราวหลังนี้ พอขึ้นไปกราบ มันก็รู้ภายในใจมันจะพูดให้เต็มเหนี่ยว พอขึ้นไปวันนั้นยังไม่ได้พูดนะ พอกราบมับ ๆ ลงไป เปรี้ยงออกมาเลย นั่นเห็นไหมล่ะ กิเลสมันไม่ได้อยู่กับกายนะ มันอยู่กับใจนะ กิเลสมันอยู่ในใจนะ มันไม่อยู่ในร่างกายนะ ความหมายก็คือว่า เราทรมานร่างกายหนักมากไป จากนั้นท่านก็ยกเอาสารถีฝึกม้า สารถีฝึกม้าก็มีอยู่ในชาดกแล้ว เราก็อ่านมาแล้วเรียนมาแล้ว เขาฝึกม้า เวลาม้าตัวมันคึกมันคะนองมาก ๆ นั้น ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน ฝึกทุกแบบไม่ให้กิน จะเป็นก็เป็นตายก็ตาย ซัดกันอย่างใหญ่ สารถีเขาฝึกม้าเขาอย่างนั้น พอมันหายพยศ ลดพยศลงไป การฝึกเขาก็ลดลง ๆๆ เมื่อมันใช้การใช้งานได้เรียบร้อยแล้ว การฝึกอย่างหนัก ๆ นั้นเขาก็งดไป ว่าเพียงเท่านี้แหละนะ

เรายังเสียดายอยากให้ท่านพูดอีก คือสารถีเขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น เวลามันพยศมาก เขาไม่ให้กินน้ำไม่ให้กินหญ้าเลย มีแต่ฝึก เป็นตายสู้กันเลย เวลาม้ามันยศพยศลง การฝึกเขาก็ลดลง ๆ จนกระทั่งม้าใช้งานใช้การได้แล้ว การฝึกแบบนั้นเขาก็หยุด ท่านพูดเท่านั้นนะ เราจับได้ทันทีแล้วจะว่าไง เรายังเสียดายอยู่อยากให้ท่านย้อนกลับมาอีก เขาฝึกม้าแบบนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นนะ มันฝึกแบบไม่รู้จักเป็นจักตายอะไรกันนี่ อยากให้ท่านว่าอย่างนี้ ท่านก็ไม่ว่า

ตั้งแต่วันนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย ท่านพูดเพียงเท่านั้นเราก็รู้นี่ เวลาฝึกทรมานอย่างหนักเราก็รู้ของเรา ทีนี้จิตมันอยู่ในกรอบแห่งความพอดิบพอดีเราก็รู้ของเรา แต่การฝึกเราไม่ถอย ท่านถึงหักเอาตรงนี้แหละ เราก็ไม่ลืม แล้วนั่งตลอดรุ่งเราก็ไม่เคยนั่งอีกนะ ถ้าหากว่าท่านไม่ว่าอย่างนั้น มันยังจะเอาอีกนะนั่น คิดดูซิ ก้นแตกมันสนใจเมื่อไร ก้นแตกนี่ไม่ได้สนใจนะ นั่งทีแรกมันออกร้อนหมดทั้งก้นเลย ออกร้อนเหมือนไฟลน ออกร้อนหมด พอคืนต่อไป ๆ จากออกร้อนมันก็พอง เพราะนั่งอย่างเอาเป็นตายเข้าว่าเลย พอจากพองนี้มันก็แตก จากแตกมันก็เลอะ ไม่สนใจกับมัน จะเอาให้กิเลสแตกเข้าใจไหม ก้นแตกไม่สำคัญ ก้นแตกมันยังไม่หายทุกข์ ตัวก่อทุกข์คือกิเลสต่างหากไม่ใช่ก้น เราจะฟาดมันไม่สนใจ ไม่เคยพูดให้ท่านฟังนะว่าเรานั่งภาวนาก้นแตก แต่ท่านเปรี้ยงเท่านั้นแล้วหยุดเลย ไม่เอาอีก

พ่อแม่ครูจารย์ฝึกพระ โอ๋ย กับเรานี้ไม่เคยอ่อนข้อถ้าฝึกกับเรา พูดธรรมดาก็ตามนะ พอเกี่ยวกับเรื่องธรรมะนี้เปรี้ยงออกมาเลยเทียว อย่างนั้นทุกที เพราะท่านเห็นนิสัยผาดโผนโจนทะยานมาก ถ้าลงก็ลง ไม่ลงไม่ลง อันนี้ไม่เหมือนใคร ก็คิดดูซิไปโต้กับท่านอยู่บนกุฏิกลางคืนเงียบ ๆ เพราะเราตั้งใจที่จะไปตักตวงเอาเต็มเหนี่ยวของเราคนเดียว พอท่านเดินจงกรมขึ้นไปนั่งปั๊บ เราก็ปั๊บขึ้นไปเลย จะพูดธรรมะกับท่านโดยเฉพาะ จุดไฟตะเกียงเล็ก ๆ พระนั้นกลัวเราแต่ไหนแต่เรามา พวกพระเณรในวัดหนองผือกลัวเราแต่ไหนแต่ไรมา เรียกว่ารองพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็ไม่ผิด แต่เราไม่ได้วัดรอยนะ พูดถึงเรื่องอากัปกิริยาของพระของเณรเคารพเรา หรือกลัวเรานี้กลัวอยู่มาก เพราะนิสัยของเราเป็นอย่างนี้จริงจัง ใครจะมาทะลึ่งได้ง่าย ๆ เมื่อไร

อันนี้พอขึ้นไปก็คิดว่าจะทำแกงก็แกงหม้อเล็ก กินกันอย่างเอร็ดอร่อยเฉพาะเรา พอขึ้นไปทางนี้ก็ออกแล้ว พอออกมาท่านตอบมาปั๊บ ทางนี้ก็ปั๊บเลย รับปั๊บ ๆ ไปเลย ทีนี้มันไม่ใช่เวทีน้อย เป็นเวทีแชมเปี้ยนเสียงลั่นอยู่บนกุฏิน่ะซิ พระเณรอยู่ที่ไหนเดินจงกรมในป่าก็ออกมาหมดเต็มใต้ถุนนั้นนะ ซัดกันระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ เป็นอย่างนั้นนะ คือถ้ามันไม่ลง มันไม่ลง มันไม่เหมือนใครนะ ถ้าไม่ลงมันมีข้อข้องใจตรงไหนที่จะคัดค้านตรงไหนมันก็เอาตรงนั้น ไอ้เรื่องที่ว่าทิฐิมานะอวดรู้อวดฉลาดไม่มีแหละ คือว่าขัดต่ออรรถต่อธรรมอย่างไรมันก็เอากันไปตามนั้น ๆ เพื่อหาทางออกเพื่อท่านช่วย ทีนี้ตรงไหนมันขัดอยู่ตรงไหนมันก็สู้ตรงนั้นละซิ ต่อยกัน

เสียงท่านก็ขึ้นเต็มเหนี่ยว ไอ้เราก็ซัดเต็มเหนี่ยว พระเณรไปเดินจงกรมอยู่ในป่าที่ไหน ๆ มาเต็มหมดใต้ถุนกุฏินะ มีแต่เรากับท่านอยู่ข้างบน พอเงียบไปไม่มีอะไรแล้วทีนี้พระก็ค่อยด้อมขึ้นมา อันดับแรกก็คือผู้หัวหน้า อายุพรรษาแก่กว่าเพื่อนด้อมขึ้นมา แล้วองค์นั้นค่อยด้อมขึ้นมา ๆ เต็ม ข้างล่างเต็ม อย่างนั้นแหละ นี่พูดถึงเรื่องความเอาจริงเอาจัง ถ้ามันไม่ลงนะ ยังไงมันก็ไม่ลง เป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นจึงหาเหตุหาผลขัดข้องอยู่ตรงไหนซัดตรงนั้น ท่านตอบมาผางมันยอมนะ ถ้ายอมปั๊บหมอบปั๊บ เอาละได้แล้ว ลงแล้วนะถ้าธรรม เอาให้เต็มเหนี่ยวแล้วลงใจแล้ว ถ้าไม่ลงใจยังไงมันก็ไม่ลง เพราะฉะนั้นจึงต้องซัดกันเต็มเหนี่ยว ฮู้ย ขบขันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น

แล้วเราก็เคยถามดูว่า บรรดาครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหาท่านที่เคยมาอยู่กับหลวงปู่มั่น มีองค์ไหนบ้างที่การพูดสนทนาปราศัยการโต้การตอบกันรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องปัญหาด้านต่าง ๆ มีองค์ไหนบ้างไหม บอกไม่มี เขาว่ามีแต่ท่านอาจารย์องค์เดียว มีแต่ท่านอาจารย์องค์เดียว มันซัดกันเรื่อยนี่กับหลวงปู่มั่น ไม่ใช่คืนหนึ่งคืนเดียวนะ จิตอันนี้คือเวลามันออกเป็นอัตโนมัติแล้ว มันจะรู้ของมันทุกแง่ทุกมุมไป บางแง่บางมุมนี้เราก็แก้ไปได้ ๆ แต่อันไหนที่แก้ไม่ได้ นั่นละเป็นปัญหาที่จะขึ้นหาท่านเข้าใจไหมล่ะ อันนี้ติดตรงนี้ ตรงนี้ติดตรงนี้ เอาอันนี้ละขึ้นไปหาท่าน

เวลากราบเรียนท่าน ท่านอธิบายให้ฟังนี้ ถ้ามันยังไม่ลงใจตรงไหนมันก็เอาอันนี้ออกต่อสู้ ๆ เพื่อเบิกทางตัวเอง นี้ละที่ท่านรุนแรงขึ้นเรื่อย ถ้าทางนู้นตอบออกมาปั๊บ ทางนี้มันมีแง่หนึ่งที่จะรับกันมันก็ซัดกันอีก ทางนั้นใส่มาเปรี้ยงอีก มันก็มีแง่หนึ่ง กิเลสนั่นละแง่ของเราเข้าใจไหม แง่ของท่านเป็นแง่ธรรม แง่ของเราเป็นแง่กิเลส สอดออกมาท่านตีปั๊วะลง มันก็ซัดกันใหญ่ นี่ละเรื่องราว เพราะฉะนั้นจึงได้ถามดูว่า บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมาดั้งเดิมนั้น มีองค์ไหนบ้างที่ดื้อด้านเหมือนอย่างผมมีไหม ไม่มี มีท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านี้ละ ว่าอย่างนั้น บอกไม่มีนะ นี่มันดื้ออย่างนั้นนะเราไม่ใช่เล่นนะ

ทีนี้เวลาพูดตรงไหนก็ตาม ไม่มีพลาดอีกเหมือนกัน ท่านใส่เปรี้ยง ๆ ลงมาเรียกว่าหมอบราบลงมาเลย ลงใจเข้าใจไหม เมื่อลงใจแล้วความเพียรมันก็พุ่งซิ ลงใจแล้วยังไงก็ไม่ถอย ถ้ายังไม่ลงความเพียรไม่ลงนะ ถอยหน้าถอยหลัง มันเป็นอะไรพูดไม่ถูก คือทุกอย่างมันลงคาราคาซังแล้วมันจะลงได้ยังไงใช่ไหม ถ้าลงว่าเอาละที่นี่พอ พุ่งเลย อันนี้ก็เหมือนกัน ท่านลงทีไรมีแต่ถึงขั้นว่าเอาละพอแล้ว เอาละพอ มันก็เปรี้ยง ๆ แล้วสติปัญญาขั้น ตอนท่านป่วยนั่นซิมันหนักมากนะ ท่านป่วยธาตุขันธ์ เราป่วยใจ คือจิตใจของเรามันหมุนเป็นธรรมจักรตลอดเวลาดังที่เคยพูดให้ฟังแล้ว ความเพียรอัตโนมัติมันไม่มีเวล่ำเวลาเลย เว้นแต่หลับ แม้แต่หลับยังต้องบังคับ มันก็ยังไม่อยากจะหลับ มันเพลินในการทำงานแก้กิเลสตลอดเวลาโดยอัตโนมัติของมัน

นี่ละเราก็หนักทางนี้ ท่านก็หนักทางธาตุขันธ์ หมุนติ้ว ๆ เลย แล้วเป็นตอนสำคัญเสียด้วย มันเป็นยังไงจนให้เราคิดนะ ทั้งคิดทั้งตีเจ้าของไว้ เอ๊ มันเป็นยังไง เวลาความเพียรของเราเร่งเท่าไรธาตุขันธ์พ่อแม่ครูอาจารย์ก็เป็นแบบนั้น มันเป็นยังไงกันนะ อย่างนี้มีแต่คอยตีไว้นะ กลัวมันจะเป็นอกุศลถึงท่านเข้าใจไหม ด้วยความเคารพเทิดทูนท่านสุดหัวใจอยู่แล้ว แต่เรื่องราวมันก็เป็นยังไง เราก็หมุนติ้วเรา ทางธาตุขันธ์ของท่านก็หมุนติ้ว ก็อยู่ในวงของเราที่จะต้องรับผิดชอบทางธาตุทางขันธ์ท่านตลอดเวลานี่นะ แล้วครูบาอาจารย์ป่วยขนาดนั้นเราจะปล่อยมือได้ยังไง เพราะฉะนั้นจึงว่าอยู่ในมุ้งมีแต่เรากับท่าน ๆ ก็อย่างนี้เอง คือว่ามันปล่อยไม่ได้นะ

ประการหนึ่งท่านก็เมตตามากเสียด้วย เราพูดตรง ๆ ไม่ใช่ว่าโอ้ว่าอวดนะ เพราะเราทำทุกอย่างไม่มีที่ท่านจะให้ท่านตั้งข้อสงสัยว่าเคารพท่านหรือไม่ พูดง่าย ๆ เรียกว่ามีแต่เรื่องสละตายด้วยกันหมดแล้ว ท่านจะไม่ลงใจได้ยังไง ท่านก็ต้องเมตตา พอท่านงีบหลับงีบหนึ่งนะ ตอนนั้นเราก็ออกไปเดินจงกรม แล้วสั่งพระไว้ นี่ผมจะไปเดินจงกรมตรงนี้นะ แต่ก่อนเราบอกใครเมื่อไร ทางจงกรมของเราอยู่ในกลางดงลึก ๆ บอกใครเมื่อไร อันนี้ทำไมถึงบอก นี่ผมออกจากนี้ผมจะไปเดินจงกรมตรงนั้น ถ้าท่านถามถึงให้รีบไปบอกผมตรงนั้นนะ พอท่านลืมตาขึ้นมาปั๊บ ท่านมหาไปไหน นั่นขึ้นอย่างนี้นะ ทักปั๊บพระก็ไปออกตามเรา เราก็ปุ๊บเข้ามุ้งเลย มีอะไรก็จัดการทำไปเรื่อย ๆ นี่อำนาจเมตตาธรรมของท่านมีต่อเราไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

เราก็ห่างท่านไม่ได้ ไอ้จิตอันนี้มันก็หมุนของมันตลอดเวลา นี่ซีที่มันเอากันอย่างหนักตรงนั้นละนะ โหย พูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เราพูดจริง ๆ มันไม่มีคำว่าอิ่มพอนะ มันดูดมันดื่มมันอะไรทุกอย่าง เทิดทูนสุดหัวใจเลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะท่านตีตรงไหนนั้นคือมหาภัย ท่านลากตรงไหนขึ้นมานั้นคือมหาภัย ลากขึ้นมาจากตรงไหนนั้นคือมหาภัยทั้งหมดเลยนะ ก็เราไม่รู้จะว่ายังไง ท่านรู้ไปแล้วท่านลากขึ้นมา เรายังบืนจะลง นี่ที่เถียงท่าน เข้าใจไหม เรายังจะบืนลง ท่านลากขึ้นมันยังไม่ยอมขึ้น เสียงลั่น โอ๊ ขบขันดีนะ เรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นกับเรานี้ ถึงวาระที่เป็นแชมเปี้ยน ซัดกันไม่ถอยจริง ๆ นี่ จนพระเณรแตกตื่นมาเต็มใต้ถุนหมดวัดเลย อยู่ใต้ถุนกุฏิเต็มหมด ไม่มีฟืนมีไฟ เต็มอยู่ข้างล่าง ทางนี้ก็ซัดกันอยู่ข้างบน โอ๋ย ขบขันดีนะ

นี่เราพูดถึงเรื่องการประกอบความพากความเพียร ธรรมมีอยู่ กิเลสมีอยู่ สมบูรณ์แบบด้วยกัน ในใจดวงเดียวนี้ เอื้อมไปทางธรรมก็คว้าธรรมมาเป็นกิเลส กิเลสก็ลากไป ๆ ถ้าปล่อยมือกิเลสก็โดดใส่ธรรม ฟาดธรรมแหลกเหลวไปหมด ตลอดถึงหมอนก็ตกกุฏิไปละ เสื่อตกกุฏิ หมอนตกกุฏิ เจ้าของตกกุฏิไปเลย ให้กิเลสมันขยำเข้าใจไหม พอเราคว้าความเพียรมากิเลสก็ตกทางนั้น ธรรมะเราก็ขึ้นทางนี้ เป็นอย่างนั้น คือหมอนก็ไม่สนใจ หมอนก็ตกไปคนละทิศละทาง ธรรมกับใจของเราไปคนละทิศละทาง ไม่ได้ห่วงกัน เป็นอย่างนั้นนะ เอาให้จริงซิ ทุกอย่างมีอยู่สมบูรณ์

เราอย่าไปเชื่อเรื่องกิเลส ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี แหม มันละเอียดลออกล่อมให้เคลิ้มหลับได้อย่างดีนะกิเลส เราอดคิดไม่ได้ เมื่อมันผ่านไปหมดมันรู้หมดเลยนะ เรียกว่าละเอียดลออแหลมคมมากไม่มีอะไรเกินกิเลสในวงวัฏจักรนี้ ว่างั้นเลย ถ้าไม่มีธรรมเข้ามาแทรกแล้ว โลกทั้งหลายนี้จะเป็นกี่กัปกี่กัลป์ก็จะต้องจมอยู่นี้ ด้วยความเพลินหลงตามกิเลส ทีนี้ธรรมแทรกปั๊บเข้าไปนี้เพลินหามันอะไร นี่จงอางรู้ไหม นี่ไอ้สามเหลี่ยมรู้ไหม ความหมายว่าอย่างนั้นนะ ธรรมท่านกระตุกเอา นี่จงอางรู้ไหม นี่สามเหลี่ยมรู้ไหม นี่ไอ้เห่ารู้ไหม ท่านชี้บอก เรายังไอ้เห่านี้เวลามันแผ่พังพานน่าดูนะว่าอีกนะ พวกเรานะเข้าใจไหม เวลาไอ้เห่ามันแผ่พังพานนี้น่าดูนะ นั่นน่ะไม่รู้จักตายเข้าใจไหม แล้วไอ้จงอางก็เหมือนกันเวลามันฟ่อขึ้นมานี้ โถ เหมือนพญานาคนะ เกิดมาเราไม่เคยเห็นพญานาค มันไปอีกแล้วนะ มันเพลินเข้าใจไหม ไอ้สามเหลี่ยมนี้ แหม มีลวดลายทุกสิ่งทุกอย่างเต็มอยู่ในตัวนี้หมด ตัวเราไม่มีลวดลายสู้ไอ้นี่ไม่ได้ แล้วเข้าไปคลอเคลียกับมัน มันงับเอา แน่ะเป็นอย่างนั้น มองเห็นอะไรเป็นเครื่องประดับของมันทั้งนั้น

ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ นี้เปิดออกมาให้เห็นชัดเจน ใครเป็นเหมือนกัน เราก็เป็นมาแล้วผ่านมาแล้วถึงได้นำมาพูด ทีนี้พอธรรมจ้าเหนือหมดแล้วนี่ เข้าใจไหม นี้มหาคุณนี้มหันตโทษ เอามาจับกันปั๊บมันก็รู้กันทันที ๆ แล้วก็สอนทันที พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนอย่างนั้น ค่อยเบิกออก ๆ มันค่อยเห็นภัยเข้าไปโดยลำดับลำดา สอนเข้าไป แล้วธรรมจับเข้าไป ๆ ความเห็นโทษของมันหนักเข้า ความเห็นคุณค่าของธรรมหนักเข้าเหมือนกัน เมื่อต่างอันต่างหนักแล้วก็เบิกออก ๆ ทีนี้ขยะ ๆ นี่สามเหลี่ยม ไอ้เห่า จงอาง นี้เป็นเหมือนมหายักษ์ นี่ละที่ความเพียรมันบุกตลอดเวลาจะไม่มีเวลาหลับนอน คือหนีจาก ๓ ตัวนี้เข้าใจไหม

อันนี้คือธรรม จ้าให้เห็นแล้วนี่จงอาง นี่สามเหลี่ยม นี่ทำทาน นี่งูเห่า มันยิ่งชัด ๆ มันก็ยิ่งเบิกตัวของมันออกไป นี่ที่ว่าท่านความเพียรกล้า ท่านพุ่งตลอดเวลาคือจะหนีจากนี้ เห็นภัยอย่างถึงใจ แล้วคุณค่าแห่งธรรมที่ลากเรานี้ก็เห็นอย่างถึงใจ เมื่อต่างอันต่างถึงใจแล้ว มันก็ลืมตัวไปได้คนเรา นี่ละที่ท่านว่าความเพียรอัตโนมัติ ไม่มีเวล่ำเวลา เป็นตายก็ไม่เคยคำนึงขอให้พ้นโดยถ่ายเดียว ขอให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ๆ ตลอดเวลา พากันจำเอานะ นี่เราพูดเปิดให้ฟังทุกวัน ๆ นะ

เราจวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งเป็นห่วงเป็นใย บรรดาลูกเต้าหลานเหลนของเราทั่วประเทศไทย พวกนี้พวกบ้าเพลินไอ้สามกษัตริย์ ไอ้สามเหลี่ยมไอ้ทำทานไอ้จงอางนี่ตลอดเวลา มันไม่ได้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย ดึงเท่าไรมันยังว่าอย่ามายุ่ง กำลังชมวิว ของไอ้สามเหลี่ยมอยู่นี่ ลวดลายอย่างนี้มันมีวิวอย่างหนึ่ง ๆ กำลังชมอย่ายุ่ง เราสอนแล้วมันยังบอกเราว่าอย่ายุ่ง มันว่าอีกนะ กิเลสตัวมันหนามันบอกถึงขนาดว่าอย่ายุ่ง แถวนี้มีไหม เอาละพอ

เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑ กิโล ๑๓ บาท ดอลลาร์ได้ ๘๔๗ ดอลลาร์ รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๒,๗๕๐ กิโล รวมยอดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวนทองคำ ๔,๓๐๒ กิโล ซึ่งเท่ากับ ๔ ตัน ๓๐๒ กิโลกรุณาทราบตามนี้

ลูกศิษย์ คืนสุดท้ายที่นั่งตลอดรุ่งนั้น อัศจรรย์ผลเป็นอย่างไรค่ะ

หลวงตา อัศจรรย์ผลเป็นยังไง โอ๊ย จะให้เราชี้ยังไง ก็อัศจรรย์เหมือนกัน คืนสุดท้ายที่จะหยุดนั้น พ่อแม่ครูจารย์ขนาบเอาเข้าใจไหม ท่านว่ากิเลสไม่อยู่ในกายนะมันอยู่ในใจนะ ท่านว่าเวลานี้การฝึกทรมานใจมันก็ค่อยสงบค่อยดี ๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ไปแล้ว แล้วจะมาทรมานอะไรร่างกายของเราซึ่งไม่ใช่สถานที่ของกิเลส ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วท่านก็พูดถึงเรื่องสารถีฝึกม้า คือถ้าเมื่อจิตมีหลักมีเกณฑ์แล้วการฝึกทรมานแบบนั้นก็ต้องลดลง ๆ ความหมายว่าอย่างนั้น แต่ท่านไม่พูดกับเราแบบนั้น กลัวเราจะอ่อนเปียก เพราะท่านรู้ว่าเรานิสัยมันผาดโผนตลอดมาและตลอดไปด้วย มันผาดโผนมาก ให้ท่านพูดธรรมดาพอดี ๆ จิตใจเราไม่ใช่จิตใจพอดี ท่านจึงฟาดเปรี้ยงเลย ให้เราไปแกงเอง พิจารณาเอง ยอมรับเองอย่างนั้น

เมื่อคืนนี้เดินจงกรมไม่ได้เลยนะ อย่างนี้ตลอดรุ่ง เดินอยู่บนกุฏิก็ไม่ดี เดินไปใกล้ ๆ นิดเดียว เดินข้างในนั้นพุ่ง ๆ ยืดเส้นยืดสายสะดวกสบาย แต่เมื่อคืนนี้ลงไม่ได้เลยตลอดรุ่ง แม้แต่เมื่อเข้าก็ยังเดินอยู่บนกุฏิ ออกไปเดินนี้ไม่ได้ เอาละเลิกกันได้แล้ว เลิกกันนะลูกหลาน เลิกกันได้แล้วนักเรียน เราเทศน์เพียงเท่านี้ วันนี้ธรรมไม่มีเหลือแล้ว ออกหมดท้องแฟบหมดเลยไม่มีเหลือ วันหลังต้องหาใหม่ แต่การหาใหม่ที่จะออกเดินทางไปหาใหม่มันก็ต้องมีน้ำมันเติมรถอีก เราจะต้องหาน้ำมันก่อน เติมน้ำมันรถถึงจะติดเครื่องไปได้ต่อไป น้ำมันคืออะไรเราไม่อยากพูดมาก แต่ใครจะขยายออกไปก็ขยายไปเถอะเราไม่ว่า แต่เราไม่อยากพูดมากเท่านั้นเอง ให้ไปขยายเอง

ลูกศิษย์ หลวงตาเจ้าคะ หลวงตาบอกว่าธรรมแท้มีจริง ๆ มันจริงเลยค่ะ เพราะหลวงตาเทศน์เมื่อปี ๐๕ หนูไปอ่านหนังสือหลวงตาเทศน์ทางภาคปฏิบัติ คำพูดอันเดียวกันเลยเจ้าค่ะ ตั้ง ๔๐ ปีแล้วคำเดียวกันเลยค่ะ หลวงตาบอกว่าธรรมแท้มีจริง ๆ

หลวงตา เอ้า พูดเมื่อไรก็ออกมาจากอันเดียวกันนี้ จะให้มันเป็นอื่นได้ยังไง มันก็อันเดียวกันนี้ พูดเมื่อไรก็อย่างเดียวกันนี้ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็ธรรมอันนี้ ตรัสรู้ก็ธรรมอันนี้ แน่ะ

ลูกศิษย์ หลวงตาเจ้าคะ พวกหนูโอกาสจะปฏิบัติอย่างนี้มันน้อยค่ะ คือหนูจะมีโอกาสปฏิบัติแบบคุณหญิงเขาได้ไหมเจ้าคะ

หลวงตา คุณหญิงปฏิบัติแบบไหนต้องถามคุณหญิงก่อนซิ เดี๋ยวจะมาถูกมัดเอาอีกนะนี่ อยู่ ๆ ต้องช่วยให้มัดเอานะ จะแบบไหนก็แบบของเรานั่นแหละ เท่านี้ก็แล้วกันนะ แบบใคร ๆ ก็แบบของเรา ๆ เต็มกำลังของเราทุกคน ๆ เท่านั้นพอดี เข้าใจไหม คนอื่นเข้ามาก็ไม่พอดี เป็นแต่เพียงเป็นคติเข้ามาเตือนเรา เพื่อเราพุ่งของเราเอง เท่านั้นละนะ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก