เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ภาษาใจ-ภาษามนุษย์
ก่อนจังหัน
ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งหน้าเข้าสู่ศีลสู่ธรรมนะ ตั้งหน้าตัดคอรองกิเลสนี้มามากต่อมาก มีแต่ฟืนแต่ไฟนั่นละเผาศพเราที่หลงตามมัน หลงตามกิเลสกิเลสเผาศพไปเรื่อย ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความทะเยอทะยานนี้พิลึกนะ เรื่องความทะเยอทะยานได้ไม่พอๆ นี่เป็นข้าศึกอันใหญ่หลวงสำหรับสัตว์โลกนะ อย่าว่าแต่เมืองไทยเรา ที่ไหนๆ ก็พอๆ กัน ต้องมีน้ำดับไฟๆ ไม่เช่นนั้นมันเป็นเปลวขึ้นจรดเมฆๆ นะ เรื่องของกิเลสตัณหาจะไม่มีคำว่าพอ เรื่องของกิเลสแล้วไม่มีคำว่าพอ อะไรๆ ก็ตามต้องเป็นเรื่องไม่พอทั้งนั้นเรื่องของกิเลส ให้พากันจำข้อนี้เอาไว้ เรื่องของธรรมแล้วพอเป็นลำดับเป็นจังหวะๆ เป็นขั้นเป็นตอน อันนี้พอขั้นนี้แล้วพอขั้นนั้นๆ ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน พออย่างเลิศเลอสุดยอดอยู่ตรงนั้นนะ
ศาสนาใดก็ตามเราพูดตามหลักความจริง ไม่เอนไม่เอียง เอาหลักความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะธรรมต้องพูดตามหลักความจริงเท่านั้น ไม่จริงจะบอกว่าจริงไม่ได้ ปลอมบอกว่าปลอม จริงบอกว่าจริง คือธรรม เชื่อถือได้ เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาชี้นิ้วเดียว ในสามแดนโลกธาตุนี้ชี้นิ้วเดียว คือพุทธศาสนา เราได้เข้าค้นคว้าในภาคปฏิบัติจิตตภาวนาบนเวที ระหว่างกิเลสฟัดกันแตกกระจาย อะไรปลอมอะไรจริงรู้หมด นั่น พูดให้มันชัดเจนนะ พุทธศาสนายกนิ้วให้เลย เรียกว่าเด็ดขาดทุกอย่าง ไม่มีกิเลสตัวใดจะเหนืออำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้านี้ไปได้เลย นอกนั้นเป็นเรื่องของกิเลสเสีย เราอยากจะพูดว่าเสียทั้งมวล
ศาสนะๆ แปลว่าคำสอน ศาสนธรรมคำสอนที่เป็นอรรถเป็นธรรม รื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าศาสนธรรม อยู่ในวงพระพุทธศาสนาของเรานี้แหละ ศาสนกิเลสมีอยู่ในศาสนาทั่วๆ ไป จะว่าเป็นศาสนธรรมพูดยากอยู่นะ ว่าเป็นศาสนกิเลสเพราะเจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส ออกมาจากกิเลส บงการอะไรๆ ต้องเป็นกิเลสไปทั้งนั้นๆ ต้นเป็นกิเลส กิ่งก้านสาขาดอกใบต้องเป็นกิเลสไปโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าศาสนกิเลส ศาสนธรรมต้นลำคือพระพุทธเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์ทางพระทัย ใจบริสุทธิ์สุดส่วน ศาสนกิเลส กิเลสครองหัวใจคลังกิเลส เพราะฉะนั้นจึงว่าศาสนกิเลส คำสอนของกิเลสสอนลงไปที่ไหนก็เป็นกิเลสเรื่อยๆ คว้าน้ำเหลวๆ ให้พากันจำเอานะ ชี้นิ้วได้เลยมีพุทธศาสนาเดียวเท่านั้น ในโลกธาตุนี้มีศาสนาเดียว ที่สอนอย่างถูกต้องแม่นยำๆตลอดเลย เพราะท่านผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นผู้บริสุทธิ์สุดส่วน ทรงไว้แล้วซึ่งธรรมอันเลิศเลอ ไม่มีโลกใดที่จะทรงได้เหมือนโลกของผู้ปฏิบัติพุทธศาสนา จนถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานได้แก่พระพุทธเจ้าของเรา ให้พากันจำเอานะ
การพูดทั้งนี้เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใดผู้ใดนะ คือพูดตามหลักความจริง ความจริงเป็นอย่างไรต้องพูดตามหลักความจริงที่เรียกว่าธรรม ธรรมต้องตรงไปตรงมา ไม่ตำหนินั้นตำหนินี้โดยหาเหตุผลไม่ได้ ต้องมีเหตุมีผลกลมกลืนกันไป ควรตำหนิก็ตำหนิ ควรชมก็ต้องชม ให้ยึดให้ดีนะ เฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเครื่องตัดสินเรื่องศาสนาพุทธของเรานี้นะ มีแต่ว่าศาสนาพุทธดีๆ ดีเฉยๆ ดีแต่การยกยอเฉยๆ ใช้ไม่ได้นะ คำว่าศาสนาพุทธต้องทดสอบกันทางภาคปฏิบัติ การให้ทาน การรักษาศีล เป็นลำดับลำดา เป็นพื้นฐานของชาวพุทธเรา
การภาวนานี่สำคัญมากจะรื้อถอนทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชั่วทั้งดี จอมปลอมหรือเป็นความจริง จะถอนขึ้นมาจากหัวใจของเรานั่นละ จิตตภาวนา พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งเห็นจริงโลกด้วยจิตตภาวนา สาวกทั้งหลายรู้ด้วยจิตตภาวนา จนกระทั่งลำดับลำดามา การภาวนาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จะประจักษ์ในหัวใจโดยไม่ต้องไปถามใคร ถ้าลงได้เข้าถึงด้านภาวนา รู้กันเห็นกันทั้งกิเลสทั้งธรรมเต็มหัวใจแล้วไม่ถามใคร พระพุทธเจ้าไม่ถามใคร พระสงฆ์สาวกอรหันต์ไม่ถามใคร ขึ้นเวทีฟัดกิเลสขาดสะบั้นลงไป ธรรมจ้าขึ้นในหัวใจแล้วไม่ต้องถามใคร นี่ละพุทธศาสนาเป็นศาสนาอย่างนี้เอง ของผู้ปฏิบัติจิตตภาวนา ให้พากันจำเอานะ
อย่ามีแต่มาโม้มาคุยเฉยๆ อย่างที่ว่าเอาศาสนามาอวดกัน อย่ามาอวด ให้เอาของจริงมาพูดกันซิ ใครก็ถือว่าของใครดีๆ ไม่มีใครถือว่าเป็นของชั่วแหละ เป็นธรรมดาของโลกที่ต้องยกยอเป็นธรรมดา แต่เอาความจริงมาพูดผิดถูกประการใด เอาตรงนี้ละ เราหาความจริงเข้าสู่ใจของเรา ต้องหาสิ่งที่ถูกต้องแม่นยำ อย่าหาจอมปลอมมาใส่หัวใจจะเผาหัวใจเราไปเรื่อยๆ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ พุทธศาสนานี้เลิศเลอๆ เราเคยพูดย้ำแล้วย้ำเล่ามาตลอด เพราะจวนจะตายแล้วจึงต้องได้รีบพูดออกมา ถ้าเราตายมันยากนะ ไม่ใช่เราคุย ยากที่ผู้จะมาพูดอย่างนี้ คือปากเปราะอย่างหลวงตาบัวนี้ไม่มี ครูบาอาจารย์ทั้งหลายปากเปราะเหมือนหลวงตาบัวนี้ไม่มี
จะพูดว่าหลวงตาบัวนี้ปากเปราะก็ได้ เราพูดเรียกว่าทั่วโลกแล้วเดี๋ยวนี้น่ะพูดนี่ จะว่าปากเปราะก็ได้ นี่พูดแยกออกไปเฉยๆ เปราะหรือไม่เปราะท่านทั้งหลายก็ฟังเอาซิ เหตุผลกลไก พระพุทธเจ้าถ้าจะว่าปากเปราะ มันก็ไปเปราะหาพระพุทธเจ้า เข้าใจไหมล่ะ พระพุทธเจ้าปากเปราะ ปากเปราะอะไรขนโลกขึ้นจากสงสาร จะว่าคนปากเปราะหรือ คนขนกันลงนรกนั่นปากอะไรนั่น ปากประเภทไหนนั่น จำเอานะ เอาละ ต่อไปนี้จะให้พร
หลังจังหัน
เราบอก นี่ละภาษาธรรม การตกแต่งอะไรๆ อย่าให้เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงโดยไม่คำนึงธรรมไม่ได้ เราก็ไปชี้แจงบอกเลย ทำตกแต่งอะไรในพระตำหนัก ท่านเสด็จเข้ามากราบธรรมนะ ธรรมต้องสูงอยู่เสมอ การตกแต่งอะไรๆ ให้พอเหมาะพอดี เช่นทำอย่างนี้ๆ อย่าให้เตลิดเปิดเปิงซึ่งเป็นเรื่องของโลกล้วนๆ ไม่มีธรรมเลย ไม่สมกับว่าเราเข้ามากราบธรรม ไม่เหมาะ สั่งพวกเจ้าหน้าที่เขาไปจัดทำนั้นทำนี้ ไม่ให้หรูหราฟู่ฟ่ามันเสีย ให้จัดทำแต่พอเหมาะพอดีเท่านั้น ไม่ให้เป็นโลกล้วนๆ เข้ามาเหยียบธรรม เหยียบวัดเหยียบธรรมมันเสีย เราจึงต้องเข้าไปเตือนผู้ทำ อย่างนั้นละ เขาไม่รู้นี่ จะไปตำหนิเขาได้ยังไงก็เขาไม่รู้ เขาเคยอย่างนั้น เราเคยอย่างนี้มาด้านอรรถด้านธรรม อันนั้นด้านโลก อันนี้ด้านธรรม เอามาพิจารณากันให้พอเหมาะพอดีทั้งสองฝ่าย เราเอาอย่างนั้น
เรื่องธรรมนี้ละเอียดอ่อนสุดทีเดียว ที่นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ เอามาพูดเท่าที่จะพูดได้ธรรมดา พูดในวงมนุษย์ด้วยกันยังมีแง่หนักเบาต่างกัน ที่ควรพูดได้บ้างไม่ได้บ้าง พูดได้มากได้น้อย ออกจากหัวใจอันเดียวกันแหละ ธรรมละเอียดสุดทีเดียว เทศน์ให้เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมฟังเป็นแบบหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับมนุษย์เลย เป็นภาษาใจล้วนๆ ใส่กัน นั่น เทศน์ภาษามนุษย์เป็นภาษาปาก ทั้งดุทั้งด่า พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่ได้ดุด่าเขานะ พวกนี้ไม่ได้ดุด่า แต่กับมนุษย์เรานี้ทั้งดุทั้งด่า แต่ไม่ได้เฆี่ยนได้ตีแหละ ไปหาไม้มาสักหน่อยน่ะ เรายังบกพร่องเครื่องมือทรมานสัตว์ สั่งสอนสัตว์โลกต้องมีไม้เตรียมมาพร้อม มีไม้หลายชนิด ตัวเล็กๆ อย่างนี้ไม้ชนิดนี้ ตัวใหญ่ขึ้นมาไม้ชนิดนี้ ตัวเล็กแต่มันดื้อเอาไม้หนัก มันต้องอย่างนั้นสำหรับทำให้เป็นคนดี
เขาสร้างบ้านสร้างเรือน เครื่องมือที่เขาจะมาสร้างนี้มีหลายชนิด อันนี้เหมาะสมกับอย่างนั้นๆ เขาเอามาสร้างบ้านสร้างเรือนตึกรามบ้านช่อง เครื่องมือเขาเป็นลำรถ ไม่ใช่เล่นๆ นะ ทีนี้เครื่องมือที่จะสอนมนุษย์ให้เป็นคนดีนี้ พูดย่อมๆ ก็ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี่ย่อมๆ นะ อย่าว่ามากนะที่ออกมานี้ ที่อยู่ในพระทัยพระพุทธเจ้ามากกว่านี้หลายเท่าพันทวี เพียงแต่เราตัวเท่าหนูมันก็เป็นอย่างว่า เอาออกจากความเป็นของจิตนี้มาพูดนะ ที่สอนเหล่านี้สอนตามขั้นตามภูมิที่จะพอเข้าอกเข้าใจได้ ที่เหนือกว่านั้นไปก็สอนตามขั้นตามภูมิของธรรมเป็นขั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน พวกนี้ฟังไม่ได้ ผู้จะก้าวเข้าสู่พระนิพพานฟังได้ชัดๆ โดดผางๆ นั่นต่างกันอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการ จึงมีแกงหม้อใหญ่ แกงหม้อเล็ก แกงหม้อจิ๋ว เป็นขั้นๆ ขึ้นไป เหมือนเครื่องมือสร้างบ้านสร้างเรือน เครื่องมืออย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเขามีพร้อมหมด สร้างมนุษย์ก็เหมือนกัน
กิเลสที่อยู่ภายในใจของเรามีหลายชนิด เพราะฉะนั้นเครื่องมือชำระสะสางปราบปรามกิเลส เราจะเอาเพียงเครื่องมืออันเดียวไม่ได้ ต้องหลายเครื่องถึงทันกันๆ บางครั้งมันยังงง นี่ก็เคยพูดให้ลูกศิษย์ฟังแล้ว ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดอย่างเปิดเผย ขึ้นบนเวทีฟัดกัน เวลามันเหนียวแน่นมันซัดเราหงายลงๆ มีแต่หงายให้มันทั้งนั้นแหละ หนักเข้าๆ สู้ไม่ถอยมันก็หงายได้เหมือนกัน ต่อไปวิชาไหนมันหงายวิชานี้ก็เน้นหนักเข้า หนักเข้าๆ มันก็หงายเรื่อยซิ ซัดเสียจนกระทั่งถึงเงียบหมดเลย เอาขั้นจวนสุดท้ายเลยนะ มันละเอียดลงไป เครื่องมือชำระนี้ละเอียดตามกันๆ ไม่งั้นไม่ทันกัน
ถึงอย่างนั้นมันยังงง เวลามันเข้าหลบซ่อนไม่แสดงเลย มีแต่จิตสว่างจ้า เหอ นี่ก็เคยพูดให้ลูกศิษย์ฟังแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วเหรอ เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าให้เจ้าของแต่ไม่ได้สำคัญนะ ว่าเฉยๆ เวลานั้นมันหมอบ มีแต่ธรรมจ้าครอบหัวมันอยู่นั้น มันเงียบหมดเลย หือ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ยังไม่ได้สำคัญตน พูดเฉยๆ เอา คอยฟังคอยดูอีก ค้นอีกๆ เดี๋ยวโผล่ขึ้นมา นั่น ใส่กันเรื่อยๆ ฟาดเสียพรึบเดียวทีเดียวเลยหมดโดยสิ้นเชิง พระอรหันต์น้อย พระอรหันต์ใหญ่เลยไม่ถามถึง นั่นเห็นไหมล่ะ มันละเอียดขนาดนั้นนะ เวลาจะเอาจริงๆ มันต้องลงทีเดียวพรึบเลย
สำหรับนิสัยอาจจะต่างกันบ้าง บางองค์ก็เรียบๆ ไป ยกตัวอย่างท่านสิงห์ทอง ที่ยกตัวอย่างได้ท่านสิงห์ทองเป็นต้นนี่นะ ก็เพราะอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุล้วนๆ แล้ว นี่ก็มาพูดให้เราฟัง เวลาท่านพูดไปๆ ท่านก็บอกว่าหมดไปๆ หมดไปๆ หายเงียบไปเลย จนกระทั่งหายสงสัยตัวเอง ไม่เห็นมีอะไร หายสงสัย กิเลสก็หายเงียบไปเลย ไม่ทราบว่ามันหายเมื่อไร ท่านว่างี้นะ ค่อยละเอียดลงๆ แล้วหมดไปเลย ไม่มีขณะใดบอก
ตามธรรมดาพระอรหันต์ท่านบรรลุธรรม บรรลุที่ไหนท่านบอกว่าบรรลุที่นั่น อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนได้ทั้งนั้น บรรลุธรรมได้ทั้งนั้น เพราะความเพียรมีได้ทุกอิริยาบถ นอนอยู่ก็เป็นความเพียร แต่ท่านสิงห์ทองนี้พูดไปทุกอย่างๆ ถูกต้องไปหมดๆ เราก็ฟังๆ จนกระทั่งมาถึงขั้นละเอียด ละเอียดสุด หายเงียบไปเลย เลยหายเงียบจนกระทั่งทุกวันนี้ เจ้าของก็ไม่สงสัย ว่าจะแก้กิเลสตัวใดอีกก็ไม่มีในใจ แต่ไม่มีขณะบอกขึ้นมาเท่านั้น แต่ผลเวลาแสดงออกมานี้ถูกต้องหมด ค้านท่านไม่ได้นะ นี่อัฐิเวลาท่านมรณภาพแล้ว อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาผางทันทีเป็นเครื่องประกาศให้โลกได้เห็น ภายในท่านเห็นของท่านแล้วรู้แล้ว ส่วนภายนอกไม่เห็น กิริยาที่แสดงออกมาเป็นขณะไม่เห็น
แต่สำหรับเราเราพูดจริงๆ ผางขึ้นนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม บอกตรงๆ เลย จนกระทั่งถึง โถๆ ขึ้นมาเลย เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้น เพราะมันรุนแรงมาก เหมือนหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าดินเขาก็อยู่ตามเรื่องของเขา ระหว่างจิตกับกิเลสฟัดกันมันขาดสะบั้นจากกันนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม อันนี้ต่างหากนะที่ว่าฟ้าดินถล่ม ส่วนธรรมดาฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้นละ ระหว่างกิเลสกับจิตกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นลงไปเหมือนฟ้าดินถล่ม ขณะมันรุนแรง มันถึงได้ออกอุทานออกมา ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ มันย้ำแล้วย้ำเล่าให้ถึงใจ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนะนั่น เป็นอันเดียวกันแล้ว
พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้ติดแนบตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงขณะนั้นละ ก่อนขณะนั้นพุทโธ ธัมโม สังโฆ ยังติดแนบอยู่ในจิต พอผางนี่ขึ้นมาแล้วพุทโธ ธัมโม สังโฆเป็นอันเดียวกันหมดเลย แล้วพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น ใครมาบอกเมื่อไร มันเป็นขึ้นมาในจิตมันก็รู้เอง เป็นอย่างนั้นนะ นี่ละการบำเพ็ญความดีงาม เหมือนการทำชั่วทำเมื่อไรแสดงมาเมื่อนั้นๆ การทำความดีก็แบบเดียวกัน มรรคผลนิพพานจ้าอยู่กับวงพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา ไม่อยู่ที่ไหน อยู่ตรงนี้ ตรงนี้เอง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นภาชนะอันเหมาะสมมาก รับรองมรรคผลนิพพานได้โดยสมบูรณ์ตลอดมาและจะตลอดไปอย่างนี้ นี่ละแนวทางที่ถูกต้อง
ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ อย่าอยู่เฉยๆ กินเฉยๆ นอนเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะมนุษย์เรา การเกิดการตายมันมีได้ด้วยกันทุกคนทั้งคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด เกิดได้ตายได้ด้วยกัน แต่ความดีความชั่วนั้นใครขวนขวายทางไหนมันก็ได้ไปทางนั้น ขวนขวายทางชั่วก็ได้ทางชั่วไป ตายแล้วก็พาเจ้าของให้จม ถ้าขวนขวายในทางดีตายแล้วพาเจ้าของให้ดี ตั้งแต่อยู่ในเมืองมนุษย์นี้ก็ดีอยู่ในใจแล้วแหละ ชุ่มเย็นภายในใจ ตายแล้วก็ผึงไปเลย ละขันธ์เท่านั้นทิ้ง เช่นอย่างพระอรหันต์ละขันธ์ ท่านไม่ยากนะ พูดให้มันชัดเจนเลย
พระอรหันต์ตายท่านไม่ได้ตายยาก ท่านเรียนจบหมดแล้วเรื่องโลกเรื่องสงสาร เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ของท่าน เพียงรับผิดชอบอยู่เฉยๆ เหมือนเครื่องไม้เครื่องมือเรานำมาใช้ เอาไปใช้นั้นใช้นี้ เหมือนเราจับนี้ใช้นี้ จับนี้ใช้นี้ เวลามันใช้ได้อยู่อะไรชำรุดก็มาซ่อมแล้วใช้ไป เวลามันชำรุดหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรแล้วทิ้งปั๊วะเลย ขันธ์หมดแล้วโดยสิ้นเชิง ทำงานอะไรไม่ได้แล้วปล่อยปุ๊บผึงเลย ท่านไม่ได้เป็นห่วงเป็นใย พระอรหันต์ตายจึงได้ตายได้ง่ายมาก ไม่เหมือนปุถุชนคนหนาเวลาจะตายแล้วทิ้งเนื้อทิ้งตัว ตกตั่งตกเตียง ที่หลับที่นอนไม่คำนึง ตกไปได้นะมันไม่มีสติสตัง มีแต่ความทุกข์ความทรมานบีบบังคับ สติสตังที่จะมาระลึกตัวได้ไม่มี มันก็ตกที่หลับที่นอนไปได้ละคนเรา
ท่านผู้มีสติท่านไม่หลง เป็นอะไรท่านก็ไม่หลง ทำอะไรมันเป็นหลักธรรมชาติแล้วจะเอาอะไรมาหลง เป็นหลักธรรมชาติ เป็นหลักตายตัว ที่ชำระได้แล้วถึงขั้นตายตัว ไม่มีอะไรสงสัยแล้ว จะอยู่จะไปท่านไม่สงสัย นี่ละการฝึกหัดจิตใจของเรา จิตใจเป็นสิ่งที่เลิศเลอได้ไม่สงสัย ต่างคนต่างฝึกให้ดีให้เลิศเลอได้เหมือนพระพุทธเจ้านั่นแหละ พระสาวกอรหันต์มีแต่ท่านผู้ฝึกจิตใจทั้งนั้น ถ้าไม่ฝึกปล่อยตามบุญตามกรรมก็กองอยู่ในนรก อัดแน่นอยู่ในนรก นี่ไม่ฝึก มีแต่ลากเข็นไปทางที่ชั่ว ขนกันลงๆ ลงทางชั่ว
ท่านทั้งหลายเชื่อธรรมพระพุทธเจ้าต้องเชื่ออย่างนี้ด้วยนะ เหมือนไม้ต้นนี้ ไม้ต้นนี้ นี่ต้นของมัน กิ่งนี้กิ่งอะไรกิ่งไม้ต้นนี้ ใบนี้ไม้ต้นนี้ ดอกนี้ดอกไม้ต้นนี้ มาหาต้นนี้ๆ ทั้งนั้น กิ่งไม้ทั้งกิ่งในอวัยวะของต้นไม้นี้ออกจากต้นของมัน มองมาหาที่ต้นๆ ต้นของมัน มันแตกกิ่งแตกก้านออกไปอย่างนั้นแหละ อันนี้จิตใจของเราก็เหมือนกัน ต้นลำให้ดี ถ้าต้นลำดีแสดงออกกิริยาใดดีหมดๆ ถ้าต้นลำไม่ดีแสดงออกไปก็มากระเทือนต้นลำเจ้าของคือผู้ทำนั่นแหละ ให้พากันระมัดระวัง
ให้เชื่อพระพุทธเจ้า เหมือนเราเชื่อกิ่งไม้ว่าเป็นของต้นไม้ต้นนี้ เรื่องบุญเรื่องบาป นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรต สัตว์ทั้งหลาย เหมือนอวัยวะแห่งความจริง ออกไปไหนถูกต้องไปหมดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงตรงไหน แสดงว่ากิ่งนี้ของไม้ต้นนี้ กิ่งนี้ไม้ต้นนี้อันเดียวกัน ให้ระวังนะ เราอย่าไปลบล้าง ลบล้างธรรมพระพุทธเจ้า ลบเท่าไรก็เสียตัวทั้งนั้นไม่มีทางได้ เราจะไปหาเอาแต่ใหญ่ๆ เราจะไปสวรรค์ไปนิพพาน บาปบุญไม่สนใจ ทำไปตามชอบใจมันก็ลงแต่ทางต่ำๆ นั่นเสียได้นะ
พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหน นั้นละคือพิษอยู่ที่นั่น คุณอยู่ที่นั่น บอกว่าผิดอันนี้อย่าทำ อย่าไปทำ ถ้าฝืนพระพุทธเจ้าเท่ากับฝืนเราทำลายเรา ถ้ายอมทำตามพระพุทธเจ้าก็เท่ากับเดินตามพระพุทธเจ้า คนนั้นจะได้รับความสุขความเจริญ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ธรรมพระพุทธเจ้านี้ไม่มีสอง จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างแง่ใดมุมใดจริงหมดเลย ใครฝืนคนนั้นก็เป็นพิษต่อผู้นั้น ใครทำตามก็เป็นคุณต่อผู้นั้นตลอดไปหมด ไม่ว่ากิ่งน้อยกิ่งใหญ่ ส่วนย่อยส่วนใหญ่ของบาปของบุญเป็นบาปเป็นบุญด้วยกันหมด ให้พากันจำเอา
เวลานี้ก็ยังดีอยู่ว่าวิทยุออกเวลานี้ทั่วทุกแห่งทุกหน ธรรมที่เราแสดงนี้เราก็แสดงด้วยความไม่สงสัย ไม่มีอะไรสงสัยในใจแล้ว เปิดออกให้ฟังทุกแง่ทุกมุมในธรรมทุกขั้น เราไม่สงสัยจากหัวใจเรา แสดงด้วยความถูกต้องแม่นยำ หายสงสัย เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายขอให้นำไปพินิจพิจารณาตามธรรมพระพุทธเจ้า แล้วจะเป็นสิริมงคลมหามงคลแก่ตนทั่วหน้ากัน ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
เราอย่าตื่นนะตื่นเรื่องกิเลส มันหลอกโลกมาตลอดและหลงมันมาตลอด ไม่มีวันมีคืนที่จะเข็ดหลาบอิ่มพอกับกิเลส กิเลสนี้หลอกตรงไหนติดตรงนั้น มันแหลมคมมากนะกิเลส เมื่อไม่มีธรรมเข้าเทียบเคียงกันแล้วกิเลสจะแหลมคมตลอดไปเลย เมื่อมีธรรมเข้าเทียบกันปั๊บกิเลสจะอ่อนตัวทันที ธรรมะจะเหยียบขึ้นไปๆ เมื่อมีธรรมในใจมากน้อยทีนี้เหยียบหัวกิเลสไปเลย ความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลในการสร้างคุณงามความดีนี้จะดีดขึ้นมาหมดนั่นแหละ นี่อำนาจแห่งธรรมพาให้ดีด ถ้าเป็นอำนาจของกิเลสอ่อนเปียกๆ จำให้ดี อันนี้สำคัญมากอยู่ในหัวใจของเราทุกคน เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้นะพอ
เข้าใจหรือเปล่าเทศน์ (เข้าใจค่ะ วันนี้เป็นวันที่มาเป็นลูกศิษย์หลวงตาครบ ๒๐ ปี มาตอนแรกก็ไม่รู้จักหลวงตา รู้แต่ว่าหลวงตาดุ แต่หลวงตาเก่ง ตอนนั้นนั่งสมาธิลมหายใจหมด ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยกล้าๆ กลัวๆ มาถามหลวงตา ถามว่า นั่งสมาธิแล้วลมหายใจหมดจะทำอย่างไร หลวงตาก็บอกว่ามันเหมือนกับรอยโคค่ะ ที่เรากำหนดสติพอไปถึงจุดหนึ่ง เจอโคก็คือจิต จิตกับสติรวมกันเป็นหนึ่งเดียว) แล้วปล่อยรอยมันเสีย ใช่ไหมล่ะ นั่นละลมหายใจเป็นรอยโค พอหมดอันนี้แล้วเข้าถึงตัวจริงก็ถูกต้อง
ท่านยังมีบกพร่องอันหนึ่งท่านสอนคราวนั้น วันนี้จะสอนซ้ำอีกเพื่อให้ความสมบูรณ์ ว่าลมหายใจหมด ท่านยังสอนให้อยู่กับจิต ใช่ไหมล่ะ วันนี้จะบอกถ้าลมหายใจหมดให้ตายเสีย นี่สอนให้เต็มยศเข้าใจเหรอ เวลาสอนให้เต็มยศไม่ยอมรับนะ นั่นละลมหายใจละเอียดมากเป็นอย่างนั้นละ เวลาเอากันจริงๆ แม้แต่คำบริกรรมก็ตามนะ บริกรรมติดแนบกันไปนี้ พอถึงขั้นคำบริกรรมมันหมดสภาพของมันแล้ว นี่เข้าถึงจิตแล้วนะ คำบริกรรมกำหนดยังไงก็ไม่มี หมด เหลือแต่ธรรมชาติที่รู้อย่างละเอียด ให้อยู่กับนั้นเสีย ทีนี้พอได้จังหวะมันเคลื่อนไหวออกมาก็จับคำบริกรรมติดเข้าไปอีกอย่างนั้น ลมหายใจก็เหมือนกัน แบบเดียวกัน พอถึงตัวจริงแล้วรอยมันเหล่านี้มันจะลบหมดเลย เข้าถึงตัวจริง อยู่ๆ อย่างนั้นละ
เรื่องภาวนาเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร โถ อัศจรรย์เกินคาดเกินหมายนะ คิดดูซิตัวเองยังอัศจรรย์ตัวเอง เป็นยังไงถึงเป็นอย่างนั้นได้ มันเป็นจะไม่ให้ว่าเป็นได้ยังไง ภาวนาเข้าไป จิตเวลาชำระเข้าๆ นี้เรื่องรูปเรื่องอะไรเหล่านี้หมดนะ ไม่มีเหลือ อสุภะอสุภังอะไรนี้หมด มันเลยไปแล้ว เหลือแต่ความว่างเปล่า ความว่างเปล่ากับจิตที่เป็นนามธรรม มันเป็นความว่างของจิตอยู่อย่างนั้นแล้วมันก็เข้ากันได้สนิท ทีนี้บทเวลามันว่างหมดแล้วมองไปที่ไหนก็ว่างหมดๆ ดูต้นไม้ภูเขาตาพอเห็นเป็นรางๆ นะ แต่จิตนี้มันทะลุไปหมดเลย ว่างไปหมด
ทีนี้ก็ เอ๊ ทำไมจิตเรานี้มันถึงอัศจรรย์เอานักหนาน้า ก็มองเห็นอะไรก็เห็นอยู่ แต่อันหนึ่งมันทะลุไปเลย ความว่างมีอำนาจมากกว่าตาที่เห็น เห็นพอเป็นรางๆ นะ ความว่างนี่มันรุนแรงทะลุหมดเลย สุดท้ายร่างกายเจ้าของทะลุไปแบบเดียวกัน ว่างไปหมดเลย เอ๊ ทำไมจิตของเราถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้เชียวน้า นั่น อัศจรรย์ตัวเองนะ ธรรมท่านเตือน อันนี้เราพูดหลายหนแล้วเราไม่พูดอีกละ ธรรมท่านกลัวเราหลง นั่นเราหลงแล้วนะ หลงความอัศจรรย์ของตัวเอง หลงแล้ว พระธรรมท่านเตือนขึ้นมา อันนี้เราไม่พูดอีกแหละ ถูกต้องท่านเตือน
นี่เรียกว่าอัศจรรย์ตัวเองในความว่างขั้นนี้ ว่างถึงขนาดอัศจรรย์ตัวเองจริงๆ ขึ้นอุทานในใจเลย เดินจงกรมอยู่จวนสว่างที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนนี้เป็นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมาม้วนเสื่อกันที่นั่นนะ เดือน ๓ แบกเสื่อแบกหมอน ฟาดไปถึงนู้นอำเภอบ้านผือ อำเภอศรีเชียงใหม่ เข้าไปลึกๆ ถ้ำผาดักผาแด็ก ไปภาวนาอยู่คนเดียว แบกอันนี้ไป แบกความว่างความอัศจรรย์นี้ไปเรื่อย มันยังปลอมอยู่นะนั่น แก้ไม่ตก ธรรมท่านเตือนให้แก้ มันหลงอีกด้วย ที่ว่าแก้ไม่ตก ธรรมท่านเตือนถูกต้องนะ แต่เราแก้ไม่เป็น งงไปอีก แบกไปนี้ กลับมาขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ ปัญหาอันนี้แบกกลับมา กลับมาคราวนี้ความสว่างอันนี้ถึงขาดสะบั้นลงไปบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ที่ว่าสว่างว่าอัศจรรย์ตัวเองนั่นละ ความสว่างอันนี้ขาดสะบั้นลงไป ความสว่างอันหลังที่เป็นอันสุดยอดนี้ครอบหมดเลย
ทีนี้มันมามองเห็นความสว่างของตัวเองที่เคยอัศจรรย์ตั้งแต่ต้นนั้นนะ ที่หลงนั้นนะ กลายเป็นกองขี้ควายไป เห็นไหมล่ะ ความสว่างอันนี้มันเลิศเลอกว่ากันขนาดไหน ความสว่างที่เราเคยอัศจรรย์มันแต่ก่อนเลยกลายเป็นกองขี้ควายไปเลย อันนี้เหนือหมดเลย พอถึงขั้นนี้แล้วอัศจรรย์ไม่อัศจรรย์มันก็เลยไปหมดแล้ว แน่ะไม่พูดที่นี่ พูดตั้งแต่อัศจรรย์อันนี้ พอขั้นนั้นมาเหยียบปุ๊บเดียวหมดเลย ความอัศจรรย์อันนี้หายหมด นี่เรียกว่าหลงตัวเอง นี่มันมีขั้นๆ นะหลง หลงตัวเอง
นี่ละเรื่องจิตใจอัศจรรย์ขนาดนั้นนะ ไม่ใช่ธรรมดา เราพูดอย่างเปิดอก เพราะหัวใจนี้มันเปิดจ้าอยู่แล้ว เป็นเวลา ๕๖ ปี ฟังซิน่ะ เปิดจ้ามานานเท่าไร ถ้าเป็นโลกนี้ เรียกว่าหลวงตาบัวเป็นบ้าไปร้อยเท่าพันทวีละ แต่ธรรมไม่ได้เป็นบ้า รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น อยู่อย่างนั้นตลอด ไม่ตื่นไม่เต้น ธรรมเป็นอย่างนั้น รู้ขนาดไหนก็อยู่อย่างนั้นไม่ตื่นเต้น ถ้าหากว่าเป็นแบบโลก โหย เป็นบ้าไปนานแล้วหลวงตาบัว ตื่นเต้นบ้าตัวเอง แต่นี้มันไม่ตื่นซี นี่ธรรม อัศจรรย์ขนาดไหนฟังซิ
ทีนี้เวลามันมองดูอะไรๆ นี้ ธรรมนี้ไม่ชินกับอะไรเลย ไม่มีชินกับอะไรทั้งนั้น มองไปที่ไหนๆ ดูโลกดูสงสารก็ดูไปตามสภาพของโลก เราก็ทราบว่าโลกเป็นยังไง ธรรมเป็นยังไงก็ทราบ แต่มันก็กระเทือนกันอยู่เรื่อยๆ บางทีเห็นเขาตกแต่งนั้นๆ นี้ๆ ทำอะไรให้สวยให้งามๆ ดู กิเลสมันตกแต่งบ้านเรือน ตกแต่งที่หลับที่นอนหมอนมุ้ง ตกแต่งไปทุกสิ่งทุกอย่าง ในห้องในหับมันตกแต่งหมด..กิเลส เข้าใจไหม เรื่องกิเลสตกแต่ง ธรรมนี้ดูกิเลสตกแต่งให้สวยให้งาม ทีนี้ผลแห่งความสวยงามของมันนั้นคือความสกปรกแห่งสายตาของธรรมทั้งมวลเลย นั่นเห็นไหม ต่างกันไหมล่ะ ความสวยงามของกิเลสทั้งหมดที่มันตกแต่งกันทั่วโลกทั่วสงสารนั้น ในสายตาของธรรมเป็นความสกปรกทั้งหมดเลย
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่าน ท่านอยู่ที่ไหนท่านจึงอยู่สบาย เพราะเหตุไร ท่านเอาอันนี้เทียบ ร่างกายของเรามีความสะอาดสะอ้านมาจากไหน สิ่งเหล่านี้เขาเอาความสะอาดสะอ้านมาจากไหน ไปตกแต่งเขาอะไรนักหนา ศพทั้งเป็น ไปประดับประดาศพทั้งเป็นได้ยังไง เข้าใจไหมศพทั้งเป็น ตกแต่งนั้นตกแต่งนี้ให้ศพทั้งเป็นไปอยู่ผาสุกสบาย โอ่อ่าฟู่ฟ่า กิเลสหลงตัว เข้าใจไหม กิเลสหลงตัวลืมตัวไปอย่างนั้น ธรรมดูมันรู้หมดนี่เข้าใจไหม ตกแต่งให้สะอาดเท่าไรๆ ยิ่งเป็นความสกปรกมากขึ้นๆ ในสายตาของธรรมดูกิเลส
เพราะฉะนั้นท่านอยู่ที่ไหนท่านจึงอยู่สบาย เพราะธรรมชาตินั้นเหนือทุกอย่างแล้ว อันนี้ก็เป็นของที่อยู่ตามสภาพของโลกทั่วๆ ไป อยู่ที่ไหนพออยู่ได้ให้อยู่ไป เข้าใจไหม อย่าดีดอย่าดิ้นสร้างกองทุกข์ใส่เจ้าของ บ้านเรือนสร้างแล้วก็สร้างพออยู่ได้อยู่ไป อยู่ที่ไหนอยู่ได้อยู่ไป กินไป ใช้ไป อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม มันเป็นบ้าเข้าใจหรือเปล่าล่ะ หรือยังไม่ยอมรับอีกเหรอ ถ้าไม่ยอมรับก็ไปเป็นบ้าต่อไปอีก
(วันนี้หลวงตาเทศน์ถูกจุดเพราะว่ากำลังตกแต่งห้องน้ำกับห้องครัว) ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สายตาของธรรม แต่ท่านไม่ได้พูดนะ ท่านรู้ของท่านเอง ท่านรู้ท่านไม่หนัก ความรู้ของธรรมไม่หนัก ไม่แบกไม่หามเหมือนความรู้ของกิเลส ความรู้ของกิเลสทั้งแบกทั้งหาม ทั้งอยากพูดอยากคุยอยากโม้ ธรรมนี้เฉยไม่มี ถึงวาระที่จะออก ออกได้หนักเบามากน้อยตามเห็นสมควร ปั๊บๆ ออก พอจบแล้วหายเงียบเลย เรียกว่าธรรม
นี่ละจึงว่าอยู่สภาพไหนอยู่ เพราะธรรมชาตินั้นเหนือหมดแล้ว อันนี้ก็เป็นสภาพที่รับรองกันกับธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์มันเอาความสวยงามมาจากไหน ของใครของเราดูก็รู้ แล้วการตกแต่งให้มันอยู่ จะตกแต่งให้สวยงามไปที่ไหนเลยจากธรรมชาติของมันไป นั่น มันก็พอๆ กัน เมื่อเป็นอย่างนั้นก็จัดให้พอๆ กัน อยู่กันธรรมดาๆ มันก็สะดวกสบาย นั่นละท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วท่านอยู่สบายไปหมด อยู่ไหนอยู่ได้ กินได้ นอนได้ หลับไปสบายไปเลย เพราะธรรมชาติเลยไปหมดแล้ว อันนี้ปล่อยไว้กับโลกสมมุติ ปล่อยให้พอเหมาะพอดีกัน อย่าให้เลยเถิดเตลิดเปิดเปิง เข้าใจไหม เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|