ที่ว่าอุทิศให้คุณวีราตะกี้นี้นะ เราระลึกได้ในชาดกที่เศรษฐีมีลูกชายคนเดียวชื่อมัฏฐกุณฑลี รักมากก็ตายจากไป ทีนี้พ่อแม่ก็ให้คนใช้ในบ้านไปส่งอาหารที่ป่าช้าทุกวัน ๆ ขาดไม่ได้เลยว่างั้นเถอะ ให้คนใช้ไปส่งอาหารที่ป่าช้า จัดให้เรียบร้อย ๆ ส่งให้ที่ป่าช้าเป็นประจำทุกวัน ๆ ทีนี้ในคืนวันนั้นมันบันดลบันดาลฝนตกน้ำท่วมหมดแถวนั้น ที่ป่าช้าที่เป็นศพของลูกชายนั้นอยู่ฟากฝั่งน้ำทางนั้น ทีนี้พอดีฝนตกมาน้ำไหลเจิ่งข้ามไปไม่ได้ ทุกวันก็ข้ามไปส่งทุกวันก็ไม่มีอะไร เงียบ ๆ พอดีตกกลางคืนฝนตกหนักน้ำท่วมไปไม่ได้ สุดวิสัยจะทำยังไงไปไม่ได้แล้วก็กลับมา พอดีพระท่านบิณฑบาตมาริมคลอง ริมคลองน้ำที่ท่วมไปไม่ได้แล้วกลับมา แกเดินเลียบคลองนั้นพอดีเจอพระมาบิณฑบาต ก็เลยเอาอันนั้นแหละ เอาที่เตรียมไว้ว่าจะไปให้ศพนั่นนะ เพราะไปไม่ได้ก็ถือกลับมา พอดีไปเจอพระมาบิณฑบาตที่นั่นก็เลยใส่นั้นทั้งหมด เวลาไปถึงบ้านก็ไม่พูดว่ายังไง เพราะก็ไปให้ทุกวัน ไปถึงที่ ๆ ก็ไม่พูดว่ายังไง แล้ววันนั้นเผอิญไปไม่ถึงที่ ข้ามน้ำไม่ได้ มาเจอกับพระที่ไปบิณฑบาต เลยใส่บาตรพระมา ก็ไม่พูดว่าอะไรอีกแหละ
พอตกกลางคืนมาเอาละที่นี่ ลูกชายนั้นมาต่อว่าทั้งพ่อทั้งแม่ ต่อว่าอย่างหนัก ว่าพ่อว่าแม่รักลูกรักยังไง ตั้งแต่วันตายมาคอยกินข้าวกินน้ำกินอาหารบ้างเลยไม่มี หิวโหยตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งวันนี้ วันที่ได้ใส่บาตรพระนั่นละ ถึงได้รับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญรื่นเริงบันเทิง นี่เหรอรักลูกรักเต้า มาต่อว่าพ่อแม่ รักอย่างนี้ละเหรอ ตายไปแล้วกี่วันกี่คืนแล้วไม่เคยได้กินข้าวกินน้ำอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ว่าพ่อแม่รักสุดหัวใจ ๆ เวลาตายแล้วไม่มองเลย พึ่งได้กินข้าววันนี้แหละ มาต่อว่า เป็นคำฝันเทพบันดาล
เพราะคำฝันมีหลายประเภทท่านแสดงไว้ในธรรม มีเทพบันดาล คนมีบุญมากหนึ่ง บาปมากหนึ่ง บันดลบันดาลให้ฝันได้ แล้วตั้งสัจจอธิษฐานหนึ่ง พอดีวันนั้นลูกชายมาเสียเองมาต่อว่าพ่อแม่ พอตื่นเช้ามาแล้วก็เรียกคนใช้มา คนใช้เขาก็ดีนะพูดตรงไปตรงมา เรียกคนใช้มา มานี้มาถามดูสักหน่อยว่างั้น ด้วยความหิวความกระหาย เพราะเรื่องราวไม่คาดไม่คิดว่าจะเกิด มันเกิดขึ้นอย่างนี้มันเป็นยังไง เลยเรียกคนใช้มาถาม ทุกวัน ๆ แกไปส่งข้าวลูกเราทุกวันเหรอ (ไปส่งทุกวัน) มีเว้นไหม (ไม่มี มีเฉพาะที่เมื่อวานนี้ มีเว้นวันเดียว คุณพ่อคุณแม่ก็เห็นแล้วฝนตกทั้งคืน ข้ามไปส่งอาหารให้ลูกชายไม่ได้ ตกลงก็เลยกลับมา แล้วพอดีพระท่านมาบิณฑบาต เลยใส่บาตรพระท่าน ก็มีเมื่อวานนี้เท่านั้น นอกนั้นไปถึงที่ทุกวัน ๆ พึ่งไม่ไปถึงเมื่อวานนี้ ได้ใส่บาตรให้พระ ขาดวันเดียว)
สะดุดใจปึ๋ง อ๋อ การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลอะไร ๆ ไปให้คนตายในโลงผีอะไรนี้ ไม่มีความหมายอะไรเลย เวลาจะมีความหมายเต็มตัวก็คือทำบุญอุทิศให้อย่างลูกชายของเราเป็นต้น ยอมรับ ทีนี้จากนั้นมาก็นำเรื่องนี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ใส่หมัดเด็ด ก็พูดกันตกลงกันกับลูกแล้วเมื่อคืนนี้ว่าไง ๆ มาถามอะไรเราอีก ก็เรื่องอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าดุ แล้วบาปบุญเป็นยังไง ยอมรับ
นี่เราพูดย่อ ๆ นะ พูดเรื่องอุทิศส่วนกุศล บุคคลที่ควรรับจะรับกุศลไปได้ด้วยเพศใดอย่างนี้ เช่นอย่างเอาไปให้โลงผีมันก็อยู่อย่างนั้น โลงผีรับกันไม่ได้ เอาไปถวายพระก็เป็นอาหารทิพย์ขึ้นมาทันที ได้มาต่อว่าพ่อแม่ ทำให้ระลึกได้ที่ตะกี้นี้ เป็นอย่างนั้น เรื่องบาปเรื่องบุญใครอย่าไปคาดไปหมายนะ ไม่ได้เป็นอันขาดว่างั้นเลย อย่าด้นอย่าเดา ขอให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้าเถิด ที่ทรงแสดงไว้แล้วอย่างใด นั้นละเป็นความถูกต้องแม่นยำไม่มีอะไรเกินศาสดา ทุกสิ่งทุกอย่างทรงพิจารณาเรียบร้อยแล้วแสดงออกมา จะไม่มีอะไรผิด กลั่นกรอง อย่างทุกวันนี้เขาเรียกเปอร์เซ็นต์ ๆ ก็เรียกว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ทุกบททุกบาทของอรรถของธรรม ทุกขั้นทุกภูมิไปเรื่อย ๆ ใครจะไปคาดเรื่องบุญเรื่องบาปอย่าคาด
ได้ไปสวรรค์นะมาณพคนนี้ พอได้รับส่วนบุญส่วนกุศลแล้ว พ่อแม่ทราบเลยอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลใหญ่ ไปสวรรค์เลย ไปแล้วก็มาบอกอีก เห็นไหมล่ะ หายห่วง เป็นอย่างนั้นนะ คนใช้ก็ดีนะ ซื่อสัตย์สุจริต ไปทุกวันเขาก็บอกว่าเขาไปทุกวัน เขายอมสารภาพไม่ได้ไปเฉพาะเมื่อวานนี้เท่านั้น ถ้าขาด-ขาดเมื่อวานนอกนั้นไม่มี เพราะถามอย่างขึงขังตึงตังจริง ๆ ได้เหตุมาจากคำฝันอย่างสด ๆ ร้อน ๆ จึงเรียกคนใช้มาถามอย่างเข้มข้น คนใช้ก็ตอบอย่างดี ตอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บอกว่าส่งทุกวัน ๆ ก็มีเว้นเมื่อวานนี้ฝนตกทั้งคืน คุณพ่อคุณแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าฝนตกทั้งคืนข้ามไปไม่ได้ พอดีพระบิณฑบาตมาทางเลียบ ๆ กับคลองนั้นพอดีเลย ก็เลยใส่บาตรท่าน ขาดเมื่อวานนี้เท่านั้น ทีนี้ทางนั้นก็ถึงใจเลย อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง จากนั้นก็นำเรื่องไปทูลพระพุทธเจ้า ท่านก็รับสั่งตีกลับเลย ก็คุณกับลูกของคุณคุยกันก็พอแล้ว มาถามเราตถาคตอะไรอีกท่านว่า ทางนี้ยอมรับเลย พอถามว่าพูดอย่างนั้น ๆ กับลูกใช่ไหม ทางนี้ก็ยอมรับล่ะซี นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้า
นี่ละที่ว่าพระองค์ท้อพระทัย คือกิเลสวางลวดลายอะไรมานี้ ปิดอย่างมิดตัว ๆ สอนยังไงมันก็ไม่เห็น อำนาจของกิเลสมันรุนแรงขนาดนั้น สอนยังไงมันก็ไม่รู้ไม่เห็นตามพระพุทธเจ้า จึงทรงท้อพระทัย ๆ ไม่สั่งสอนสัตวโลก คิดดูทำความปรารถนามา จะเป็นพระพุทธเจ้าทำความปรารถนามาก็ ๓ ประเภทของพระพุทธเจ้า
ประเภทที่หนึ่ง ทำความปรารถนามา ๑๖ อสงไขย แล้วเพิ่มส่วนเศษออกไปอีกแสนมหากัป ๑๖ อสงไขย แสนมหากัปติดแนบ ๆ
ประเภทที่สอง ๘ อสงไขย ติดแนบไปด้วยแสนมหากัป
ประเภทที่สาม ๔ อสงไขย ติดแนบด้วยแสนมหากัป
นี่ละทั้งสามประเภทแห่งพระพุทธเจ้าที่ได้ปรารถนามาเป็นศาสดาเอก ทรงเสียสละทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะเป็นนักเสียสละยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ ครั้นเวลาตรัสรู้มาแล้ว คือตอนที่คาดที่ว่าจะสั่งสอนสัตวโลก ท่านก็คาดเป็นธรรมดา เพราะพระโพธิสัตว์ก็มีกิเลส ท่านก็คาดธรรมดาคนมีกิเลส แต่พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาแล้ว ความมีกิเลสในพระทัยสิ้นซากไปหมดแล้ว เหลือแต่วิสุทธิธรรมที่เลิศเลอภายในหัวใจ ที่นี่เห็นชัดหมดเลย อันนั้นคาดมา ๆ จะสั่งสอนสัตวโลก ๆ คาดมา จะว่าด้นเดาก็ไม่ผิด ฟังแต่ว่าคาดนั่นเถอะ นั่นคือไม่จริง ความคาดความด้นความเดาไม่จริง พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้เปิดจ้า นี้จริงแล้ว เห็นหมด ที่ทรงทำความปรารถนามาจะเป็นศาสดาสอนสัตวโลกนั้น ประหนึ่งว่าล้มเหลวไปหมด คือท้อพระทัยกับของจริงที่เห็น มันเข้ากันไม่ได้กับที่ทรงคาดทรงหมายว่าจะสั่งสอนสัตวโลก
ก็เหมือนอย่างในวัดป่าบ้านตาดเรานี่ เราจะสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ทางภายในวัดของเราก็มีพระมีเณร แล้วทีนี้ทางครัวก็แน่นหมด จุ้นจ้านอยู่ทุกแห่งทุกหนแน่นหมด เราก็นึกว่าจะเรียบวุธไป ๆ สอนทางไหน อย่างนั้นนะอย่างนี้นะ เรียบวุธ ๆ ที่ไหนได้ เวลาจะสอนจริง ๆ มันวิ่งเข้าป่า เหมือนไอ้หยองนี่ เวลาจะสอนมันจริง ๆ มันวิ่งเข้าป่า ถ้าเห็นอาหารในครัวมันวิ่งเข้าใส่ เป็นอย่างนั้นนะ นี่ถ้าสอนให้ลงนรกอเวจีแล้ววิ่งลงเลยตูมตาม ๆ อ้า คำเดียว วิ่งลงนรกอเวจีเลย เข้าเสื่อเข้าหมอนที่นอนหมอนมุ้ง ขี้แตกเยี่ยวราดช่างหัวมัน ขอให้ได้เข้าถึงเสื่อถึงหมอนก็พอ ง่ายนิดเดียวอันนี้นะ เวลาจะสั่งสอนทางนี้ โอ๋ย วิ่งหัวซุกหัวซุนหาที่หลบภัย เหมือนหนึ่งว่าธรรมะนี้เป็นนิวเคลียร์นิวตรอนจะเผาหัวมัน มันวิ่งหลบภัยนิวเคลียร์นิวตรอน ความจริงคือน้ำดับไฟ เอาน้ำมาดับไฟมันไม่ยอมรับน้ำ นี่ละใกล้ ๆ เคียง ๆ นี่ละ จุดศูนย์กลางคือหลวงตาบัวนี่ เป็นจุดศูนย์กลางแห่งความทั้งหลายเหล่านี้ แห่งความทั้งหลายเข้าใจไหม ความทั้งหลายก็ครอบหมดเลย มันเป็นอย่างนั้น
เวลาตรัสรู้ขึ้นมาไม่ได้เป็นอย่างนั้นละซี นั่นละของจริงคาดไม่ได้ ที่พระองค์ทรงคาดมาถึงความเป็นศาสดาแล้วจะสอนได้อย่างสะดวกสบายธรรมดา ๆ นี้เป็นความคาด แต่เวลามาเห็นของจริงทั้งดี ดีเลิศ ทั้งชั่ว ชั่วอย่างสุดขีดสุดแดน ทั้งสองอย่างเห็นประจักษ์ในพระทัยนี้แล้ว ก็ทรงท้อพระทัยที่จะสั่งสอนฉุดลากขึ้นมา ท้อพระทัยเพราะเห็นจริง ๆ ที่นี่ เห็นชัดเจนหายสงสัยแล้ว ที่จะสั่งสอนสัตวโลกผู้ที่ดิบที่ดีก็เรียกว่ามีจำนวนน้อยมาก ก็สั่งสอน นี่ที่ว่าทรงท้อพระทัย
ตอนที่ท้อพระทัยท้อด้วยความรู้ความเห็นจริง ๆ ไม่มีคาดมีเดาเลย กับที่คาดเดาไปแต่ก่อนมันผิดกันราวฟ้ากับดิน เวลามาเห็นของจริงแล้ว ทั้งดีทั้งชั่วประจักษ์ในพระทัยจึงท้อพระทัย จะสั่งสอนกันยังไง นี่ก็เคยพูดมาแล้ว
ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ นี่เป็นประจำ เป็นพุทธกิจของพระพุทธเจ้า นี่เป็นข้อที่สี่ของพุทธกิจ คือพุทธกิจ แปลว่างานของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระภารกิจของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ
สาเยณฺห ธมฺมเทสนํ ตอนบ่าย ๓ โมง ๔ โมง ประทานพระโอวาทแก่ประชาชนทั่ว ๆ ไป นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา
ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ พอมืดก็ประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ ซึ่งมีหลายขั้นหลายภูมิแห่งธรรม พระสงฆ์ยิ่งเป็นอรหัตบุคคลด้วยแล้วไม่มีคำว่าอิ่มธรรม เพราะฉะนั้นจึงประทานพระโอวาททั่วถึงกันหมด นับแต่พระอรหันต์ลงมา พระอรหันต์ไม่อิ่มธรรม ท่านรื่นเริงในธรรม ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมเท่าไร ยิ่งเป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตประสานกันได้อย่างสนิทเลย นั่นละท่านผู้มีธรรมในใจจึงไม่เคยอิ่มธรรม เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่นี้ ก็ได้อาศัยอันนี้
อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ท่านก็บอกในศูนย์กลางเลยว่า ประมาณ ๖ ทุ่ม ทรงแก้ปัญหา เทศนาว่าการพวกทวยเทพทั้งหลาย นับตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาเรียกว่าทวยเทพ เป็นคำกลาง ๆ พวกเทพตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ประทานพระโอวาท แก้ปัญหาของพวกทวยเทพทั้งหลาย ซึ่งมาทูลถามในแง่ต่าง ๆ ก็แก้ปัญหาและประทานพระโอวาทสั่งสอน นี้เป็นประจำ ๆ ฟังซิน่ะ ไม่มีแง่ใดหนักเบากว่ากัน สอนประชาชนตอนเวลาเย็น ๆ นี่ข้อหนึ่ง ตอนมืดทรงประทานโอวาทแก่สงฆ์ เป็นข้อที่สอง ข้อที่สามก็แก้ปัญหาและแสดงธรรม โปรดเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ นี่เป็นข้อที่สาม
ข้อที่สี่นี้ก็ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ใครจะมาข้องตาข่าย ข่ายเหมือนแหเรานี่ละ พระญาณหยั่งทราบเหมือนตาข่าย ใครจะมาผ่านตาข่าย มีอุปนิสัยหนักเบามากน้อยเพียงไรก็เล็งดู นี่ละที่ว่ามี ที่เลวร้ายที่สุดก็เห็นประจักษ์ ที่ดี-ดีถึงขั้นดีเลิศก็เห็นประจักษ์ ทรงเล็งญาณดู นี่ละที่จะได้มาสั่งสอนสัตวโลกก็เล็งญาณดูอย่างนี้ มี นั่น พระญาณของพระพุทธเจ้าจะทรงหยั่งทราบตลอดทั่วถึงตลอดโลกธาตุ ซ่านไปหมดเลย สัตว์ตัวใดที่มีอุปนิสัยมากน้อยเพียงไร ๆ จะมาข้องตาข่ายคือพระญาณที่หยั่งทราบทั่วถึงไปหมดนี้ ที่มันมืดมิดปิดตาก็ให้มันจมอยู่ทางนู้นเสีย ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตาข่าย นี่เป็นขั้น ๆ ขึ้นมา นี่เรียกว่าพุทธกิจ ๕ คือพระภาระหรืองานของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ
ข้อที่ห้าก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตวโลก เขาได้เห็นได้ยินได้ฟังชั่วแว่บเดียวเท่านั้นก็เป็นมหากุศลแก่จิตใจของเขามากมาย หรือท่านรับสั่งอะไรอย่างนี้ก็เป็นสิริมงคลอย่างมหาศาล ที่ว่าบิณฑบาตโปรดสัตว์ท่านโปรดอย่างนั้น ไม่ใช่สัตว์โปรดคนเหมือนเราทุกวันนี้ อย่าให้พูดมากเถอะเข้าใจเอาเอง เดี๋ยวนี้มันสัตว์โปรดคนโปรดพระ พระพุทธเจ้าโปรดสัตว์ พระอรหันต์ท่านโปรดสัตว์ ท่านไม่มีอะไรกับโลกามิสใด ๆ ทั้งนั้น ไปด้วยธรรมล้วน ๆ สว่างจ้าไปตลอดเลยไม่ว่าหลับว่าตื่น ธรรมชาตินั้นไม่มีคำว่าหลับว่าตื่น ไม่มีอิริยาบถ ธรรมธาตุในหัวใจของท่านที่ยังครองขันธ์อยู่นั้น ขันธ์ก็เป็นพวกถังขยะเสีย พวกธาตุพวกขันธ์เป็นเหมือนถังขยะ ธรรมธาตุนั้นอยู่ในท่ามกลางของถังขยะคือธาตุขันธ์ของเรา ก็ดูแลรับผิดชอบกันไปอย่างนั้น
ทีนี้จะพูดถึงเรื่องถังขยะ เราเคยพูดเรื่องถังขยะให้พี่น้องทั้งหลายทราบ จะแยกถังขยะเป็นประเภท ๆ ให้ฟัง คำว่าถังขยะ คือในแดนสมมุตินี้ที่สัตวโลกอยู่ในแดนสมมุตินี้ เจือปนไปด้วยความสุขความทุกข์มากน้อยเต็มอยู่ในนี้หมด ในแดนสมมุตินี้ท่านเรียกแดนแห่งสัตว์ทั้งหลาย ให้ชื่อให้นามขึ้นมาว่าแดนแห่งถังขยะ ทีนี้ถังขยะนี้มีหลายประเภท แยกประเภทออกมา ถังขยะที่ยอดเยี่ยมนั้น คำว่าถังขยะก็หมายถึงว่าสมมุตินี่ละ สัตว์ทั้งหลายอยู่ในนี้ เรียกว่าอยู่ในถังขยะ เพราะยังไม่พ้นสมมุติจะเรียกอื่นไปไม่ได้ ต้องเรียกถังขยะ แต่ถังขยะนี้เป็นคำรวม ๆ จึงแยกถังขยะออกมา ถังขยะมีกี่ประเภท ถังขยะที่เยี่ยมที่สุดในแดนสมมุตินี้ แต่อยู่ในวงของเรือนจำแห่งวัฏจักร จึงเรียกว่าถังขยะ
ประเภทที่เยี่ยมที่สุดก็คือประเภท อุคฆฏิตัญญู ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถแก่กล้าเต็มที่แล้ว ถ้าเป็นวัวก็อยู่ปากคอก คอยเสาะแสวงหาประตูที่จะออก พอเปิดประตูปั๊บจะผึงออกเลย ๆ ประเภท อุคฆฏิตัญญู พอได้รับโอวาทคำสอนจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น ตรัสรู้ปึ๋ง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เบญจวัคคีย์ทั้งห้า นี่ประเภทถังขยะที่ยอดเยี่ยม
ถังขยะที่สอง วิปจิตัญญู รองกันลงมา ทางนั้นออกปากคอกแล้วทางนี้ดันตามหลังกันไปดันออกไป นี่ถังขยะประเภทที่สอง รองลำดับกันลงมาแล้วประเภทที่สองก็ผ่าน ออก ๆ ได้ ประเภทที่หนึ่งที่สองออกได้อย่างแน่นอน เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็วกว่ากันบ้างเท่านั้น
ส่วนประเภทที่สามนี้ต้องฟัดต้องเหวี่ยงกันเต็มเหนี่ยว เพราะมันแย่งกัน ประเภทที่สามกับที่สี่นี้ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วก็ว่า ประเภทที่สามนี้ เนยยะ หมายถึงว่าเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนฉุดลากไปได้ แปลตามบาลีท่านนะ แต่เราแปลให้มันได้ศัพท์ได้แสง พวกนี้มันไม่ค่อยได้เรียนบาลี เรียนบาลีแต่หลวงตาบัวองค์เดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาบาลีมาอวดลูกศิษย์ล่ะซิวันนี้ เนยยะ นั้นเราเรียนมาแล้วเราอาจจะแปลได้หลายนัย ผู้ไม่ได้เรียนแปลไม่ได้หลายนัย ก็ว่าพอไปได้ พอถูไถไปได้ นอนอยู่ก็สำเร็จ นั่งอยู่ก็สำเร็จ ขี้แตกอยู่ก็สำเร็จ เยี่ยวราดอยู่ก็สำเร็จ มันก็ว่าไปได้ใช่ไหมล่ะ มันก็ต้องแยกออกซิ ถ้าอย่างนั้นพวกนี้พวกจมแล้วนี่ จมอยู่ในกองขี้เข้าใจไหม
เนยยะประเภทนี้เป็นประเภทจะลงปทปรมะ นอนจมในกองขี้ จึงต้องลากขึ้นมาจากกองขี้นี้ ฉุดลากกันนี้ ทางหนึ่งก็จะลากไปหาทางจงกรม ทางหนึ่งก็ลากเข้ามาหาหมอน ทางหนึ่งก็ลากเข้ามาหาเสื่อ อันหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมา กุฏิหลังนี้มันรั่วหรือไงนา กิเลสกับหัวใจมันรั่ว มันฟัดกันอยู่เผากันอยู่มันไม่ได้ดูนะ มันดูแต่ฝนตกมาบนฟ้า ถูกเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็หาว่าเป็นเรื่องเป็นราว แต่กิเลสฟัดหัวมันอยู่นั้นไม่ได้สนใจ นี่ละพวกเนยยะกับพวกปทปรมะมันแย่งกัน เข้าใจไหม มันเลยหาแต่เรื่องนอกไม่ได้หาเรื่องในที่จะแก้กิเลส ถ้าหมุนเข้ามาทางแก้กิเลสก็ว่า ตกก็ช่างหัวมันเถอะ ตกมาตั้งแต่พ่อแต่แม่เขาล้างด้วยน้ำทั้งนั้นแหละ ใครเกิดมาต้องล้างน้ำ ไปสนใจอะไรกับน้ำ น้ำอรรถน้ำธรรมยังไม่มีในใจของเรา เราภาวนาทางด้านอรรถด้านธรรมนี้เรียกว่าเนยยะ พอถูไถไปได้ ถ้าออกจากเนยยะมันก็ลากลงปทปรมะ อันนี้ก้ำกึ่ง
คือขั้นเนยยะนี้ ขั้นแย่งชิงกันระหว่างปทปรมะกับเนยยะ คือระหว่างกิเลสตัวหนาแน่นกับกิเลสตัวพอเบาบางบ้าง ฟัดกันสู้กัน ๆ มีแพ้มีชนะ ส่วนมากเรามองไปที่ไหน ๆ ในวัดในครัวเรานี้มีแต่ยกธงขาวราบ ๆ ฟังเสียงดังครอก ๆ มีแต่หลับ ไม่มีใครยกธงแดงธงเหลืองบ้างเลย จะให้ว่าเราเป็นเนยยะได้ยังไง วัดป่าบ้านตาดนี้เป็นวัดของปทปรมะ ตั้งแต่หลวงตาบัวลงไปจอมปทปรมะใหญ่ ว่าอย่างนั้นเต็มศัพท์เต็มแสง นี่ละที่เราเรียนมาเราเรียนมาอย่างนี้ ต้องแปลให้ลูกศิษย์ฟังซิ ก็หลวงตาเรียนมานี่วะ ลูกศิษย์ไม่ได้เรียนต้องแปลแยกแขนงออกไป ไม่งั้นไม่เข้าใจนะพวกนี้ ต้องแยกปทปรมะเป็นยังไง เนยยะเป็นยังไง
จากนี้ก็ไปหาปทปรมะโดยตรงละที่นี่ อันนี้ไม่เอาไหนเลย ไม่มีคำว่าบาปว่าบุญ ศาสดาองค์เอกจะมาสอนกี่โลกธาตุ ยกขบวนพระพุทธเจ้ามา ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกตรัสรู้ขึ้นมา ยกเป็นขบวนมาถึงจนกระทั่งป่านนี้มีมากขนาดไหน มาสอนสัตวโลกปทปรมะนี้เหมือนสอนคนตายเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งนั้น นี่เรียกว่าปทปรมะ ถังขยะถังนี้เต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถทั้งหมดไม่มีชิ้นดี จะทำประโยชน์อะไรจากมูตรคูถไม่ได้เลย มูตรคูถทั้งหลายเขาเอาไปทำเป็นปุ๋ยเป็นอะไร ๆ มูตรคูถเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งนั้น เป็นภัยล้วน ๆ มูตรคูถปทปรมะ
คนประเภทปทปรมะนี้เกิดมาหนักโลกหนักสงสาร หนักบ้านหนักเมือง ไปที่ไหนไม่มีคำว่าเชื่อบุญเชื่อบาป จะเอาตั้งแต่ตามใจของเจ้าของ ได้เท่าไรตามใจ คำว่าได้เท่าไรตามใจ นั้นคือกองไฟได้แก่กิเลส โลภคฺคินา คือความโลภเป็นไฟเผาหัวใจ ราคคฺคินา ไฟคือราคะเผาหัวใจตลอดเวลา เป็นไฟทั้งกอง โทสคฺคินา ไฟคือความโมโหโทโส เผาตลอดเวลา นี่พวกนี้มีแต่อันนี้เผาทั้งนั้น ไม่มีคุณงามความดีเข้าไปแทรกบ้างเลย พอจะบรรเทาเบาบางลงบ้าง นี่เรียกว่าปทปรมะ สุดยอดสุดเขต ถ้าว่าถังขยะก็ถังขยะเต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถที่เป็นพิษเป็นภัยอยู่ในนั้นหมด จะทำประโยชน์อะไรจากมูตรคูถเหล่านี้ไม่ได้เลย
พี่น้องทั้งหลายพากันจำเอานะ เราแยกออกมาแปลให้ฟัง คือ โลกนี้เป็นโลกสมมุติ โลกสมมุติทั้งหมด สัตวโลกที่อยู่ในแดนสมมุติทั้งหมดนี้ ท่านเรียกว่าประเภทพวกกองขยะ คือยังไม่หลุดพ้นจากนี้ไปเรียกว่ากองขยะ ดังที่ว่ากองขยะมีหลายประเภท ๆ ที่กำลังจะพ้นก็มี แต่ยังเรียกว่ากองขยะได้อยู่ เพราะยังไม่พ้นจากสมมุติ พอพ้นจากสมมุติไปแล้วก็ผ่านเลย ๆ คำว่ากองขยะไม่มี นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนอย่างนี้ เห็นจริง ๆ จัง ๆ แล้วมาสอนโลก แล้วพวกเราฟังเอาแบบงู ๆ ปลา ๆ นี้มันเข้ากันไม่ได้นะ
ให้พากันต่างฝึกตัวเองนะ เราอย่าเห็นแก่ความสะดวกสบาย มันเป็นหญ้าปากคอกของกิเลสหลอกสัตว์ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ของดิบของดี ความบึกความบึน ความต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดนี้คือธรรม ต้องเอาอย่างนั้น ฟังซิศาสดาองค์เอกของเรา สลบมาถึง ๓ หน ทุกข์หรือไม่ทุกข์ฟังเอาซิ อดพระกระยาหารถึง ๔๙ วัน ไม่เสวยพระกระยาหารเลยจนพระโลมาหลุดจากพระองค์ไปหมดเลย ขนอะไร ๆ นี้ร่วงไปหมด ถึงขั้นสลบ เพราะทางไม่เคยเดิน และก็เป็นวิสัยสยัมภู จะต้องขวนขวายเองและรู้เองเห็นเองเท่านั้น ไม่มีใครจะมาสั่งสอนศาสดาทุก ๆ พระองค์ให้เป็นศาสดาขึ้นมาได้ ต้องเป็นสยัมภู ทรงขวนขวายเองในทางเหตุ และทรงรู้เองในทางผลด้วยกันหมดทุกองค์ เพราะฉะนั้นจึงต้องตะเกียกตะกายหาทางออก
จะว่าไปศึกษาในสำนักนั้นสำนักนี้ ไม่ใช่ทางของศาสดา จึงไม่เรียกว่าศาสดาศึกษาจากใคร ศึกษาจริง ๆ คือศึกษาจากพระองค์เอง ดังพระพุทธเจ้าของเราก็ศึกษาจากจิตตภาวนาอานาปานสติ นี่ละรู้ขึ้นมาตรงนี้เองเป็นศาสดาของเรา ที่พูดนี้เราก็เลยลืม ๆ ไปว่า ให้ยกขบวนกันมาทั้งหมดมาสอนพวกปทปรมะไม่มีความหมาย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายยกทัพกลับเกือบไม่ทัน ล้มระนาว พระพุทธเจ้ากลัวภัยมหาภัย คือปทปรมะ มันไม่เอาไหนเลย เสียเวล่ำเวลาทุกข์ทรมานเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ เสด็จกลับนี้ล้มระนาวไปเลย พระพุทธเจ้าสู้ปทปรมะไม่ได้
พวกเรานี้จะต่อสู้พระพุทธเจ้าให้ล้มระนาวเหรอ พิจารณาซิ เอากิเลสให้มันล้มระนาวตามคำสอนพระพุทธเจ้านั้นเป็นความถูกต้องดีงามนะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ต้องฝืนนะไม่ฝืนไม่ได้ ให้จำให้ดีคำนี้ เราเป็นปัจจุบันที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ก็บอกว่าเราก็เดนตายมาแล้วมาพูดให้ฟัง พูดเล่นอะไร นี่ละเรื่องอำนาจของกิเลสเวลามันหนามันแน่นนี้ โถ นั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ลืมเมื่อไร สด ๆ ร้อน ๆ โถ ๆ อยู่อย่างนั้นนะ โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวนะ ๆ คือไม่มีกำลังวังชาสติปัญญาสู้กับมันได้เลย เวลากระแสของกิเลสนี้เหมือนคลื่นในมหาสมุทร แล้วเอาฝ่ามือไปกั้นคลื่นมหาสมุทรมีอย่างเหรอ ฝ่ามือขาดสะบั้นเลย อันนี้กระแสของกิเลสที่มันหนาแน่นนี้ ความเพียรประเภทเราเกาหมัดมันได้เรื่องได้ราวอะไร มันไม่ได้เรื่องได้ราว
นั่งน้ำตาร่วงเราไม่ลืม นี้เอามาสอนพี่น้องทั้งหลาย คำว่าน้ำตาร่วงมันเป็นบาทฐานอันสำคัญที่ปลุกใจเราให้ตื่นให้ไม่ถอย ถึงขนาดว่า หือ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพัง นี่เห็นไหมเคียดแค้นแล้วนะ ยังไงมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย ทั้ง ๆ ที่สู้มันไม่ได้ก็ไม่ถอย น้ำตาร่วงต่อหน้าต่อตา กลับไปก็ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี่จะไปหาใครวะ พอไปศึกษากับท่าน พูดถึงเรื่องราวภาวนาเป็นยังไง ท่านก็ใส่เปรี้ยง ๆ
ได้อุบายวิธีการฝึกฝนอบรมตนพอสมควรแล้วกลับมาอีก ๆ เอาอีก แต่คราวหลังมานี้น้ำตาไม่ร่วงนะ ร่วงหนเดียว นอกนั้นก็ยอมรับว่าสู้มันไม่ได้ ๆ หลายครั้งหลายหนผูกโกรธผูกแค้นภายในใจ ไปเอามาอีก เอา มาอีกหลายครั้งหลายหนก็ซัดกัน ก็ได้เรื่อย ๆ จากนั้นมาก็ขึ้นตะพองเหมือนช้าง ขอกระหน่ำลงไปเลยเทียว มันจะร้องโอ้ก ๆ ขนาดไหนก็ตาม มึงเรากูนี้ เอาพิลึกพิลั่นนะ นี่เป็นทีกู ๆ เอาบ้างละ ทีนี้ก็ซัดเลย นี่อุบายวิธีการที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ใช่ได้ด้วยความอ่อนแอนะ ได้ด้วยความมุมานะ มุมานะอันนี้เป็นธรรม ความโกรธแค้นให้กิเลสอย่างนี้เป็นธรรมไม่ใช่เป็นกิเลส เราโกรธแค้นมากเท่าไร ความเพียรยิ่งหนักยิ่งแน่น ซัดกันลงไม่คำนึงถึงเป็นถึงตาย แล้วก็ค่อยโผล่ขึ้นมา
นี่ละเห็นไหม ตีเข้าไปไม่หยุดไม่ถอย กระแสของกิเลสที่มันเอาจนกระทั่งถึงน้ำตาร่วง ทีนี้มันก็ค่อยจางไป ๆ ทางนี้ก็หนักขึ้น ๆ พอได้ที่ก็ซัดกันเลย จากนั้นมาก็เรื่อย ๆ ดังที่พูดให้ฟัง นี่อำนาจแห่งความเอาจริงเอาจัง เอาเด็ดเอาขาด สู้เป็นสู้ตายจริง ๆ กับข้าศึกศัตรูอันใหญ่หลวงนี้ถึงขนาดน้ำตาร่วง เอาขนาดนั้นจึงพอกัน จากนั้นมาแล้วก็เบิกกว้าง นี่ก็ผลแห่งการเอาจริงเอาจัง เห็นไหมเบิกกว้างออกมา ให้พอมีลมหายใจได้ อยู่ที่ไหนค่อยสบาย จิตสงบเข้ามา ๆ เย็นสบาย อยู่ไหนสบาย จากนั้นสบายไปตลอด เพียงขั้นสมาธิเท่านี้ก็พอตัว ถ้าไม่มีธรรมะที่สูงกว่านี้แล้วติดได้สมาธิ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญภาวนาจิตที่เป็นสมาธิแล้ว เราพูดว่ามักจะติดนี้พูดย่อม ๆ นะ ติดว่างั้นถูกต้อง คือมันเพลิน เพลินอยู่ทั้งวันทั้งคืน อยู่ที่ไหนมันไม่ได้สนใจนะ การอยู่การกินการหลับการนอนอะไร
คือความรื่นเริงบันเทิง ธรรมกับใจนี้หล่อเลี้ยงกันตลอดเวลา อยู่ไหนมันอิ่มอยู่นี้นะ มันไม่ได้ไปสนใจกับภายนอก อดอิ่มอะไรมันไม่สนใจ ใจกับธรรมอิ่มตลอดเวลา นี่เพียงขั้นสมาธิเท่านี้พอ เราเป็นมาแล้ว เราเอามาพูดเล่นเหรอ จนพ่อแม่ครูจารย์ลากออก มันติดสมาธิถึง ๕ ปี ติดอยู่แบบนี้ละ นี่ที่ว่าความเพียรเราไม่เร่งนัก หรือว่าไม่สมบุกสมบันจนถึงขั้นจะเป็นจะตาย ก็มาอยู่ในธรรมะขั้นนี้ พอสงบตัวสบาย ๆ มันก็เร่งความเพียรของมันอยู่ในขั้นนี้เหมือนกัน จะให้มันนอนใจมันไม่นอน มันก็เร่งในความสงบของมัน เพลินในความสงบอยู่นี้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าต่างกัน ความทุกข์ไม่ค่อยมายุ่ง มีแต่ความเพลินในความสงบสุขเย็นใจ สว่างไสวภายในสมาธิของตัวเองนี้ก็พอ ไม่สนใจจะออกไปไหน
แม้ที่สุดที่จะคิดถึงเรื่องรูปเรื่องเสียง ที่เคยกระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรานี้ เอามาครุ่นมาคิดทั้งวันไม่มีเวลาจืดจางนี้มันก็ไม่อยากคิด มันถือว่าเป็นความรำคาญ คิดปรุงแย็บออกมาเท่านี้รำคาญแล้ว จิตที่ดิ่งอยู่อันเดียวมีแต่ความรู้ล้วน ๆ เอกจิตเอกธรรมเท่านี้พอ ในขั้นนี้ว่าพอนะ เพราะไม่รู้ธรรมที่เหนือนี้ไป อยู่นั่นละที่นี่ ถ้าลงได้อยู่นี่แล้วอยู่ไหนอยู่ได้สบายหมด ขอให้จิตสบายเสียอย่างเดียวพี่น้องทั้งหลายจะทราบชัดเจน ว่าโลกอันนี้ความสุขความทุกข์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่จิตว่าอย่างนั้นเลย พอจิตได้เบิกกว้างจากฟืนจากไฟที่เป็นกิเลสทั้งหลายนี้ออกไปแล้วนั้น ความเย็นฉ่ำจะขึ้นมาเรื่อย แทนกัน ๆ สงบร่มเย็น ๆ
สุดท้ายสิ่งภายนอกไม่มีความหมายนะ อาศัยเขาไปอย่างนั้นแหละ อิฐปูนหินทราย ตึกรามบ้านช่อง เงินทองข้าวของ อาหารการบริโภค อาศัยเพียงเยียวยาธาตุขันธ์ แต่อาหารของใจได้แก่ธรรมอิ่มอยู่ตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นละ นี่ขั้นนี้ก็เพลินแล้วนะ จากที่เราตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายน้ำตาร่วง มาถึงขั้นนี้แล้วรื่นเริงบันเทิง นี่ผลแห่งการปฏิบัติเอาจริงเอาจัง
จากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา ปัญญาเราก็เคยพูดแล้ว โอ๊ย พิลึกนะ ปัญญาจึงไม่อยากจะพูดอะไร คือว่ามันเข้ากันไม่ได้เลย ที่จะมาพูดนี้เรียกว่าหยาบมากที่สุด กับปัญญาที่เกิดขึ้นจากหัวใจ พร้อมทั้งใจนี้เป็นสติปัญญาอัตโนมัติของตัวเองแล้วเป็นธรรมไปหมดเลย เป็นธรรมจักรหมุนติ้วตลอด ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ไม่ว่ายืนเดินนั่งนอน เรื่องธรรมภายในใจจะไม่มีอิริยาบถ ฆ่ากิเลสเช่นเดียวกันกับกิเลสที่มันบีบหัวใจสัตวโลกนี่ละ ไม่มีอิริยาบถ เป็นอัตโนมัติของมัน พอคิดปั๊บเป็นกิเลสแล้ว ๆ นั่งอยู่ก็ตามนอนก็ตาม เดินก็ตาม เว้นแต่หลับสนิทเท่านั้น ถ้าหลับไม่สนิทก็ละเมอเพ้อฝันเป็นบ้าไปอีก นี่สังขารกวนใจ สังขารของสมุทัย เมื่อไม่มีอันนี้แล้วหลับสนิทนั่นละมีเท่านั้น หยุด พอตื่นขึ้นมาปั๊บนี้กิเลสจะทำงานแล้วนะ ความคิดความปรุงเกี่ยวกับเรื่องรูปเรื่องเสียงเรื่องกลิ่นเรื่องรส เรื่องหน้าที่การงาน ความดีความชั่ว จับเข้ามาเผาอยู่ในหัวใจ บ่มอยู่ในหัวใจ
ไม่ได้คำนึงนะว่าอันนี้คิดแล้ว เคยรู้เคยเห็นเคยเป็นมาแล้ว เท่านั้นวันเท่านี้ปีเท่านี้เดือนอย่างนี้ไม่เคยสนใจ เป็นสิ่งที่สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา เผาได้ตลอดเวลาเลย นี่เรียกว่ากิเลสทำงาน โดยอัตโนมัติของมันบนหัวใจสัตว์ เป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกคน นี่เป็นอัตโนมัติให้พิจารณาเสียนะ ถ้ายังไม่ทราบว่ากิเลสทำงานบนหัวใจเราเอาไฟเผาเราตลอดเวลา เป็นอัตโนมัติของมัน ทีนี้เวลาธรรมอันนี้เป็นธรรมจักรแล้ว ทีนี้แก้กันละนะ พอธรรมเป็นอัตโนมัติแล้ว กิเลสเป็นอัตโนมัติผูกหัวใจของสัตวโลกฉันใด ธรรมะก็เป็นอัตโนมัติแก้กิเลสบนหัวใจตัวเองโดยไม่มีอิริยาบถเหมือนกัน ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน ไม่มี เว้นแต่หลับสนิท พอตื่นขึ้นพับจับแล้ว จับฆ่ากิเลสนะ จับศาตราวุธคือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรฟาดกิเลสตลอดเวลา ไม่มีอิริยาบถ นี่เห็นไหม
เอาให้เห็นจัง ๆ อย่างนี้ซิ ดึงเอามาจากเวทีมาพูดจะผิดไปไหนวะ เมื่อเวลาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องเพลินนี้เพลินจนกระทั่งได้ยับยั้งเอาไว้ เรื่องว่าเพียร ๆ ไม่ทราบว่าเพียรหาอะไร ก็มันจะตายอยู่แล้วด้วยความพยายามจะแหวกว่ายให้หลุดพ้นจากทุกข์ ถ้าว่าความเพียรกล้านั้นพอฟังได้นะ คือคำว่าความเพียรกล้านี้เพียรเพื่อให้พ้นจากทุกข์ นี่เพียรกล้าไป ถ้าจะให้ความเพียรปัจจุบันนี้ มันเพียรของมันอยู่แล้ว จนกระทั่งรั้งไว้ให้ได้หลับได้นอนได้พักอยู่ในสมาธิพอสะดวกสบาย ไม่งั้นมันจะหมุนของมันแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ เข้าใจไหมล่ะ เราจึงทราบว่า อ๋อ กิเลสเป็นอัตโนมัติฉันใด เมื่อธรรมได้ถึงขั้นเป็นอัตโนมัติที่จะแก้กิเลสแล้วเป็นอย่างเดียวกัน ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน
ถึงธรรมเป็นขั้นอัตโนมัติแล้วกิเลสมีเท่าไร มีมาเท่าไรขาดสะบั้น ๆ เป็นอัตโนมัติเหมือนกันหมด จนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิง กิเลสตัวไหนมาข้องมีไหม นั่นมันเห็นประจักษ์อยู่นั้นนะ ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว เรียกว่าหมดภัย ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาผ่านแม้เม็ดหินเม็ดทราย จึงเรียกว่าท่านบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวง ตรัสรู้ธรรมเต็มสัดเต็มส่วน เป็นธรรมธาตุเต็มสัดเต็มส่วนในหัวใจท่าน แล้วท่านจะไปมีอดีตอนาคตที่ไหนว่า วันนั้นเสื่อมวันนี้เจริญอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจะมีที่ไหน ประจักษ์อยู่ในนั้น ภัยขาดสะบั้นลงไปใจมีแต่ธรรมธาตุล้วน ๆ กระจ่างแจ้งอยู่นั้น นี่การปฏิบัติธรรม
ธรรมมีหรือไม่มีที่พูดเวลานี้ ท่านทั้งหลายทราบหรือยังว่าธรรมมีหรือไม่มี หรือแม้กิเลสเผาหัวอยู่ก็ว่ากิเลสไม่มี เอามันมาเผาอีก โหย พูดแล้วมันโมโหนะ กิเลสเผาหัวจนจะไม่ได้หลับได้นอนจะเป็นบ้าอยู่นั้น กิเลสมีหรือไม่มี ไม่มี แล้วธรรมมีหรือไม่มี ธรรมก็ไม่มี มีอะไรเวลานี้ มีแต่คนเป็นบ้านั่นละเต็มบ้านเต็มเมือง นี่จะพอพูดได้นะ อะไรมี คนและสัตว์เป็นบ้าว่างั้นได้ เข้าใจ ให้พากันตะเกียกตะกาย ธรรมมีอยู่กิเลสมีอยู่เสมอกัน เสมอต้นเสมอปลาย แต่เวลานี้ถูกกิเลสมันเป็นเหมือนกับจอกกับแหนปกคลุมน้ำคือธรรมไว้ไม่ให้เรามองเห็นน้ำ สระใหญ่บึงใหญ่ขนาดไหนก็ตาม น้ำจะมีเต็มบึงเต็มสระก็ตาม ถ้าลงจอกแหนได้ปกคลุมไว้แล้วยังไงก็มองน้ำไม่เห็น เต็มสระก็เต็มอยู่อย่างนั้น มองน้ำไม่เห็น เห็นแต่จอกแต่แหน
อันนี้กิเลสตัณหาเต็มหัวใจเรา จะมีอุปนิสัยปัจจัยมากน้อยเพียงไรก็เป็นเหมือนน้ำในบึง ก็มองไม่เห็น มีแต่กิเลสมันออกหน้าออกตายุ่งตลอดเวลา เพราะฉะนั้นให้เปิดออกด้วยความพากความเพียรความอุตส่าห์พยายาม แล้วจอกแหนจะค่อยเปิดออก ๆ ต่อไปก็จะค่อยเห็นน้ำ ๆ เมื่อเห็นน้ำแล้วก็เห็นพยาน ก็เปิดจอกเปิดแหนด้วยความมีแก่ใจ สุดท้ายก็เปิดไม่หยุดไม่ถอย ฟาดมันขึ้นบนสระเสียหมด ทีนี้เป็นยังไงน้ำมีหรือไม่มี แล้วเป็นยังไงธรรมมีหรือไม่มีในหัวใจ แต่ก่อนมีแต่กิเลสครอบอยู่ในหัวใจ เหมือนจอกเหมือนแหนครอบอยู่ตลอดเวลา ความโลภก็ครอบ ความโกรธราคะตัณหาเป็นไฟทั้งนั้นครอบตลอดเวลา ถึงวาระที่จิตใจมีกำลังแล้วเลิกออก ๆ ถอนออก ๆ รื้อออกจนหมดแล้วจ้าขึ้นมา ธรรมมีหรือไม่มีจะไปถามใคร มีหรือไม่มี ฟังเอาซิ โห พูดไปพูดมามันก็โมโหเราก็ดี เอาละระงับโมโหไว้ก่อน วันหลังค่อยเอาใหม่ ผู้ว่าฯ ฟังเทศน์วันนี้เป็นยังไง
จบขบวนครับผมตั้งแต่ทาน อานุภาพของการอุทิศทาน ศีล ภาวนา ปัญญา หมด
อันนี้ที่จะลากพวกเราขึ้นมีเท่านี้นะ เราอย่าไปหวังสิ่งเหล่านี้ว่าจะลากเราขึ้นนะ เงินกองเท่าภูเขาสมบัติอะไรมากน้อยเพียงไร เราอย่าไปหวังว่าจะลากเราขึ้น มีทาน ศีล ภาวนาเท่านั้นลากนอกนั้นไม่มี นอกจากเราจะเป็นเปรตเป็นผีเฝ้าเขาอยู่เท่านั้นเอง ตายแล้วถ้าไม่ได้ทำกรรมหนักมากก็มาเป็นเปรตเป็นผี ห่วงใยเฝ้าเขาอยู่ มีอยู่ในชาดกน้อยเมื่อไร ถ้ามีกรรมหนักมากกว่านั้นอันนี้ไม่มีความหมาย พอลมหายใจขาดไปนี้ผึงเลยทันที อันนี้หมดความหมาย โน้นไฟนรกที่เราสร้างไว้แล้วในหัวใจของเรา มีหรือไม่มีในหัวใจไปดูเอาแดนนรก เจอเข้าแล้วไม่ทราบจะถามใคร เจ้าของเจอเองเจ้าของเสวยเอง หมดทางจะถามใครอีกต่อไปแล้ว
เราลืมยังไม่ได้พูดนะว่า งานที่ว่าจะทอดผ้าป่านั้น เมื่อวานนี้เรื่องราวได้ตกมาถึงแล้ว ได้กำหนดกันว่าท่านนายกกำหนดให้เป็นวันที่ ๒๖ เดือนกันยา เวลา ๙ โมงจะประกาศให้บรรดากระทรวงต่าง ๆ ทราบทั่วกันมาถวายผ้าป่ารวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ ๒๖ เดือนหน้า ไม่ใช่เดือนนี้ พอฉันเสร็จแล้วก็ไปเลย ฉันเสร็จที่สวนแสงธรรม เรากะว่าวันที่ ๒๔ ไปถึง วันที่ ๒๕ มีธุระอะไรก็ปรึกษาหารือกัน วันที่ ๒๖ ก็ไปงานนี้ แล้วยังมีอีกอันหนึ่งที่ว่า ฟ้าหญิงฯ จะทรงวางเสาเอกวันที่ ๒๘ ที่ปทุมธานี อันนี้ท่านก็ไม่ได้บ่งบอกมาเป็นวันที่เท่านั้น ให้เป็นความสะดวกของเรา เราเลยกะว่าประมาณวันที่ ๒๘ เสีย วันที่ ๒๗ พัก วันที่ ๒๘ ไป กันยานะไม่ใช่เดือนนี้
ต้นเดือนวันที่ ๒ ก็ไปเทศน์ที่กาฬสินธุ์ วันที่ ๑๖ ไปถ้ำเต่า ก็มี ๒ วัน แล้วก็ไปวันที่ ๒๖ เลย และวันที่ ๒๘ อีกทีหนึ่ง ก็มีเท่านั้น นี่ทราบว่าท่านนายกท่านจะประกาศตามกระทรวงต่าง ๆ ให้มารวมทอดผ้าป่ากันทุกกระทรวงว่างั้นเถอะ ให้มารวมกันวันที่ ๒๖ กำหนดกันว่า ๙ โมงเช้า พอฉันเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางไป ก็ไม่ไกลอะไรนัก คิดว่าคนจะมากอยู่นะ เพราะกระทรวงก็ทุกกระทรวง แต่ละกระทรวงก็มีพวกทบวงกรมอะไรก็เยอะนี่ คิดว่าคนคงจะมาก การถ่ายทอดทางทีวีนี้ก็จะมากนะ ดีไม่มีหลวงตาบัวอาจจะได้เทศน์ด้วย (นิมนต์เทศน์ด้วยครับ) นั่นซิ มีเทศน์ด้วย โอ๊ย หมดแล้วละไม่ทราบจะเอาอะไรมาเทศน์ ก็หลวงตา ป.๓ นี่วะ เทศน์ตั้งกี่ปีมาแล้ว วันนั้นไปก็จะมีเทศน์บ้างไม่มากก็น้อย คนจำนวนมากมายก็ต้องได้พูดบ้างเป็นธรรมดา
วันนั้นคิดว่าจะมากนะ เต็มไปหมดแหละแถวนั้น ทำเนียบรัฐบาลอยู่ตรงไหนนะ อยู่จุดไหนทำเนียบรัฐบาลนะ (ข้างวัดเบญจฯ ครับ) ข้างวัดเบญจนี้เหรอ อ๋อ เรามองข้ามยุโรปไปนู้น ข้างวัดเบญจฯ อยู่แถวนี้ แล้วทำเลที่ผู้คนไปมาแล้วพักจอดรถอะไรมีไหมล่ะ เขาคงจะจัดไว้นะ คราวนี้เรียกว่าคราวเต็มสัดเต็มส่วนของเราที่ช่วยชาตินะ ทางโน้นเราก็ได้ผู้นำดี สมประกอบกันแล้วเวลานี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจทุกคน บ้านเมืองของเราจะฟื้นฟูขึ้นมาด้วยธรรม ด้วยความดีของคนมีธรรม นอกนั้นเหลวแหลกแหวกแนว จะจมแหล่ไม่แหล่เห็นอยู่อย่างนี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ แล้วผู้นำคนนี้ก็เป็นลูกศิษย์พระด้วยนะ พระก็พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระคือครูบาอาจารย์ จึงเป็นความอบอุ่นไปโดยลำดับ ๆ กับผู้นำคนนี้
เพราะไม่เคยปรากฏมีการแสลงกับอรรถกับธรรมตลอดมา ตั้งแต่ท่านดำเนินงานมาเราจับตลอดนะ คอยจับตลอด ถ้าไม่เหมาะสมตรงไหน ๆ นี้ พอเตือนจะเตือนทันที ๆ พอไสส่งก็ไสส่ง พอเตือนก็เตือน พอหลีกให้หลีก พยายามพิจารณาตลอดเวลา เวลานี้เรารู้สึกว่าเราภาคภูมิใจเราได้ผู้นำที่เหมาะสมกับหัวใจของเราว่างี้เลย แล้วเป็นผู้ที่กว้างขวางด้วย ผู้นำคับแคบตีบตันเข้ากันไม่ได้นะ ผู้นำต้องเป็นผู้กว้างขวางอย่างโพธิสัตว์นี้ เราดูซิ เป็นสัตว์แท้ ๆ นะ เป็นสัตว์ที่กว้างขวางก็คือโพธิสัตว์ ไปเป็นสัตว์ก็กว้างขวาง ไปเป็นบุคคลก็เป็นผู้นำอันกว้างขวาง คำว่าผู้ที่คับแคบตีบตันไปเป็นผู้นำนี้ยังไม่เคยเห็น ในชาดกในธรรมที่เราเอามาพิจารณานะ ไอ้เรื่องของกิเลสคัมภีร์ไม่คัมภีร์มันไม่สนใจแหละ มันเป็นไปได้ทุกแง่กิเลสนั่น เวลาเราจะหาความสัตย์ความจริง เราต้องนำธรรมมาตั้งเป็นรากเป็นฐานก้าวเดินตามธรรม ถ้าไม่ผิดธรรมแล้วไม่ผิด ถ้าลงผิดธรรม ใครจะว่าเจริญขนาดไหนคือความจม ฝืนธรรมไปไม่ได้
นี่ก็ทราบกันแล้วนะวันที่ ๒๖ นะ ถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไร ทางโน้นก็จะส่งข่าวมาเรื่อย ๆ แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หากว่าเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเป็นเวล่ำเวลา บางทีอาจสนทนากัน ตั้งแต่เช้าแต่อะไรคนมามากต่อมากมันจะทันอะไร หรือบางทีอาจจะปรับปรุงแก้ไขกันเรื่องเวลาใหม่ก็ได้ เพราะเวลาของคนหมู่มากไปเอาตอนเช้ามันยังไงกันนะ มันจะเถียงกัน ถ้าเป็นเวลาบ่าย ๆ จะเหมาะกว่านี้ คนนั้นก็เหมาะคนนี้ก็เหมาะ สุดท้ายก็ เหอ นั่นซิ เอา ถ้างั้นก็เอา แน่ะ มันก็ไปตรงนั้น ก็มันฟังเหตุฟังผลนี่วะ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็ตามนั้น ประมาณ ๙ โมงเช้า พอฉันเสร็จแล้วก็ไป ทางโน้นเตรียมพร้อมแล้ว
สรุปทองคำวันที่ ๒๒ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ บาท กับ ๑๕ ดอลลาร์