เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
พากันตื่นแล้วยังชาวพุทธเรา
ก่อนจังหัน
พระวัดเราคือวัดป่าบ้านตาด การปฏิบัติธรรมะในด้านจิตตภาวนา เครื่องอุปกรณ์หนุนกันมักจะอดอาหารมากในวัดนี้ การอดการผ่อนต่างกัน คือผ่อนไม่หนักมาก ค่อยเป็นค่อยไป การอดหนักมากแต่ผลดีต่างกัน นี่ละเป็นอุปกรณ์นะนี่การอดอาหารผ่อนอาหาร ไม่ใช่การละกิเลส การละกิเลสละด้วยความเพียร มีสติปัญญาเป็นสำคัญ อันนี้เป็นเครื่องหนุน ผู้ปฏิบัติธรรมให้สังเกตตัวเอง การบำเพ็ญธรรมต้องใช้ความพินิจพิจารณา เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติอย่าสักแต่ว่าทำ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เป็นกิริยาที่ทำ ส่วนสติปัญญาไม่มีใช้ไม่ได้นะ สติปัญญาต้องติดแนบไปเสมอ ผู้บำเพ็ญธรรมจะได้เห็นความก้าวหน้า ความหยุดชะงัก หรือความไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจะทราบตัวเองจากสติปัญญานะ
ให้พากันเร่งภาวนา วัดนี้เรียกว่าแน่นหนามั่นคงในการประพฤติปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยลดหย่อนอ่อนลงไปเลย แม้จะช่วยชาติบ้านเมืองก็ช่วย แต่นี้ไม่เคยลดหย่อน หากมีความจำเป็นที่จะขอร้องให้ท่านมาช่วยบ้าง ก็ช่วยระยะกาลๆ จากนั้นหมุนเข้าสู่ความเพียรอันเป็นหลักเดิมตามเดิม นี่การประกอบความพากเพียรเพื่อหาความสุขความเจริญ โลกนี้หาความสุขความเจริญมาตลอดตั้งแต่กาลไหนๆ แต่ส่วนมากหาไปทางกิเลสเสีย มักจะโดนแต่ฟืนแต่ไฟ ไม่ค่อยหาไปทางด้านธรรมะพอที่จะเจอเอาอรรถเอาธรรม ความสุขความเจริญเข้าสู่ใจ ให้ท่านทั้งหลายนำไปพิจารณา
เรื่องเสียงลั่นโลกอยู่นี้มีแต่เสียงกิเลส ธรรมเป็นผู้ฟัง ธรรมเป็นผู้ดู มีตั้งแต่เสียงกิเลสเพ่นพ่านๆ ถ้าว่าเป็นไฟก็เลยเมฆไปแล้วเปลวมัน มีแต่เรื่องเปลวไฟของกิเลสแสดงออกไป ที่สัตว์โลกวิ่งตามๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เอะอะออกมาอะไรมีแต่เรื่องกิเลส เราพูดจริงๆ เราสลดสังเวชนะ เราไม่ได้พูดดูถูกเหยียดหยามโลก เราก็เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว แต่เวลาได้ธรรมเข้ามาจับนี้รู้กันๆ แก้กันๆ ปัดออกจนกระทั่งเรื่องของกิเลสหมดไปจากหัวใจโดยสิ้นเชิง ความทุกข์เหล่านี้ไม่มีเลย มีตั้งแต่บรมสุขๆ
พระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนบรมสุข คือจิตที่ท่านชำระเรียบร้อยแล้วนั่นละเป็นบรมสุขนำมาสอนโลก ทั้งๆ ที่โลกมีแต่ความรุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ พระองค์สอนด้วยความชุ่มเย็น พระสาวกทั้งหลายท่านไม่ร้อนนะ ท่านมีความชุ่มเย็นเป็นสุขภายในจิตใจเพราะการบำเพ็ญธรรม เดี๋ยวนี้โลกเรามันไม่มีนะธรรม มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนบ่นกันเรื่องทุกข์ จะไม่บ่นยังไงมันคว้าหาตั้งแต่ทุกข์ หาความสุขความเจริญไม่มี
อย่างที่ออกประกาศข่าวนั้นข่าวนี้ทั่วประเทศไทยเรานี้ละ ยังไม่ได้ออกพูดที่ไหนละทั่วประเทศไทย ข่าวอรรถข่าวธรรมข่าวความดีงามทั้งหลาย ข่าวผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพอที่จะมาเป็นคติเครื่องเตือนใจซึ่งกันและกันนี้ เราพูดย่อมๆ ว่าไม่ค่อยมี พูดให้เต็มยศก็ว่าไม่มี เป็นอย่างนั้นละ ทำไมถึงว่าไม่ค่อยมีและไม่มี เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรงมาก ยกกันตรงไหนยกกันตั้งแต่กิเลสที่จะเอาไฟมาเผาหัวเจ้าของทั้งนั้น มันโง่หรือฉลาดชาวพุทธเมืองไทยเรานี้ เราอยากถามว่าอย่างนั้นนะ มันเคยมองดูหัวใจเจ้าของไหม หรือมีตั้งแต่มาโอ้มาอวดชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ ความมั่งความมีดีเด่น ความรู้ความฉลาด เอามาอวดกัน มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสซึ่งมันชอบอวด มันมาติดหัวใจคนมันจึงเป็นคนชอบอวดไป ธรรมะท่านไม่อวด ท่านจะมุ่งปฏิบัติให้รู้ภายในจิตใจของท่าน
เวลานี้เมืองไทยข่าวคราวของอรรถของธรรมแทบไม่มีนะ พี่น้องชาวพุทธในเมืองไทยเราไปตายกันไหนหมด เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ เพราะเราเกิดในเมืองไทย อยู่ในเมืองไทยด้วยกันมานาน ถูกกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟ ตัวทะเยอทะยานดีดดิ้นนี้เผาหัวอกมานานแสนนาน พึ่งมาพลิกขึ้นมาได้จากการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนพระพุทธเจ้า เมื่อเจอขึ้นมาอย่างจังๆ เทียบกับสิ่งเหล่านั้นปั๊บมันก็รู้เรื่องรู้ราว จึงพูดให้เต็มหัวใจของเราว่า มันตายกันหมดแล้วหรือเมืองพุทธเรานี้น่ะ จึงไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรมยิ่งกว่าการดีดดิ้นกับกิเลส เราอยากพูดอย่างนี้นะ
เราอยู่ในท่ามกลางแห่งกองทุกข์กับพี่น้องทั้งหลาย แต่เจอสุขแล้ว พูดให้ชัดๆ อย่างนี้นะ ทุกข์เราก็เคยเจอมาแล้ว หาทางออกไม่ได้เมื่อไม่มีธรรม พอได้ธรรมเข้ามาๆ หาทางออก ออกได้ๆ เต็มตัว แล้วมองลงมาในสิ่งที่เจ้าของเคยผ่านมาแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายอยู่ด้วยกัน จมมอมแมมๆ เพราะฉะนั้นจึงว่าตื่นแล้วยัง เราอยากว่าอย่างนี้ละ พากันตื่นแล้วยังชาวพุทธเรา ไปที่ไหนมีแต่เรื่องของกิเลสออกเต็มบ้านเต็มเมือง ข่าวคราวอะไรๆ มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสจะเสริมไฟเผาหัวมันนั่นแหละ เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่จะทำโลกให้มีความสงบร่มเย็นไม่มีแง่ใดมุมใดนะ เราอยากพูดอย่างนี้ มันไม่เห็น
ถ้าท่านผู้บำเพ็ญอรรถธรรม เช่นวงกรรมฐานผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านก็อยู่ในป่าเงียบๆ เสีย ท่านไม่ค่อยมาแสดงอะไรละ ไอ้พวกที่กระโตกกระตากยิ่งเหยิงวุ่นวายอยู่นี้ มีแต่พวกกองทัพกิเลสทั้งนั้น อวดดิบอวดีอวดทุกอย่าง กิเลสชอบอวด อะไรๆ อวดทั้งนั้นเรื่องของกิเลส ท่านทั้งหลายเป็นชาวพุทธหรือชาวผี เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ ถ้าเป็นชาวพุทธแล้วให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมพระพุทธเจ้า ให้มองดูหน้าพระพุทธเจ้าบ้างนะ หน้าพระพุทธเจ้านี้หน้าบรมสุข หน้าให้ความเมตตาต่อโลกทั่วสามแดนโลกธาตุ ไม่มีหน้าใดจะเกินหน้าพระพุทธเจ้าที่เต็มไปด้วยพระเมตตา หน้าเรามีแต่หน้าเศร้าโศกเหงาหงอย มีแต่หน้าฟืนหน้าไฟเผาไหม้กัน ให้พากันมองดูหน้าพระพุทธเจ้า คือดูพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดูอรรถดูธรรมนำมาพินิจพิจารณาแก้ไขตนเองบ้าง
หลวงตานี้จวนจะตายแล้ว ไม่มีใครพูดละพูดอย่างหลวงตา อยากจะพูดว่าผู้ที่ไม่รู้ก็อาจมี เสียงอรรถเสียงธรรมไม่ค่อยมีนะ เป็นยังไงเมืองพุทธเรานี้มันตายกันหมดแล้วเหรอ เราอยากพูดอย่างนี้นะ มันทำไมถึงหลับเอาอย่างสนิทเสียเหลือเกิน เอากิเลสตัวสกปรกโสมมมาโอ้มาอวดกัน ประดับตกแต่งขี้ จะให้มันสวยงามให้มันหอมที่ไหนขี้ ฟังซิน่ะ เอาธรรมเข้ามาประดับตัวเองซิ หอมไม่หอมรู้ตัวเอง เย็นฉ่ำอยู่ภายในจิตใจ ให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัวนะ ชาวพุทธเรามันลืมตัวเอาเหลือประมาณ แม้แต่ผู้ที่บวชมาอยู่ในวัดในวา ก็ตั้งหน้าตั้งตาก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้กันในวงวัด กระจายออกไปทั่วโลกให้โลกได้เกิดความสลดสังเวชว่าพวกหัวโล้นนี้นึกว่าหาความสุขความสงบเย็นใจ มันกลับหาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผากันหรือ ผู้มีสมบัติผู้ดีเขาอยากว่าอย่างนั้นนะ
ไอ้พวกหัวโล้นๆ เรานี่มันเป็นยังไง มันรู้ตัวแล้วยังเวลานี้ กำลังก่อกวนกัน ยุ่งกัน โอ๋ย เกาะพรรคเกาะพวกเกาะภาคเกาะอะไรเข้ามา เพื่อจะเอาไฟมาเผากันให้ได้อย่างใจตัวเอง ใจของมันมันเป็นใจยังไง ใจของพระพุทธเจ้าเป็นใจยังไง ที่สอนโลกลั่นอยู่เวลานี้เป็นใจเช่นไร ทำไมมันจึงไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมพระพุทธเจ้าบ้าง แหม กิเลสมันไม่ดูหน้าพระพุทธเจ้าละ เรื่องกิเลสไม่ดูหน้าพระพุทธเจ้า พระเทวทัตแตกกับพระพุทธเจ้าก็คือไม่ดูหน้าพระพุทธเจ้า แต่พระเทวทัตรู้เนื้อรู้ตัวนะ กลับมาขอขมาพระองค์ ถูกแผ่นดินสูบที่หน้าวัดพระเชตวัน เมื่อสุดวิสัยแล้วก็ยกคางกรรไกรนี่ ถูกแผ่นดินสูบเข้ามาถึงคางกรรไกร ขอบูชาคางกรรไกรแด่พระพุทธเจ้า ด้วยความสุดหัวใจเป็นวาระสุดท้าย
พอพระอานนท์ไปทูลถาม พระองค์ทรงยิ้ม คำว่ายิ้มนี่ยิ้มมีเหตุมีผลนะ เออ เธอก็ไม่เสียทีแหละ เวลาก่อกรรมก่อเวรเธอก็ก่อเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ก่อความดีวาระสุดท้าย เอาคางกรรไกรมาถวาย สุดท้ายของเธอนี้ การตกนรกหมกไหม้เพราะกรรมชั่วของเธอนี้ยอมรับว่าตก แต่วาระสุดท้ายกรรมดีของเธอที่ถวายคางกรรไกรนี้แหละ จะได้มาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อ อัฏฐิสาระ นั่นพระเทวทัตท่านรู้ตัว ผลแห่งความรู้ตัวกลับมาได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในวาระสุดท้าย พากันจำเอา พวกเรารู้ตัวแล้วยัง ถ้าไม่รู้ตัวมันเก่งกว่านั้นไปอีกนะ จำให้ดี เอาละพอ ให้พร
หลังจังหัน
ฟังเทศน์เมื่อเช้านี้เป็นยังไง (โอ๋ ชอบมากค่ะ) แหมมันคันฟันนะ มองดูมันเป็นอย่างนั้นนี่นะ เลยเอาเสียบ้างใช่ไหม ธรรมดูโลกดูมาเท่าไร โลกมันไม่ดูธรรมก็เอาเสียบ้าง นี่ยังน้อยไปนะ ถึงเวลาจะออก เวลามันออกว่านี่น้อยไปนะ หลับหูหลับตายอตัวเอง ไอ้คนตาบอดหลับหูหลับตายอตัวเอง ชนต้นไม้ต้นเสาให้เขาดู ยอตัวเอง แบบนั้นนะเดี๋ยวนี้ โลกตาบอดชนต้นไม้ภูเขาให้คนตาดีดู ชนต้นไม้ภูเขาด้วยความตาบอดของตัวเอง ด้วยการโอ้อวดของตัวเองด้วย นี่ซิมันน่าทุเรศนะ เอาเสียบ้าง บางทีผู้มีนิสัยพอจะได้รู้ตัวบ้าง นี่เรียกว่าสะกิดๆ เข้าไป ไอ้ตัวที่มันจะบืนลงนั้นมันก็หาว่าเทศน์ดุเทศน์ด่า เทศน์อย่างนี้ในเมืองไทยไม่เคยมี เขาก็ว่าอีกแหละ เขาจะไปอย่างนั้น ไอ้คนนรกอย่างนี้ในเมืองไทยก็ไม่เคยมีเหมือนกัน มันไม่ยอมฟังเสียงธรรม ก็แก้กันตรงนั้นซิ
โอ๊ ทุเรศจริงๆ นะเรื่องธรรมกับกิเลส แหม มันผาดโผนขนาดนั้นละกิเลสทุกวันนี้ ผาดโผนดังที่ว่านี่ นี่ยังยกมาพูดเพียงเล็กน้อยนะไม่ได้มากอะไรนัก เอาสายตาของธรรมจับเห็นหมดนี่ กิเลสมันหูหนวกตาบอดชนนั้นชนนี้อวดโลกเขา อวดคนตาดีด้วย ตาบอดชนนั้นชนนี้เตะนั้นเตะนี้ให้คนตาดีดู ให้เขาอัศจรรย์ ไอ้นั้นหัวมันชนต้นไม้เพราะตาบอดของมัน มันถือเป็นของวิเศษ ให้คนตาดีดู โอ๊ย น่าทุเรศนะ
เมื่อเช้ากำลังเทศน์พอดีไอ้หยองมา ฟาดไอ้หยองเลย จะต้มยำไอ้หยอง อย่างนั้นละเทศน์เราให้ท่านทั้งหลายฟังนะ จะไม่มีอะไรเลย เป็นธรรมล้วนๆ ออกหมด ที่สูงที่ต่ำที่อะไรอย่างนี้ไม่มี ธรรมเหนือหมด ถึงเวลาออกออกอย่างนั้นเลยทีเดียว เทศน์อยู่ไอ้หยองมันมายุ่ง จะเอาไอ้หยองมาต้มยำ แล้วคนก็ได้ฟังทั่วประเทศ ทั่วโลกนั่นละ ไอ้ หยองถูกต้มยำ ไอ้หยองไอ้กี้มันมักมากวนเวลาเทศน์ ตัวอื่นไม่ค่อยมา มันมีอยู่สามตัวที่มายุ่งอยู่นี้ ไอ้หยองเป็นอันดับหนึ่ง ไอ้หมีเป็นอันดับสอง ไอ้จ้ำหลอดไม่ค่อยมายุ่งละ สองตัวนี่เก่งมาก ได้ต้มยำกันเรื่อยต้มยำหมา เข้าใจไหม
เรากำลังเร่งทางด้านจิตตภาวนาสำหรับพระ การแนะนำสั่งสอนเบาไปตอนที่เราช่วยชาติ ไม่ได้ซอกแซกซิกแซ็กเข้าไปตามวัดป่าต่างๆ ที่ท่านบำเพ็ญธรรม การแนะนำสั่งสอนก็ด้อยลงมาก สอนแต่ประชาชนเลยไม่ค่อยได้สอนพระ พระเป็นหลักสำคัญนะ ในบ้านหนึ่งๆ ไปสร้างบ้านใหม่เมืองใหม่ที่ไหน ต้องสร้างวัดพร้อมๆ เป็นความจำเป็นขนาดไหน เราจึงถืออันนี้เป็นสำคัญ บ้านใดๆ มีวัดมีวามีที่ร่มเย็น ยิ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วเย็นไปหมดเลยนะ แม้แต่ปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้าเขาก็ยังถือว่าเป็นมงคลอยู่ นี่ละเรื่องศาสนาเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร
พูดแว้ดๆ เมื่อเช้านี้เหมือนจะกัดจะฉีก เรื่องกิเลสนี้ตื่นเป็นบ้ากันไปหมดนะ เรื่องธรรมนี้ฉุดลากออกๆ อย่างรุนแรง ไม่งั้นจะถูกไฟเผาหมด จับฉุดโยนออกๆ จะว่ารุนแรงเหรอ กับไฟเผาอันไหนจะหนักกว่ากัน พิจารณาซิ จับโยนออกจากกองไฟๆ จะว่ารุนแรงเหรอ ให้ไฟเผาหรือสบายดี เทียบกันอย่างนั้น ธรรมะที่เผ็ดร้อนๆ เหมือนจับลากออกๆ เทียบกันอย่างนั้น โห มันพิลึกพิลั่นนะ อย่างเราๆ ท่านๆ เวลายังไม่เห็นมันก็พออยู่ไปกินไป เวลามันเห็น โธ่ เรานอนอยู่ท่ามกลางงูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูเห่า หลับครอกๆ
ผู้ที่นอนหลับครอกๆ คือไม่รู้ว่านี่จงอาง มหาพิษมหาภัย นี้งูเห่า นี้สามเหลี่ยม ไม่รู้ นอนอยู่ท่ามกลาง มิหนำซ้ำยังขับลำทำเพลง เอาขาขัดห้างปล่อยหำไว้ก็ได้ ร้องเพลงเพลิน มันไม่รู้ว่านี้คือจงอาง นี้คืองูเห่า ทางนั้นไปเห็นเข้า โอ๊ยตาย จับลากออกๆ เข้าใจเหรอ นั่นเทียบอย่างนั้นนะ ยังมานอนสบายขับลำทำเพลงปล่อยหำได้อยู่นี่ เข้าใจไหม เอาให้มันถึงขนาดนั้นซิกับความโง่ของจิตนอนใจกับกิเลส เหมือนกับขับลำทำเพลงปล่อยหำ ฟาดให้มันถึงขนาดนั้นมันจะได้ถึงกัน มันหยาบเหรอพูดนี่ ให้มันถึงกันความหมายว่างั้น นี่ละมันกล่อม
เวลาได้ธรรมเข้าไป ปฏิบัติธรรม พอปรากฏธรรมภายในใจ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนามันจะรู้กัน ไม่มีจิตตภาวนาไม่ค่อยรู้นะ จิตตภาวนาค่อยสว่างออกๆ มันเห็นซิ พอเห็นแล้วก็เอาละที่นี่ เริ่มละ หนักเข้าๆ บืนออกๆ เวลามันหนักมากๆ เห็นภัยมากๆ หัวใจนี้เหมือนว่ามันสั่นริกๆ จะออกท่าเดียว เป็นตายไม่อยู่ คอขาดไม่อยู่ นี่ถึงขั้นมันแล้ว อย่างท่านผู้ปฏิบัติธรรมถึงธรรมขั้นสูง มีแต่จะไปท่าเดียวๆ นี่ละประเภทที่ความเพียรกล้า เห็นภัยเห็นเต็มหัวใจ เห็นภัยจากกิเลส เทียบกับจงอาง สามเหลี่ยม งูเห่ารอบตัว เห็นภัยคิดออก เห็นคุณค่าของธรรมก็เท่ากัน เห็นโทษของกิเลสเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมที่พาให้หลุดพ้นก็เต็มหัวใจ นี่ละอยู่ไม่ได้นะ ที่ท่านเรียกว่าความเพียรกล้า กล้าอย่างนี้เอง
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็มีในตำรา ดึงเข้ามาหาตัวจริงเลย นี่ละที่มันยอมรับกัน ท่านแสดงไว้ในตำราว่า พระโสณะ ท่านได้รับเอตทัคคะเลิศในทางความเพียรกล้า พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอตทัคคะให้ พระโสณะนี้เลิศทางความเพียรกล้าในตำรา ท่านเดินจงกรมจนกระทั่งฝ่าเท้าแตก ว่างั้นนะ เราก็อ่านในตำรา เมื่อยังไม่มีอะไรรับกันมันก็อ่านธรรมดาๆ นะ ทีนี้เวลาทำความเพียรไปๆ มันเข้าถึงขั้นนี้ เอ้า พูดให้มันชัดนะ ลงได้เดินจงกรม ออกจากกระต๊อบไปเดินจงกรมหมดวันไม่รู้ตัว มันหมุนของมัน นี่ละความเพียรกล้า ไม่มีเรื่องเวล่ำเวลาอะไร เหมือนนักมวยที่เขาซัดกันวงใน กรรมการอย่ามายุ่งถ้าไม่อยากตาย ว่างั้นเลย มีแต่นักมวยสองต่อสองฟัดกัน
นี่ก็มีแต่กิเลสกับธรรมฟัดกัน หมุนติ้วๆ นี่เรียกว่าความเพียรกล้า ไม่มีว่าร้อนว่าหนาวว่าเย็นว่าหิวว่าโหยอะไรเลย หมุนอยู่เหมือนนักมวยต่อยกันเวลานั้น จิตที่ฟัดกับกิเลสเข้าวงในก็แบบเดียวกัน ลงทางจงกรมนี้ฟาดจนกระทั่งถึงเวลาปัดกวาดอาบน้ำอาบท่า ส่วนมากมักจะอาบอยู่ในป่าในเขาในแอ่งหินแอ่งอะไร เดินยังไงนี่นะ วันนี้ก็เดินวันหน้าก็เดิน กลางคืนก็เดินกลางวันก็เดิน เดินไม่หยุดไม่ถอย ที่ท่านว่าฝ่าเท้าแตกมันไม่ได้แตกนะ ท่านพูดนั้นท่านพูดกลางๆ ฝ่าเท้านี่มันหนาทีแรกนะ เราเดินไม่หยุดไม่ถอยมันบางเข้าไปๆ กัดเข้าไปๆ กัดเข้าไปถึงเนื้อ นั่นเรียกว่าฝ่าเท้าแตก คือมันกัดเข้าไปถึงเนื้อ
ทีนี้ก็ยกเราเองเป็นพยาน ยอมทันทีเลย อ๋อ พระโสณะท่านทำความเพียร ความเพียรธรรมดาๆ บังคับจนกระทั่งเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกนี้เป็นไปไม่ได้ ว่างั้นเลยนะ ถ้าเป็นประเภทนี้แล้วได้ทันทีเลย คือมันเป็นกับเจ้าของซิ ถ้าได้เข้าทางจงกรมแล้วเท่านั้น ไม่มีหิวมีโหยไม่สนใจกับอะไรเลย เรียกว่าเข้าวงในตลอด ไม่รู้จักเช้าสายบ่ายเย็นไม่สนใจ ฟัดกันอยู่วงในๆ วันนี้ก็เดิน เดินไม่หยุด กลางคืนก็เดิน แล้วฝ่าเท้ามันจะได้หนาขนาดภูเขาจากไหนมาบังเอาไว้ มันก็ต้องบางเข้าๆ จนถึงเนื้อ เราเองไม่ได้ฝ่าเท้าแตกนะ เอาให้มันชัดๆ ก็เราเองเป็นคนทำ เวลามาเข้าที่พักมองเห็นกาน้ำนี่ โหย มันโดดใส่กัน ตอนนั้นมันไม่สนใจนะ พอมองเห็นกาน้ำนี้ใส่ปั๊วะ กลืนนี้สำลักกั๊กๆ มันจะตาย ตอนนี้เรียกว่าให้น้ำ ฟัดกันอยู่ไม่สนใจ
ทีนี้มานั่ง ฝ่าเท้านี้ออกร้อนเหมือนไฟลนเทียว ทำไมมันถึงออกร้อนเอานักหนาฝ่าเท้าเรานี่นา มันแตกหรือไง มันบางเข้าไปแล้วละนั่น เราก็เอาเท้าออกมาดูจริงๆ ให้มันชัดๆ ก็เราเป็นเองนี่ มาดูก็ไม่เห็นแตกไม่เห็นถึงเนื้อ พอเอามือไปสัมผัสนี้ โหย เสียว มันกำลังจะถึงเนื้อแล้วนั่น เสียว ออกจากนั้นก็ถึงเนื้อ นี่เรียกว่าฝ่าเท้าแตก เรายังไม่แตก พูดให้มันชัด กิเลสแตกเสียก่อน ถ้ากิเลสยังไม่แตกฝ่าเท้าแตกแน่นอน นี่เราเชื่อแล้วนั่นเห็นไหม ความเพียรประเภทนี้แตก ไม่มีวันมีคืน แตกได้เพราะเดินอยู่ตลอดจะว่าไง เอาความจริงเข้ายันกันนี้ยอมรับกันเลยเทียว ที่ว่าฝ่าเท้าแตกเป็นอย่างนี้เอง คือเดินไม่หยุดไม่ถอย เดินไม่มีเวล่ำเวลา เพราะเข้าวงในกับกิเลสมันไปสนใจอะไรกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าร่างกายอะไร ไม่สนใจ มันจะหมุนอยู่ภายใน
ทีนี้พอกิเลสมันพังลงไป ความเพียรประเภทนั้นมันก็เป็นโลกใหม่ขึ้นมานะ เป็นเองไม่ต้องบังคับ ที่ความเพียรหมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน ก็เหมือนเครื่องมือรบนั่นละ ปล่อยเครื่องมือ ปล่อยเอง งานเสร็จแล้วปล่อยเอง ทำงานด้วยเครื่องมืออะไร พอเสร็จแล้วปล่อยเองๆ อันนี้ก็เหมือนกัน พอถึงขั้นที่ว่า ยอมเชื่อพระโสณะ อ๋อ อย่างนี้เองที่ฝ่าเท้าท่านแตก นี่เราก็จะแตกแล้ว เพียงมาลูบๆ นี้เสียวหมดแล้ว มันเจ็บมันเสียวมันจะทะลุถึงเนื้อ แต่กิเลสมันแตกเสียก่อน กิเลสแตกทีนี้ก็เลยหยุด เดินจงกรมแบบนั้นไม่มี อะไรที่เป็นความเพียรแบบนั้นลดลงเองโดยอัตโนมัติ เรียกว่าปล่อยเครื่องมือเอง ปล่อยเองๆ หมด อยู่ด้วยความเป็นอิสระ โลกว่างหมดเลย จ้าไปหมด ว่างไปหมด วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ ขึ้นในนี้เลย เสร็จแล้วกิจที่ว่าตายกองกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีสิ้นสุดมาสิ้นสุดในบัดนี้แล้ว นั่นรู้ชัดเจน ป่าช้าสิ้นสุดในบัดนี้แล้ว เวลากิเลสตัวสร้างป่าช้าไม่หยุดนี้ขาดสะบั้นลงไป ป่าช้าหยุด ไม่มาเกิดอีกแล้ว ไม่มาตายอีกแล้ว รู้ทันที
ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาในหัวใจเลย นี่ละที่ว่าพระอรหันต์ท่านตรัสรู้ธรรมท่านไม่จำเป็นจะต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประกาศให้แล้ว รู้ตัวเอง ผ่านพ้นเมื่อไรรู้ทันที นี่เราพูดถึงว่าให้มันมีข้อยืนยันมันยอมรับกันทันที ดังที่ว่าฝ่าเท้าแตก ถึงขั้นมันเสียวมันเสียวเวลาลูบ ฝ่าเท้ามันออกร้อนเหมือนไฟลน ออกร้อนในฝ่าเท้า มานั่งแล้วมันก็ไม่หยุด ออกร้อน เวลามานั่งให้น้ำมันก็มารู้ความเจ็บปวดของตัวเอง ตอนนั้นไม่รู้นะ ฝ่าเท้าแตกเป็นอย่างนี้เอง มีพยาน ยอมรับ ความจริงเข้าถึงกันไม่มีใครค้านกัน ถึงกันแล้วยอมรับทันทีๆ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นทันทีเลย ค้านกันได้ยังไง ก็เป็นอันเดียวกันนี่เอาอะไรมาค้าน ของอันเดียวกันค้านกันได้ยังไง ธรรมชาตินี้เป็นอันเดียวกันแล้ว หือ เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ เป็นอันเดียวกันแล้วนั่น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่น แต่ก่อนไม่เคยเป็น เป็นแล้วนั่น นั่นมันประจักษ์กับเจ้าของจะไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาเต็มหัวใจอย่างนั้นละ
เพราะฉะนั้นเวลามันคันฟัน อย่างน้อยก็วากวีกเสียบ้างอย่างเมื่อเช้านี้ ทั้งเทศน์ ทั้งจะเอาหมามาต้มยำเมื่อเช้านี้นะ มันกำลังโมโห หมามายุ่ง ไอ้หยองนั่นละมายุ่ง ชอบมายุ่ง จะเอาหมามาต้มยำกินบนธรรมาสน์ อย่างนั้นละพูดได้ทุกแบบเรา เราไม่มีอะไรขัดข้อง ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเข้ามาขัดข้องพูดได้อย่างสะดวกสบายๆ ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังกิริยาที่แสดงออก ดูฟังก็รู้เอง ไม่มีอะไรเข้ามาผ่าน มีแต่ธรรมชาตินั้นใช้กิริยาของวิมุตติธรรมความหลุดพ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว ออกมาใช้ต่อโลกสงสารที่มันกำลังสกปรก จึงต้องมีกิริยาสกปรกอันนี้ออกมารับกัน เข้าใจไหม
ถ้ามีแต่ธรรมล้วนๆ แนบสนิทเลย ไม่มีอะไรสวยงามยิ่งกว่าธรรมอันนั้น แต่เวลามาแสดงกับโลกสกปรก มันก็เป็นกิริยาที่สกปรกขึ้นมา ดีไม่ดีกำลังเทศน์อยู่นี้จะเอาหมามาต้มยำกินเคยมีที่ไหน กำลังเทศน์แล้วจะเอาหมามาต้มยำ นี่เทศน์ได้พูดได้ เทศน์ไปตามอรรถตามธรรมธรรมดา ไม่มีอะไรเข้ามากีดขวางเลย พูดได้อย่างสบาย พูดแล้วหายเงียบหมดไม่เป็นอารมณ์ ว่าได้พูดหนักไปเบาไป ไม่มี ถ้ามีพูดไม่ได้นะ ขัดตรงไหนรู้ทันที..ใจ ถ้าโล่งผางออกไปแล้วออกเลย ออกเต็มเหนี่ยวๆ เลย
นี่ละจึงอยากให้รู้เสียบ้าง เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธมันตายกันหมดแล้วหรือ ถึงว่าอย่างนั้นซิ มันโมโห ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศป้างๆ มานี้ทำไมมันไม่ดู ทำไมไม่นำมาปฏิบัติตัวพอสงบร่มเย็นบ้าง มีแต่ฟืนแต่ไฟด้วยกิเลสทั้งหมด ต่างคนต่างแบบเดียวกันหมดแล้วใครจะสอนใคร กิริยาออกมาอะไรมีแต่เรื่องของกิเลสเรื่องของโลกล้วนๆ ออกมาโชว์ โชว์อะไรประสากองขี้ กิเลสก็เท่ากับขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง นั่นว่าไง มันสะอาดสะอ้านมาจากไหน วิเศษวิโสมาจากไหนเหมือนธรรมไม่มี อย่าไปแข่งธรรม วันนี้ก็เทศน์หนักมาหลายตอนแล้วนะ จนกระทั่งถึงบัดนี้ ยุติละมันจะตายนี่ก็ดี
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |