ลมหายใจกั้นกำแพงนรก
วันที่ 17 สิงหาคม 2544 เวลา 7:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ลมหายใจกั้นกำแพงนรก

ทองคำเราก็ได้เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ ได้เรื่อย ๆ วันนี้วันที่ ๑๗ เรากะไว้วันพรุ่งนี้ไปกรุงเทพก็เลยต้องพัก รอไว้ก่อน เราอาจจะรอเพื่อให้ได้ทองคำเพิ่มเข้าอีก จะได้บุกง่ายขึ้นว่าอย่างนั้นก็ได้นะ เรารอทางนี้ทองคำได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอบุกก็บุกเลย กว่าจะถึงวันไปนี้ก็ได้มาเรื่อย ๆ พอจะบุกแท่งที่สาม เวลานี้มันได้ ๓๔ กิโลแล้ว อาจจะถึง ๓ แท่งก็ได้คอยสังเกตไป

เมื่อวานผ่านไปวัดดงศรีชมภู ไปดูถนนหนทางด้วย ทางทิศเหนือแต่ใต้อุดรไปเขาสูบน้ำกันอึกทึก สูบน้ำกันท่อใหญ่ ๆ เป็นแถวเลย สูบออกจากอุดรลงทางนั้น เราดูน้ำก็เรียกว่ามันลดแต่ช้ามาก ฝนตกเมื่อเช้านี้จะเพิ่มอีกนะ ตกเพียงเท่านี้ก็เพิ่มเพราะน้ำไม่มีที่เก็บ ตกเท่าไรไหลออก ๆ ตกเท่าไรเพิ่ม ๆ ถ้าตกอย่างเมื่อเช้านี้ก็จะเพิ่มอีกไม่มากนัก วัดเราเริ่มท่วมมาตั้งแต่เช้าวันที่ ๑๑ พึ่งมาลดลงวันที่ ๑๒-๑๓ ทางไปชุมแพ หล่มสักในภูเขาน่ากลัวนะ ภูเขาเวลาฝนตกน้ำไหลลงมา ก้อนหินตกลงมาจากโน้นเกลื่อนอยู่ตามถนน เขาก็เขียนเตือนไว้เป็นระยะ ๆ ระวังหินร่วงหินหล่น เขาบอกเป็นระยะ ๆ ไปก็เห็นจริง ๆ คือเขาไม่ให้วิ่งเร็วเกินไป บางทีไปเจอหินกำลังขวางทางหลบไม่ทันก็ชน เขาเขียนเตือนไปทุกระยะ ๆ ระวังหินร่วงหินหล่นอะไร แล้วไปก็เห็นจริง ๆ อันนั้นน่ากลัวเหมือนกัน

เวลาฝนตกนี้ดินมันเปื่อยไปหมด เพราะฉะนั้นมันถึงพังได้อย่างง่ายดาย ฝนตกน้ำแช่มันนาน ๆ ก็เปื่อย ทีนี้หินที่เกาะกันอยู่เหนียว ๆ แต่ก่อนก็พังเลย ๆ วิ่งไปตามถนนเดี๋ยวเห็นหินตกอยู่ทางนั้น หินหล่นอยู่ทางนี้เรื่อยเลย ที่กองใหญ่ ๆ มันลงมาเลยก็มี ลงฟากทาง ถึงกลางถนนก็มี ทั้งดินทั้งหิน นี่หมายถึงสายชุมแพ-หล่มสัก-พิษณุโลก สายนี้น่ากลัวอยู่ เราไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เอาของไปส่งพวกด่าน เขารักษาสมบัติของชาตินั่นเองจะเป็นอะไร มีสองด่าน พอจะแยกเข้าไปทางน้ำหนาวก็เป็นด่านหนึ่ง แล้วไปอีก ๓๐ กว่านาทีกว่านิดหน่อยก็เป็นอีกด่านหนึ่ง ที่เราไปส่งเป็นประจำ ไปส่งอาหารพวกข้าวพวกอะไร ๆ หากเป็นปรกติธรรมดาเราจะส่งเดือนละครั้ง ๆ นอกจากเรามีธุระจำเป็นก็เว้นไปบ้าง ห่างไปบ้าง จึงได้เห็นหนทางสายนี้มาตลอด

ไปวันนั้น โอ้โฮ้ น่ากลัว เขากำลังทำสะพานใหม่สะพานคอนกรีต รถต้องรอกัน คือสะพานนี้ยังไม่เสร็จ เขาต้องทำสะพานเหล็กสำรองไว้ ขึ้นสะพานเหล็ก รถต้องรอกันสองข้างทาง คันหนึ่งผ่านมาแล้วคันหนึ่งถึงจะไปได้ นั่นละที่ดูชัดเจน รถหยุดเราดู แต่เราก็แน่ใจกับสะพานที่เขาทำอยู่เวลานี้แม้ยังไม่เสร็จก็ตาม เขาทำได้อย่างมาตรฐานจริง ๆ ไม่เป็นไรแล้วต่อไปนี้ ตรงนั้นนะ จะสะดวกไปเลย ไปเห็นอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่น่าหวาดเสียวเหมือนตรงสะพานนี่ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องทำสะพานคอนกรีตอย่างได้มาตรฐานเต็มที่ตรงนั้น

เดือนสิงหานี้ฝนไม่มีคำว่าแล้งนะ ตั้งแต่ต้นมาเลยฝนไม่มีคำว่าแล้ง กรกฎา สิงหา เรื่อยมา คอยดูมันจะไปถึงไหน หน้าฝนจริง ๆ ที่ฝนตกอยู่ตลอดก็ต้องไปถึงตุลา ต้นเดือนตุลา จางไป บางปีอาจหยุด พอตุลาแล้วหยุด มันจะตกไปถึงกันยา เพียงเท่านั้นน้ำก็พอกับข้าวนะ เราเที่ยวซอกแซก ส่วนมากมักเข้าป่านั้นป่านี้ ชอบนะ ถ้าเข้าป่ารื่นเริง พอรถเพียงเข้าป่าเข้าเขา นอนอยู่ก็ตามคึกคักลุกเลย ตาจ้องดู โหย มันรื่นเริงมันเป็นเองนะ ระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองกันอยู่ อาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง รู้สึกรื่นเริงบันเทิง พอออกจากป่าจากเขาไปแล้ว ลงตามไร่ตามนาแล้ว ล้มนอนตูมเลยไม่มอง พอเข้าป่าเข้าเขาแล้วคึกคักเลย อย่างนั้นทุกแห่งไป

อย่างสกลนคร พอเริ่มจากสกลนครเริ่มเข้าเขาจนกระทั่งถึงสี่แยกสมเด็จ เพลินไปเรื่อยกับป่า ชมป่าเขา เพราะภูเขาลูกนี้เรียกว่าเราเดินเราเที่ยวเสียอย่างโชกโชน เพราะอยู่ที่นี่ ๘ ปี สกลนครนี้ ๘ ปี เที่ยวเขาเที่ยวป่าทั้งนั้น เที่ยวนครพนม ๔ ปี ๕ ปี ต่อไปถึงภูจ้อก้อท่านหล้า เพราะฉะนั้นจึงเห็นหมดตั้งแต่ภูเหล็กท่านวัน ไปจนกระทั่งถึงภูจ้อก้อ เป็นทำเลที่เราเที่ยวขึ้นลง ๆ ๑๑-๑๒ ปีเที่ยวเขาลูกนี้แหลก เพราะฉะนั้นเวลาไปมันถึงไปดูความหลังของตัวเอง เวลานี้เปลี่ยนแปลงไปมากก็ตาม เราก็ดูพื้นที่ที่เราเคยไปเคยอยู่ คือแต่ก่อนเป็นป่าล้วน ๆ ไม่มีบ้านคนเลย เดี๋ยวนี้บ้านคนมีประปรายตลอดไปตามสายทางและที่ต่าง ๆ ข้างในก็มีทั่วไปหมด เดี๋ยวนี้กลายเป็นบ้านคนไปหมดแล้ว

แต่ก่อนเป็นดงล้วน ๆ พวกสัตว์พวกเสือพวกช้างเต็มหมดละ เขายังวิตกกับเรา เขาเรียกบ้านโคกกุงอยู่ในกลางป่า เราผ่านมาจะมาทางสกลนคร เดินด้นดั้นไปอย่างนั้นละทางในป่า ไปผ่านหมู่บ้านนั้น (เมื่อคืนนี้ช้างออกมาทางนี้ ท่านให้ระวังนะ) เขาบอก (ช้างมันออกมาแถวนี้เมื่อคืนนี้ ท่านไปนี้ท่านให้ระวังนะ) แล้วมันไปทางไหนล่ะ (ก็ได้ยินเสียงมันโครมคราม ๆ แถวนี้แล้วหายไป ไม่ทราบไปทางไหน ให้ระวังก็แล้วกัน) เขาเตือนเรา แต่เราก็เฉย เราไม่เคยกลัว เราก็ลูกช้างลูกเสืออยู่ในป่าดงของเราใช่ไหมล่ะ เขาก็เตือนเราเป็นธรรมดา ไปก็เห็นรอยมันแหลกหมดเลย นั่นละแต่ก่อนช้างมีเต็มนะ เดี๋ยวนี้ไม่มี หมด

มีกระทิง วัวแดง สัตว์ใหญ่ ๆ เต็มอยู่นี้ พวกช้าง ดงอันนี้จากสกลนคร ทางติดต่อยืดยาว ภูเขาลูกนี้มันต่อกัน ๆ ไปนะ ที่เราเห็นยาว ๆ นั้นไม่ใช่เป็นภูเขาลูกเดียว คือมันมีต่อกันเป็นลูก ๆ ลูกนี้ต่อลูกนั้น ลูกนั้นต่อลูกนี้ มันเป็นชั้น ๆ ไปเลย เวลาเราขึ้นเขาแล้วถึงรู้ว่าภูเขาที่ยาวเหยียดไม่ใช่ลูกเดียว ไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันลูก มันต่อกันไปเรื่อย ๆ เรามองไปนี้มันเป็นเหมือนลูกเดียวนะ เวลาเข้าไปในเขาแล้วเขาเป็นลูกของเขา ลูกนี้ต่อลูกนั้น ลูกนั้นต่อลูกนั้น เหลื่อมล้ำกันไป สลับกันไปเรื่อย มันเลยยาวไป ไปนี่สนุกสนาน อยู่กับคนป่านะ แถวนี้เป็นป่า นาน ๆ จะเจอบ้านสัก ๓-๔ หลังคาเรือน แต่นาน ๆ จะเจอ ไม่เหมือนทุกวันนี้ซึ่งมีแต่บ้านเต็มไปหมด นั่นละไปอาศัยพวกนี้ละบิณฑบาต เพราะเราไม่ได้ฉันทุกวัน พออาศัยเขาไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น มันจะตายจริง ๆ ก็ฉันให้เสีย พอทนได้ทนไปอย่างนั้น

นี่เห็นไหมเรื่องการภาวนา พี่น้องทั้งหลายจำเอา ที่พูดเหล่านี้มีแต่ฝึกจิตทั้งนั้น เมื่อมันเกี่ยวกับธาตุขันธ์ ต้องบีบธาตุขันธ์ลงไปด้วย ถ้าฉันมากธาตุขันธ์มีกำลัง การภาวนาเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันอืดอาดของมันในจิตนั่นแหละ รู้ในจิต ครั้นเวลาผ่อนอาหารลง ตัดอาหารลงไป ทางธาตุขันธ์มันเบากำลังซึ่งเป็นความเกี่ยวโยงกับกิเลส มันก็ไม่ค่อยเสริม จิตใจก็ก้าวได้ ๆ เรื่อย ๆ ทุกข์ใครจะไม่ทุกข์ ถึงเวลากินต้องอยากต้องหิวคนเรา ก็ทน ไม่กิน ทนเอาอย่างนั้นแหละ การฝึกตัวเพื่อความเป็นคนดี นี่ฝึกจริง ๆ นะ จึงได้พูดเต็มปากเลยว่าเราไม่มีที่ต้องติของเราตั้งแต่บวชมานี้ ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาฝ่าฝืนธรรมวินัยไม่มีเลย หิริโอตตัปปะเต็มตัว ๆ ตลอด เรียกว่าภาคภูมิใจในศีลของตัวเอง

จากนั้นก็สมาธิเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงภายในให้อบอุ่นเข้าไปเรื่อย หนักเข้า ๆ จิตใจก็มีที่พึ่ง เมื่อจิตใจมีที่พึ่งแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สนใจนะ คือจิตใจมีที่พึ่งได้แก่ธรรมเป็นที่อบอุ่นของใจ อยู่ที่ไหนสง่างามอยู่ในภายใน อยู่ในป่าในเขาอยู่ที่ไหนก็ตาม อาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นที่สงบงบเงียบเพื่อบำเพ็ญธรรมได้สะดวก ส่วนความสะดวกของจิตมันสะดวกของมันตลอดเวลา นี่ละการฝึกจิต นี่หมายถึงพระเรามีหน้าที่อันเดียว ไปปฏิบัติตน นี่ได้ฝึกมา เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดทุกอย่างกับพี่น้องทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน เพราะเราได้ทำมาอย่างนั้นจริง ๆ เรียกว่าเดนตายมาเลย

ที่นี่ผลของการเดนตายก็ดังที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่เวลานี้ นี่ละความดีเมื่อเราสร้างเข้ามาก ๆ แล้ว ความดีก็เด่นขึ้นภายในตัวของเราเอง คนที่สร้างความชั่วมาก ๆ นี้อยู่ที่ไหนเป็นไฟนะ อย่างพวกโจรผู้ร้ายเหล่านี้ ถึงจะเป็นเจ้าใหญ่นายโต อวดอำนาจบาตรหลวงป่า ๆ เถื่อน ๆ กินบ้านกินเมืองนี้ไม่มีใครรู้ โอ่อ่าด้วยอำนาจของตัวเอง มันก็ร้อนอยู่ภายในใจของมัน เป็นอยู่ในนั้นแหละ เพราะคำว่าไฟอยู่ที่ไหนก็ร้อน ไม่ว่าอยู่ที่ลับที่แจ้งมันร้อนหมด ไฟคือบาปกรรมภายในหัวใจ

เช่นพวกที่กินบ้านกินเมือง มีแต่ความโลภ ความอยาก ความทะเยอทะยาน ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยนี้ กินกลืนเอาตับเอาปอดของคนทั้งชาติ ที่เขาสละลงไปเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นภาษีอากรต่าง ๆ เข้าไปสู่บ้านเมือง พวกนี้มีแต่กินอย่างลืมเนื้อลืมตัว กินเข้าไปกลืนเข้าไป มีแต่เหล็กแดง ๆ กลืนเข้าไปกินเข้าไป เขาไม่เห็นก็โอ่อ่าละซี ภายนอกโอ่อ่าแต่ภายในไม่ได้โอ่อ่านะ เอาธรรมจับเข้าไปซิ ธรรมไม่มีที่ลับที่แจ้งเหมือนกับกิเลส กิเลสก็ไม่มีที่ลับที่แจ้ง อยู่ไหนร้อนได้หมดทำชั่ว ทีนี้ธรรมอยู่ที่ไหนเย็นได้หมด แล้วมองเห็นได้ชัดเจน ๆ นั่นละพระพุทธเจ้าท่านมองกิเลส เพราะฉะนั้นจึงแก้กิเลสได้ ฆ่ากิเลสได้

พวกที่ลืมเนื้อลืมตัวนี้มันมีแต่ลมหายใจฝอด ๆ เท่านั้นนะ มันไม่ได้มีอะไรติดเนื้อติดตัวของมันพอจะเป็นที่พึ่ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้มันภูมิใจว่าเป็นที่พึ่ง ในขณะที่มีลมหายใจนี้มันภูมิใจว่าได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา อันนั้นก็ได้อันนี้ก็ได้ ยศถาบรรดาศักดิ์ก็ได้ เงินทองข้าวของก็ได้ จะกอบจะโกยเอากับใคร กับตับใครปอดใครก็ได้ ๆ ได้ก็ตามนะ ได้ทั้งหมดนี้เป็นไฟเหล็กแดงเข้าไปเผาอยู่ภายในจิตใจ จะอยู่ที่ลับที่แจ้งก็เอาเถอะ ไปอยู่คนเดียวก็เป็น ไม่มีใครนั่นละมันยิ่งแสดง เวลาอยู่กับเพื่อนกับฝูงก็อาศัยเพื่อนฝูงบริษัทบริวารแห่ห้อมล้อมกันไปแบบโลกกิเลสนั่นแหละ เจ้าของก็ภูมิใจว่ามีบริษัทบริวาร มีอำนาจวาสนามาก ภูมิใจได้ชั่วระยะนี้นะ พอบริษัทบริวารห่างเหินไปแล้ว ไฟมันจะแสดงตัวขึ้นมาให้เห็นชัดเจน แล้วก็ร้อนอยู่ภายใน ๆ

พวกนี้พวกร้อนภายในไม่มีความเย็นเลย ก็เรียกว่าชีวิตมนุษย์กั้นเอาไว้ กั้นกำแพงนรกไม่ให้เห็นชัดเจน ให้เห็นแต่อยู่ภายในใจที่เผาอยู่ขณะมีชีวิตอยู่กับมนุษย์นี้เท่านั้น พอชีวิตมนุษย์ขาดสะบั้นลงไป กำแพงของนรกอเวจีจะเปิดจ้าขึ้นเลยในภพของผี ภพของมนุษย์นี้เอาลมหายใจกั้นเอาไว้ไม่ให้เห็น เพราะฉะนั้นมันถึงกล้าปฏิเสธที่ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี เพราะลมหายใจกั้นเอาไว้ไม่ให้เห็น พอลมหายใจซึ่งเป็นภูมิของมนุษย์ขาดสะบั้นลงไปนี้ กำแพงแห่งเมืองผีนรกอเวจีจะจ้าขึ้นมาทันทีเลย รับกันไปเลย หมดไม่มีอะไรเหลือเลย ให้จำเอาไว้นะพี่น้องทั้งหลาย

อย่ากล้าหาญต่อความชั่ว พระพุทธเจ้าไม่พากล้าหาญอย่ากล้าหาญ ไม่มีใครฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกมาสอนโลก สอนด้วยความสัตย์ความจริงทุกอย่าง เราอย่าฝ่าฝืนนะ ทุกข์ก็ทุกข์ไปเถอะ ตายไม่ตกนรกไม่เป็นไร ทุกข์เฉย ๆ ไม่มีอะไรจะกิน มันทุกข์มันตาย เราไม่ไปหารีดหาไถทำความชั่วช้าลามกแก่ผู้ใด บาปเราอย่างนี้ไม่มี เราทุกข์เพียงธาตุขันธ์ของเรา เอา มันอดไม่มีอะไรกินก็ให้มันเห็น แต่มันก็ไม่ตายมนุษย์เรา มันอาศัยกันได้ทั้งนั้นทั่วโลกดินแดน ไม่มีใครตายด้วยความอดอยากเฉย ๆ มีน้อยมาก แต่ที่เอาเขามากินมากลืนท้องป่องนี้ พวกนี้จะป่องด้วยฟืนด้วยไฟเผาแหลกไปเลย ๆ พอชีวิตลมหายใจขาดปั๊บนี้ กำแพงเมืองผีจะเปิดจ้าขึ้นมาทันทีเลย ผึงเลยทันที นี่หมายถึงทางการทำความชั่ว

ทีนี้การทำความดีก็แบบเดียวกันไม่ได้ผิดกัน ไม่มีใครรู้ก็ตามเรารู้แต่เราคนเดียว อยู่เราคนเดียวสบายคนเดียว ดังที่เคยพูดให้ฟังถึงเรื่องการภาวนา อดบ้างอิ่มบ้างช่างหัวมัน จิตใจอยู่กับธรรม ไม่ได้อยู่กับความหิวโหยโรยแรง ความทุกข์ยากลำบากเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ จิตมันอยู่กับธรรม อะไร ๆ ก็อยู่กับธรรม ๆ จิตใจเมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยอรรถด้วยธรรมเสมอก็ค่อยเจริญขึ้น ๆ ความสงบเย็นก็เย็นขึ้นไปเรื่อย ความสง่าผ่าเผยภายในใจสง่า สว่างกระจ่างแจ้งขยายออกเรื่อย ๆ จิตดวงนี้ เมื่อมีสิ่งกำบัง คือสิ่งกำบังได้แก่กิเลสมันปิดบังหุ้มห่อไว้ค่อยจางออก ๆ อันนี้มันค่อยกระจายออก ๆ อันนี้ก็รื่นเริงบันเทิง อยู่ที่ไหนสบายหมดผู้มีธรรมในใจ คือมีบุญภายในใจอยู่ไหนสบายหมด ตายที่ไหนท่านไม่ได้สนใจนะท่านผู้มีธรรมในใจ คือที่พึ่งของท่านอยู่กับท่านแล้วท่านจะไปหายุ่งกับอะไร อยู่ไหนก็สบาย ๆ

นี่การปฏิบัติตัวต้องทนทุกข์ยากลำบาก เราเป็นฆราวาสก็ควรให้ได้อยู่ในฐานะฆราวาสบ้าง อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินเนื้อเกินตัว จะจมแน่ ๆ ไม่มีใครรับรองเรานะ เราเป็นผู้รับรองเราทั้งดีและชั่ว เป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมของเราทั้งนั้น ถ้าชั่วก็ไปเลย ถ้าดีก็หนุนเลยไม่ต้องหาใครมาช่วยพยุงแหละ บุญพยุงอยู่ในตัวแล้ว บาปกดลงตลอดเวลา บุญพยุงในตัว นี่เครื่องยืนยัน พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกพระองค์อย่างนี้เหมือนกันหมด

ทนเอา มันจะทุกข์ยากลำบากทน เรายังเคยเอามาพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง ถึงขนาดที่เราคำนวณเอานะ ถ้าวันมะรืนไปนี้จะไปไม่ถึงบ้านเขา เพราะอดอาหารอดอยู่ตลอดเวลา มันจะตายจริง ๆ ค่อยไปบิณฑบาตมาฉัน ทีนี้มาคำนวณถ้าถึงวันมะรืนไปไม่ได้ วันพรุ่งนี้กะว่าจะไปถึงบ้านเขา วันพรุ่งนี้ก็ไป ไปมันไม่ถึงบ้าน เห็นไหมล่ะ เราคาดเอาไว้ พอไปถึงกลางทางไปไม่ได้แล้ว หมดกำลัง ต้องนั่ง ถ้าภาษาของโลกเขาเรียกว่านั่งจับเจ่ากอดหัวเข่าสิ้นท่านะ

ทีนี้จิตมันไม่ได้สิ้นท่าล่ะซี ธาตุขันธ์มันสิ้นท่าไปไม่รอดมันอยู่ ก็นั่งอยู่นั้น นั่งความเพียรก็อยู่ในนั้นพิจารณา นี่ละที่ว่ากิเลสเกิดธรรมเกิด พี่น้องทั้งหลายฟัง กับผู้ปฏิบัติธรรมชัดเจนมากทีเดียว กิเลสเกิด เกิดยังไง เรานั่งเจ่าอยู่นั้น มันเหนื่อยหายใจแขม่ว ๆ จะไม่ไปถึงหมู่บ้านเขา พักเสียก่อนแล้วค่อยไปอีก สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาแล้ว นี่เรียกว่ากิเลสเกิด เงียบ ๆ นะ นี่เห็นไหมขึ้นเลย เป็นคำพูดชัด ๆ เหมือนเราพูดกันแต่เสียงอยู่ภายในหัวใจ นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นเห็นไหม นี่คือกิเลสเกิด กิเลสทักเราเพื่อจะตัดทอนกำลังเรา ถ้าเราเชื่อกิเลสเราก็อ่อนเปียก ต่อไปก็อดอาหารไม่ได้ มันกลัวตาย เพราะกิเลสบอกแล้วว่า นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นบอกชัด ๆ นะ ขึ้นกิเลสเกิด

พอทางนั้นเกิดขึ้นทางนี้ขึ้นรับกับปั๊บเลยนะ ก็การกินนี้ก็กินมาตั้งแต่วันเกิด นี่ธรรมเกิดนะ ทีแรกกิเลสเกิดเสียก่อน คราวหลังนี้ธรรมเกิดว่า การกินนี่ก็กินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ไม่เห็นได้รับความวิเศษวิโสอะไรเลย แต่การอดอาหารเพื่อจะบำเพ็ญธรรมอดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตายซี นั่นเห็นไหม คือการกินก็กินตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร เรามาอดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอา ตายก็ตายซี จิตมันก็ดีดผึงเลย นี่เรียกว่าธรรมเกิด แก้กันตก ไปได้สะดวกเลย ปึ๋ง ๆ

คำว่ากิเลสเกิดธรรมเกิดนี้จะเกิดในผู้ปฏิบัติ เรียนเฉย ๆ เราก็เรียนธรรมไม่เกิด นอกจากจะเป็นคติขึ้นมาเป็นบางวรรคบางตอน สะดุดใจกึ๊กอย่างนี้มีบ้าง ก็เรียกว่าธรรมเกิดเหมือนกัน แต่จะให้เกิดแบบภาวนาติดต่อกันไปเรื่อย ๆ นี้ไม่ค่อยเกิด ต้องเป็นทางด้านภาวนา ด้านภาวนากิเลสกับธรรมจะเกิดสวนหมัดกันเรื่อย ๆ อย่างที่ว่านี่ ต่อกรกับกิเลสก็ต้องต่อสู้กัน กิเลสเกิดแบบนั้นธรรมะสวนแบบนี้ ต่อกรกันไปเรื่อย ๆ ครั้นต่อไปธรรมะเกิดขึ้นเรื่อย กิเลสอ่อนลง ๆ นี่ละธรรมะเกิดขึ้นเรื่อย ปราบกิเลสไปเรื่อย นี่ธรรมะเกิดภายในใจ เกิดภายในใจด้วย อยู่ภายในใจด้วย เป็นกำลังอยู่ภายในใจด้วย เรียกว่าธรรมเกิด แก้ไปเรื่อย เบิกทางออกไปเรื่อย ๆ นี่ธรรมเกิดภายในหัวใจของผู้ภาวนา ผู้ไม่เคยภาวนาไม่เกิด

ผู้ภาวนาอย่างเอาจริงเอาจังดังที่ว่ามานี้แล้วปิดไม่อยู่ ใครโกหกท่านไม่ได้เลย เพราะท่านรู้อยู่กับใจ เกิดอยู่กับใจของท่านตลอดเวลา แล้วใครจะมาลบล้างได้ ความรู้ความเห็นทุกอย่างเกิดขึ้นในหัวใจตัวเองจะยอมให้คนอื่นมาตัดสินเหรอ เราต้องเป็นผู้ตัดสินเราเด็ดขาด ๆ ตลอดไปไม่เชื่อใคร นี่เรียกว่าธรรมเกิด ถึงขั้นธรรมเกิด เกิดตลอด เวลากิเลสเกิด เกิดตลอด อย่างสามัญชนเราทั่ว ๆ ไป พูดหมดแดนโลกธาตุนะ มีแต่กิเลสเกิดทั้งนั้น อยู่ที่ไหนกิเลสเกิดตลอดเวลา

กิเลสจริง ๆ รังของกิเลส อย่างท่านพูดว่า อวิชฺชาปจฺจยา นั่นรวงรังอันใหญ่หลวงของกิเลสที่มันเกิดนะ มันแตกแขนงออกมานั้นก็เป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เรื่อย แตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ กิเลสแตกออกตามแขนงนี้ไปเรื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับมีแต่เรื่องกิเลสแตกแขนงออกไป ๆ หาผลประโยชน์ให้มัน แต่หาฟืนหาไฟเผาไหม้เรา นี่เรียกว่ากิเลสเกิดในสามัญชน เกิดเหมือนกันหมดอย่างนี้ กิเลสเกิดตลอดเวลา

เอาทีนี้ เอาธรรมจับเข้าไป บำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม เริ่มต้นตั้งแต่มีทาน ทานเกิดแล้วนะ นั่นธรรมเกิดแล้ว เราไม่เคยทำบุญให้ทาน แต่เมื่อเราได้ยินได้ฟังแล้วเกิดความเชื่อความเลื่อมใส เราเริ่มทำบุญให้ทาน นี้ธรรมเกิดแล้ว ทานเกิดแล้ว จากนั้นศีลเกิดแล้ว เรารักษาศีลรักษาธรรมเรา ศีลเริ่มเกิดแล้วภายในตัวของเรา จากนั้นเราก็ภาวนา ภาวนาก็เริ่มตั้งต้นเอาอะไรมาบริกรรม ท่านก็สอนไว้แล้วว่าเอา พุทโธ หรือ ธัมโม หรือ สังโฆ เอาบริกรรมนะ นี่ธรรมเกิดแล้ว พุทโธ เกิดแล้ว ธัมโม เกิดแล้ว เริ่มเกิดแล้ว นี่ละรากฐานแห่งธรรมที่จะเกิด เกิดที่ตรงนี้ก่อนนะ เกิดมาตั้งแต่ทานแต่ศีลมาเรื่อย ๆ

ทีนี้ออกทางด้านภาวนา ทีนี้แตกกระจายนะภาวนานี่ ธรรมเกิดแล้วนี่ ทีนี้เข้าถึงองค์ภาวนา นักภาวนา ทีนี้ธรรมก็เริ่มเกิด ๆ สมาธิธรรม ความสงบร่มเย็นเริ่มเกิดแล้ว สมาธิธรรมเริ่มเกิดแล้ว จากนั้นปัญญาธรรมเริ่มเกิดแล้ว ปัญญาธรรมมีหลายประเภท แตกแขนงออกไปมีแต่แขนงของธรรมที่นี่ ไปที่ไหนมีแต่แขนงของธรรมเกิดแล้ว ๆ เหมือนกิเลสเกิดแต่ก่อนนั่นแหละ เป็นอัตโนมัติ

กิเลสมันเป็นอัตโนมัติของมัน มันเกิดตลอดเวลาไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครส่งเสริมมันด้วยเจตนามันก็เกิดของมันกิเลส เพราะมันมีกำลังมาก ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญธรรมให้ธรรมมีกำลังมากก็แบบเดียวกัน พอถึงขั้นธรรมเกิดแล้วทีนี้เหมือนกันเลยนะ อยู่ที่ไหนเกิดตลอดธรรม แก้กิเลสตลอดเวลาไม่มีอิริยาบถ นี่อัตโนมัติ ธรรมเกิดในหัวใจเป็นอัตโนมัติ จะว่าเพียรหรือไม่เพียรมันเพียรอยู่ในหลักธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แก้กิเลสโดยหลักธรรมชาติ อิริยาบถทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ธรรมแก้กิเลส ๆ เป็นอัตโนมัติของตัวเอง แล้วกิเลสตัวไหนมันจะมาจากป่าจักรวาลไหนมันจะทนได้ มันต้องถูกตปธรรม ไฟได้แก่ธรรมะเครื่องแผดเผาด้วยสติธรรมปัญญาธรรมเผาแหลก ๆ นี่เรียกว่าธรรมเกิด

ธรรมเกิดมาก ๆ แล้วเผากิเลสแหลก อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ อวิชชาดับ สังขารดับเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าธรรมเกิดแล้วดับไปหมด สุดท้ายก็ นิโรโธ โหติ เลย นั่น รวมยอดแล้วเป็นนิโรธธรรมทั้งนั้นดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ธรรมเกิดแล้วพอสิ้นสุดจากการว่าธรรมเกิดแล้ว ธรรมพอตัวแล้ว หรือว่าธรรมอยู่แล้ว จิตไม่หมุนแล้ว เครื่องหมุนของจิตคือกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว เครื่องหมุนของจิตไม่มีเรียกว่า ธรรมพอตัวแล้ว ธรรมอยู่แล้ว หรือธรรมบริสุทธิ์แล้ว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว บริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงแล้ว ถึงนิพพานแล้ว หรือเป็นธรรมธาตุแล้ว นี่ขั้นสุดยอดแห่งการปฏิบัติธรรม พอถึงขั้นนี้แล้วหมดเรื่องความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นมาจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีเหลือเลยภายในใจ นี่เรียกว่าท่านผู้เป็นบรมสุข ไม่มีอะไรกวนใจ

นี่การฝึกฝนอบรมตัวเอง ดังพระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายท่านเป็นสรณะของพวกเรา ท่านฝึกมาเป็นลำดับลำดา ผู้ง่ายก็มีผู้ยากก็มี แต่ต่างคนต่างบึกบึน ผู้ยากก็บืนไปตามยาก ผู้ง่ายก็บืนไปตามง่าย สุดท้ายก็เป็นผลเครื่องตอบแทนเป็นที่พึงพอใจเหมือนกันหมด นี่การฝึกทรมานตนเองไม่ได้เสียผลเสียประโยชน์อะไร แต่การปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามกิเลสนี้แหลกวันยังค่ำคืนยังรุ่ง หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ หายใจฝอด ๆ อยู่เวลานี้ เวลาตายจะไปไหนก็ไม่รู้นะ มันอยู่ด้วยความสงสัยสนเท่ห์ อยู่ด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้หัวใจ แต่ธรรมมีในหัวใจแล้วไม่เป็นอย่างนั้น อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดเย็นหมดสบายหมด ตายที่ไหนไปเลย เพราะธรรมกับใจอยู่ด้วยกันแล้ว ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ ให้พากันฝึกทรมาน อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป ทุกข์ยากลำบากเพื่อความดีไม่ขาดทุน แต่ทุกข์ยากลำบากเพื่อการทำความชั่ว ด้วยการทำความชั่วนี้จมไปทั้งนั้น ๆ พากันจำเอานะ

วันนี้พูดถึงว่ากิเลสเกิดธรรมเกิด ให้พากันเข้าใจนะ กิเลสเกิดมาตลอด เวลาดับกันด้วยความเพียรแล้วธรรมเกิดตลอด กิเลสดับไปตลอด นี่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เห็นไหมการเทศนาว่าการสอนพี่น้องทั้งหลาย นี่พูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักความจริงก็คือว่า ธรรมเกิด ธรรมเกิดแล้วก็ธรรมอยู่ ธรรมพอแล้ว สอนได้โลกนี้ เอา ๆ ใครจะมานั่นวะ ว่างี้เลย ก็ใจทั้งดวงเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว อัดอั้นตันใจที่ไหน เมื่อถึงขั้นเปิดแล้วมันเปิดอย่างนั้นจะว่ายังไง

เวลามันอยู่ในความตีบตันอั้นตู้ อยู่ที่ไหนมันก็มืด จุดตะเกียงไว้กี่ดวงก็ตาม ไฟฟ้ากี่แรงเทียนก็ตาม เอาพระอาทิตย์มาร้อยดวงก็ตาม มันก็มืดอยู่ที่หัวใจ แล้วเวลาใจมันเปิดจ้าออกมาแล้วเปิดไม่เปิดก็ตาม ไฟมันจ้าอยู่นี่แล้ว นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างไสวไม่มีอะไรเสมอเหมือนปัญญาเลย ปัญญาหลักธรรมชาติอยู่ในจิตดวงที่ผ่องใสเต็มที่แล้ว นั่นละอำนาจแห่งการทำความดี ผลส่งให้เป็นอย่างนั้น นี่ก็ได้พูดมาพอแล้วนะ สอนบรรดาประชาชนทั้งหลายมาจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีคำว่ายุติ แล้วแต่เหตุการณ์ที่จะควรสอนหนักเบามากน้อย มันก็จะได้สอนกันไปอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้

แต่ธรรมอยู่ที่ไหนเราไม่เคยคำนึง เราจะเอามาสอนพี่น้องชาวไทยเราหรือโลกไหนก็ตาม เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เราก็ไม่เคยได้คิดว่าเราจะเอาอะไรมาสอน นี่พวกเปรตพวกผี นี่พวกมนุษย์มนา นี่พวกเทวดาอินทร์พรหม เราจะเอาอะไรมาสอน เราจนตรอกแล้วธรรมประเภทของสัตว์เหล่านี้ไม่มี ธรรมประเภทของเปรตของผี ประเภทของมนุษย์มนา ธรรมประเภทของเทวดาอินทร์พรหมไม่มี เราจะเอาอะไรมาสอน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่ได้สนใจ เข้าใจไหม แล้วแต่อะไรที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องท่าน พวกเหล่านี้จะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร จะออกรับกันทันที ๆ เมื่อไม่มีอะไรที่จะมารับแล้วดึงก็ไม่ออก นั่นเรียกว่าธรรม พอดีตลอดเวลา

สมควรจะออกมากน้อยออกเอง ไม่สมควรจะออกทำยังไงก็ไม่ออก สมควรจะผึงทีเดียวออกทันที นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น อยู่ในความพอดี ๆ ในหลักปัจจุบัน ไม่มีอดีตอนาคตมาคาดมาหมาย เป็นหลักปัจจุบัน ขึ้นในหลักปัจจุบัน พอเหมาะพอดีทุกด้านทุกทางที่จะทำประโยชน์ให้โลกเป็นชั้น ๆ ไป พากันจำเอานะ นี่คือผลแห่งการปฏิบัติด้วยความตะเกียกตะกาย ผลเป็นขึ้นมาอย่างนี้เป็นที่พอใจ เข้าใจเหรอ

สรุปทองคำเมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑๐ บาท ๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๗๐ ดอลล์

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก