เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ทุกคนเป็นญาติกัน
ก่อนจังหัน
แมวมาอีกแล้ว จึงได้บอกพระให้จับเอา อึกทึกละต่อไปนี้ ด่าง ขาว เหลือง ไปเจอเอากุฏิท่านสุดใจดึกๆ เราไปเที่ยวดูข้างในไปเจอเอา โธ่ มาอีกแล้วยักษ์พวกหนู สัตว์ คืออันนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความหิวนะ มันขึ้นอยู่กับความเห็น เห็นแล้วกัดเลยๆ พอมองเห็นปั๊บด้อมเข้าใส่เลย หิวไม่หิวไม่สำคัญ เป็นอย่างนั้นละ
พระให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติทุกองค์นะ ให้เร่งความพากเพียร เรื่องความพากเพียรนี้อยู่กับสติ ท่านทั้งหลายอย่าลืมนะ สตินี่ตั้งเป็นพื้นฐาน ตั้งได้ด้วย เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอำนาจของสติหนุนตลอด กิเลสจะขึ้นไม่ได้ถ้าสติติดแนบอยู่แล้ว กิเลสจะมากขนาดไหนมันก็ขึ้นไม่ได้ สติทับไว้ๆ ถ้าเผลอเมื่อไรแย็บออกเลย นั่นละแย็บออกไปเอาไฟมาเผาเราแล้ว ดูหัวใจเจ้าของดูอย่างนั้นไม่ผิด นี่ดูมาแล้วจึงมาสอนหมู่เพื่อน ใครสติดีกิเลสจะไม่ออกเพ่นพ่านและไม่นำฟืนนำไฟมาเผาเจ้าของ พากันตั้งใจให้ดี
งานการภายนอกเรียกว่าพร้อมมาโดยลำดับ ดีมาโดยลำดับ เป็นไปด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีทุกอย่าง รู้จักกฎระเบียบภายนอกภายในของตน ภายนอกก็คือข้อวัตรปฏิบัติที่เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนกับอะไร ทำอะไรทำให้เรียบร้อย ถ้าทำด้วยความมีสติและปัญญาสอดแทรกอยู่ในนั้นจะเรียบร้อยๆ ถ้าไม่มีสติ เลอะเทอะไปหมดนะ ดูงานดูการนี้ดูเข้าไปหาความโง่ความฉลาด ความโง่คือสติไม่มี เมื่อสติไม่มีตั้งตัวไม่ได้ ความรู้นี้จะกระจายไปหมด และออกไปให้กิเลสถลุงเอาหมด ถ้าสติมีแล้ว ความคิดความปรุง หน้าที่การงานอะไรจะเรียบร้อยๆ ทำอะไรด้วยความเจาะจงๆ ด้วยสติๆ จำให้ดี
อดไม่ได้นะที่เกี่ยวข้องกับผม ผมจึงไม่ให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องในกุฏิผมนะ เข้าไปแล้วมันหากเห็น สิ่งที่จะขวางตาขวางใจออกมาจากความโง่ของพระนั่น ที่ว่ามาแก้กิเลสมาแก้ยังไง มองเห็นสิ่งที่ทำเอาไว้ๆ มีตั้งแต่เรื่องของกิเลส เรื่องความเซ่อซ่า กิเลสเหยียบหัวพระ มาแสดงกิริยาเอาไว้ในหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องกับกุฏิผม ผมจึงไม่ให้เข้าไปนะ ผมอยู่คนเดียวผมสะดวก ไม่มีอะไรแสลงหูแสลงตา คนนั้นเข้าไปคนนี้เข้าไป เอาแต่เรื่องเก้งๆ ก้างๆ เข้าไป มีแต่เรื่องกิเลส นี่พูดให้ชัดเจนเสียเลย
ผมอยู่กับหมู่เพื่อนเหมือนว่าหลับตาอยู่นะ ผมไม่ได้อวด เหมือนหลับหูหลับตา เหมือนไม่ได้ยินได้ฟัง เฉย ถ้ามากต่อมากก็ วากเสียทีหนึ่งๆ เราอยู่คนเดียวเราพอดีๆ ตลอด ถ้ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องแสดงความฉลาดให้เห็นมันไม่ค่อยมี มันมีแต่ความเก้งก้างๆ ตามนิสัยของตัวเองที่มีกิเลสฝังจมภายในนั้นแหละออกมาแสดงให้เห็นในข้อวัตรปฏิบัติทุกอย่าง ท่านทั้งหลายให้ดูหัวใจตัวเองนะ กิริยาแสดงออกมาภายนอกจะออกมาจากหัวใจ นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าละเอียดไหม ละเอียดขนาดนั้นละ ใครไม่เคยเรียนธรรม เรียนตั้งแต่กิเลส จบนั้นจบนี้จบมาสักเท่าไรก็มีแต่คลังกิเลสเต็มหัวใจ ครั้นเอามาแล้วกิเลสพอง เอาไฟเผากันทั่วโลกดินแดน มีแต่พวกที่เรียนมากๆ กิเลสเต็มหัวใจ มันเรียนหาอะไร
แผลงฤทธิ์ออกมาก็มีแต่เรื่องกิเลสแผลงฤทธิ์ ธรรมไม่ได้แผลงฤทธิ์ ถ้าลงธรรมแผลงฤทธิ์ โลกนี้จะมีความสงบร่มเย็น ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่สิ้นจากกิเลสแล้ว ความรู้ของเรานี้เป็นความรู้แห่งคลังกิเลส จะเอาไปแข่งพระพุทธเจ้าได้ยังไง แข่งไม่ได้ อย่าแข่ง อย่าอวดดีอวดเด่น เวลานี้กำลังกิเลสอวดดีอวดเด่น ในเมืองไทยชาวพุทธเรานี้แหละกิเลสอวดดีอวดเด่นกว่าอรรถกว่าธรรม เห็นธรรมเป็นผ้าขี้ริ้ว เหยียบไปเหยียบมาอยู่อย่างนั้น เห็นกิเลสเป็นทองคำทั้งแท่งเอามาเทิดหัวเจ้าของ โปะหัวเจ้าของ มันมีแต่กองขี้ทั้งนั้น ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง พากันพิจารณาให้ดีนะ
พูดจริงๆ เราไม่ได้พูดดูถูกโลก เราดูละเอียดลออมาก เราจึงบอกว่าเรียนโลกจบแล้ว เรียนธรรมก็จบ เรียนโลกจบแล้วคือว่าไม่ติดทั้งหมด ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเข้ามาติดใจ เรียนรู้มัน ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ธรรมก็พอตัวแล้ว พอตลอดเวลา จึงเรียกว่าบรมสุขก็อยู่ที่นั่น นิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่ไหน ให้เรียนตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าที่สอน ศาสดาองค์เอกเท่านั้นๆ ที่มาสอนโลก ไม่ได้หลุดลอดออกมาจากกิเลสตัณหาทั้งหลายให้มีความสุขความเจริญ จนกระทั่งถึงนิพพานได้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อย่าเอาอะไรมาอวดพระพุทธเจ้า นี่เป็นความรู้ของท่านผู้สิ้นกิเลส ความรู้ของท่านผู้เป็นบรมสุขภายในใจ ไม่มีทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายในพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน นั่นละท่านเอาธรรมอันนั้นมาสอนพวกเราที่เป็นกองทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟเต็มอยู่ในหัวใจทุกคนๆ
อย่าอวดดีนะ กิเลสมันชอบอวดดีเสมอๆ ทั้งๆ ที่มันเลวที่สุด อวดดีเท่าไรยิ่งเลวๆ คือกิเลสอวดดี มันไม่มีดี อวดออกไปก็เป็นเรื่องกิเลส ออกไปมันก็เลว อวดมากเท่าไรยิ่งเลว..กิเลส ถ้าธรรมท่านไม่อวด มันเป็นอยู่ภายในจิตใจนั่นแหละ พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ อย่าเร่ๆ ร่อนๆ ทำอะไรให้มีสติติดตัวๆ จำให้ดีคำนี้ สติออกมาจากใจ งานการอะไรก็ตามจะเรียบร้อยๆ ถ้าสติจับๆ ปัญญาจะแทรกเข้าๆ ถ้าไม่มีสติ ปัญญาก้าวเดินไม่ได้นะ เป็นความเซ่อซ่าไปหมด ถ้าสติจับเกาะติดเป็นหลักไว้แล้ว ปัญญาจะแย็บๆ ออกพอเป็นที่เข้าใจ
ผมก็ไม่ค่อยได้อบรมพระ ท่านทั้งหลายดูศาสนาที่เลิศเลอขนาดไหน ดูกิเลสมันเลวขนาดไหน ให้ดูที่หัวใจเจ้าของนะ มันดีดมันดิ้นตลอดเวลา ทุกวันนี้และตลอดมานี้มีแต่กิเลสดีดดิ้นบนหัวใจพระปฏิบัติเรานะ พระอื่นๆ เราไม่ว่าแหละ พระปฏิบัตินี่ พระวัดป่าบ้านตาดนี่มันเลวที่สุดนะ ไปที่ไหนเห็นพระเห็นเณรมีแต่เซ่อๆ ซ่าๆ คงจะเป็นเพราะหลวงตาคืออาจารย์มันพาเซ่อนั่นแหละ ลูกศิษย์ลูกหามันถึงได้เซ่อเอานักหนา ไปที่ไหนเห็นแต่เซ่อๆ ซ่าๆ ดูไม่ได้นะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
สติจับติด ความเพียรเป็นตลอด ถ้าลงมีสติแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ ถ้าสติจับติดๆ กิเลสจะเกิดไม่ได้ กิเลสหนาแน่นเท่าไรถูกสติบังคับไว้หมดๆ จากนั้นปัญญาออกๆ นี้ละจิตได้รับการส่งเสริมได้รับการบำรุงรักษาแล้วจะค่อยเจริญๆ ไม่เคยมีความสงบก็จะสงบได้ด้วยสติเป็นผู้รักษา กิเลสเข้ามากวนไม่ได้ พากันจำเอานะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานไปก็ไม่ได้ลงรถนะ ไปโรงพยาบาลเขา เราไปขนของลงปึ๋งปั๋งๆ เขาก็รุมมา อย่ารุมมา เราว่าอย่างนี้ อย่ารุมมา เราเบื่อคนพอแล้ว เราก็เป็นเรา เราก็เบื่อเรา คนเต็มนี้เราเบื่อคนเราไม่ลง ที่ลงสู้ที่นั่งรถไม่ได้ เขาก็หัวเราะ ไปทำท่านั้นทำท่านี้เหมือนจะกัดจะฉีก เขารู้ บอกว่าไปนะ เดี๋ยวอยู่นานถูกพวกนี้ขับมันเสียเกียรติ เอาอีกแหละ แล้วมาเลย ของเต็มรถพอดีนะ ไปทีไรๆ เต็มรถๆ แต่รถเรามันแข็งแรงทานน้ำหนักได้มาก ช่วยอย่างนั้นละช่วยโลกจะทำไง จนตรอกจนมุม คนไข้วิ่งเข้าไปหาหมอ พวกหยูกพวกยาก็เป็นหมอนั่นแหละ อาหารการกิน ถ้าคนไข้ในก็คือว่าค้างอยู่ข้างใน ค้างอยู่นั้น ก็ต้องทางโรงพยาบาลดูแลเลี้ยงอาหาร อย่างนั้นละ เราไปถึงได้เอาอาหารไปส่ง
เราเข้าไปดูจนกระทั่งครัวคนไข้ ของเล่นเมื่อไร ไปเที่ยวดูหมดแหละเรา มันเหมือนแม่ครัว ไปดูโรงพยาบาลแล้วไปดูห้องแม่ครัวทำอาหารเลี้ยงคนไข้ ไปดูหมดเลย นั่นละที่ได้ให้มาตลอดเพราะเราไปพิจารณาได้เหตุได้ผลมาเรียบร้อยแล้ว เราก็ให้มาเรื่อยๆ อย่างนี้ บางแห่งก็ให้เงิน บางแห่งก็ไม่ให้ ถ้าไกลๆ ให้ ถ้าธรรมดาอย่างนี้ไม่ให้ นี่ละอำนาจแห่งเมตตาธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นอย่างนั้นละ เมตตาธรรมไปที่ไหนถึงกันหมดนะ เมตตาธรรมอ่อนนิ่มไปหมดเลย เหมือนพ่อแม่กับลูก ลูกคนเล็กเท่าไรพ่อแม่ยิ่งรักมาก เป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งธรรมะมากๆ ยิ่งอ่อนลงถึงประชาชนและสัตว์ทั้งหลายทั่วโลก
ไม่เหมือนกิเลส กิเลสใหญ่เท่าไรยิ่งทะนงยิ่งเบ่ง กองเบ่งอยู่กับกิเลสนั่นแหละ ยิ่งไปเรียนมาสูงๆ มาแล้ว โอ๋ย เบ่งก้ามเหมือนบ้า เรียนสูงๆ มาแทนที่จะดีเฉลียวฉลาดให้เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้น้อยผู้โง่ทั้งหลายนี้ กลับเป็นตัวน่าเกลียด ว่าอย่างนั้นเลย เรียนมามากเท่าไรยิ่งน่าเกลียด ความรู้ชั้นนั้นชั้นนี้เต็มในพุง มีแต่ความรู้ของกิเลสหาความน่าดูไม่ได้ ผิดกันกับความรู้ของธรรม ความรู้ของธรรมไปไหนเย็นไปหมดเลย พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย เย็นไปหมด และท่านผู้มีศีลมีธรรมภายในใจไปไหนเย็นไปโดยลำดับลำดา นี่ละธรรมกับโลกต่างกันอย่างนี้ โลกไปที่ไหนมักจะเบ่งก้าม เอารัดเอาเปรียบทุกแบบทุกฉบับ เอารัดเอาเปรียบผู้น้อยๆ ตลอดไป เช่นปกครองบ้านเมืองมีอำนาจ ก็เอาอำนาจกลายมาเป็นอำนาจป่าเถื่อน กลืนประชาชนราษฎร กลืนอยู่ในนั้นแหละ เอาอำนาจบาตรหลวงเข้ามาใส่ๆ นี่คือกิเลสตัวหน้าด้าน หน้าด้านอยู่กับกิเลส ผู้ใหญ่เท่าไรถ้าไม่มีธรรม พวกนี้พวกหน้าด้าน
วงราชการต่างๆ ปกครองประชาชนราษฎรทั้งหลายหาความสุขไม่ได้ นี่ให้กิเลสปกครอง มันหน้าด้าน เดี๋ยวตั้งกฎนั้น เดี๋ยวตั้งกฎนี้ หากินตัวเองนั่นแหละ เอารัดเอาเปรียบเขา จ้องเอารัดเอาเปรียบเขาตลอด เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนี้ เรื่องธรรมไม่เอา อันไหนผิดอันไหนถูกพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ธรรมออกมาตามนั้นเลย
พุทธศาสนา ธรรมของพระพุทธเจ้า ลองดูซิใครดูถูกเท่าไรก็เหยียบเจ้าของตลอดๆ ว่าเด่นว่าดังว่ามีอำนาจบาตรหลวงมากก็มีแต่ลมปากเขาที่ว่าออกมาจากลมปาก หัวใจเขาดูถูกเหยียดหยาม ต่อหน้าเขาก็ไหว้พอไปเจอ ลับหลังเขาก็หลอก เขาแทงข้างหลัง มันเจ็บแสบมากเพราะแทงข้างหลังก็มี มันโมโห ตกลงกิเลสกับธรรมก็เลยกลายเป็นกิเลสไปด้วยกัน เข้าใจไหมล่ะ เพราะฉะนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลายหนักในธรรมนะ ถ้าท่านทั้งหลายอยากมองดูหน้ากันทั่วถึงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้มีธรรมนะ เอาธรรมดูนี้จะรู้ความลึกตื้นหนาบางของกันและกันและเห็นใจกัน
ถ้าเอากิเลสดูนี้ไม่เห็น ดูเท่าไรยิ่งเอารัดเอาเปรียบเหยียบหัวคนทั่วโลกดินแดน นี่ละกิเลสมันหาเหยียบหัวคน มันต่ำๆ แหละกิเลส เหมือนฝ่าเท้านี่ต่ำๆ แต่มักเหยียบสูงๆ ภูเขามันก็ขึ้นเหยียบได้ อันนี้หัวคนมันก็เหยียบ คนมีกิเลสหนาไม่มีธรรมในใจหาความผาสุกร่มเย็นไม่ได้ เรียนมาจากชั้นไหนประเทศใดก็มีแต่ประเทศมีกิเลส อาจารย์ผู้ฝึกฝนวิชาหรือประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ก็เป็นคลังกิเลส ออกมาแล้วก็กระจายออกไป แผ่แขนงออกไปเป็นกิเลสทั่วโลกดินแดน
ถ้าธรรม เอ้า เข้าไปศึกษาซิ ตั้งใจศึกษาธรรมอบรมธรรมดูซิ เหมือนเราเข้าไปศึกษาเมืองนอก ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ให้ผู้ไปศึกษาธรรมะนี้เหมือนคนไปศึกษาวิชาทางโลกภายนอกแล้วจะเย็นมากนะ เมืองไทยเมืองไหนก็ตามถ้าไปเรียน คือเรียนเป็นธรรม ไม่ใช่เรียนสักแต่เอาชื่อเอาเสียงมาเป็นหนอนแทะกระดาษนะ เรียนธรรมเป็นหนอนแทะกระดาษก็มีเยอะ สมัยปัจจุบันนี้มันเป็นหนอนแทะกระดาษ เรียนจำมาแล้วเอาชื่อเอาเสียงมาเบ่งอีกแหละ นั่น มันเป็นกิเลสไปแล้ว ถ้าเป็นธรรมไม่เป็น เรียนมากเรียนน้อยยิ่งรู้เหตุรู้ผลหนักเบามากน้อย จิตยิ่งอ่อนลงๆ อ่อนลงรับกันกับโลกทั่วๆ ไป ทีนี้เข้ากันได้หมด นี่ละผู้มีธรรมเป็นอย่างนั้น ต่างกันมากนะ
ขอให้ท่านทั้งหลายมองดูหัวใจตัวเอง ที่มันลุกเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นั้นตลอดเวลา เอาสติจับดูบ้าง จะเป็นเหมือนน้ำดับไฟ มันเป็นอะไรมันถึงร้อนเอานักหนา ก็ว่าเรียนรู้มากมายๆ กิเลสมันยิ่งพองตัวขึ้นๆ มันเรียนมาเพื่ออะไร ก็เรียนมาเพื่อกิเลส เพื่อกิเลสก็เพื่อเผาเจ้าของ แล้วก็เผาชาติบ้านเมืองไปหมด นี่เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น นี้เอาแต่เรื่องอวดเบ่งอวดดิบอวดดีลมๆ แล้งๆ มาอวดกันละซิโลกถึงได้ร้อน ถ้าเอาธรรมมาประกาศไม่ต้องอวด หากเป็นเองนะ ไม่อวด เย็นไปหมดนั่นแหละธรรม ต่างกันมากนะ
คนที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสนใจกับธรรมนี้ นี่ละผู้ที่ว่าได้ดิบได้ดีไปเรียนสูงๆ มา ตัวนี้ตัวเลวมากที่สุด เรียนมามีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง เผาตัวเองละก่อน จากนั้นก็เผาคนอื่นไปตามๆ กัน แล้วก็ตื่นลมตื่นแล้งกันอยู่อย่างนั้นตลอดไม่จืดจางนะกิเลสหลอกคน ถ้าเป็นธรรมจับปั๊บ ผิดตรงไหนรู้ทันทีๆ แก้ปั๊บๆ นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วก็เย็นไปเรื่อยๆ นี่มันมีตั้งแต่ความร้อน
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ เดี๋ยวนี้มันเป็นเมืองฟืนเมืองไฟไปแล้วนะ เพราะไม่มีธรรมในใจ มีแต่เมืองพุทธจากลมปากเฉยๆ หัวใจไม่มีธรรมมันก็ไม่มีความสงบร่มเย็นต่อกันได้ละ เห็นกันก็คอยแต่จะเอารัดเอาเปรียบท่านั้นท่านี้ ถ้าธรรมมีแต่ความเมตตา ควรช่วยเหลือยังไงๆ พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกได้ เราไปตามโรงพยาบาลนี่ละ ไปหนองบัวลำภู ทางโค้งเขาจะมีรั้วกั้นเอาไว้ขอบทาง รถมันมักแฉลบไปชนเอานั้นละ เห็นรถจอดกันอึกทึก มันยังไงกัน เลยไปดู รถคันนั้นมันแฉลบไปยังไง แต่มันไม่ตกเขา มีรั้วกั้นเอาไว้ไม่งั้นหล่นเลย รั้วอันนั้นก็ดีอย่างหนึ่ง อ๋อ มีผลดีอย่างนี้เราก็ดู
แล้วหน้าหรือตรงไหนแตก เห็นเลือดไหล เราก็จอดรถดู ถ้าหากว่าจำเป็นมากกว่านั้น เราจะโทรไปถึงโรงพยาบาลทันที ให้เอารถมารับคนนี้ไปโรงพยาบาลเป็นคนไข้ของเรา นั่นฟังซิน่ะ ตัวเท่าหนูมันก็เป็นในหัวใจจะว่าไงไปเรียนที่ไหน เห็นเหตุการณ์เข้ามาปั๊บมันจะคิดหาทางช่วยเหลือ เมตตานี้จะมาพร้อมกันเลย ไปดูทุกอย่างเรียบร้อย ตัวเขาเองก็ลงมา เป็นผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี ในรถคันนั้น ดูเขาแข็งแรงปึ๋งปั๋งๆ ไม่เห็นมีอะไร ก็มีแต่เลือดนิดๆ แล้วดูรถก็ไปชนรั้วขอบทางแล้วก็หยุดอยู่เสียไม่ลง ก็ไม่มีอะไร แต่คนคงจะไปกระทบของในรถนั่นแหละ ดูเหมือนแถวนี้แตก เห็นเลือด คนนั้นละวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในรถ แสดงว่าเขาไม่สนใจกับมัน เรียกว่าเจ็บไม่มาก เราก็เลยผ่านไป ถ้าหากว่าหนักกว่านั้นจะโทรศัพท์เดี๋ยวนั้นเลยถึงโรงพยาบาล ให้มารับคนๆ นี้ไปเป็นคนไข้ของเราทันทีเลย พอเรากลับมาก็จะติดตามเข้าไปเลย
นี่ไม่คุยนะมันเป็นในหัวใจจะว่าไง ไปที่ไหนมีแต่ไปด้วยความเมตตาสงสารทั้งนั้น เราไม่ได้ไปอะไรอื่น เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด เรื่องธรรมไปแล้วไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ถ้ากิเลสไปเป็นภัยทั้งนั้น มากน้อยเป็นลำดับลำดา ถ้าธรรมแล้วไม่มีภัย ไม่เป็นภัย ตัวเองไม่มีภัยแล้วจะเอาภัยที่ไหนไปเผาคนอื่นล่ะ ไม่เป็น นี่ละธรรม ให้ท่านทั้งหลายสนใจในธรรมนะ ถ้าอยากมีจิตใจอ่อนโยนมองหน้ากันทั่วถึง มองดูเขาดูเราคนเต็มตัวเหมือนกัน ให้มองกันด้วยความเต็มตัวเหมือนกัน แล้วก็มองกันเต็มหน้า สงสารกัน
ญาติมิตรของเราก็คือพวกเรานี่แหละเป็นญาติมิตรกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันทั้งนั้น เราจะไปหาญาติหามิตรมาจากที่ไหน เราเป็นมนุษย์ด้วยกัน เป็นญาติเป็นมิตรพึ่งเป็นพึ่งตายกัน มีความจำเป็นที่ไหนช่วยเหลือกันทันทีๆ นี้เรียกว่าญาติมิตร เราจะไปคอยหาโคตรหาแซ่ของเรามาช่วย โคตรแซ่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนซิ คนนั้นตายได้ ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีธรรมแล้วช่วยกันทันทีเลย นี่ละมนุษย์ช่วยกันช่วยอย่างนี้นะให้ดูเอา
มนุษย์อยู่ร่วมกันต้องหวังพึ่งกัน อย่าไปเอารัดเอาเปรียบกันใช้ไม่ได้นะ มองดูเขาให้มองดูเขาเต็มตัวเหมือนดูเราเต็มตัว มองดูใครให้ดูเต็มตัว อย่าไปมองด้วยความดูถูกเหยียดหยาม เห็นเป็นคนขาดบาทขาดตาเต็งไปเลย ไอ้เรานี้มันเลยบ้าไปแล้วคนนั้น เข้าใจไหม ว่าเขาคนนั้นขาดบาทขาดตาเต็ง เขาด้อยกว่าเราๆ เราสูงกว่าเขา ไอ้สูงแบบนี้มันสูงลงนรก เข้าใจไหม โดดละซิ ลงละที่นี่ โดดแล้วก็ลงนรก สูงเพราะจะลงสูงแบบนี้ พากันจำนะ
มนุษย์อยู่ร่วมกันอาศัยกันทุกคนเป็นญาติกันทุกคน อย่าไปมองว่าคนใกล้คนไกล อย่าไปมอง พอช่วยเหลือขนาดไหนให้รีบช่วยเหลือกัน มนุษย์เราอยู่ร่วมกัน นี่ละมนุษยธรรม มีธรรมในใจ จะสมกับนามว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ เห็นกันเต็มตัวเห็นกันเต็มหน้าเต็มตา ช่วยกันได้เต็มที่เต็มฐาน นี่เรียกมนุษย์อยู่ด้วยกัน อาศัยกันพึ่งกันเป็นอย่างนี้นะ อย่าไปคอยตั้งแต่ญาติโน้นคนนี้ มองดูคนห้าสิบสตางค์ มองดูสองสลึงบ้าง หนึ่งสลึงบ้าง ว่าตัวเลยบาท เลยบาทมันก็คือบ้านั่นแหละ เข้าใจไหม ไม่ใช่ธรรมดา คนเลยบาทคือคนบ้า คนเต็มบาทเป็นคนมีอรรถมีธรรมเต็มตัว คนขาดสองสลึงห้าสลึง นั่นก็เป็นอีกประเภทหนึ่งตามกรรมของเขา ถ้าไปมองว่าเขาขาดเท่านั้นเท่านี้ เราก็ขาดบาทอีกด้วยนะ มันมีหลายแง่อีกนะ ถ้ามองด้วยความเมตตาเราเต็มบาท พากันจำเอานะ
ธรรมนี้ประสานมนุษย์ ประสานกันไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่ได้ พึ่งกันไม่ได้ไม่มีทางพึ่งนะ ธรรมเท่านั้นที่จะให้โลกทั้งหลายได้พึ่งกันได้ ผู้ใหญ่ผู้น้อยเอาหัวใจของเราของเขา เอาคนของเขาของเราเต็มตัวมาด้วยกัน หัวใจเต็มหัวใจด้วยกัน มองกันแล้วจะเห็นความผิดถูกชั่วดี แล้วคนที่ช่วยเหลือกันได้อะไรๆ ช่วยเหลือได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นั่น นี่เรียกว่ามองกันเต็มตัว อย่าไปมองด้วยความดูถูกเหยียดหยามมองแบบเย่อหยิ่งจองหอง คนๆ นั้นเป็นอันธพาล สูงเท่าไรเป็นอันธพาล ว่าตัวใหญ่เท่าไรหยิ่งเท่าไร นั่นละอันธพาลตัวใหญ่อยู่ตรงนั้น พากันจำ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละไม่เทศน์มาก ได้เทศน์ทุกวันๆ นี่ก็ออกทางวิทยุนะ ออกทั่วโลกเลย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |