สิ่งติดตัวที่โลกมองไม่เห็น
วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 เวลา 7:55 น. ความยาว 35.31 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

สิ่งติดตัวที่โลกมองไม่เห็น

 

         เมื่อวานนี้เป็นวันหยุดราชการ อย่างด่าน(ป่าไม้) นี้ไปเมื่อไรก็ได้วันราชการไม่ราชการ วันเสาร์ อาทิตย์ ได้ทั้งนั้นด่านนะ แต่โรงพยาบาลต้องกำหนด วันราชการค่อยไป เมื่อวานดูเหมือนมาสองโรง มีโรงพยาบาลมาสองโรง ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วันราชการเขาก็มาได้ตามอัธยาศัยของเขา เช่นอย่างวันหยุดชดเชยเมื่อวานนี้ก็ แวงใหญ่ กระนวน กระนวนอยู่เขตขอนแก่น แวงใหญ่ก็ขอนแก่นเหมือนกัน เมื่อวานมาสองโรง แวงใหญ่อยู่ทางทิศใต้ขอนแก่น กระนวนอยู่ทางทิศเหนือขอนแก่น มาสองโรงเมื่อวาน อันนี้ให้เป็นตามอัธยาศัยของเขา วันเสาร์ วันอาทิตย์ ก็มักมีมาอยู่เสมอ เป็นเรื่องของเขาพร้อมแล้วเขามาก็ไม่มีอะไร ถ้าวันหยุดเราไม่ไปละ ไปก็ไม่เหมาะ เพราะหมออะไรๆ เขาก็หยุดไปตามๆ กัน นี่หมอจัดมาเอง ถึงจะเป็นวันหยุดราชการหมอเป็นคนเซ็นให้มาเอง ของก็สมบูรณ์เต็มที่

เราปฏิบัติต่อประชาชนมาตลอดตั้งแต่เริ่มสร้างวัด สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นวัดที่ทำประโยชน์ให้โลกได้อย่างเปิดเผยแท้จริง ไม่สะทกสะท้านใครจะว่าตำหนิติชมประการใดก็ตาม เรียกว่าไม่มีที่จะลบล้างได้เลยการทำประโยชน์ให้โลก อันนี้เพราะความเมตตาครอบตลอดเวลา สมบัติเงินทองข้าวของที่มีมากน้อยเข้ามาในวัดนี้จึงไม่ตกไม่อยู่ ต้องออกกระจายทั่วประเทศไทยของเรา ที่ไหนจะใกล้จะไกลมันหากไปของมันเอง อย่างนี้ตลอดมา ที่ว่าช่วยชาตินี้เราออกอย่างเปิดเผยเฉยๆ สำหรับที่ช่วยอยู่ตลอดเวลาประจำวัดนี้นั้นมีมาดั้งเดิมแล้ว ตั้งแต่เริ่มแรกก็สร้างโรงร่ำโรงเรียน โรงร่ำโรงเรียนสร้างมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัดแหละ โรงพยาบาล ไม่มากก็เริ่มแล้วไปโดยลำดับลำดา จากนั้นก็บานปลายแหละ อย่างทุกวันนี้เรียกว่ากระจายไปหมดเลย

เราทำนี้เราทำด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้นถึงกว้างขวาง ในวัดนี้ไม่มีอะไรได้เลย มีไม่ได้ มีมาก็เพื่อออกๆ ทั้งหมดเลย ไม่มีที่จะเก็บ มีแต่เพื่อออกๆ ทั้งนั้น เพราะความเมตตา เวลาเราขึ้นรถไปนี่เป็นเหมือนแม่ครัวนะ มองเห็นอะไรมีแต่จะเอาๆ ท่าเดียว ก็เมตตานั่นเองไม่ใช่อะไร ช่วยทุกแบบ บางทีไปเห็นเขาขี่มอเตอร์ไซค์มีสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ติดแนบอยู่ข้างๆ เขาขี่รถไปขายของตามข้างถนน เรามองไปเห็นก็ให้จอดรถ ลงไปปั๊บซื้อเขาเอาสักชิ้นหนึ่งเท่านี้ แล้วให้เงินเขาเท่านั้นแล้วก็ไป แต่ที่เราจะรออยู่ทุกแห่งทุกหนมันเสียเวลา เราจะลงเฉพาะสถานที่ควรลงเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าจะลงเรื่อยๆ นี้ไปไม่ถึงไหนแหละ เป็นอย่างนั้นความเมตตา เรี่ยราดไปหมดเลย

จิตมาอยู่ในความเมตตานะ รวมทั้งหมดลงในความเมตตาที่เด่นครอบโลกไปหมดเลย กระจายออกเป็นเมตตาไปหมดเลย มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตามหากรุณาธิคุณ และทำประโยชน์ให้โลกอย่างกว้างขวาง นี่คือพระพุทธเจ้าของเรา เป็นศาสดาองค์เอก ทรงพระเมตตาเป็นพื้นฐานมาแล้วตั้งแต่ตั้งศาสนาขึ้นมา ก็กระจายมาเรื่อยๆ ถ้ามีธรรมในใจแล้วเมตตามีละ มันหากมี ถ้ามันมีในนี้แล้วมันจะค่อยกระจาย เหมือนน้ำเทลงนี้ปั๊บมันก็จะไหลออกๆ ไปกระจายออกไป มีมากมีน้อยเท่าไรไหลกระจายออกไปหมดเลย ไม่ตกไม่ค้าง

สำหรับเรานี้พูดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ว่าไม่มีอะไรที่จะตกค้างในหัวใจเรา เราไม่มี สมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยจะไม่มีอยู่ในนี้เลย จะออกไปหมด สำหรับเรามีแต่คำว่าพอแล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรบกพร่องเลย พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการบำเพ็ญธรรมมาโดยลำดับลำดาตั้งแต่ต้นที่ออกประพฤติปฏิบัติ การรักษาศีลรักษาธรรมเวลาบวชนี้เป็นประเภทหนึ่ง แต่การออกปฏิบัติกำจัดกิเลสนี้เป็นประเภทที่หนักมากทีเดียว เป็นประเภทที่ชีวิตจิตใจเข้าแลกกันเลย บางครั้ง เอา ใครดีอยู่ ใครไม่ดีตกเวที มี แต่ไม่เคยสลบนะ เราก็ยอมรับว่าเราไม่เคยสลบ แต่เฉียดตลอด หากไม่เคยสลบก็บอกว่าไม่เคยสลบ อย่าว่าแต่เพียงสลบ ถึงขั้นจะควรตาย เอ้าตาย นั่น มันมีอยู่แล้ว ขีดเส้นไว้แล้ว ถ้าถึงขั้นที่ควรตายไม่มีเสียดายชีวิต ผึงเลยเทียว แต่ไม่ถึงขั้นนั้น มันเฉียดๆ ก็ผ่านไปๆ

เรื่องฆ่ากิเลสเป็นสิ่งที่ลำบากมากทีเดียว เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงไม่มีใครสนใจจะแก้ไขถอดถอนกิเลสจากหัวใจ นอกจากจะส่งเสริมให้มากมูนขึ้นมา เพื่อก่อฟืนก่อไฟความยุ่งเหยิงวุ่นวายเผาตนและผู้อื่นให้เดือดร้อนไปทั่วโลกดินแดน มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสแผ่อำนาจทั้งนั้น แต่โลกมองไม่เห็นกัน พระพุทธเจ้าจึงได้ท้อพระทัยซิ พระองค์มองเห็นหมด ธรรมนี้จ้าหมดเลย เห็นหมด เรื่องความทุกข์ความเดือดร้อนมีสาเหตุเป็นมาจากอะไรๆ มาจากกิเลสทั้งนั้นเป็นผู้ถือบังเหียนอยู่นี้ ไม่มาจากอะไร มาจากกิเลสทั้งนั้น ถ้ามีธรรมเข้าแทรกก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป มีการยับยั้งชั่งตัว โลกก็พอสงบได้บ้าง

ความมั่งมีศรีสุข ความดีความเด่นในยศถาบรรดาศักดิ์ นั้นเป็นเรื่องของกิเลสเสริมทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของธรรมนะ กิเลสเสริมให้ลืมเนื้อลืมตัว แล้วดีดดิ้นอยากได้ไม่มีเมืองพอแหละ ดิ้นตลอดจนกระทั่งถึงวันตายแล้วก็ตายได้เช่นเดียวกับโลกทั่วๆ ไปนั้นแหละ แต่กิเลสมันไม่ยอมรับ ตายก็ตาย ฟาดให้มันได้ถึงใจ ตายก็ตายไปอย่างนั้นแหละ ตายแล้วไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว สมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยทิ้งเกลื่อนอยู่ เหมือนกับร่างกายเจ้าของทิ้งไว้นั้นแหละ ใครจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ เจ้าของหมดอาลัยตายอยากแล้ว สลัดลงไปแล้ว เรียกว่าตายแล้ว เหมือนวัตถุทั้งหลาย ก็เหมือนกันกับนี้แหละไม่มีใครเอาไปได้

สิ่งที่ติดตัวที่โลกมองไม่เห็น พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นได้ชัดเจน พระสาวกอันดับที่สองมองเห็นได้ชัดเจน คือ บาปและบุญติดอยู่กับหัวใจ นี่ละพาให้ไปเกิดในภพชาติต่างๆ มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน เพราะบาปบุญมีมากมีน้อยภายในจิตใจ อันนี้เป็นเชื้อพาให้เกิดดีชั่วต่างๆ ท่านจึงแสดงว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมเป็นเครื่องจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามต่างกัน เพราะฉะนั้นสัตว์โลกเกิดแม้จะเป็นประเภทเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน มนุษย์เหมือนกันก็ไม่เหมือนกัน รูปร่างกลางตัวก็ไม่เหมือนกัน ลักษณะท่าทีกิริยาจริตนิสัย ความมีความจน ความโง่ความฉลาด ไม่ได้เหมือนกันเลย มันฝังอยู่ในจิตใจพาให้มาเกิด การแสดงออกจึงแสดงออกจากใจทั้งนั้นแหละ อันนี้ติดตัว

ท่านจึงให้ระวังสิ่งที่ติดตัวที่เป็นภัยแก่ตัวเองคือบาปกรรม อย่าพากันหาญทำนะ หาญทำก็คือหาญทำลายตัวเองนั้นแหละไม่ใช่อะไร อะไรที่ไม่ดีพระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อ ถ้าเชื่อกิเลสแล้วจะจมไปตลอด ถ้าเชื่อธรรมแล้วจะฟื้น มีทางหลบตัวหลีกตัวให้เล็ดลอดไปได้ ถ้าเชื่อธรรมมีทางเล็ดลอดได้ ถ้าเชื่อกิเลสแล้วก็จมไปตลอด นี่พูดถึงเรื่องการทำประโยชน์ให้โลกของเรา เริ่มต้นมาตั้งแต่เข้าต่อกรกับกิเลส ฟัดกันเต็มเหนี่ยว ไม่มองดูเมฆหมอกดินฟ้าอากาศที่ไหน มองแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจเท่านั้น จะเป็นจะตายถึงขั้นจะสลบไสลก็มีก็ไม่ยอมถอย เอาเสียจนกระทั่งกิเลสทนไม่ได้เหมือนกัน เมื่อการต่อสู้ไม่มีการยับยั้งชั่งตัว ฟาดกันเต็มเหนี่ยวๆ  ควรเป็นเป็น ควรตายตาย สุดท้ายกิเลสก็ม้วนเสื่อลงไปได้ เอา พังข้างนี้ พังข้างนั้น

เวลาเราอ่อนมันก็ตีเราทันที พอตีเราก็หลบๆ หลบฉากกันเหมือนนักมวย เอากันจนกระทั่งหลายครั้งหลายหน ความชำนิชำนาญในการชำระกิเลส ก็มีความชำนิชำนาญ เฉลียวฉลาดแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ กิเลสก็ค่อยขาดไปๆ ฟาดเสียจนกระทั่งม้วนเสื่อแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่จะเข้ามายุ่งภายในจิตใจ กิเลสเป็นตัวสมมุติอันเลิศเลอสุดยอดที่สุดที่โลกมองไม่เห็น เลิศเลอก็เลิศเลอของคนหลงกิเลสนั่นแหละ ของพวกคลังกิเลส หลงตามมันทั้งนั้น ที่จะเห็นว่ากิเลสไม่ดีนี้รู้สึกจะไม่มีนะ อันนี้ละกล่อมโลก ทำให้โลกลืมเนื้อลืมตัวอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่อะไร มีแต่กิเลส

ดูกันก็ดูด้วยความเอาฟืนเอาไฟเผากัน ถ้าธรรมดูกันนี้พรากไฟจากกัน เอาน้ำดับไฟไปเรื่อยๆ ถ้าธรรมดู ต่างกันนะ พระพุทธเจ้าดูโลกดูด้วยธรรม โลกดูโลกดูด้วยความตาบอดหูหนวก เอาหัวชนกันเลย เพราะฉะนั้นไปที่ไหนจึงมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะต่างคนต่างโง่เขลาเบาปัญญากับกลมายาของกิเลส ไม่ทันมัน มันจับหัวชนกันๆ ไปเรื่อยๆ พูดถึงตอนนี้น่าสลดสังเวชมากนะ พระพุทธเจ้าก็มีเพียงพระองค์เดียว ทรงเล็งญาณดูทราบหมด แต่เรื่องของโลกมันเป็นมาตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ แล้วจะไปแก้ไขอย่างไร ก็แก้ไขเท่าที่แก้ไขได้เท่านั้นเอง ที่จะไปลบล้างมันหมดนี้ไม่ได้ ถ้าลบล้างหมดแล้วพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ปั๊วะเดียวหมดเลย กิเลสหมอบราบ โลกนี้สงบร่มเย็นเป็นนิพพานทั้งเป็นไปเลยละ แต่นี้ทำอย่างนั้นไม่ได้ซิ จึงต้องให้ต่างคนต่างช่วยตัวเอง ตะเกียกตะกายแก้ไขดัดแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วจะค่อยเล็ดลอดไปตามรายของบุคคลที่มีความรักตน แล้วค่อยชำระสะสางตน พยายามบำเพ็ญตนให้เป็นคนดีไปเรื่อยๆ ก็จะมีทางดีไปเรื่อยๆ

วิถีจิตที่เกิดตายคือจิตดวงนี้ไม่เคยตาย จำให้ดี อันนี้เป็นพื้นฐาน ไม่เคยมีเลยว่าจิตดวงใดก็ตามตายแล้วสูญไม่มี มีแต่ตายแล้วเกิดๆ นี่ละที่ว่าเป็นนักท่องเที่ยว ออกจากร่างนี้ปั๊บเข้าสู่ร่างนี้เรียกว่าเกิด เข้าร่างนั้น ตายแล้วนี้แล้วออกเข้าไปสู่ร่างนั้น เรียกว่าเกิดว่าตายๆ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปอย่างนั้นด้วยบุญด้วยกรรมของตัวเอง ถ้าบุญมีกรรมดีมีก็เปลี่ยนชาติต่ำไปสู่ชาติสูง ถ้ากรรมชั่วก็เปลี่ยนสูงปั๊บลงไปหาต่ำ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อเราชำระมากเข้าๆ มันก็เปลี่ยนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปจนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน พอถึงนั้นแล้วปั๊บหมดทางเปลี่ยน นี่จิตอันนี้เป็นธรรมธาตุแล้ว

ที่เกิดตายๆ มาตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ไม่เคยฉิบหาย คือจิตดวงนี้ จะทนทุกข์ทรมานขนาดไหนยอมรับ แต่ความฉิบหายของจิตไม่มี นี่ละถึงเล็ดลอดออกมาได้ เวลาพ้นกรรมมาเป็นลำดับลำดาแล้ว ก็มาเป็นจิตตามเดิม แล้วก็ฟิตทางความดีเข้าสู่ตัวเองเรื่อยๆ พอฟิตเรื่อยแล้วก็เปลี่ยนจากสภาพที่อยู่ที่ได้รับความทุกข์ความลำบาก เพราะบาปกรรมที่ตนทำด้วยความโง่เขลาเบาปัญญานั้นออกเรื่อยๆ กลายเป็นจิตดีคนดีขึ้นไป แล้วเปลี่ยนสภาพขึ้นไปเรื่อย ให้จำข้อนี้ให้ดี

เรื่องจิตนี้ไม่มีคำว่าสูญ ใครจะว่าตายแล้วสูญสักเท่าไรมีแต่ลมปาก ไม่มีความหมายอะไรเลย ความหมายที่แท้จริงที่ว่าลบไม่สูญก็คือ ตายแล้วไม่มีคำว่าสูญ จิตไม่มีสูญ ทราบกันด้วยภาคปฏิบัติถึงได้ทราบอย่างชัดเจนทีเดียว เราคาดเดานี้ทั้งวันผิดกันทั้งเพ ถ้าภาคปฏิบัตินี้จะจับตัวมันได้โดยลำดับตามรอยของจิตซิ ภาคปฏิบัตินี้คือตามรอยของจิต ร่องรอยของจิตเป็นมายังไงๆ จิตตภาวนานี้จะตามร่องรอยมันเรื่อยๆ ทราบเรื่อยไป แล้วขัดเกลาเรื่อยๆ มันเศร้าหมองผ่องใสเพราะเหตุผลกลไกอะไร ก็ติดตามแก้ไขดัดแปลงชะล้างไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นจิตดีขึ้นมา

เช่นจิตของเราอย่างทุกวันนี้ มันวุ่นวายหาหลักหาเกณฑ์ได้ที่ไหน โลกนี้มากแสนมาก ใครมีหลักเกณฑ์เป็นที่ตั้ง เป็นที่ตายใจของตัวเอง เป็นที่พึ่งที่อาศัยมีไหม เราอยากจะพูดว่าไม่มีนู่นน่ะว่าไง ก็อยู่กับสิ่งทั้งหลายที่เกลื่อนกล่นอยู่นั้น แต่มันไม่ใช่ที่พึ่งของจิต พอจะทำจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นเป็นสุข เพราะอาศัยนั้นเป็นที่พึ่งมันไม่มีนะ พอธรรมสู่ใจเท่านั้นเอง มันจะเริ่มรู้ทันที เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนา พอเริ่มเข้าสู่ใจมันจะปล่อยนั้นเข้ามา ที่พะรุงพะรังทับหัวจนมองไม่เห็นหมอกเห็นเมฆอะไรเลยนั้น จะค่อยจางไปๆ จิตตภาวนามีความสงบร่มเย็น การทำบุญให้ทาน นี่ละเป็นเครื่องบุกเบิกสิ่งเหล่านี้ออกช่วยกันๆ จิตตภาวนาเป็นแกนนำแล้วก้าวเดินไป จิตนี้จะค่อยสง่างามขึ้นมาๆ นี่ละที่เรียกว่าตามรอยของจิต ดูความเกิดตายของจิต ตายแล้วมันสูญไหมหรือไม่สูญ ดูตรงนี้

ทีนี้เวลาชำระตั้งแต่มันเศร้าหมองมืดตื้อนี้ จนเป็นความผ่องใสสง่างามเรื่อยๆ ตามไปเรื่อย ทีนี้ยิ่งผ่องใสขึ้นเรื่อยๆ สิ่งใดที่มาเกาะมาพัวพันเป็นกาฝากๆ ภายในจิตนี้ ชำระออกๆ เรื่อยๆ เอาเสียจนกระทั่งหมดกาฝาก เมื่อรวมแล้วเป็นสมมุติด้วยกันทั้งบาปทั้งบุญติดอยู่ในจิต ส่วนดีนั้นเป็นเครื่องสนับสนุน ส่วนชั่วเป็นเครื่องทำลาย มันเป็นของติดอยู่เหมือนกับกาฝากนั้นแหละ แต่บุญเป็นสิ่งที่สนับสนุน ส่วนบาปเป็นสิ่งที่ทำลาย เวลาถึงขั้นสุดท้ายแล้วปัดทั้งหมดเลย หมดโดยสิ้นเชิง จิตนี้ผึงออก นี่ละสูญไหม

นี่ละดูตั้งแต่ต้นเราภาวนา ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน จนถึงขั้นสง่างามสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคง มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบภายในตัวเป็นลำดับลำดา สว่างจ้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจิตดวงนี้รอบตัวแล้วปัดออกหมดในบรรดาสมมุติทั้งมวล ดีดผึงละ นี่ละธรรมธาตุ สุดท้ายของจิตดวงนี้ไปอยู่ธรรมธาตุ ไม่มีสูญ เป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว นี่ละผลแห่งการชำระเป็นอย่างนั้น ผลแห่งการอบรมจิตใจ ทำตัวให้เป็นถึงขั้นธรรมธาตุแล้ว ใครจะเดือดร้อนทั่วโลกดินแดนในสามแดนโลกธาตุนี้ ธรรมธาตุนี้ไม่หวั่นทั้งนั้นเลย ไม่มีได้มีเสียกับใคร พอแล้วเต็มตัวจากความดีของตน พากันจำเอานะข้อนี้

เวลามันบกพร่องก็ให้หนุนกันเข้าไปๆ เมื่อถึงขั้นสมบูรณ์แล้วก็ถึงขั้นธรรมธาตุไม่เลยจากนั้น นั่นละที่สุดของจิตอยู่ธรรมธาตุเที่ยง นิพพานเที่ยงอยู่ตรงนั้น จิตดวงนั้นไม่เคยตาย กลายเป็นนิพพานเที่ยงหรือธรรมธาตุขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มๆ ต้นนู่นแหละ ให้พากันจำ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ ไม่เอามาก

เมื่อวานซืนนี้ก็ไปเทศน์ที่โน่น มันก็คงกระจายออกทั่วประเทศไทยละมั้ง เทศน์ที่ทุ่งศรีเมืองน่ะ กระจายออกไปทั่วประเทศไทย ออกไปหมดนั่นละ วันนั้นก็จะได้ฟังเสียงธรรมแปลกๆ อยู่นะ ธรรมะป่าเป็นยังงั้นไม่เหมือนบ้าน เอาความจริงออกว่ากันเลยธรรมะป่า ธรรมะบ้านนี้อ้อมแอ้มๆ แม้แต่จะไปสะแตกเหล้า ถามว่าไอ้บ้าเหล้ามันไปไหน ไปทานเหล้า ฟังซิไปทานเหล้า เราอยากตีปากผู้ว่านั่นแหละ ไปสะแตกเหล้าว่างั้นมันพูดไม่ได้เหรอ เราอยากพูดว่างั้น เข้าใจเหรอ นี่ละเทศน์แบบนั้นละ ให้มันตรงกับศัพท์ตัวมันเลวร้าย เราจะไปนิ่มนวลอ่อนหวานกับมันไม่ได้ ใส่ปั๊วะเข้าเลยๆ นี่เรียกว่าภาษาธรรมชำระความชั่ว ชั่วมากเท่าไรธรรมะยิ่งหนัก จึงแก้กันตก ภาษานี้จึงเรียกภาษาธรรม ใครจะว่าสกปรกรกรุงรัง หรือว่าเด็ดเผ็ดร้อนดุเดือด ดุด่าว่ากล่าวกระแทกแดกดันก็ตาม ไม่มีความหมาย นี้คือธรรมชำระความชั่วทั้งนั้น

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก