เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
หลักของวาสนาแท้อยู่ที่ใจ
วันนี้ฝืนฉันบ้างได้นิดหน่อย ฝืนเอาแหละมันจะไม่ยอมรับ พอฝืนได้ก็ฝืนเอา เมื่อวานนี้ฝืนไม่ได้เลย วันนี้ฝืนได้บ้าง ไม่มีอะไรละไข้อันนี้มันไข้หวัด แต่รู้สึกว่ารุนแรงมากอยู่ มันก็มาแปลกเอาที่วันที่ ๘ เมษาเราไปกรุงเทพ ก็ไปเป็นหวัดอยู่โน้น พอหายจากกรุงเทพมาแล้ว มานี้เดือนพฤษภาเป็นหวัดอีกแล้ว มันคงจะไม่หายสนิท มันเจ็บเรื้อรังนั้นมาจึงมาโผล่ขึ้นอีก คราวนี้จึงหนักมากอยู่นะ หนักจริงๆ ถึงขนาดนอนนี้ลุกไม่ขึ้นเลย เมื่อวานนี้ก็ลุกไม่ขึ้น เมื่อเช้านี้ก็ลุกแทบไม่ขึ้น มีเบาไปนิดหนึ่ง นอนแน่วอยู่บนที่นอนเลย ก็เตรียมท่าไว้แล้ว รู้เรื่องมันอยู่แล้วนี่ ตอนนี้มันจะไม่เอาไหนแหละ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ลูกศิษย์ลูกหาทางไหน ทางใกล้ทางไกล พวกหมอแหละมากที่สุด พวกหมอรุมมาเรื่อยๆ มากที่สุดเลยเขาเป็นห่วงเรา แต่เรากลับตรงกันข้ามนั่นซิ หัวใจเราไม่ได้เหมือนหัวใจใคร มันไม่ห่วงอะไรต่ออะไร ดูขันธ์มันดิ้นมันดีดแบบไหนๆ ดูความขัดข้องของมัน มันก็ไม่รู้ว่ามันขัดข้องนะขันธ์ เช่นจามฟิกๆ เจ็บคอนี้ คอก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บ ใจต่างหากไปรับทราบให้มัน นั่น มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนั้น ใจรับทราบเท่านั้นไม่ได้ติดพันกับมัน ใจก็ไม่เป็นทุกข์ แน่ะ ถ้าไปติดพันกับมันแล้วเป็นทุกข์ทางใจมากกว่าร่างกาย
วานซืนกับเมื่อวานหนักมากจริงๆ จนจะลุกไม่ขึ้น ไปไหนก็จะไปไม่ได้ คอยแต่จะหกล้ม มันหมดกำลัง เมื่อคืนนี้ไม่เห็นทางจงกรมเลย ทางจงกรมในป่าไม่เห็นเลย เมื่อคืนนี้ไม่เห็นเลย หลงทางจงกรม เห็นแต่เสื่อแต่หมอนเท่านั้น อย่างนั้นละเวลามันเป็น วันที่ ๒๒ วันวิสาขบูชา ก็จะไปเทศน์ จากนั้นมันก็เบาไปแล้ว หวัดก็เบาลง วันนี้ก็วันที่ ๑๙ ๒๐-๒๑ นั่น เบาลงไปละ
คนเต็มอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน วันนี้ห่มผ้าแบบหลวงตามาเลย ไม่ได้ห่มผ้าแบบพระ มันสะดวกสบายอย่างไรก็เอาอย่างนั้นละ เมื่อวานฉันเสร็จแล้วก็ไปวัดใหม่(กกสะทอน) พระนวดเส้นให้ ๓ ชั่วโมงเต็มๆ เลยเมื่อวานนี้ จนเที่ยงถึงกลับมา ไปตั้งแต่ยังไม่ถึง ๓ โมง จนเที่ยงถึงกลับมาเมื่อวานนี้ คนทั้งหลายโลกเขาเป็นอย่างนั้น พอไม่สะดวกสบายในธาตุขันธ์แล้ว กองทุกข์ก็ไปรวมอยู่ที่ใจ สัญญาอารมณ์จะไปอยู่ที่ใจแล้วสร้างกองทุกข์ขึ้นมา คือกังวลในจิตมากกว่าทางร่างกาย ร่างกายมันก็เป็นของมันธรรมดาๆ เมื่อจิตไม่มีอะไรแล้วก็ต่างอันต่างทำงานของมัน อย่างนั้นละ
วันนี้ก็ไม่มีอะไรพูดละ เหนื่อย ไม่อยากพูดอะไรวันนี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติศีลธรรมให้เป็นสาระในตัวเองประจำวันๆ ตื่นเช้าขึ้นมาถึงค่ำคิดดีคิดชั่วอะไรบ้างมาแยกแยะ อันไหนไม่ดีให้ลดลงๆ แก้ไปเรื่อยๆ มันก็ดีขึ้นๆ เราอดคิดไม่ได้นะถึงเรื่องสัตว์โลก พูดง่ายๆ นะ มันมืดดำกำตาจริงๆ ไม่ดูถูกไม่เหยียดหยาม พูดตามหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เป็นอย่างนั้นละ แต่ก่อนพระองค์ก็เคยเสวยมาแล้วภพชาติต่างๆ ซึ่งเป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไปเขาเสวยกัน แต่พอพ้นปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น มามองเห็นสภาพความเป็นจริงของพระองค์และสัตว์โลกนี้ดูไม่ได้เลย นั่นฟังซิ ถึงขนาดท้อพระทัยจะไม่สั่งสอนเสียเลย
แล้วก็คุ้ยเขี่ยขุดค้นหา สิ่งสาระสำคัญที่ผสมผเสอยู่ในความมืดบอดของสัตว์โลกนั้น ทรงเจอบ้างเล็กๆ น้อยๆ พวกสาระสำคัญมีแร่ธาตุต่างๆ คือคนที่มีอุปนิสัยปัจจัย มีอรรถธรรมอยู่ภายในใจ ผู้นี้มีสาระๆ คุ้ยเขี่ยขุดค้น เอ้า ได้แค่นี้ก็เอา จึงทรงสั่งสอนโลกมา ทรงสั่งสอนโลกท่านก็บอกไว้ว่า ชีวิตของเราจะไม่เลย ๘๐ การสั่งสอนของเราจะไม่กว้างขวางเท่าที่ควร ท่านกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ถึง ๘๐ เราก็ไปแล้ว ทรงประทานพระโอวาทคือบันไดไว้ ๕๐๐๐ ปี นี่เป็นองค์แทนศาสดา คือ พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี เป็นองค์แทนศาสดา อย่าไปคำนึงถึงพระสรีระของพระองค์ว่านิพพานที่ไหนๆ ให้คำนึงหรือติดพันอยู่กับธรรมกับวินัย นี่คือตามเสด็จพระศาสดาอยู่ตลอดเวลา ผู้นี้ละผู้จะหลุดพ้นไปได้ เอากาลสถานที่มาเป็นอุปสรรคใช้ไม่ได้นะ
จิตสำคัญมากทีเดียว ตัวนี้เป็นตัวบึกบึนตะเกียกตะกายตลอดเวลา ไม่มีคำว่าสูญหายจิตดวงนี้ คำว่าสูญไม่มี แม้ตกนรกอเวจีตั้งกี่กัปกี่กัลป์ ฟื้นขึ้นมาก็จิตดวงนี้แหละไปเสวย ฟื้นขึ้นมาก็จิตดวงนี้มาบำเพ็ญตัวเองจนถึงขั้นสูงสุดถึงพระนิพพานก็จิตดวงนี้ พอถึงนิพพานแล้วก็เรียกว่าธรรมธาตุ แน่นอนแล้ว ลงไปเหล่านั้นเป็นแดนสมมุติทั้งหมด นรกอเวจีก็เป็นแดนสมมุติมีความเปลี่ยนแปลงได้ ช้าเร็วต่างกันตามธรรมดาของสถานที่เสวยกรรมของสัตว์
อย่างที่ว่าเทวดาชั้นจาตุมมีอายุเท่านั้นปี ชั้นดาวดึงส์เท่านั้นปี สูงกว่ากันๆ ไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี สูง แล้วก็พรหมโลกสูง แปดหมื่นปี เก้าหมื่นปี สูงไปโดยลำดับ ก็ไม่พ้นที่ความเปลี่ยนแปลงจะไปทำลายตามกาลของมันจนได้นั่นแหละ เมื่อพ้นอันนี้ไปหมดแล้วก็เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะความอุตส่าห์พยายาม เรื่องมันท่วมท้นนี่เอาจริงนะกิเลส ท่วมท้นมาก ดันไม่ให้คิดทางดีแหละ มันให้หมุนไปทางชั่ว ทางเพลิดทางเพลิน ท่านว่ามหาเหตุ
จึงบอกให้ดูจิตนะ จิตนี้คือมหาเหตุ มันจะคิดจะปรุงของมันแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น เมื่อยังไม่มีธรรมต่อต้านกันจะมีแต่เรื่องกิเลส ถ้าเราฝึกฝนอบรมไป มีสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร หนุนกันไปๆ ก็พอรู้เหตุรู้ผลกันบ้าง ต่อจากนั้นก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าจะปล่อยให้มันเอาไปถลุงนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็อยู่อย่างนี้แหละ อย่างที่เคยเป็นมาเท่าไร เป็นไปข้างหน้าก็แบบเดียวกัน เรายังจะทนทุกข์ไปข้างหน้าแบบเดียวกันนี้อยู่เหรอ ให้ถามตัวของเรา เวลานี้ชีวิตของเราสดๆ ร้อนๆ เราบำเพ็ญสามารถจะหลุดพ้นได้นี่นะ
โห เราพูดจริงๆ ที่เราอยู่ทุกวันนี้เราพูดตรงๆ เปิดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เราอยู่กับโลกนี้ด้วยความเมตตาสงสาร ถ้าธรรมดาไปนานแล้วนะ พูดจริงๆ อย่างนี้ ไปง่ายนิดเดียวไม่ยาก ธาตุขันธ์เห็นใช้ไม่ได้หรือ ปล่อยปุ๊บเดียวไปเลยไม่ได้ยากอะไร แต่นี้คิดดูเรื่องสัตว์โลกทั่วหน้ากัน เฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา มิหนำซ้ำยังออกทั่วโลกอีก อรรถธรรมที่จะกระจายเข้าไปให้เป็นสารประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในอรรถในธรรม ยังจะเป็นสาระไปนาน นี่ละเราจึงอุตส่าห์พยายามสั่งสอนไป
ส่วนด้านวัตถุก็ทราบกันแล้วว่าช่วยกันมาสำเร็จสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ทีนี้ทางด้านธรรมะก็กระจายออกไป ด้านธรรมะนี้จะมากกว่าเพื่อน คิดไว้แล้วไม่ผิดนะ จะกระจายทั่วไปเลย นี่ละที่เราอยู่อยู่เพราะเหตุนี้เอง การเทศนาว่าการนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาบุญญาภิสมภารของแต่ละท่านละองค์ ผู้มีความรู้ขนาดไหนก็ไม่หนีจากวาสนากว้างแคบของตน มีวาสนากว้างขวางลึกซึ้งเท่าไรก็ยิ่งก้าวเดินออกกว้างขวาง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าพระอรหันต์ ๔
สุกขวิปัสสโก บรรลุธรรมอย่างสงบเงียบไปเลย
เตวิชโช บรรลุธรรมด้วย พร้อมทั้งรู้วิชชาสาม ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ด้วย
ฉฬภิญโญ ได้อภิญญา ๖ เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบนได้ รูปเดียวทำเป็นพันรูปก็ได้ รูปเดียวนิรมิตให้เป็นพันรูปก็ได้ อย่างพระจูฬปันถก พระมหาปันถกท่านทรมานน้องของท่าน ให้ท่องคาถา ๔ เดือนก็ไม่จบๆ พี่ชายเลยอิดหนาระอาใจ ทรมาน ท่านเป็นภัตตุเทศก์ จะนิมนต์องค์ไหนท่านเป็นผู้นิมนต์เองไปฉัน ส่วนพระจูฬปันถกไม่เอา นี่เห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้าพอไปถึงนั้นแล้ว เขาถวายทานอะไรไปหมด มาถึงพระพุทธเจ้าทรงปิดฝาบาตรเลย ว่าพระองค์หนึ่งยังไม่มา นั่นเห็นไหม องค์ไหนขาดให้ไปเอามาเดี๋ยวนี้ คือพี่ชาย พระมหาปันถกทรมานน้องของท่าน ท่านเจตนาดี ก็เลยเกิดเหตุดีขึ้นมา
พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ไปเอามาเดี๋ยวนี้ พระจูฬปันถกเห็นพี่ชายทรมานอย่างนั้น เหมือนว่าตนไม่มีคุณค่าอะไรแล้ว พระทั้งวัดมีเราไร้คุณค่าองค์เดียว ฟิตใหญ่เลยเดี๋ยวนั้น บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นเลย นั่น เป็นอรหันต์ขึ้นในระยะที่พระไปฉันในบ้านเขา ท่านสำเร็จอรหันต์ขึ้นมา พระพุทธเจ้ารับสั่งให้มาเอาพระองค์นี้ นั่นละจะแสดงฤทธิ์ของพระจูฬปันถกนะ พอมาก็มาหาพระจูฬปันถก นิมนต์พระจูฬปันถก พบพระจูฬปันถกเต็มวัด องค์นั้นปัดกวาด องค์นั้นเทกระโถน องค์นั้นทำอย่างนั้นทำอย่างนี้มีเช็ดถูเป็นต้น อ้าวพระองค์เดียวทำไมมากมายนัก เลยไม่ได้ ถามองค์ใดก็ว่าเป็นพระจูฬปันถก องค์ไหนก็ว่าเป็นพระจูฬปันถก เลยไม่ได้เรื่อง กลับไปหาพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้าว่า เอ้า ให้จับชายจีวร พอไปให้ถาม ไหนพระจูฬปันถก องค์ไหนตอบก่อนให้จับชายจีวรไว้แล้วเอามาเลย พอไปถึงพบพระจูฬปันถกเต็มวัด จับชายจีวรปั๊บหายหมดเลย เลยเอามา นั่นแสดงว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว ท่านก็เป็นพระสำคัญองค์หนึ่ง นิรมิตกายพระทั้งวัดมีแต่พระจูฬปันถก เห็นไหมล่ะ หนาอย่างนั้นก็มี แต่หนาจะเบาจะผ่านได้ก็มี พอพ้นนี้แล้วดีดผึงเลยอย่างพระจูฬปันถก มีในตำรับตำราอย่างนั้นละ
พระมหาปันถกท่านทรมานน้องของท่าน ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ให้คาถาสี่บทแก่น้องของท่านท่อง ๔ เดือนก็ไม่จบ ทำยังไงก็ไม่จบ พี่ชายจึงทรมานเอา บทเวลาจบจบใหญ่เลยพระจูฬปันถก วาสนาอยู่ที่ใจนะ ไม่อยู่ที่บุคคล สถานที่อยู่หรูหราฟู่ฟ่านะ ตึกรามบ้านช่อง ยศถาบรรดาศักดิ์ วาสนานั่นเป็นเครื่องเสริมไปนอกๆ แต่หลักของวาสนาแท้อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยอันนี้ อย่าลืมตัวไปตามเงาของตัว ว่ามีอำนาจวาสนา มีบุญญาภิสมภาร มีบ้านมีช่อง มียศถาบรรดาศักดิ์ เลยตื่นลมไปแล้ว วาสนาของตนแสดงออกไปเป็นเงาก็ตื่นเงาแล้วลืมตัวเสีย หลงตัวจริงเสียมันก็เสียไปได้ ท่านจึงบอกไม่ให้ลืมตัวจริง
นี่เราก็พยายามเต็มกำลังแล้ว ที่ช่วยโลกมานี้อายุก็จะเต็ม ๙๒ ปีวันที่ ๑๒ สิงหา นี่นะ ๑๒ พฤษภา นั้นเป็น ๗๒ ปีเต็มที่บวชมา เราก็ไม่คิดว่าจะอยู่จนขนาดนี้นะ มันหากมีเงื่อนติดเงื่อนต่ออะไรกันอยู่นั่นพะรุงพะรังให้มันเป็นไปได้อยู่อย่างนี้ ทีแรกเราว่าจะไปตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ โน่นนะ เหตุการณ์มันมาผึงผังเลยพลิกกันใหม่ เรื่องราวเป็นอย่างนั้น พูดให้ชัดเสีย หมอเขาจะมารักษาเรา ที่ไหนๆ เราก็ไม่เอาๆ บทเวลาจะเอาก็เป็นหมอจากตั้งฮั่วไถ่แนะมา เอ้าถ้างั้นรักษาหมอนี้ ได้ไม่ได้ก็หยุดเลย ใส่ปั๊บติดปุ๊บเลย หายวันหายคืน จากนั้นก็ขึ้นเวทีเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้
นี่ก็ได้ช่วยพี่น้องทั้งหลายเต็มกำลังความสามารถเรื่อยมา ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ช่วยด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่มีผิดมีพลาด ไม่มีข้อที่ควรจะตำหนิติชมว่าทำผิดไป พาพี่น้องทั้งหลายทำผิดไปไม่เคยมี ไม่ว่าด้านวัตถุ กำหนดตรงไหนๆ ให้พอเหมาะพอดีๆ เกี่ยวกับด้านนามธรรมก็สอนกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกช่วยชาติบ้านเมือง เทศนาว่าการเรื่อยจนกระทั่งป่านนี้ เทศนาว่าการก็ยิ่งกว้างขวางออกไปมากทีเดียว นี่ละช่วยโลกช่วยทางจิตใจเป็นของสำคัญมากนะ ทางด้านวัตถุได้มาเสียไปเป็นธรรมดา แต่ทางด้านธรรมะนี้ได้มาไม่ให้เสียไป คือบำรุงส่งเสริมเรื่อยๆ เข้าไปก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ วันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นละไม่พูดมาก
เมื่อวานนี้ขาดไปวันหนึ่ง วันนี้จะไปหาซุกหัวนอนที่ไหนก็ไม่รู้ละ ให้พระนวดเส้นให้ ซุกหัวนอนให้สบายๆ เท่านั้นละ มันจะค่อยเบาลงๆ มันตึงเครียดแล้วค่อยอ่อนลง รู้สึกค่อยอ่อนลงหน่อยวันนี้ ฉันจังหันได้นิดหน่อยๆ ก็แสดงว่าอ่อนลง เมื่อวานนี้ไม่ได้เลย ฝืนตลอด นิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ฉันเมื่อวานนี้ มันมีลักษณะเหมือนจะเป็นไข้อยู่นะวันนี้ มันเชิงถอยรับถอยสู้อยู่นะดูท่ามัน แต่ถอยสู้ก็ตามเถอะ เราจะเอาให้ผ่านไปได้ทั้งนั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |