เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
งานตกนรกทั้งเป็น
เมื่อเช้าสว่างก็ออกไปนู้นออกไปดูข้างนอก ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว กลับเข้ามาแล้วเข้าไปในห้องเลยลืมเลยนะ ลืมเรื่องจังหนจังหันลืมหมดเลยเชียว มาสะดุดกึ๊กขึ้นมา อ้าว ไม่ใช่ถึงเวลาจังหันแล้วหรือ มาดูนาฬิกา โอ๋ย ตาย นั่นเห็นไหมล่ะบทเวลามันจะเป็น อย่างนั้นละ พระท่านก็ไม่กล้าไปเคาะประตู เราอยู่ในห้อง นี่เรียกว่าลืมสนิท มาสะดุดกึ๊ก อ้าว ไม่ใช่เวลาฉันจังหันหรือเวลานี้ มองดูนาฬิกา อ้าว ใช่แล้วนี่ ยังไม่แน่ใจนะนั่น ออกมาเห็นพระยืนเป็นแถวรอเราอยู่ จึงรู้ว่าเจ้าของลืม นี่ละลืมสนิท
เป็นอย่างนั้นละความจำทุกวันนี้นะ เป็นไปได้อย่างไม่คาดไม่ฝัน มันเปลี่ยนแปลงมาก เรื่องสัญญานี้เปลี่ยนแปลงมากทีเดียว จนไม่คาดไม่ฝัน มันเปลี่ยนแปลง แต่สังขารไม่เปลี่ยน คิดปรุงอยู่ธรรมดาๆ คิดเรื่องอะไรๆ คิดไปตามเรื่องไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงว่าวิปริตผิดไป เพราะจิตใจของเราปรกติ ความคิดก็ปรกติ แต่สัญญานี้ไม่ปรกติ จำแล้วหายเงียบๆ หลงลืมๆ หายเงียบตลอด
พอจวนเวลาพระจะมาแล้ว จวนเวลาพระจะบิณฑบาตกลับมาแล้ว เราออกไปข้างนอกโน้น จวนเวลาแล้วก็เข้ามา เข้ามาก็เข้าไปในห้อง เลยลืม เป็นตัวใหม่ขึ้นมา ลืมไปเลย ไม่ทราบว่าเป็นเช้าสายบ่ายเย็น ลืมไปเลย มาระลึกได้ พอระลึกได้ปั๊บ อ้าว นี่ไม่ใช่ถึงเวลาฉันจังหันแล้วเหรอ เราดูนาฬิกา ก็ไม่ทราบว่านาฬิกาตอนเช้าตอนสายตอนไหนอีกละ เลยไม่แน่ใจนะ นั่นบทเวลามันจะเป็น ดูนาฬิกาแล้วก็ยังไม่แน่ใจ ว่าเป็นนาฬิกาตอนเช้าหรือนาฬิกาตอนเย็น ไม่แน่ ออกมาเห็นพระยืนรอบเป็นแถว จึงระลึกได้ว่าเป็นเวลานี้ นั่นบทเวลาจะเป็น เป็นอย่างนั้นละ เวลาหลงลืมหลงลืมอย่างนั้น
ส่วนหลวงตาองค์หนึ่งที่โคราช ผู้เฒ่าเป็นบ้านอนหรือไง พระองค์หนึ่งสนิทกัน เป็นเพื่อนกันสนิทกัน กลางคืนเป็นวันพระ พระท่านไม่นอนตลอดรุ่งท่านภาวนา กลางวันก็คิดว่าจะไม่นอน ทีนี้มันเหนื่อยเลยล้มนอนลงเคลิ้มหลับไปเลย ตอนบ่ายว่างั้น นอนเลยหลับไปเลย พอตกเวลา ๔ โมงเย็นเขาจะลงปัดกวาดกัน กุฏิก็ไม่สูง ประมาณเมตรกว่า เป็นกระต๊อบๆ พระองค์นี้เป็นเพื่อนกันปัดกวาดไปที่นั่น ไปถึงที่นั่นแล้วเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ แต่ไม่เห็นใครมาปัดกวาด ก็เดินไปมองดู พวกเพื่อนเดียวกันเป็นอย่างนั้นละ อ้าว นี่มานอนหลับนอนฝันอยู่ยังไง ผู้เฒ่านี่ ไม่ใช่ถึงเวลาพระไปบิณฑบาตหมดแล้วเหรอ ทำไมจึงมานอนอยู่นี้
ปุ๊บปั๊บลุกขึ้น ส่วนพระองค์นั้นก็ปัดกวาดเรื่อยไปไม่สนใจ เพราะพูดหยอกเล่นเฉยๆ ไม่ได้นึกว่าคนนี้จะเป็นบ้านอน คนนี้ลุกขึ้นเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ถึงเวลาไปบิณฑบาตมาขบมาฉันแล้วหรือ มานอนอะไรอยู่นี้ ว่าเฉยๆ แต่องค์นั้นเอาจริงซิ พอตื่นนอนขึ้นมาก็สะพายบาตรไปศาลานะ พระบนศาลาก็ไม่มี สะพายบาตรเก้ออยู่ แล้วก็พระองค์เก่านี่ละปัดกวาดออกไปข้างนอกวัดกลับเข้ามา องค์ที่พูดหยอกเล่นนี่พรรษาแก่กว่า องค์นั้นอ่อนกว่าเป็นหลวงพ่อมาบวช พอมาก็ถาม ครูบาๆ พระท่านไปบิณฑบาตหมดแล้วเหรอ เอาอีกนะไม่รู้ตัว พระไปบิณฑบาตหมดแล้วเหรอ เห็นศาลาว่างไปหมด อ้าว หลวงตานี้เป็นบ้าเหรอ เอาอีกนะ บ่าย ๔ โมงพระปัดกวาดยังไม่รู้หรือมันยังไงกัน หือ ปุ๊บปั๊บโดดฟาดใส่กุฏิ หรือไปทางไหนบ้างแล้วก็ไม่ทราบ นั่นบทเวลาจะเป็น นิทานสดนะนี่
ผู้หยอกเล่นก็มหาชาลี จำชื่อได้อยู่นะ แต่ก่อนยังไม่เป็นมหา เรียนหนังสืออยู่วัดสุทธจินดา หลวงพ่อองค์นั้นก็น่าจะคิดกลับไม่คิดนะ ถึงขนาดสะพายบาตรลงไป เตรียมบาตรจ้อยืนอยู่บันได ถาม ครูบาพระท่านไปบิณฑบาตหมดแล้วเหรอ ยังว่าอีกนะ ยังไม่รู้ตัวเลย ไม่เห็นพระเลยนี่ ทางนี้ก็ขู่อีกละ ขู่นี้เปิดเลย ขบขันดีนะ แต่เรายังไม่ถึงขั้นนั้น มันลืมเวลาเฉยๆ ระลึกไม่ได้เลย เฉย เงียบไปเลย พอระลึกเวลาได้ก็ไม่ทราบว่าเป็นเช้าเป็นสาย ดูนาฬิกามันก็ไปตามเรื่องของมัน ถึงเวลาบิณฑบาตหรือไงนา สงสัย นั่นเห็นไหมความจำ นาฬิกาก็ดูอยู่ ถ้าเป็นตอนเช้าก็เรียกว่าสายแล้ว แต่ไม่ทราบว่านาฬิกามันตอนเช้า หรือสาย หรือบ่ายอะไร ออกมาแล้วเห็นพระยืนรอบ กูตาย มันถึงเวลาแล้วนี่ เป็นอย่างนั้น ถึงได้ออกมา ยังไม่ถึงกับสะพายบาตรออกไปบิณฑบาต ถ้าบิณฑบาตมาแล้วเราไปคนเดียวอีกแหละ
ความจำนี่เป็นได้ เปลี่ยนแปลงได้ หลงลืม หลงหน้าหลงหลัง ความจำนี่ชัดเจนมาก เสื่อมไปทุกวันๆ แทบจะไม่จำอะไรนะ ไม่อยากสนใจจำอะไรเลย แต่ความคิดความปรุง เวลาจะคิดจะปรุงได้ธรรมดาเป็นปรกติ คิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องนั้นเรื่อยๆ ไป แต่ความจำไม่ได้ละ หลงลืมง่ายที่สุดเลย ชัดเจนในขันธ์ ๕ นี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันทรุดโทรมเข้ามาก็รู้ทั่วหน้ากัน แต่ไม่เด่นชัดเหมือนความจำ ความจำนี้ทำให้เสียได้ สังขารความปรุงก็เป็นธรรมดา นี่ละขันธ์สำหรับใช้ มันชำรุดทรุดโทรมของมันไปอย่างนี้ละ
เวลามันดีมันก็ดีความจำ มันแน่นหนามั่นคงก็ดี ทุกอย่างธรรมดาดีตามสภาพสมองของคนเรานั้นแหละ แต่พอมาถึงขั้นแก่อย่างนี้แล้วเป็นอย่างนั้นละความจำไม่เป็นท่า โกโรโกโสไปอย่างนั้น ดูนาฬิกาแล้วก็ยังไม่แน่ อ้าว มันถึงเวลาบิณฑบาตถึงเวลาฉันแล้วเหรอ ยังว่าอีกนะ ยังไม่แน่อีก เวลาเปิดประตูออกมาเห็นพระยืนอยู่ โอ๋ย มันถึงเวลาแล้วนี่ แน่ะอย่างนั้นละ เมื่อเช้านี้ชัดเจน มันลืมไปหมดเลยไม่สนใจ เวล่ำเวลาอยู่ในห้องมันไม่สนใจกับอะไร สญฺญา อนิจฺจา เป็นอย่างนั้นละ
วันที่ ๒๒ จะไปเทศน์ที่ทุ่งศรีเมือง เขานัด ๕ โมงเย็น ผู้ว่ากำหนดว่า ๕ โมงเย็นเทศน์ เราก็ตกลงให้แล้ว เอา เราจะไปให้ แต่ไม่ใช่แบบงานวิสาขะหมากัดกัน เราว่างี้ เพราะเราว่ามาตั้งแต่สนามหลวงแล้วนี่ วิสาขะสนามหลวง ฟังว่าจะยกทัพมา มีแต่ตัวเป้งๆ ทิฐิมานะสูงๆ เด่นๆ ทั้งนั้นออกมาเป็นกองทัพๆ กิเลส ไม่ใช่กองทัพของธรรม ฟังแล้วมันฟังไม่ได้ เราก็เลยแหย่เข้าไป ฝากความคิดเข้าไป มันจะเป็นวิสาขะหมากัดกันแล้วนะ เราว่างี้ จากนั้นมาเขาก็มานิมนต์เราไปเทศน์ที่อุดร คำนั้นก็เลยย้อนมาอีก เป็นไงอุดรจะเป็นวิสาขะประเภทไหน ถ้าเป็นประเภทหมากัดกันเราไม่ไปนะ ผู้ว่าก็ว่าไม่มีอะไรแหละ ธรรมดา เราก็จะไปให้ จึงรับว่าจะไปให้ ไปในงานด้วย เทศน์ให้ด้วยวันนั้น คนคงจะมาก
ธรรมเป็นของเลิศเลอ ธรรมของพระพุทธเจ้า กิเลสเอามาขยี้ขยำแหลกไปหมด อย่างวิสาขะโลกมันโลกสกปรกต่างหาก วิสาขะมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันกลายเป็นวิสาขะสกปรกทั่วโลกไปเลย มีแต่ตัวเป้งๆ กิเลสตัณหาทิฐิมานะ ไม่ใช่ธรรม ซึ่งสมนามว่าวิสาขบูชาเลย มันเข้ากันไม่ได้ นี่ละกิเลสเหยียบธรรมมันเหยียบอย่างนี้ ดูเอานะ เราพูดจริงๆ นะไม่พูดเฉยๆ รู้ไปเห็นไปตลอด สะดุดตาสะดุดใจตลอด เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น ที่จะให้คล่องตาคล่องใจไม่มี มีแต่อย่างนั้นทั่วโลกดินแดน นอกจากไม่พูด
เพราะใจนี้ไม่ได้เป็นอารมณ์กับสิ่งใด ไม่ได้มีคำว่าได้ว่าเสียกับสิ่งที่มากระทบต่างๆ เป็นแต่เพียงรับทราบๆ ผ่านๆ ธรรมดา นี่ก็รับทราบตลอดผ่านตลอด ส่วนมากมีแต่เรื่องสกปรกรับทราบกันตลอดนั่นแหละ เรื่องดีไม่รับทราบละ อย่างนักภาวนาของเรานี่ เราอดคิดไม่ได้นะ เป็นอยู่นี่แบบหูหนวกตาบอด อยู่กับพระเจ้าพระสงฆ์ในนี้ ท่านก็ตั้งใจปฏิบัติดีของท่านเต็มเหนี่ยว ก็เรียกว่าเต็มภูมิท่าน แต่เราดูไม่ได้ดูด้วยเทวทัตจะทำลายพระ เราดูในฐานะเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ดูไปตรงไหนๆ มันขัดตรงไหนมันจะบอกทันทีๆ เลย เจ้าของยังไม่รู้ตัวนะ ถ้าเป็นควายก็กัดหญ้ากินสบายไปเลย ยังไม่รู้ตัว แต่เจ้าของควายดูควายละซิ มันเป็นยังไงมันกัดหญ้าประเภทไหน มันเพลินแบบไหนควายเหล่านี้น่ะ นั่น
สำคัญที่สติ มันบอกในตัวของมันนะ การประกอบความเพียรที่หวังฆ่ากิเลสจริงๆ นี้ เหมือนหนึ่งว่าเป็นท่าต่อยอยู่ตลอดเวลา ท่าต่อยมวย สติจ้อตลอด ปัญญาออกแย็บๆ สติติดแนบๆ กำลังของกิเลสมันหนาแน่นขนาดนั้น ต้องได้ใช้การต่อสู้กันทุกอิริยาบถเว้นแต่หลับเท่านั้น พอตื่นขึ้นมาก็เอากันแล้วๆ วิธีการที่เราทำกับกิเลสทำยังไง รบกับกิเลสรบยังไง เรานำมาใช้เต็มภูมิของเราตลอดเวลา เราจึงได้บอกว่าในเวลา ๙ ปีนี้ที่ออกปฏิบัติมาตั้งแต่พรรษา ๗ เรียนจบเปรียญตามความตั้งใจอธิษฐานไว้แล้วออกเลย ตั้งแต่ ๗ ปีถึง ๑๖ ปี นี่เป็นเวลาที่สมบุกสมบันมากที่สุดเลย ทุกข์มากลำบากมากเพราะควบคุมใจ
อะไรไม่ได้ลำบากมาก ท่านทั้งหลายอย่าไปเข้าใจว่างานนั้นหนักงานนี้หนา ไม่ได้หนักนะ ถ้าท่านทั้งหลายอยากจะทราบงานหนักหนา เอา ให้เจตนาของผู้ที่ตั้งใจจะหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้นเข้ามาตั้งกึ๊กในสนามรบกับกิเลส จะไม่มีเวลาว่างแหละ ต่อยกับกิเลสจะต่อยกันตลอดเวลา เหมือนนักมวยต่อยกันแล้วก็เข้าวงใน ออกมาวงนอกต่อยเข้าวงใน ระหว่างกิเลสกับธรรมซัดกันอย่างนั้นละ ได้พักฟื้นแล้วก็ตั้งสติให้ดี สติติดแนบกับตัวไม่ให้เผลอไปไหนๆ เดินไปไหน จะออกจากนี้ไปบ้านนั้นเมืองนั้น หรือไปเขาลูกนั้น ป่านั้นป่านี้ สติกับจิตติดกันไปเป็นเดินจงกรมตลอดเวลา นั่นเรียกว่าท่าต่อสู้ เผลอไม่ได้ว่างั้นเลย ต้องเป็นท่าต่อสู้อยู่ตลอด
งานการใดก็ตามมายุ่งไม่ได้ สำหรับเราเองเราพูดให้ชัดเจน ที่ได้นำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี่ นำมาแบบนั้นแหละ คืองานการอะไรที่โลกทั้งหลายทำ หรือพระในวัดต่างๆ ท่านทำกันนี้ปัดหมดโดยสิ้นเชิงไม่ให้มี มีแต่งานฆ่ากิเลสอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเราตั้งแต่ออกปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงพรรษา ๑๖ ที่จะไปคิดก่อสร้างนั้นก่อสร้างนี้บอกว่าไม่มีเลย การสอนผู้สอนคนก็ไม่มี สอนแต่เจ้าของอย่างเดียวเท่านั้น ซัดกับกิเลสตลอดเวลา ความเป็นอยู่นี้ต้องได้พิจารณา เฉพาะอย่างยิ่งการขบฉัน ธาตุขันธ์มีกำลังมาก เวลาฉันมากๆ มันมีกำลังมากมันทับจิต จิตก้าวไม่ออก สติผิดๆ พลาดๆ เผลอๆ ไผลๆ ไปอย่างนั้นละ
นี่อำนาจของกิเลสมันมาก มันทำสติให้คลาดให้เคลื่อน ไม่ค่อยจับติดๆ พลิกใหม่เปลี่ยนใหม่ เอ้า ผ่อน อดบ้างผ่อนบ้างเป็นยังไง นี่พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป นี่หมายถึงการอดอาหารถูกกับจริตนะ สำหรับเรานี้ถูกกับจริตการอดอาหาร เพราะฉะนั้นมันถึงได้ลำบากเพราะการอดอาหารมาตลอด ถ้ามันหนักมากไปก็ผ่อนลงมา เรียกว่าผ่อนอาหาร แต่ส่วนมากอยู่คนเดียวนั้นผ่อนอาหารมันไม่เต็มยศ ต้องอด ขึ้นเวทีเต็มเหนี่ยวเลย อย่างนั้นเหมาะ จึงมักจะมีอด ไม่หลายวันก็ตาม ๖ วัน ๗ วันมาฉันทีหนึ่งๆ เวลาธาตุขันธ์มันอ่อนลงๆ ยิ่งผ่อนมา ๔ วัน ๕ วันฉันทีหนึ่งๆ ย่นลงมาๆ เพราะมันเห็นผลอยู่ประจักษ์
ไปที่ไหนก็ตามจะไม่มีงานใดมายุ่งได้เลย จึงเรียกว่างานตกนรกทั้งเป็น งานฆ่ากิเลส สตินี้จับติดๆ ไม่ให้มีงานอะไรมายุ่งทั้งนั้น เรานี้ชัดเจนได้ภูมิใจในการดำเนินของเจ้าของว่า ไม่มีงานอะไรเข้ามาสวนเลยที่จะให้เสียเวล่ำเวลาการประกอบความพากเพียร การก่อการสร้างนั้นนี้เรียกว่าเราไม่มีเลย ตัดขาดสะบั้นไปหมด มีตั้งแต่เรื่องเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเท่านั้นๆ ตลอดไปเลย ถึงอย่างนั้นมันก็ลำบาก เห็นไหมล่ะประกอบความพากเพียร กิเลสฟาดกันเสียถึงเป็นเวลา ๙ ปีเต็ม ไม่หนามันจะเหลือมาจากไหนฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วนี่ นี่ถึง ๙ ปีเต็ม ก็เพราะความทรมานอย่างนี้ละ เหมือนตกนรกทั้งเป็นๆ ค่อยได้ไปบืนไปๆ ได้ไป
จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ความเพียรโดยอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ต้องบอกนะ มันมีขั้นของมันอยู่ พอขั้นความเพียรเป็นอัตโนมัติแล้วนี้ เรียกว่าธรรมพร้อมแล้วๆ ละที่นี่ ความเพียรเป็นอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติ ที่เราว่าจะบังคับตัวเองใส่ความพากความเพียร ไปเดินจงกรมไปนั่งสมาธิภาวนา ด้วยความตั้งใจทำความเพียรไม่มี เป็นความเพียรเรียกว่าโลดโผนของมันอยู่นั้นแล้ว ผาดโผนๆ อยู่ตลอด ต้องได้รั้งเอาไว้ๆ ความเพียรประเภทนี้เป็นอีกประเภทหนึ่งนะ ความเพียรที่ล้มลุกคลุกคลานจับถูจับไถกันไปนี้ลำบากประเภทหนึ่ง อันนี้ลำบากมาก เพราะส่วนมากมีแต่กิเลสชนะๆ ความเพียรประเภทถูไถล้มลุกคลุกคลาน กิเลสชนะแทบทั้งนั้น
ครั้นต่อไปๆ พอมีหลักเกณฑ์ทางด้านจิตใจ มีความสงบร่มเย็นลงไปแล้ว ได้หลักฐานล่ะที่นี่ หรือว่าได้ต้นทุนหนุนกันไปเรื่อยๆ จนก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติมันจะผ่านเรื่องวัตถุร่างกายไปหมดแล้วนะ ตอนร่างกายวัตถุที่พิจารณา อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา นี้จะเป็นประเภทชุลมุน ชุลมุนนี้พูดไม่ได้ว่าอัตโนมัติไม่อัตโนมัติ เรียกว่านักมวยเข้าวงในเท่านั้นก็แล้วกัน หมุนติ้วๆ ละ ขั้นนี้ขั้นหมุนติ้วเลย พอจากนี้แล้วก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ก้าวเรื่อยๆ มีแต่ออกไปเรื่อย ขึ้นเรื่อยนะอันนี้ไม่ลง เหินเรื่อยๆ เบาลงๆ เรื่อย นี่เรียกว่าน้ำไหลริน ความเพียรประเภทน้ำไหลริน สติปัญญาอัตโนมัติไหลตลอดเลย
จากนั้นก็เข้าสู่มหาสติมหาปัญญา อันนี้ยิ่งซึมไปเลยนะ ซึมซาบไปเลย วันคืนนี้ไม่ปรากฏว่าได้เผลอเมื่อไร ในวันหนึ่งๆ นี้เราได้เผลอไปเมื่อไรไม่มี นั่นฟังซิ เวลามันติดกันแล้วสติปัญญาติดกันจนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วความเผลอไม่มี ไม่ใช่เราจะตั้งไม่ให้มันเผลอ มันพอตัวของมันแล้วมันก็ไม่เผลอเอง ปั๊บเท่านี้ติดปุ๊บไปเลยๆ อย่างนั้นละความเพียร เวลามันลำบากมันลำบากอย่างนี้ ถึงเวลามันก้าวตัวออกเห็นโทษเห็นภัยของความทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสสร้างขึ้นมา และเห็นคุณค่าของธรรมที่ตนบำเพ็ญมาแล้ว มันพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป จากนั้นก็มีแต่เรื่องธรรมออกหน้าๆ หมุนติ้วๆ เลย เอาจนกระทั่งถึงโลกธาตุดับหมดภายในจิตใจ
คำว่าโลกธาตุดับหมดคือว่า สมมุติทั้งมวลอันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นดับพรึบหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย คำว่าสมมุติจึงไม่ปรากฏในใจ นั่นละท่านบอกว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของว่างเปล่า สูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าตนว่าตัวว่าเขาว่าเราออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราช พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ อันนี้เวลามันเข้าไปถึงขั้นนั้น มันก็เป็นขึ้นมาเองสดๆ ร้อนๆ พระโมฆราชอยู่ในสมัยใดปีใด พ.ศ.ใดไม่สนใจ ความจริงเป็นอันเดียวกันสดๆ ร้อนๆ อย่างเดียวกันเลย
พอมันผางขึ้นไป นั่นละท่านว่า สุญฺญโต โลกํ กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วนั่นละ สุญฺญโต โลกํ โลกว่างโลกสูญ คือสมมุติทั้งหลายสูญจากใจ พินาศจากใจไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความว่างเปล่าของใจที่เป็นธรรมล้วนๆ นั่นว่างละที่นี่ ว่างด้วยธรรม ไม่มีสมมุติจะเข้าไปเจือปนเลย นั่นละท่านว่า สุญฺญโต โลกํ โลกมันว่างว่างอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ไปลบเขา เขามียังไงเขาก็มีอยู่อย่างนั้น แต่ความว่างนี้มันครอบไปหมดเลย ลบไปหมด แผ่นดินทั้งแผ่นนี้ก็ไม่มีในความว่างของจิต จิตว่าง อำนาจแห่งความว่างของจิตมันครอบไปหมด จึงเรียกว่าโลกนี้ว่าง มันว่างอยู่ที่จิต วางอยู่ที่จิต ยุ่งก็ยุ่งอยู่ที่จิตนั่นละ พอปล่อยอันนี้ออกไปแล้ว อะไรจะว่างเกินจิตไม่มีละ ว่างหมด ถึงว่าโลกธาตุกว้างแสนกว้างทำไมไปว่าโลกว่าง มันว่างเพราะเหตุไร มันว่างที่จิต ครอบไปหมดความว่าง เหล่านั้นมีไม่มี ไม่มีปัญหาอะไร ตัวจิตตัวสร้างปัญหานี้ว่างเสียอย่างเดียว หมด นั่นการปฏิบัติธรรมะต้องปฏิบัติอย่างนั้นซิ
ธรรมที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นธรรมที่สดๆ ร้อนๆ ตลอดมา เหมือนองค์ศาสดาประทับอยู่ในพระโอวาทแต่ละคำๆ นะ ไม่ได้ห่างไกลไปที่ไหน ขอให้ดำเนินตามหลักธรรมหลักวินัยที่ทรงสั่งสอนไว้ จะเป็นเหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา พระพุทธเจ้าไม่ห่างไกลจากผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนั้นแล คือผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ผู้เหยียบย่ำทำลายศาสนานั้นก็คือเทวทัตในตัวของแต่ละคนๆ ทำลายพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา จะหาสาระมาจากไหน ก็มีแต่สร้างฟืนสร้างไฟเผาตนเองจนลงนรกได้เหมือนพระเทวทัตนั้นแหละ
เราก็อย่าให้เป็นเทวทัตในตัวของเราซิ พยายามแก้ไขดัดแปลง วันหนึ่งมันมีแต่เรื่องโลกยุ่งในหัวใจๆ เรื่องธรรมไม่ค่อยมีนะ ถ้าสติติดแนบออกไปแล้ว เรื่องธรรมจะมีขึ้น เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้จะปรากฏเด่นขึ้นๆ เรื่องโลกจะจางไปๆ นะ ถ้าสติเผลอไปเมื่อไรแล้วโลกจะเข้ามาทันที ความยุ่งเหยิงวุ่นวายความคิดความปรุงไม่มีสิ้นสุด เอาตายได้นะ ให้พากันพิจารณา ศาสนาพระพุทธเจ้านี่แน่นอนสุดยอดแล้ว เป็นแถวเป็นแนวมาโดยลำดับดังที่เคยอธิบายให้ฟังแล้ว พิจารณาย้อนไปอดีตก็แน่มาแล้ว ปัจจุบันก็คือศาสดาของเรานี้ ต่อไปก็จะแน่ไปตลอดอย่างนี้ ท่านจะเดินตามแถวของพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ ไม่ได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้า คว้าได้ที่ไหนก็ว่าเป็นศาสดา คว้าได้ที่ไหนเป็นศาสดา มาเป็นธรรมสอนตน มาเป็นศาสนาของตนๆ สุ่มสี่สุ่มห้าอย่างนั้นไม่ได้นะ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แท้จริง ไม่ได้คว้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไร คว้ามาด้วยความมีหลักมีเกณฑ์ตลอด ให้ปฏิบัติตนตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า จะเป็นการสร้างหลักเกณฑ์ขึ้นภายในตัวเอง แล้วก็จะบรรลุขึ้นที่นี่ พระพุทธเจ้าหรือสาวกทั้งหลายบรรลุฉันใด เราปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นธรรมประเภทเดียวกัน บรรลุฉันนั้นสดๆ ร้อนๆ เหมือนกันนั่นแหละ พากันจำเอานะ เวลานี้เมืองไทยเรานี้จืดจางมาก กับพุทธศาสนาแทบจะไม่มีเหลือเลย ขอให้พากันฟื้นขึ้นมาสู่หัวใจของเรา จะได้รับความสงบร่มเย็นจากธรรม เราจะหวังเอาความสงบร่มเย็นจากกิเลส ตายแล้วกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ก็เป็นดั่งที่เห็นมานี้แหละ จะให้ต่างจากกันอย่างนี้ไม่มี ใครจะว่าเรียนสูงเรียนต่ำขนาดไหนก็ตามเถอะ มันอยู่ในความรู้ของนักโทษในเรือนจำ ถ้าว่านักกฎหมายก็นักกฎหมายในเรือนจำ ไม่มีคุณค่าอะไรละ กฎหมายนอกเรือนจำซิมันถึงมีคุณค่า
ความรู้นอกเรือนจำมีคุณค่า ความรู้ในเรือนจำนี้ไม่มีคุณค่า ความรู้ของคนมีกิเลส เป็นเหมือนความรู้ของคนติดคุกติดตะรางอยู่ในเรือนจำนั่นละ จะมีค่าอะไร ไม่เกิดประโยชน์ ความรู้นอกเรือนจำคือความรู้ของท่านผู้หลุดพ้นแล้วนั่นละ แล้วเอาโอวาทท่านมาสอนพวกเรา เป็นธรรมนอกเรือนจำสอนเรา พ้นได้ๆ พากันจำเอานะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละ ไม่พูดมาก เอาละพอ
เมื่อวานเอาของไปลงที่โรงพยาบาลบึงกาฬ โรงพยาบาลบึงกาฬมี ๙๒ เตียง เป็นโรงพยาบาลใหญ่ หมอประจำอยู่เวลานี้ ๕ คน อย่างน้อยกำลังไปเรียนอยู่ตั้ง ๖-๗ คนจะมาช่วยกันที่นั่น ว่าหมอไม่พอ นานๆ เราไปให้ทีหนึ่ง เมื่อแล้วมานี้ก็ให้รถคันหนึ่ง อันนี้ไม่ได้ขอละ พูดถึงสภาพของรถมีความจำเป็นอะไรๆ ให้ทันทีเลย ปากคาดให้คันหนึ่ง บึงกาฬให้คันหนึ่ง ติดๆ กัน เมื่อวานนี้ก็ไปบึงกาฬ วันนี้จะไปไหนก็ไม่ทราบละ ส่วนมากไปแต่โรงพยาบาล ไปโรงนั้นโรงนี้อยู่ลึกๆ นะ ที่จำเป็นๆ ไป ถ้าอยู่ใกล้ๆ ถนนหนทางเราก็ไม่ค่อยไปแหละ ถ้าอยู่ลึกๆ ลำบากลำบนไป ไปให้
เดี๋ยวนี้การไปมาทางไหนเราก็มีกำหนดแล้ว แต่ก่อนไม่แน่ ส่วนมากมักจะสูงไป เช่นทางเรียบๆ ๑๒๐ บางทีฟาด ๑๓๐ ก็มี เราก็ไม่ว่าเพราะเราดูทางเรียบๆ เสีย เดี๋ยวนี้ทางเรียบไม่เรียบก็เอาจุดเดียวเลยให้วิ่ง ๑๑๐ เท่านั้นพอ เช่นอย่างไปกรุงเทพฯนี้ก็จะวิ่ง ๑๑๐ กลับมา ๑๑๐ ไปไหนเหมือนกันทุกวันนี้มีแต่ ๑๑๐ เราเอากฎเกณฑ์นี้ คือเวลาวิ่ง ๑๑๐ นี้มันเชื่อง ดูรถเชื่อง รถหนักก็เชื่อง รถเบาก็เชื่อง ถ้า ๑๒๐ มันจะมีลักษณะแกว่งๆ นิดๆ เวลากระทบพื้น เสียงมันกระทบแรงกว่ากัน ถ้า ๑๑๐ ไม่แรง เราเลยเอาจุดนี้ละเป็น ๑๑๐ พอดี บางทีรถมันพ่วงนะ จะไปไหนมันรุมตาม มันก็ต้องเผื่อคันนั้นคันนี้ไป แล้วก็ลง ๑๑๐ พอดีแหละ รถบางคันวิ่งไม่เร็วจึงต้องได้เฉลี่ยกัน
อีกสามสี่วันก็เป็นวิสาขบูชาแล้วนะ วิสาขบูชานี้กรุงเทพฯน่าจะมามากอยู่นะ เพราะเขาทราบแล้วว่าเราจะเทศน์ เราบอกแล้วว่า เอา เราจะไปให้ด้วย เทศน์ให้ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่าขึ้นเวทีแล้วตั้งแต่ยังไม่ขึ้น ใครก็ทราบกันหมดแล้วปึ๋งเลยละถึงวันนั้น ถ้าลงว่าจะเทศน์แล้วเอาเลย ถ้าว่าไม่เทศน์ ไม่เทศน์ ไม่เหมือนใคร จะเอาธรรมเป็นแนวทางเดินเท่านั้น ไม่เอาบุคคลสูงต่ำอะไรเข้ามายุ่งนะ จะเอาธรรม พิจารณาเรียบร้อยแล้วก้าวตามนั้นไปเลย วันนั้นบอกว่าจะเทศน์ ว่างั้น คอยดูปั๊บขึ้นละ
ภาษาทางโลกเขาเรียกเรดาร์ เอาเรดาร์จับๆ เรดาร์พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายมีมาก่อนพวกนี้นานเท่าไร แต่ท่านไม่ได้บอกว่าเรดาร์ จับปั๊บนี่มองรู้หมดเลย ที่ท่านจะไปมองว่าสมาคมนี้ใหญ่สมาคมนี้สูงอย่างนั้นๆ ด้วยความสำคัญว่าสูงว่าต่ำท่านไม่มี สมาคมนี้มีจำนวนมากน้อยเพียงไรๆ สมควรจะได้รับผลประโยชน์มากน้อยเพียงไรจากธรรมที่แสดงออก ท่านจะดูนั้นแล้ววัดกันปั๊บเข้าใจทันที ทีนี้ก้าวเดินตามนั้นไปเลย เป็นอย่างนั้นเรื่องธรรม ไม่มีที่ว่าสมาคมนั้นน่ากลัว สมาคมนี้น่าเกรงขามไม่มี สมาคมใดก็ตามไม่มี สำหรับจิตของท่านผู้บริสุทธิ์แล้วเรียกว่าไม่มี ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมนี้ก็เป็นลูกศิษย์ทั้งนั้น ไม่ได้สูงกว่าธรรม ไม่ได้สูงกว่าท่านผู้ทรงธรรมที่บริสุทธิ์ ท่านสูงกว่าตลอด
จะเทศนาว่าการที่ไหนสมควรแก่ธรรมยังไงท่านจะออกของท่านเอง ออกเองๆ ที่ว่าสูงว่าต่ำอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความสำคัญของโลกว่าน่าเกรงขามน่ากลัวไม่มี สำหรับธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี เราตัวเท่าอึ่งเราก็บอกจริงๆ บอกเราไม่มี เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เต็มปาก เช่นอย่างว่าจะเทศน์ เอา จะเทศน์ เทศน์เลย ถ้าว่าไม่เทศน์ ไม่เทศน์ อย่างนั้นละ สมควรที่จะเทศน์หนักเบามากน้อยเพียงไรไม่มีใครบอก หลักธรรมชาติมันบอกของมันเองเสร็จในตัว
สมาคมในเมืองไทยของเรานี่เราไปเทศน์หมดแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ไหนที่หลวงตาบัวยังไม่ได้ไปเทศน์ ในสมาคมแห่งชาวพุทธของเมืองไทยเรา เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ที่ไหนบ้าง สนามหลวงก็เป็นที่หนึ่งใช่ไหมก็ไปเทศน์แล้ว เทศน์สนามหลวงก็ครบ ชาติก็คือนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ศาสนาก็คือพระเป็นพันๆ เต็มอยู่นั้น พระมหากษัตริย์ก็คือฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ เสด็จมา ครบหมดเลยวันนั้น เรายังไม่ลืมนะ วันนั้นเราตั้งใจจะสงเคราะห์ เทศน์ถึงชั่วโมง ๒๓ นาทีพอดีเลย ในกรุงเทพฯ เรียกว่าสูงกว่าเพื่อน นอกจากนั้น (ชั่วโมง) ๒๒ ลงมา เทศน์กระทรวงศึกษาดูเหมือน (ชั่วโมง) ๒๒ นาทีเท่านั้น ที่สูงกว่าเพื่อนก็ไม่คาดไม่ฝันนะที่อำเภอสูงเนิน มาเทศน์ที่อำเภอสูงเนินอยู่ที่สวนแสงธรรมนะฉันเสร็จแล้วก็มา ตอนบ่ายก็เทศน์ที่อำเภอสูงเนิน อันนี้ฟาดเข้าไปชั่วโมง ๒๙ นาที สูงหมดเลยในประเทศไทย ไม่มีใครสู้สูงเนินได้ นานที่สุดละ นอกนั้นมีแต่ลดๆ เรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เรื่อง ไม่ถึงชั่วโมงละเดี๋ยวนี้ เหนื่อย
หมดแล้วในประเทศไทยนี้เราเทศน์หมดแล้ว ไม่ว่าสมาคมใด เราอยากจะพูดว่าสมาคมเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เทศน์หรือยัง เราอยากจะตอบแต่ยังไม่มีผู้ถาม แต่เมื่อมีผู้ถามเราก็ไม่ตอบ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ตอบ เข้าใจหรือเป็นเรื่องของเราเอง ก็เราเทศน์สอนพวกนี้ประชาชนยุ่งอะไร เวลาเทศน์สอนประชาชนพระท่านไม่ยุ่ง เวลาเทศน์สอนพระ ประชาชนไม่ยุ่ง เวลาท่านเทศน์สอนเทวบุตรเทวดาไม่มีใครเข้าไปยุ่ง นั่นเห็นไหม ในธรรมพระพุทธเจ้าในพุทธกิจห้าไม่ได้ก้าวก่ายกัน เทศน์เป็นลำดับลำดาเรื่อยไป เอาละไปเลิก
(วันนี้ได้ทอง ๑ บาท ๕๐ สตางค์ครับผม) เออๆ พอใจ ได้เท่าไรพอใจทั้งนั้น เพราะประเภทน้ำไหลซึม ซึมเข้ามาพอใจหมดเลย ไม่ออดไม่อ้อน ไม่ว่าว่าได้น้อยไป มากไปไม่ว่า ได้เท่าไรพอใจเรื่อย แล้วก็ขอเรื่อยไป อ้อนเรื่อยไป
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |