นี่ละอาจารย์ของเรา
วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 เวลา 8:05 น. ความยาว 54.06 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

นี่ละอาจารย์ของเรา

            เดี๋ยวนี้ทองคำได้ ๑๑ ตัน กับ ๑๓๖ กิโลแล้ว ค่อยไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่มีอะไรเป็นเรื่องรีบเรื่องด่วนเรื่องอะไรละ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ไหลซึมเข้าไปเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นประเภททองส่งเสริม ส่งเสริมกันไปเรื่อยๆ ทองที่ไปไว้ประกันในชาติต่างๆ จากเมืองไทยเรานี้ ทองคำในเมืองไทยเรายังสู้ไม่ได้ เอาไปประกันอยู่ตามเมืองนอกเมืองนามาก โห หลายเท่าของเมืองไทยเราที่มีอยู่ เอาออกไปไว้ประกันตัวหลายเท่านะ ที่มากที่สุดก็คือสหรัฐ เกี่ยวพันกันอย่างนั้น ที่ติดหนี้เขาก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดแล้วนะ ทองคำที่ไปฝากไว้นั้นก็เป็นอิสระอยู่ในตัวเอง อยู่ที่สหรัฐ อันไหนที่ยังไม่แน่ใจก็เอาทองคำที่ไปฝากไว้นี้เป็นเครื่องประกันเอาไว้ๆ  อันไหนที่ใช้หนี้ไปแล้ว ทองคำที่ประกันก็เป็นอิสระในตัวอยู่ในนั้น

ทองคำในเมืองไทยเราไม่ได้มีมากนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายคิดทุกคนๆ  เราจึงได้ดีดได้ดิ้นมาจนทุกวันนี้ เพราะอันนี้เป็นสมบัติประกันชาติไทยของเรา เราจึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย ได้มากได้น้อยได้นิดก็เอา เพิ่มเข้าไปๆ  ไม่ว่าเมืองไหนต้องมีทองเป็นเครื่องประกันชาติตัวเอง ไปติดหนี้ติดสินเขาที่บ้านใดเมืองใด ก็ต้องมีทองคำของตัวเองไปประกันไว้ที่นั่น ไม่งั้นกู้หนี้ยืมสินเขาไม่ได้ เราต้องมีสมบัติของเราไปประกันตัวไว้ ชาติไทยของเราที่ติดหนี้ไอเอ็มเอฟ นี่ก็ผ่านไปแล้ว ทองคำเราก็เป็นอิสระที่ไปฝากไว้นั้น เป็นทองคำอิสระ ที่ยังคาราคาซังกันอยู่นอกจากนั้นไปก็เป็นเครื่องประกันอยู่ในนั้น อะไรที่ผ่านไปแล้วก็เป็นอิสระอยู่ในนั้นเอง ฝากไว้นั้น

เรานี้ไม่ได้เกี่ยวกับทางโลกอย่างนี้ เราคิดโดยธรรม ที่ถามก็ไม่เห็นผิดนะ อย่างเราไปดูทองคำในคลังหลวงของเรามาแล้วนั้น มาก็มาคุยกันกับหัวหน้าสองต่อสองเท่านั้น เรียกว่าเป็นความลับไม่ให้ใครทราบเลย ไปคุยกันสองต่อสอง ถาม ทองคำของเรานี้ได้ไปฝากไว้ที่ประเทศไหนๆ บ้าง ถามไปเลย ก็เพราะความเกี่ยวโยงกันในการซื้อการขายการไปมาหาสู่ทุกอย่าง ต้องมีเครื่องประกันเอาไว้ นี่เป็นธรรมนะ ธรรมกางเข้าไป อันนี้ต้องมี เวลาถามปั๊บติดปุ๊บเลย ไม่ผิด ถามตรงไหนถูกตรงนั้น เราจะไปเรียนอะไรเรื่องโลกสงสาร เราไม่ได้ไปเรียน แต่เรื่องธรรมมันครอบไปหมดนั่นซิ

ทองคำฝากไว้เมืองนอกมากที่สุด หลายเท่าของเมืองไทยเราที่มีอยู่ประกันชาติของตนไว้โดยเฉพาะ เอาไว้เมืองนอกตั้งหลายเท่า มากกว่าหลายเท่า ก็อย่างนั้นแล้ว เราจะนอนใจได้ยังไง เราต้องมีไว้เตรียมพร้อมๆ อยู่ตลอด ถ้าหากว่าไม่มีอะไรประกันเลย เขาฟาดเอาเมืองไทยทั้งประเทศเป็นหมารักษาบ้านเขาก็ได้ เท่าที่เราเป็นอิสระนี้ก็เพราะเรามีทองเป็นเครื่องอิสระประกันตัวเอาไว้ๆ ถ้าหากพูดถึงเรื่องการติดหนี้ติดสินมันเหมือนตาข่ายนะ ฟาดตั้งแต่เด็กนักเรียนขึ้นไปเลย ติดหนี้เขาทั้งนั้น ตั้งแต่เด็กนักเรียนขึ้นไปเป็นลำดับลำดาๆ เรื่อย หมดประเทศนี้ระโยงระยางทั่วไปหมด ติดหนี้ นั่น จากนี้ประเทศนั้นกับประเทศนี้ ทีนี้ก็หยั่งใส่กัน ระโยงระยางไปหมด  มีแต่เรื่องหนี้เรื่องสิน อยู่ด้วยกันด้วยการติดหนี้ติดสินเป็นเครื่องประสานกันอีกเหมือนกัน ถามดูแล้วก็ไม่เห็นผิด

เราไม่ได้เรียนอะไรแหละ จบแค่ ป.๓ เรียนทางโลกจบแค่ ป.๓ เท่านั้น แต่ทางธรรมไม่มีประมาณ เวลาเรียนธรรมนี้ก็เรียนทางฝ่ายปริยัติ ตามตำรับตำราก็เป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ผิดกันมาก เราเรียนตรงไหน สมมุติว่าเล่มนี้เราอ่านไม่จบ ความรู้ก็ไม่ผ่าน ยังกี่บรรทัดก็ยังเหลืออยู่นั้น ไม่ผ่านไม่รู้ แม้เช่นนั้นความหลงลืมก็ติดแนบกันไป เรียนมากเรียนน้อยก็มีแต่ชื่อ ได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ความจำมันหายไปหมดแล้วแหละ อย่างหลวงตาบัวนี้เหลือที่ไหน ไม่มีเหลือนะ ก็เอามาใช้อย่างนี้ละ

ทีนี้เวลาไปเรียนปริยัติก็ได้ถึงขั้นมหา ก็มีแต่ชื่อ บทเวลาจะมารวม รวมที่นี่นะ มันต่างกัน ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่เก็บหอมรอมริบ ไหลรวมเข้ามานี้ไม่รั่วไหลไปไหน นั่นเห็นไหมล่ะภาคปฏิบัติ ใครพูดที่ไหน อย่างนี้มีใครมาพูดไหมล่ะ มันเป็นอยู่ในหัวใจ รู้อยู่ในหัวใจ พูดออกมาจากความรู้ความเห็นความเป็นประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้จะผิดไปไหน ภาคปฏิบัติธรรมจึงเป็นภาคที่ละเอียดลออสุดขีด ภาคปริยัติเป็นเพียงผิวเผิน พอเป็นแนวทางไปอย่างนั้น ภาคปฏิบัติปรากฏตรงไหนแน่นอนๆ ไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน สำคัญตรงนี้นะ ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำ สนฺทิฏฺฐิโก จะติดแนบๆ เป็นลำดับๆ ไปเลย

เวลามันออกรู้ มันเบิกกว้างนะ สภาวธรรมทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุนี่ ไม่ว่าวัตถุอะไรต่ออะไรเต็มไปหมดทั่วแดนโลกธาตุนี่ เป็นเหมือนกับเชื้อไฟ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ธรรมเหมือนไฟได้เชื้อ มันจะลุกลามไปตามความจริงทั้งหลาย มีมากมีน้อยมันจะลุกลามไป ตามรู้ตามเห็นตามสอดตามส่องไปอย่างนั้นเรื่อยๆ นั่นเท่ากับไฟไหม้เชื้อ เชื้อคือสภาวธรรมทั้งหลาย ความรู้ไปตามสิ่งที่มีทั้งหลายนั้นเป็นเหมือนกับไฟ มันลุกไปลามไปๆ ไหม้ไปหมด นี่ละภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น ผิดกันมากทีเดียว

เวลามารวมในใจหมดแล้ว ถ้าพูดภาษาโลกก็เรียกว่าหายห่วง ไม่ต้องระมัดระวังว่าอะไรจะตกเรี่ยเสียหายไปไหน ไม่ระวังนะ มีอยู่อย่างนั้น จะว่ารักษาหรือไม่รักษาก็รู้กันอยู่อย่างนั้น นี่ละภาคปฏิบัติ เราจึงอยากให้ชาวพุทธเราเข้าทางภาคปฏิบัติ ให้ได้รู้ได้เห็นภายในจิตใจ ถ้าเข้าภาคปฏิบัติไม่มากก็น้อย เข้าด้วยความตั้งใจนะ ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ อย่าสักแต่ว่าปฏิบัติเป็นกรรมฐานโก้ๆ ใช้ไม่ได้นะ ปริยัติก็โก้ๆ เรียนจบชั้นนั้นชั้นนี้ก็เอาชื่อเอาเสียงจากความจำมาอวดกัน แล้วทิฐิมานะก็เต็มอยู่ในนั้น สำคัญตนว่าเรียนรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม มันมีแต่กิเลสเข้าไปอยู่ในนั้นหมดแล้ว ธรรมไม่มี

ถ้าเรียนเพื่อปฏิบัติแล้ว ถึงเวลาที่เป็นกิเลสก็เป็น แต่ธรรมยังแทรกๆ คือเรียนไปนี่เพื่อจะปฏิบัติๆ ธรรมก็แทรกไปตลอด ส่วนมากมันไม่ได้สนใจเพื่อปฏิบัติธรรม และเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ได้มีนะทุกวันนี้ เต็มวัดเต็มวาคัมภีร์ไหนก็เต็มอยู่ในคัมภีร์ มีแต่ความจำเฉยๆ ความจริงที่จะจับมาเป็นหลักเกณฑ์ในใจตัวเอง จากการเรียนมาเป็นภาคปฏิบัตินี้มันไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรียนโลกเรียนธรรมคนเราถ้าไม่มีธรรมในใจเป็นโลกทั้งนั้น เป็นกิเลสทั้งนั้น กิเลสยึดเร็วที่สุด แทรกเข้าทันทีๆ ภาคปฏิบัติจึงต่างกันมาก เราเห็นในใจดวงเดียวนี้แหละ เวลามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นให้เห็น แก้ไขดัดแปลงซักฟอกเข้าไปเรื่อยๆ ก็ค่อยสดค่อยใสขึ้นมา ชัดขึ้นมาๆ ก็ยิ่งชัดเรื่อยๆ สิ่งที่มัวหมองมืดตื้อคือกิเลสค่อยจางไปๆ ด้วยการถูกชะล้างจากความเพียรของเรา ทีนี้ก็ค่อยรู้ไปๆ

ครั้นเวลาเข้าถึงจุดสุดท้ายแล้วก็คือว่า สภาวธรรมทั่วแดนโลกธาตุนี้เป็นเหมือนเชื้อไฟ ไฟนั้นได้แก่ใจกับธรรม ตามรู้ตามเห็นตามสอดตามส่องไปหมด เรียกว่าไหม้ไปหมดเลย รู้ไปๆ  อยู่ที่ไหนมันหากรู้หากเห็นหากเป็นอยู่ในใจนั้นแหละ เหล่านี้จะมาพูดทุกแง่ทุกมุมไม่ได้นะ คือเป็นอยู่ในใจเป็นเต็มหัวใจ แต่เวลาจะนำมาพูดนี้จะได้เป็นชิ้นเป็นอัน เช่นว่าร้อยเปอร์เซ็นต์จะได้เพียง ๕% ที่นำมาพูดเปิดเผยในวงสมมุติเรานี้นะ ส่วน ๙๕% เป็นสิ่งที่ลึกลับรู้อยู่ประจักษ์ๆ ภายในจิตใจ นี่ละไฟได้เชื้อ คือจิตที่ตามรู้ตามเห็น มันรู้ไปจริงๆ จึงว่าศาสดาองค์เอก ใครไม่ยอมกราบก็เรียกว่าหมดราคาละ หมดคุณค่าหมดราคา

ศาสดาองค์เอกเอกทุกอย่างไม่มีใครเหมือน อย่างรู้อย่างนี้ก็เหมือนกัน ใครจะไปรู้ได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า รู้ได้หมด เห็นได้หมด เราเอาย่อๆ อย่างนี้ละนะ ว่ากิเลสอย่างนี้ เต็มหัวใจทุกคน ความโลภ ความอยากได้ทะเยอทะยานไม่มีสิ้นมีสุด น้ำล้นฝั่ง ความโลภก็ล้นฝั่ง ความโกรธก็ล้นฝั่ง ราคะตัณหาก็ล้นฝั่ง เต็มอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกด้วยกันทุกราย แล้วมีใครไปรู้ไปเห็นมัน ไปรื้อฟื้นโทษคุณของมันออกมาให้โลกทั้งหลายได้เห็นไม่มี ก็มีแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ตรัสรู้ผึงขึ้นมา เหล่านี้รู้ไปหมด ละไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นอยู่ชัดๆ ในหัวใจเรา พวกเรายังไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส มันเป็นภัย เพราะฉะนั้นมันจึงได้เผาไหม้อยู่ตลอดเวลาในหัวใจของสัตว์ จากนั้นก็แสดงออกกิริยาท่าทางใดมักจะมีแต่ความกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน ให้เกิดความเสียหายหรือชอกช้ำไปด้วยกันทั้งนั้นแหละ

กิเลสตัวนี้ละมีอยู่ในหัวใจทุกคน ใครรู้ได้เห็นได้ทำลายมันได้ มีไหมล่ะ ไม่มี แล้วเราจะอวดว่าเราฉลาดได้ยังไง ก็เมื่อสิ่งเหล่านี้ที่เป็นภัยต่อเราด้วย เต็มอยู่ในหัวใจเรา เบียดเบียนทำลายเราตลอดมาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ด้วย และตัวเองก็ไม่เคยรู้เห็นมันแม้นิดหนึ่งด้วย ฟังซิพวกเราทั้งหลายเป็นอย่างนี้ ตาบอดด้วยกัน บอดกับกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ กิเลสสามกองใหญ่ๆ นี่ มันบอดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อันนี้ครอบไว้หมดไม่ให้รู้ให้เห็น พระพุทธเจ้าเปิดเข้าไปรู้หมดเลย รู้หมดแล้วทำลายหมด จึงว่าสว่างจ้าขึ้นมาเป็น อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา อกาลิโก นี่ใครเห็น พระพุทธเจ้าเป็นผู้เห็นแล้วเอามาสอนโลก แม้เช่นนั้นโลกก็ยังปฏิบัติตามไม่ได้

ความโลภ อย่าโลภมาก มีแต่ปากว่าเฉยๆ ใจมันไม่ได้ถอย เรื่องความโลภโลภตลอดเวลา เอาจนตายไม่มีป่าช้า เกิดมาโลกเขามีป่าช้าด้วยกันทุกคน หัวใจของผู้ที่มีกิเลสเหล่านี้มากๆ ไม่มีนะ ลบหมด ความตายเหมือนไม่มี มีแต่จะเอาให้ได้อย่างนั้นให้ได้อย่างนี้เรื่อย นี่เรียกว่าความโลภ โลภไม่หยุดไม่ถอย ได้มาเท่าไรยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อไฟเข้าไป ได้มามากก็เท่ากับได้เชื้อไฟมากๆ มันก็เผาได้มาก ให้กิเลสถอยสิ่งได้ทั้งหลายนี้ไม่มี เหมือนกับไฟที่ลดหย่อนตัวเองหรือดับไปด้วยการไสเชื้อเข้าไปไม่มีทาง มีแต่ได้เชื้อเท่าไรมันก็แสดงเปลวขึ้นมาจรดเมฆนั่น

กิเลสได้สิ่งที่มันต้องการมากเท่าไร ยิ่งเพิ่มความอยากความทะเยอทะยานมากขึ้นๆ จรดเมฆเหมือนกัน ความโกรธอย่างนี้ อะไรจะเลิศยิ่งกว่าความโกรธ ในเวลาโกรธ ท่านก็ว่ามรรคผลนิพพานหรือความเลิศเลอที่ไหน มันก็มีอยู่ในลิ้นในปากเฉยๆ ไม่ได้อยู่ในใจ ถ้าลงได้โกรธแล้วให้ฆ่าเสียเท่านั้น ไม่มันก็เรา สุดท้ายก็ว่าแต่เราจะฆ่าเขา เขาจะฆ่าเราไม่คิดเลย จะเอาให้ได้อย่างใจๆ เผาไหม้กันแหลก นั่น นี่ละความโกรธมันเป็นภัยขนาดไหน ผู้ที่โกรธเห็นว่าเป็นคุณเสียทั้งหมด ไม่ได้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นภัย

ความโกรธมันเผาเจ้าของก่อนแล้วนะ ก่อนที่มันจะออกไปกระทบกระเทือนผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนกระทบกระเทือนต่างๆ นี้ มันออกจากหัวใจเจ้าของก่อน กระทบกระเทือนเจ้าของก่อนแล้ว จึงออกไปกระทบกระเทือนผู้อื่น มันก็ไม่รู้ไม่เห็น มันยังถือว่าเป็นของดิบของดี มรรคผลนิพพานสู้ไม่ได้ ถ้าลงได้โกรธแล้วให้ได้สมใจ นี่ละเรื่องความโกรธ เราเห็นไหมล่ะโทษของมัน ไม่มีใครเห็นพระพุทธเจ้าเห็น เรื่องความโกรธนี้เวลาชำระเข้าไปแล้วเห็นชัดๆ

ทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าลงชำระแล้วมันค่อยลดลงๆ ก็รู้ๆ สุดท้ายมันแย็บเท่านั้นรู้แล้ว เพียงมันแย็บออกไปจะรักจะชังจะโกรธจะเกลียดให้ผู้ใด พอแย็บไปรู้แล้วว่านี่ตัวภัย มันเกิดแล้วที่ใจ นั่นละที่นักปราชญ์ทั้งหลายท่านรู้อย่างนั้น รู้ต้นเหตุก่อน พอมันกระเพื่อมออกมามันจะแสดงฤทธิ์นี้รู้แล้วดับปั๊บตรงนั้น ไม่มี นี่หมายถึงว่าผู้ที่มีธรรมในใจมากน้อย และผู้มีธรรมในใจมาก มันแย็บออกรู้ทันทีๆ ยิ่งผู้มีธรรมในใจโดยสมบูรณ์แล้วไม่มีอะไรมาแย็บ หมด ความโกรธก็ไม่มีแย็บ มันหมดแล้วจะเอาอะไรมาแย็บ ความโลภก็ไม่แย็บ ราคะตัณหาอะไรไม่มีแย็บภายในหัวใจ เป็นเหมือนกันหมดเลย

สิ่งเหล่านี้ออกจากเจ้าของเสียก่อน เจ้าของรับเคราะห์รับกรรมก่อน แต่เจ้าของไม่รู้นะ ยังจะเอาคนอื่นให้ได้สมใจอีกๆ เป็นยังไงเห็นไหมพวกเรา มันมีอยู่ในหัวใจของพวกเราไหม ตั้งแต่โกรธให้หมามันก็เป็นกิเลสแล้ว ฟังซิ โกรธให้คนทำไมจะไม่เป็นกิเลส มันเป็นอยู่กับเจ้าของแล้วนั่นน่ะ โกรธให้ไม้ ไม้ไม่เป็นกิเลสแต่เจ้าของก็เป็นกิเลสเพราะความโกรธของเจ้าของเอง ไม่ว่าจะโกรธให้สิ่งใดวัตถุใด มีวิญญาณรับทราบกันว่าโกรธหรือไม่โกรธก็ตาม ธรรมชาตินี้ก็เป็นความโกรธเกิดขึ้นจากใจเผาเจ้าของได้ทั้งนั้นแหละ

ไปเหยียบหนาม หนามปักเอาเลือดสาดออกมา โกรธให้หนาม ฟังซิน่ะ หนามปักเพราะความเซ่อของเจ้าของ เลือดสาดออกมายังไม่แล้ว ยังไปโกรธให้หนามอีก แล้วหนามเขาจะมีอะไร มันก็ยังอุตส่าห์ไปโกรธให้เขา ได้โกรธก็เอา ขอให้ได้โกรธก็พอแล้ว เป็นยังไงโลกเราหนาไหมกิเลส เอาอันนี้มาแจงให้ฟังบ้างนะ มันเกิดกับเจ้าของทั้งนั้นแหละ ก่อนอื่นๆ ต้องเกิดกับเจ้าของ เกิดกับใจเจ้าของเอง แย็บออกไปรู้ ผู้ปฏิบัติธรรมพอแย็บออกไปรู้ ดับกันปั๊บๆ ไม่ยอมให้มันเกิด ต่อไปๆ จนหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรมาแย็บ ความโลภไม่มี ความโกรธไม่มี ความหลงไม่มี ราคะตัณหาไม่มีภายในจิตใจ เป็นบรมสุขสุดยอดแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มี พระอรหันต์ไม่มี พวกเราคือคลังของสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ต่างกันไหมล่ะ

ทั้งๆ ที่เป็นคลังของสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่รู้ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีในตัว มันโง่หรือไม่โง่มนุษย์เรา มันโง่ขนาดนั้นละ พระพุทธเจ้าจึงได้ท้อพระทัย สิ่งที่มีอยู่เต็มตัวล้วนแล้วแต่เป็นพิษเป็นภัย ตัวเองไม่เห็น พระพุทธเจ้าที่พ้นภัยไปแล้วกลับมามองเห็นสัตว์โลก จนท้อพระทัยไม่อยากสั่งสอน จะสั่งสอนอะไร นี่ละพิจารณาซิความรู้มันต่างกัน ความรู้ของธรรมกับความรู้ของกิเลสต่างกันมากทีเดียว ความรู้ของกิเลสแย็บออกตรงไหนเป็นกิเลสทั้งนั้น เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองและผู้อื่นตลอดไป แต่ความรู้ของธรรมแย็บออกมาตรงไหนเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่โลกทั่วๆ ไป แม้ตัวเองจะพ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มีคำว่าภัยว่าเวรละในตัวเอง แต่ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สำหรับที่จะให้เป็นภัยแก่ผู้อื่นไม่มี

จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จะแผดเสียงเหมือนฟ้าดินถล่มก็เถอะ บอกว่าไม่มีโทษออกมาเลย เสียงพระพุทธเจ้าที่ประกาศกังวานสอนสัตว์โลกนี้เป็นยังไง สามโลกธาตุอยู่ในพระโอวาทตาข่ายแห่งพระญาณหยั่งทราบ และพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น สอนครอบไว้หมด นี่ละความรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้ของธรรม จะไม่มีความโกรธ ไม่มีพิษมีภัยอยู่ในความรู้นั้น จะเทศน์แผดเสียงเหมือนฟ้าดินถล่ม ก็เป็นพลังของธรรมออกมาเสียทั้งหมด ไม่ได้เป็นพลังของกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลกนะ ต่างกัน

กิริยาของกิเลสที่แสดงออกไป สมมุติย่อๆ คือความฉุนเฉียว ความโมโหโทโสนี้ มันจะแสดงออกมาเต็มตัวของมัน แล้วพิษของมันก็จะเต็มตัวนั้น ออกไปตรงไหนกระทบกระเทือนพินาศฉิบหายไปตามๆ กันหมด นี่กระแสของกิเลส ความแสดงฤทธิ์ของกิเลส กระแสของธรรมหรือฤทธิ์ของธรรมแสดงออกเป็นธรรมทั้งนั้น จะเป็นกิริยาแผดเผาขนาดไหนก็ตาม สักแต่ว่ากิริยา เหมือนกับฟ้าร้องเปรี้ยงๆ อยู่บนฟ้าเปรี้ยงๆ เวลาฝนตกมาเย็นไปหมด นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าฟ้าไม่ร้องดินแห้งผาก ไม่มีน้ำ ได้ยินเสียงฟ้าร้องก็มีหวังฝนตก เสียงอรรถเสียงธรรมกระจายออกมาเหมือนฟ้าร้อง โลกทั้งหลายก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าไม่มีเสียงอรรถเสียงธรรมมีแต่เสียงกิเลสนี้ มีแต่ไฟเผากันทั้งนั้นแหละ ไฟเผากันเปรี้ยงปร้างๆ มีแต่เรื่องระเบิดเรื่องนิวเคลียร์นิวตรอนที่จะสังหารกันทั้งนั้น ไม่มีคุณติดอยู่ในนั้นเลย นั่นเรื่องของกิเลสแสดงออก ต่างกัน

ถ้าเรื่องของธรรมแสดงออกแล้วจะขนาดไหนก็ตาม ในดวงใจนั้นเป็นธรรมหมดแล้ว แล้วจะเอาอะไรไปเป็นพิษ แสดงออกมากิริยาใดก็เป็นกิริยาของธรรมเพื่อคุณแก่โลกๆ เพื่อถอดเพื่อถอนเพื่อแก้เพื่อไขตามคำแนะนำนั้นเท่านั้น ที่จะให้เป็นภัยไม่มี ต่างกันอย่างนี้แหละ เครื่องมือที่ทำงานของธรรมก็คือธาตุขันธ์ของเรา พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนไปโปรดสัตว์ๆ ก็เอาพระสรีระนี้แหละไป พระสาวกทั้งหลายท่านไปสอนโลกท่านก็เอาสรีระร่างกายนี้ไปเป็นเครื่องมือไปสอนโลก องค์ท่านเองหมดปัญหาแล้วไม่มีอะไร ใช้กันไปจนกระทั่งถึงวันๆ หมดสภาพของมันก็ปล่อยเสีย ท่านไม่ได้ยึดได้ถือ

ธรรมเป็นเจ้าของของธาตุขันธ์เหล่านี้ ท่านไม่ยึดนะ แต่กิเลสเป็นเจ้าของยึดเต็มตัวเลย อุปาทานขันธ์ยึดเต็มตัว เป็นพิษเป็นภัยอยู่เต็มตัว แต่เรื่องธรรมเป็นเจ้าของ กิเลสขาดสะบั้นไปแล้วธรรมเป็นเจ้าของแทน ธรรมท่านไม่ยึด เอามาใช้เป็นเครื่องมือเฉยๆ ต่างกันอย่างนี้ ส่วนกิริยาท่าทางของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสที่ใช้ในวงสมมุติ ก็ใช้ไปตามสมมุติอย่างนั้นแหละ สังคมยอมรับอะไรก็ปฏิบัติไปตามสังคมที่ยอมรับกัน เห็นว่าควรยังไงก็ปฏิบัติไปตามสิ่งที่เห็นว่าดีว่าควร อะไรไม่ควรสังคมไม่ยอมรับก็งดเว้นกันไป

เรื่องกิริยาของขันธ์เป็นอย่างนั้น รักษากันไว้จนกระทั่งถึงวันสิ้นลมหายใจ กิริยาแห่งการรักษาธาตุรักษาขันธ์ความเคลื่อนไหวไปมาของผู้มีศีลมีธรรมหรือของผู้บริสุทธิ์ กับผู้มีศีลมีธรรมทั้งหลาย มีความรักษาอย่างเดียวกัน ต่างกันที่ว่ารักษาสักแต่ว่ากิริยา ถ้าผู้สิ้นกิเลสแล้วสักแต่ว่ากิริยารักษา ไม่ซึมซาบเข้าไปถึงใจ ใจไม่มีอะไรแล้วขึ้นชื่อว่าสมมุติ จะเป็นอาการใดก็ตามจะไม่เข้าถึง

เพราะฉะนั้นพูดให้เต็มยศเสียเลย เอ้า ยันออกเลยทีเดียว จิตดวงนี้พ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาสมมุติ เพราะฉะนั้นคำว่า สังฆาฯ ปาราชิก นี้จึงไม่มีในพระอรหันต์ดวงสิ้นกิเลสแล้วนั้น จะมีอยู่ในกิริยาอาการความเคลื่อนไหวของขันธ์นี้เท่านั้น ให้จำเอานะ คำพูดนี้ถอดออกมาจากหัวใจ อันนั้นพ้นแล้ว ปุญญปาปปหินบุคคล พ้นแล้วซึ่งบุญและบาป พ้นแล้วซึ่งสมมุติทั้งหลาย ท่านจึงไม่มีอาบัติอาจีในดวงใจที่บริสุทธิ์ แต่ดวงใจที่บริสุทธิ์อยู่ในขันธ์ใด ขันธ์นั้นก็ต้องรักษาให้เป็นความสวยงามกับโลกทั่วๆ ไป ให้พอเหมาะพอดี ให้พากันเข้าใจ วันนี้ถอดออกมาพูดให้มันชัดเจนเสีย ธรรมชาตินั้นหมดปัญหาโดยสิ้นเชิงกับสมมุติทั้งปวง หมดโดยสิ้นเชิง แต่ขันธ์ยังเป็นสมมุติอยู่ก็ต้องปฏิบัติตามขันธ์ให้พอเหมาะพอสมกับสังคมนิยม ยอมรับทั้งเขาทั้งเราแล้วเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม

นี่ละธรรมเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วไม่มีอะไรอาจเอื้อมได้เลย หมดโดยประการทั้งปวง เป็นหลักธรรมชาติ จะไปตกแต่งหรือไประมัดระวังกลัวว่าธรรมชาตินั้นจะกำเริบ เรียกว่าไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละธรรมเมื่อได้ฝึกให้เข้าถึงขีดแคล้วคลาดปลอดภัย ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ปลอดภัยตลอดไป เรียกว่า นิพพานเที่ยงด้วยความปลอดภัย ไม่มีภัยอะไรที่จะเข้าไปอาจเอื้อมได้แล้ว

เราก็พิถีพิถันสอนพระทั้งหลายก็ดี พยายามสอน ธรรมพระพุทธเจ้าแสดงไว้นี้ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์พอประมาณนะนี่ ไม่ได้มาก ที่แสดงไว้ครอบโลกธาตุจากพระทัยพระพุทธเจ้านั้นละมากที่สุดเลย ไม่มีประมาณ โลกกว้างแคบขนาดไหนธรรมครอบหมด ทรงรู้ทรงเห็นนำมาแสดงได้หมด ตามที่สัตว์โลกจะยึดได้ประมาณมากน้อยเพียงไรเท่านั้น ถ้ายึดไม่ได้ท่านก็ไม่แสดง ไม่เกิดประโยชน์

เราอยากให้พระเรา เฉพาะอย่างยิ่งพระปฏิบัติพระกรรมฐานซึ่งออกแนวหน้าแล้ว ประกาศป้างๆ ในตัวเอง ว่าออกแนวรบแล้วเพื่อสังหารกิเลส ฆ่ากิเลส ด้วยข้อปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าพูดตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นคติตัวอย่างได้ดียิ่งกว่าผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม แสดงกิริยามารยาทออกมาแต่ละอย่างเป็นมงคลไปหมด ถ้าผู้มีกิเลสเจือปนแล้วกิเลสเต็มไปหมด มีธรรมแต่คำพูดเฉยๆ นั้นเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด ถึงจะไพเราะเพราะพริ้งหยดย้อยขนาดไหน สำนวนโวหารกิริยาแสดงออกก็คือไฟเผาโลกนั้นเอง เพราะมันเผาอยู่ที่หัวใจของตัวเอง ถ้าตัวเองไม่มีไฟแล้วอยู่ไหนก็สบาย เย็นไปหมดนั่นแหละ

พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่มั่นเรา นั่นละคุณมหาคุณล้วนๆ ไปเห็นประจักษ์เลยนะ บางทีเราก็พูดจะเป็นการอะไร พูดยากนะ ว่าลืมตัวก็ได้ ไปอยู่กับท่านทีแรกนี้ โถ กลัวจนตัวสั่น กิเลสมันอยากลากหนี อยู่กับท่านกลัวท่าน ส่วนธรรมนั้นปักลงไปแล้วนี่ ตั้งแต่วันเริ่มแรกได้ทราบว่า นี่ละอาจารย์ของเรา เรื่องท่านอาจารย์มั่นพระท่านมาเล่าให้ฟัง จำได้กระทั่งชื่อนะ ถ้ามีเหตุแล้วจำได้หมด ท่านมาจากบ้านนามน มาจากท่านอาจารย์มั่น ทางนี้ หือๆ ขึ้นเลย ก็เราเตรียมจะไปอยู่แล้ว มาพักอย่ที่วัดทุ่งสว่าง หนองคาย นี่ เป็นแต่เพียงว่ายังไม่กำหนดวัน อาจจะไปในระยะประมาณเดือนพฤษภา ยังไม่ได้กำหนดวัน

พอพระท่านมาเล่าให้ฟังว่าท่านมาจากบ้านนามน ทางนี้ เฮอะๆ ขึ้นเลย ว่ามาจากท่านอาจารย์มั่น นี่ก็ซักกันเลย นี่พูดถึงเรื่องทั้งความโง่ความฉลาด ทั้งธรรมทั้งกิเลสมันรบกัน ไหนว่าไง พูดอีกทีน่ะ ย้ำเข้าอีก ท่านบอกว่ามาจากท่านอาจารย์มั่น บ้านนามน แล้วท่านมาจากนั้นมานี้เลยหรือ ใช่ ว่างั้น เออ นี่ขอถามหน่อย ได้ยินร่ำลือเหลือเกินว่าท่านอาจารย์มั่นนี้ดุมาก ท่านดุท่านเด็ดมาก แล้วเป็นไง โอ๋ย ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ดุแต่เด็ดเลย ควรขับไล่จากวัดท่านขับเลยทีเดียว ทุกอย่างๆ ไม่มีอนุโลมผ่อนผันกับอะไร เป็นไปตามหลักธรรมหลักวินัยล้วนๆ เรื่องดุเรื่องด่านี้ไม่ต้องพูด ถ้าใครไม่ดีควรขับออกจากวัดท่านขับเลย เออ นี่ละอาจารย์ของเรา นั่นเห็นไหมล่ะ ลงท่านอาจารย์มั่นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก ลงท่านขนาดนี้จะดุด่าว่ากล่าวขับไล่ไสส่งใครต่อใครก็ตามโดยไม่มีเหตุผลนี้เป็นไปไม่ได้ ท่านต้องมีเหตุผลเต็มตัวของท่านแล้ว เราเชื่อมั่นอันนี้ เอา เราเป็นตัวประกันเอง มันกล้าหาญนะ

เวลาเข้าไปหาท่านแล้ว โอ๋ย หมอบเหมือนหนูหมอบกลัวแมวว่างั้นเถอะ บอกว่านี่ละอาจารย์ของเราเลยนะ ไปก็เอาจริงๆ โดนผางเข้าเลย หมอบเลยนะ แต่ก็ดีมันรักษาต้นไว้ดี เป็นผลบวก เช่นว่า ผมๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน ฟังซิน่ะ ตรงไหนไม่ล้านมันก็มีผมจริงๆ เอ้า ค้านซิ เราจับเอาตามนี้ ทางนี้ก็แก้ปุ๊บเลย ท่านเดินจงกรมอยู่มืดๆ เราไปกลางคืน ซุ่มซ่ามๆ ไปดู เอ๊ ถ้าเป็นศาลาก็ดูจะเล็กไปหน่อย ถ้าเป็นกุฏิจะใหญ่ไปสำหรับกรรมฐาน

ท่านว่า ใครมานี่ เราไม่เห็นละ บอกว่ากระผมละซิ พอว่ากระผมเท่านั้นท่านขึ้นเปรี้ยงเลย นี่เห็นไหมแผดไหม ฟังซิ เปรี้ยง อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน ฟังซิค้านได้ที่ตรงไหน เสียงขึ้นลั่นเลยนะ ทางนี้ก็แก้ปุ๊บ กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ต้องอย่างนั้นซิมันถึงจะรู้เรื่อง อันนี้ผมๆ ท่านแหย่เอานะ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ ติดอีก อู๊ย ทำไมถึงพูดถูกต้องขนาดนี้ กลัวละที่นี่ กลัวทุกอย่าง ครั้นอยู่ไปๆ ปฏิบัติไปประกอบทางด้านจิตใจเข้ากลมกลืนกันไป ฟังท่านไป ท่านพูดหนักเบามากน้อยเพียงไรจะจับๆ ตลอด อยู่ไปๆ อะไรๆ ก็ตามที่นี่สรุปลงมาแล้ว เป็นธรรมทั้งนั้นเลย ท่านจะดุด่าว่ากล่าวเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดขนาดไหน เป็นเรื่องของธรรมออกก้าวเดินๆ  ไม่มีกิเลสตัวเป็นภัยแม้นิดหนึ่งเข้าแฝงเลย นี่มันลงใจนะ

ทีนี้ก็สรุปเอาเลยว่า กิริยาอาการเคลื่อนไหวของท่านบริสุทธิ์อย่างเช่น ท่านอาจารย์มั่น เป็นต้นนี้ ไม่มีภัยแฝงออกมาเลย คือกิเลสแฝงออกมาไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ องค์ของท่านเป็นธรรมทั้งแท่ง กิริยาแสดงออกเป็นธรรม เวลาอยู่กับท่านนานๆ นี้ แหม อบอุ่นพูดไม่ถูกนะ ถ้าได้ยินเสียงเปรี้ยงปร้างๆ บรรดาผู้เคยได้ยินได้ฟัง เอาละที่นี่ฟ้าร้องแล้ว ฝนจะตกจะเย็น ท่านเปรี้ยงปร้างก็ธรรมจะออกละ ท่านดุท่านเด็ดเท่าไรธรรมยิ่งเด็ดนะ ไอ้เสียงเปรี้ยงปร้างเป็นทางเดินของธรรมต่างหาก เด็ดเท่าไรธรรมยิ่งออกอย่างเด็ดๆ

ก็เลยสรุปความว่า อ๋อ หมดในองค์ท่านไม่มีพิษภัยแฝงอยู่เลยแม้นิดหนึ่ง มีตั้งแต่เรื่องธรรมล้วนๆ อยู่กับท่านด้วยความอบอุ่น ถ้าท่านไม่เปรี้ยงปร้าง ธรรมะถึงจะเทศน์ถึงนิพพานก็ตาม รู้สึกจะขาดน้ำปลาอยู่ข้างๆ ที่นั่งรับประทานจนได้นั่นแหละ ถ้าท่านได้เปรี้ยงปร้างแล้วครบหมดเลย คือเปรี้ยงปร้างธรรมท่านจะพุ่งออกเลย เราลงใจถึงขนาดนั้น ทีนี้เวลาไปอยู่นานๆ เพื่อนฝูงเข้าไปละซี ท่านดุคนนั้นดุคนนี้เปรี้ยงปร้างๆ ทางนี้มันออกแต่ไม่ได้ออกด้วยความทะลึ่งนะ มันหากมีในจิตด้วยความตายใจ เคารพเทิดทูนท่านสุดหัวใจแล้ว มันออกแบบบ้าออกมาได้นะ เอ๊ย ทำท่าไปอย่างนั้นแหละ คือท่านดุคนนี้ ทำท่าไปอย่างนั้นแหละ มันออกได้นะแต่ออกด้วยความเทิดทูน เราตายใจพอแล้ว จึงว่าท่านทำท่าไปอย่างนั้น เราเองนะเป็น เป็นอย่างนั้นละ

กิริยาของธรรม ท่านผู้มีธรรมมากน้อยจะเป็นคุณออกมา ผู้มีธรรมเต็มหัวใจแล้วจะเป็นกิริยาของธรรมล้วนๆ  กิริยาใดออกมาก็ตามกิเลสไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ  อย่างหลวงปู่มั่นชัดเจนมากทีเดียว เราได้เห็นประจักษ์กับตัวของเราเอง สรุปความลงให้ตั้งใจปฏิบัติ ให้กำจัดสิ่งที่เป็นภัยอยู่กับจิตใจพาแสดงออกตลอดเวลานี้ให้ได้ทุกวันทุกเวลา

แล้วพวกในครัวนี้ไม่นานนะ ฟังอยู่เรื่อยๆ เดินไปเรื่อยดูเรื่อยฟังอยู่เรื่อย เดี๋ยวไล่ออกหนีทั้งครัวนะอย่าว่าไม่บอก มาอยู่มันมาซ่องสุมเรื่องอะไรกันอยู่ในครัว เที่ยวติดต่อคนนั้นเที่ยวติดต่อคนนี้ ใครมาจากไหนติดต่อประจบประแจงเลียแข้งเลียขาเหมือนหมา ไม่ได้นะที่นี่ ธรรมไม่เป็นอย่างนั้นนะ ธรรมต้องมีเหตุมีผล ติดต่อเกี่ยวข้องกันเรื่องอะไรให้มีเหตุมีผล อย่าเป็นแบบประจบประแจงเลียแข้งเลียขาเหมือนหมาไม่ได้นะ ถ้าเราจับได้แล้วไล่ออกหนีจากวัดทันที ธรรมไม่เป็นอย่างนั้น ต้องตรงไปตรงมา เข้าหากันด้วยความเป็นธรรมเสมอๆ อย่าเข้าหากันแบบหมาไปเลียแข้งเลียขา เข้าใจ ข้างในมันมีนะตัวข้าศึกๆ มันเป้งๆ แฝงอยู่ตามนั้น รบกวนคนอื่นมากอยู่นะ ว่าเราไม่รู้เหรอ พิจารณาให้ดีนะ

มามากเข้าทุกวันๆ ในครัวนี่ เลยหากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ เลอะๆ เทอะๆ ไปหมดเลย แทนที่จะมาอบรมศีลธรรมกลายเป็นสร้างมูตรสร้างคูถเหม็นคลุ้งทั่ววัดทั่ววา นี่สำคัญมาก พากันจำเอานะ ผู้ปกครองมันอกจะแตกแล้ว อย่างเรานี้ปกครองครอบไปหมด ในวัดนี้ก็ดีผิดถูกชั่วดีจะมาหาเรานี่ละ จะไปหาใคร ผู้รับผิดชอบก็คือเรา ขอให้มาด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ อย่ามาดังที่ว่านี้ใช้ไม่ได้นะ ถ้าเราจับได้ถนัดชัดเจนนี้ บอกเป๋งเดียวเลยไม่ต้องซ้ำ ถ้าปืนก็นัดเดียวพอ ไล่ออกทันทีเลย ไม่มีอะไรมาเป็นสักขีพยานอ้าง เพื่อต้านทานกันไว้ได้เลย ถ้าจับได้ชัดๆ แล้วไล่ออกหนีเลย ไม่วินิจฉัยใคร่ครวญนะ มันเลอะเทอะเข้าไปทุกวันๆ ในวัดเรา

ข้างนอกก็พอแล้วที่เข้ามาในวัดนี้ วันไหนเราออกมานี้ นึกว่าหมดผู้หมดคนแล้ว หมดเวลาที่คนจะเข้ามาเกี่ยวข้องวัด มันยังยั้วเยี้ยๆ เข้ามา แต่ก็ดีอันหนึ่งที่เจอกับเรา ถ้าไปเจอกับเราไม่ว่ารายไหนๆ ละเปรี้ยงเลยเชียว ไล่เดี๋ยวนั้นเลย มีอยู่เสมอ เวลานี้ก็ ๖ โมงยังอีก ๑ ชั่วโมง ๑ ทุ่มถึงจะมืด ตอนนี้ยั้วเยี้ยๆ นะ ไล่เรื่อยเมื่อวานนี้ก็ไล่ ออกมาทีไรเป็นต้องได้โดนกันละ มันมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา การเข้าการออกไม่มีกฎมีเกณฑ์เลย เป็นตลาดสำเพ็งไปแล้วเดี๋ยวนี้ เป็นสำเพ็งไปแล้วนะวัดป่าบ้านตาด ภายในครัวนี้ออกมาเลอะกว่าเพื่อน ทางพระเราไม่ได้ต้องติท่านนะ ท่านปฏิบัติละเอียดลออตรงแน่วตลอดเวลา ไม่เคยเห็นได้ต้องติพระองค์ไหนๆ แต่ถ้าครัวนี้ แม้แต่หมาในครัวก็ได้ต้องติ ไม่ต้องติยังไงก็ไอ้ปุ๊กกี้มันไปหาประจบประแจงกินอยู่ตามกุฏิหลังไหนๆ ท้องป่องออกมานี้ จะไม่ว่ายังไงก็มันท้องป่องมาด้วยการประจบประแจงของมัน ไปที่ไหนไปหากินนั้นกินนี้ พวกนี้มันจะเอาวิชาไอ้ปุ๊กกี้มาสอนกันละนะ เข้าใจหรือยัง

ฟังไม่ได้นะเลอะเทอะไปหมด เอ๊ มาปฏิบัติธรรมยังไงจึงเป็นอย่างงั้น ทีแรกเราไม่รับใครนะ ก็มีแต่โยมแม่ กับแม่ชีแก้ว บุญ แม่ชีน้อม ตายไปหมดละเหล่านี้ เท่านั้นอยู่ข้างใน ไม่มีใครไปยุ่งเลย ท่านเหล่านั้นก็อยู่งี้ ทางนี้ก็อยู่ทางนี้ เหมือนว่าอยู่คนละทวีป ไม่เคยไปเกี่ยวข้องกันเลย ครั้นหนักเข้าๆ มันก็เป็นอย่างนี้ละ ค่อยไหลเข้ามาซึมเข้ามาๆ เดี๋ยวนี้ในครัวมากกว่าพระในวัดเป็นเท่าสองเท่าแล้วนะ มันมากแต่ความเลอะเทอะละซิ ไม่ได้มากด้วยของดิบของดี พระในวัดเราเราไม่ได้ตำหนินะ พระจำนวนประมาณ ๕๐ ที่เรายันเอาไว้ว่าไม่ให้เลยนั้น กำหนดสถานที่บำเพ็ญเพียรพอเหมาะพอดี เลย ๕๐ ไม่เหมาะนั่น เพราะฉะนั้นใครมาก็ให้อยู่ในเกณฑ์ ๕๐ ไม่ได้ถูกต้องติแต่อย่างใดพระท่าน ท่านเรียบมาตลอด คงเส้นคงวาหนาแน่น

แม้เราจะออกช่วยชาติบ้านเมืองก็ออก ท่านก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านไม่เอนไม่เอียง เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ เราก็พอใจกับพระเรา แต่ทางในครัวมักมีเสมอ มันเป็นยังไงถึงไปเรียนวิชาหมากัดกันตลอดเหรอ มันเป็นยังไงในครัวนี้ นี้เอาละนะ ถ้าหากว่าไม่เป็นท่าจะขับหนี โละไปหมดเลยก็ได้ยากอะไร ก็วัดนี้เป็นวัดของเรา เรารับก็ได้ไม่รับก็ได้นี่วะ ถ้ามันไม่น่ารับเอาไว้ทำไมมูตรคูถมันเหม็นคลุ้งไปหมดเสียไปหมด เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไว้ มาอยู่นานเข้าๆ มันลืมตัวนะข้างใน ลืมตัวเข้าทุกวันๆ จำให้ดี พระเราไม่ได้หนักใจนะ การปฏิบัติปกครองพระเราไม่ได้หนักใจ ทางโน้นหนักมากกว่า พูดให้มันชัดเจน นี่ภาษาธรรมฟังเอา

การปกครองทางฝ่ายครัวนั้นหนักมากกว่านี้ มันหากมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฟังแล้วก็เหมือนตุ๊กตา เราเฉย เหมือนไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้ยินไม่ทราบ เก็บไว้ๆ ในลิ้นชักๆ ถึงเวลาแล้วค่อยออก ถ้าไม่ถึงเวลาก็เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ นะ ข้างในเต็มไปหมด อย่าให้หนักใจเพื่อนฝูงผู้ตั้งใจปฏิบัตดีปฏิบัติชอบ อย่าเพ่นๆ พ่านๆ อย่าไปเที่ยวกุฏินั้นกุฏินี้ไปหาโม้หาคุยกันที่นั้นที่นี้ มีแขกมีคนมาที่ไหน ไปเที่ยวหาประจบประแจงเลียแข้งเลียขาเหมือนหมาไม่ได้นะ วัดนี้ถ้าเราจับได้แล้วไล่ออกทันที ในพระเจ้าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมจะไปทำอย่างนี้ไม่มี อย่าให้มาขวางกันนะ เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้นละ ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก