เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
สรณะของเราเกิดจากภาวนาทั้งนั้น
ก่อนจังหัน
การอบรมพระผมไม่ค่อยมีนะ เพราะงานยุ่งมากต่อมาก และประกอบกับธาตุขันธ์ชราลงทุกวันๆ การอบรมพระจะให้เป็นเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ก็ต้องฟังแทรกกันไปอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เคย การอบรมพระต้องเป็นพระล้วนๆ การสอนประชาชนก็ประชาชนล้วนๆ ไม่เข้ามาคละเคล้ากัน อันนี้จำเป็นก็ต้องมาคละเคล้ากันอยู่นี้จนได้นั่นแหละ คือการสอนพระ หน้าที่ของพระ งานของพระ เป็นอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผิดกัน การสอนจึงต้องสอนแยกสอนแยะ เวลาสอนพระก็เป็นเรื่องงานของพระล้วนๆ ไปเลย สอนประชาชนก็เป็นงานของประชาชนไป นี้ปรกติไม่เคยสอนคละเคล้ากัน สอนแบ่งสัดแบ่งส่วน แต่นี้มันก็จำเป็นจะว่าไง เพราะไม่มีเวลาที่จะสอนก็ต้องสอนเวลานี้
ให้แยกเอา เรื่องอรรถธรรมไม่นิยมว่าเป็นหญิงเป็นชาย นักบวช ฆราวาส ความผิดถูกชั่วดีไม่เลือก ใครทำถูกถูก ใครทำดีดีทั้งนั้นแหละ ให้แยกแยะออกไปปฏิบัติตามหน้าที่ของตนก็แล้วกัน การปฏิบัติของพระนี้ให้เข้มแข็งนะ อย่าอ่อน อ่อนไม่ได้ ผมนี่สลดสังเวช เดินไปไหนๆ เห็นพระหัวโล้นๆ ด้วยกัน จนมองดูหน้ากันไม่ได้ พูดให้ชัดเจนอย่างนี้เลย ผู้รักษารักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน เทิดทูนพระพุทธเจ้าคือพระธรรมวินัยสุดหัวใจๆ แล้วไปเห็นเก้งๆ ก้างๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าต่อหน้าต่อตาไปด้วยการล่วงเกินธรรมวินัยไม่สนใจ กลายเป็นพระหน้าด้านๆ นี้สลดสังเวชนะ
ทุกวันนี้มีหรือไม่มีเมืองไทยเรานี้น่ะ หรือว่าหลวงตานี้หาเรื่องอุตริเหรอ เรียนมาด้วยกัน ตามีด้วยกัน หูมีด้วยกัน ใจมีด้วยกัน ทำไมจะไม่รู้ผิดถูกชั่วดี มันควรจะคิดนะพระเราน่ะ น่าอายมากนะพระเราเวลานี้ ขายหน้าขายตาคือพระเรานี้ ขายมากที่สุดเลย เย่อหยิ่งจองหองก็ไม่มีใครเกินพระ ใครจะไปแตะเขาก็ไม่กล้าแตะเขาเห็นผ้าเหลือง ยิ่งสนุกละซิ สนุกวางตน โอ่อ่าฟู่ฟ่า นี่ละพระเราเลวที่สุดเดี๋ยวนี้น่ะ บวชมาชำระกิเลส เดี๋ยวนี้เข้ามาสั่งสมกิเลสทั้งนั้นละ อาศัยศาสนาเป็นเขียงเหยียบขึ้นๆ กิเลสตัวพองตัวนั้นแหละมันเหยียบขึ้นๆ จนจะมองไม่ได้นะ
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกองค์พิจารณาให้ดีนะ การเทศน์สอนนี้สอนทั่วๆ ไป นับแต่ผมไปด้วย ผมก็ปฏิบัติมาตลอด ก็สอนมาตามอรรถตามธรรมที่ได้เรียนและปฏิบัติมา เพื่อท่านผู้ฟังทั้งหลายจะได้นำไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ อย่าเร่ๆ ร่อนๆ โลเลโลกเลกนะ เวลานี้มองดูพระเรา มองเด็กเป็นอย่างหนึ่ง มองหมาเป็นอย่างหนึ่ง มองคนทั่วๆ ไปเป็นอย่างหนึ่ง พอมามองพระเท่านั้นสะดุดตาสะดุดใจไม่อยากมอง มองดูไม่ทั่วหน้า ก็ผ้าเหลืองๆ มันเพศเดียวกันนี่น่ะ ผู้หนึ่งรักษาเข้มงวดกวดขันแทบเป็นแทบตาย เทิดทูนพระพุทธเจ้าโดยปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยอย่างสุดหัวใจ แล้วพวกหนึ่งมาเหยียบย่ำหัวพระพุทธเจ้าต่อหน้าต่อตาโดยการล่วงเกินธรรมวินัยไม่มีละอายบาปเลยบ้างนี้ นี่ละมันน่าสลดสังเวช ขอให้ท่านทั้งหลายเอาไปคิด
ศาสนาสอนคนนะ ถ้าสอนพระไม่ได้จะสอนใคร พระเป็นผู้ที่จะสอนประชาชน แล้วสอนตัวไม่ได้ ยิ่งเลวลงๆ จะเอาอะไรไปสอนเขา มันก็เลวกว่าเขาละซิ จากเลวกว่าเขาก็เลวกว่าหมาไปอีกพระเราน่ะ มีเยอะนะ ขอให้พิจารณาทุกองค์ๆ สอนทั่วๆ ไป เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาชะมาล้าง เพราะพวกเรานี้พวกสกปรก พวกหมาขี้เรื้อน หาความดีติดตัวแทบไม่มีในเพศของพระเราเวลานี้ มีแต่ความเลอะๆ เทอะๆ มองไปขวางตาทันทีๆ ก็ธรรมวินัยมีอยู่เรียนมาด้วยกัน อะไรขัดกับธรรมกับวินัยคือองค์ศาสดา ก็รู้เองๆ
นี่ละที่ดูกันไม่ได้เวลานี้ เลอะเทอะมากเชียวพระเราทั่วประเทศไทย มันเป็นบ้าเรื่องยศ อันนี้ละสำคัญมาก อู๊ย พระเป็นบ้ายศสมัยปัจจุบันนี้ มันเป็นบ้าเอาอะไรนักหนา ตั้งชื่อตั้งนามขึ้นที่ไหนๆ ตั้งได้ๆ เมื่อวานนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องยศ เพราะมันเลวมากจริงๆ เดี๋ยวนี้พระเรา มันน่าพูดก็ต้องพูดบ้างซิ คนอื่นเขาไม่กล้าพูดแหละ หลวงตาบัวนี้เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาพูดผิดไปตรงไหน ผู้ทำไม่ผิดหรือ ผู้ทำมันผิดมากยิ่งกว่าผู้สอนเพื่อแก้ไขต่างหากนี่นะ จะมาว่าทางนี้ผิดเหรอ ผู้ทำมันผิดนี่ สอนเรื่องผิดให้แก้ไขดัดแปลงแล้วเป็นความผิดที่ตรงไหน พระพุทธเจ้าสอนโลกแบบนี้เหมือนกัน สอนผู้ที่ผิดให้ถูก สอนผู้ที่ถูกแล้วให้ส่งเสริมตัวขึ้นให้ดีๆ ท่านสอนอย่างนั้น นี้ธรรมก็มาสอนแบบเดียวกัน ผิดกันที่ตรงไหน
มันน่าสลดสังเวชนะพระเราเวลานี้ ยิ่งหนาขึ้นทุกวันๆ เขาเข้ามาในวัดแทนที่จะน่ากราบน่าไหว้ เคารพบูชา กลับเป็นส้วมเป็นถานในวัดในวาไปหมดแล้วนี่ น่าทุเรศจริงๆ เอาไปพิจารณาทุกองค์ๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเอามาประกาศ อย่าพากันเหยียบย่ำทำลายหัวพระพุทธเจ้า คือธรรมคือวินัยนั้นละคือหัวพระพุทธเจ้าองค์ศาสดาแท้ การล่วงเกินธรรมวินัยนี้คือเหยียบหัวพระพุทธเจ้านั้นแหละ ให้พากันพินิจพิจารณานะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
ผู้กำกับ ปัญหาธรรมะจากเว็บไซค์หลวงตาครับ คนแรก
ผมพิจารณาอสุภะไม่ว่าจะพิจารณาคนอื่น หรือพิจารณาให้อยู่ในกายตัวเอง ระหว่างพิจารณาจะเกิดความสงบนิ่งมากภายในใจ ภาพนั้นจะชัดขึ้นนิ่งขึ้น แต่สุดท้ายก็มีแสงสว่างมาแทนที่ ภาพนั้นคลายหายไปหมดโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ความปวดก็หายวับไปในขณะนั้น ไม่ว่าจะกำหนดให้เป็นคนอื่นหรือตัวเอง ผลก็เป็นเช่นกันหมด ในขณะนี้ผมได้คิดว่า ไม่ว่าเราจะกำหนดพิจารณาสิ่งใดตามแนวทางนี้ย่อมจะปรากฏผลเช่นเดิม กราบเรียนถามหลวงตาว่าผมพิจารณาเช่นนี้ถูกหรือไม่ และควรทำอย่างไรต่อไปครับ ด้วยความเคารพอย่างสูง (จาก อัสสะชา)
หลวงตา ถูกต้องแล้ว ที่พิจารณานี้เรียกว่าถูกต้องแล้ว ถ้าชำนาญเข้าไปมันยิ่งรวดเร็วไปๆ ให้พิจารณาอย่างนั้นละ ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งนี้มันหากบอกในตัวเหตุของมันเวลาพิจารณา สภาพอันนี้มันจะเปลี่ยนของมันๆ เราก็พิจารณาไปตามมันเรื่อยๆ ต่อไปสภาพนี้หายเงียบเลย หมด แน่ะ แต่เราไม่พูดล่วงหน้าผู้ปฏิบัติจะคาดคะเน เสีย ไม่ถูก ให้เป็นขึ้นปัจจุบันๆ เพราะฉะนั้นการเทศน์ธรรมะต้องได้ระวัง คือไปบอกไว้ล่วงหน้าไม่ได้ ให้ไปโดนตัวเอง ตัวเองไปโดนเอง แน่ๆ เวลามีผู้แนะนำไว้ก่อนมันไปหมายอย่างละเอียดไม่รู้ตัวนะ จึงต้องระวังๆ เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ คนที่ ๒
กำหนดพุทโธเมื่อจิตรวมไม่มีตัวตน รู้แค่ว่าหยุดจิตให้นิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ จิตจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว มีครั้งหนึ่งเห็นพระยืนอยู่กลางป่า จิตพุ่งผ่านร่างพระท่านไปเห็นเป็นโครงกระดูก รู้สึกกลัวเลยถอนสมาธิ เป็นเพราะอะไรแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปครับ
หลวงตา พิจารณากระดูกมันจะเป็นอะไร พิจารณาต่อไปซิ ถอนออกมาอะไรหรือว่ากลัวหรือ กลัวอะไร เจ้าของก็มีกระดูกกลัวหาอะไร พิจารณากระดูก เจ้าของก็กระดูก วิ่งเข้ามาหาตัวเองเพราะกลัวนั้น แล้วกระดูกในตัวไม่กลัวหรือ มันจะเป็นอะไรก็พิจารณาไปซิ จิตไม่เคยตาย ให้มันถึงเหตุถึงผลกันมันถึงได้ความออกมา แค่นั้นละไม่อธิบายมาก
ผู้กำกับ คนที่ ๓
หลานกำหนดลมหายใจเข้าออก บริกรรมพุทโธ หลังจากเดินจงกรมเสร็จแล้ว เข้านั่งสมาธิต่อ จิตใจก็มีความสงบดี หลังจากออกจากสมาธิแล้ว หลานเอนตัวลงนอนเพื่อพักผ่อน พอหลับตากำหนดพุทโธได้ไม่นาน มีความรู้สึกว่าจิตใจของหลานเพลียมากและความรู้สึกค่อยๆ หายไป กำหนดสติแทบไม่ได้ เหมือนหลานหมุนเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง คล้ายมุดเข้าไปในโพรงที่แคบมาก สติสัมปชัญญะเกือบจะหมดไป ตัวจิตก็ฉุกคิดขึ้นว่า นี่แหละอาการของคนจะตาย
หลานก็พูดกับตัวเองว่า ถ้าจะตายจริงก็อยากลองดูว่าจะเป็นยังไง แล้วอีกจิตหนึ่งก็คิดสวนว่า อย่าพึ่งดีกว่าเราทำบุญมากพอแล้วหรือที่จะตาย หลานเองก็พยายามฝืนให้สติกลับมาดังเดิม โดยบริกรรมพุทโธให้ถี่ขึ้น จนดึงความรู้สึกและสติกลับมาดังเดิม แต่ขณะที่สู้กันอยู่นั้น เหมือนร่างกายถูกดูดดึงอยู่ตลอดเวลาให้เข้าไปในช่องแคบๆ อันนั้น สู้กันอยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะรั้งสติกับกายที่จะหลุดเข้าไปในช่องแคบๆ นั้นออกมาได้ หลานอยากกราบเรียนถามว่าเป็นอาการที่จิตกับกายจะแยกออกจากกันหรือเปล่าครับ หรือขาดสติไปในขณะนั้น
หลวงตา ขี้เกียจตอบ มันเป็นกิริยาของการภาวนา แล้วแต่มันจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง จะตามไปบอกไปสอนทุกแง่ทุกมุมไม่ถูก ให้มันเป็นของมันไป เรียนรู้กันไปๆ กับกิริยาของตนเองที่แสดงออกนั้นแหละเหมาะ อันนี้ยังไม่ใช่วิสัยที่จะถามครูบาอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ตอบให้ มันเป็นอาการของจิต เหมือนนักมวยเขาต่อยกัน ลวดลายเป็นยังไงๆ เขาไม่คำนึงเวลานั้น อันนี้ก็เหมือนกันเวลาเข้าพิจารณามันจะมีอาการแปลกๆ ต่างๆ เราจะเอามาถามครูบาอาจารย์ไม่ถูก มันหากเป็นเครื่องสอนในตัวนั้นแหละ อันนี้ไม่ตอบให้ ผ่านไป ให้พิจารณาตามที่เคยพิจารณา เขาภาวนาพุทโธหรือลมหายใจ (บริกรรมพุทโธครับ) เออ อย่าปล่อยอันนี้ก็แล้วกัน ให้อยู่กับความรู้นะ ใจเป็นนักรู้ เอาพุทโธมาติดปั๊บ ความรู้ก็อยู่กับที่นั่น ตั้งตัวได้ เอาตรงนี้อย่าปล่อยตรงนี้ อาการแสดงเหล่านั้นมันไม่แน่ละ มันจะเปลี่ยนของมันไปเรื่อยๆ พิจารณาเท่าไรยิ่งละเอียดมันยิ่งเปลี่ยนของมันพรรณนาไม่จบ หลักใหญ่อยู่ตรงนี้
ผู้กำกับ คนที่ ๔
ผมเคยฝึกนั่งสมาธิโดยใช้คำบริกรรมว่าพุทโธมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กครับ แต่เดี๋ยวนี้เวลานั่งสมาธิแล้วกลายเป็นว่าไม่มีคำบริกรรม รู้สึกแต่ว่ามีลมหายใจผ่านเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และบางทีก็หายไปเฉยๆ ทำอย่างนี้ผิดหรือเปล่าครับ (จาก บัวลอย)
หลวงตา เฮ้อ ตอบลำบากเหมือนกันนะ มันจะปล่อยก็ให้มันปล่อยของมันเอง อย่าไปรวนเรอย่างนี้ ถ้ามันจะปล่อยก็รู้มันว่าปล่อย เช่นอย่างที่ว่ากำหนดพุทโธๆ ติดกันตลอดไม่ให้เผลอเลย เวลามันเต็มที่ของมันแล้วพุทโธกำหนดไม่ออกเลย หมด นั่นให้มันเห็นอย่างนั้นซิ เอ๊ นี่พุทโธทำไมติดกันมากับจิตนี้ ทีนี้ทำไมพุทโธไม่มีปรากฏ กำหนดเท่าไรก็ไม่ออก หายเงียบ เหลือแต่ความรู้ เอาสติจับกับความรู้ นั่น จับความรู้ ทีนี้พอความรู้มันได้จังหวะแล้วมันเคลื่อนออกมา พุทโธจับปั๊บเข้าไปเลย นี่ละเป็นบทเรียนในตัวเองสอนตัวเอง พิจารณาตัวเองซิ จะให้ไปบอกทุกแง่ทุกมุมไม่เหมาะแหละ การภาวนามันเหมือนเขาต่อยมวย จะมาเพลงไหนๆ มันจะรับกันปัจจุบันๆ ระหว่างนักมวยทั้งสอง อันนี้ระหว่างกิเลสกับธรรมมันจะฟัดกันอยู่ในนั้นแหละ เอาเท่านั้นแหละ
ผู้กำกับ คนที่ ๕
ลูกภาวนาพุทโธมาตลอด จนกระทั่งจิตสงบพอดี ทำให้อยู่สบายไม่เดือดร้อนกับสิ่งต่างๆ มากนัก ลูกพิจารณาว่านี่เป็นความว่างหรือ ขณะพิจารณาความว่างจิตมีสติ สมาธิพอดี พิจารณาสักครู่เหมือนกับธรรมไหลไปเอง พิจารณาเอง โดยลูกไม่ได้กำหนด เป็นแต่เพียงรู้เท่านั้น สภาวะอย่างนี้จะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนจิตบอกว่าพอแล้ว เวลานี้ลูกภาวนาพุทโธและกำหนดอสุภะไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กราบเรียนถามพระหลวงตาว่า จะต้องพิจารณา หรือกำหนดอย่างใดอีก เวลานี้ลูกเหมือนนอนรอตายอยู่อย่างนั้นเอง
หลวงตา พิจารณาอีก ก็มันมีอยู่กับตัวจะไม่เห็นได้ยังไงอสุภะ อยู่ในตัวนั่น มันอยู่ในตัวทำไมไม่เห็น เอา พิจารณาลงไป ของมีอยู่ไม่เห็นได้เหรอ พระพุทธเจ้าสอนของมีอยู่ทั้งนั้น เอาเท่านั้นละไม่พูดมาก
ผู้กำกับ คนที่ ๖ ปัญหาเรื่องวิทยุมีคลื่นอื่นแทรก
ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วลูกไม่สามารถเปิดฟังวิทยุ 103.25 ของหลวงตาได้เลยค่ะ จะมีคลื่นอื่นแทรกทับคลื่นของหลวงตาตลอด รบกวนจนฟังธรรมะของหลวงตาไม่ได้เลยค่ะ เสียงคลื่นที่แทรกมาเป็นเสียงพระที่อื่นเทศน์ เล่าชาดกบ้าง เทศน์เสียงเนิบๆ บ้าง เปิดเพลงบ้าง ลูกอยากให้คณะลูกศิษย์ที่รับผิดชอบช่วยตรวจสอบและช่วยกันแก้ไข เพราะเข้าใจว่ามีพวกมารมากลั่นแกล้งไม่ให้สาธุชนฟังธรรมจากหลวงตาได้ค่ะ พวกนี้มากีดขวางธรรมพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อไหร่พวกนี้จะได้รู้เห็นธรรมะคะ ลูกเข้าใจว่าพวกนี้บาปหนักมากที่กีดขวางธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ให้ออกเป็นประโยชน์ต่อโลก
หลวงตา อันนี้กองทัพเทวทัตให้รู้เอา มหาโจรมันแทรกโน้นแทรกนี้ตลอดแหละ ไม่แทรกนี้ก็แทรกอย่างอื่นมาตลอดไม่เคยละ แทรกมาอย่างนี้ละ นี่มหาโจรมันไม่กล้าออกหน้าออกตา มันก็แทรกอย่างนั้นแทรกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี้เราเคยเตือนแล้ว ก็มีเท่านั้นเอง เอ้า แทรกก็แทรกไป ตรงไหนที่เข้าใจ-เข้าใจ ตรงไหนที่เป็นมหาโจรก็ให้รู้ว่าเป็นมหาโจรเสีย มันแทรกนี้คือมหาโจร ก็ให้ว่าอย่างนั้นซิ
ผู้พิจารณาก็พิจารณาอยู่นั้นแหละ คนที่ทำ โจรมันก็คน คนที่ไม่ใช่โจรก็คน มันตามดูกันอยู่นั้นแหละ เขาดูอยู่เรื่องเหล่านี้น่ะไม่ใช่เขาไม่ดู เราทราบมาตลอด ก็รู้ว่านั้นเป็นโจร นี้เป็นเจ้าของสมบัติ มันพอฉวยได้อะไรมันก็ฉวยไปๆ ครั้นฉวยไปฉวยมาเดี๋ยวจับตัวได้ก็เอาเข้าใส่คุกได้ ก็อย่างนั้นเอง จับตัวได้จังๆ แล้วมันจะไปไหน นั่น เหตุผลกฎเกณฑ์มีอยู่ กฎหมายบ้านเมืองมีอยู่ มันก็ไปตามกฎนั่นแหละถ้าจับตัวได้แล้ว จับไม่ได้มันก็ขโมยเรื่อยๆ ไป ระวังมันขโมยตัดเอาพวงหำไปนะ เซ่อซ่านักมันตัดเอาพวงหำไป ตรงนั้นตายนะให้ระวังให้ดีพวงหำ เอาอย่างนั้น แทรกเข้าไปอย่างนั้นซี เซ่อซ่าๆ พวงหำเจ้าของถูกเขาตัดออกไปเรียบนะ
ก็บอกแล้วเรื่องร้ายมันตามเรื่องดีมา มันตามทำลายๆ พวกนี้ไม่มีงานทำ ไม่ได้ทำความชั่วอยู่ไม่ได้ คนชั่วไม่ทำความชั่วอยู่ไม่ได้ ต้องแง่ใดแง่หนึ่งๆ อยู่อย่างนั้นแหละนักเลงโต แต่คนดีก็ไปทำชั่วอย่างนั้นไม่ได้ ทำแต่ของดีเรื่อยไป ทางเดินคนละทาง มีเท่านั้นเอง ใครจะเดินทางไหนให้เลือกเอา เรื่องเหล่านี้มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรนะ ไม่ใช่พึ่งมีมาปัจจุบันนี้ ความชั่วความดี คนชั่วคนดี มีมาด้วยกัน เป็นข้าศึกกันมาเรื่อยๆ อย่างนี้ให้เข้าใจ
ตั้งแต่เราจะภาวนามารในหัวใจยังเกิดจะว่าไง ไปว่าอะไรคนอื่น มารในหัวใจเราเกิดมากยิ่งกว่ามารภายนอก พอจะหันเข้าสู่ทางด้านภาวนา อุปสรรคมาแล้วๆ กีดขวางทางนั้นกีดขวางทางนี้ให้ล้มเหลวไปแล้ว นั่น มันมีอยู่กับหัวใจทุกคนดูเอาเหล่านี้ ไปดูตั้งแต่ภายนอกไม่ได้คติ ให้ดูตัวเอง ถ้ารู้กลมายาของตัวเองภายนอกรู้หมด นั่น กลมายาของตัวเองไม่รู้มันก็ไม่รู้ภายนอก ถ้ารู้กลของตัวเองเรียบวุธ ปัดตลอดไม่มีอะไรเหลือ กลไหนมารู้หมด มันรู้ที่ตรงนี้นะ หลงก็หลงอยู่ที่ตรงนี้ ติดเราแล้วก็ติดเขา ไม่ติดเราแล้วไม่ติดเขาไม่ติดใคร นั่น มันติดเราเสียก่อนนั่นแหละ
เราอยากให้นักภาวนาเราเน้นหนักทางด้านภาวนาให้มาก ท่านทั้งหลายจะเห็นความแปลกประหลาดในใจนี้อย่างไม่คาดไม่ฝัน รู้เห็นกันอย่างไม่เคยคิดเคยคาดเลย มันรู้ของมันๆ เห็นของมันไปเรื่อยๆ นี่เวลาธรรมะเปิดออกๆ กิเลสจางไปๆ มันตามต้อนกัน เป็นอย่างนั้นละ เวลากิเลสหนาอะไรก็มืดมิดปิดตาไปหมด ก้าวไม่ออกนะ เวลากิเลสหนาเป็นอย่างนั้น เวลาเราบุกเบิกไม่หยุดไม่ถอยแล้วก็มีวันหนึ่งจนได้ จะเปิดกันออกได้ให้เห็นเงื่อนของกันและกัน แล้วก็แก้ไขกันไปเรื่อยๆ ต่อไปก็มีทางแก้ไขเรื่อยไป ให้พากันพิจารณาอย่างนั้น
เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แก่นของศาสนาอยู่กับภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยภาวนา สรณะของเราเกิดจากภาวนาทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากอื่น อย่าลืมบทนี้ ถ้าได้เห็นของเรานี้แล้ว พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ จะมาอยู่นี้หมดเลย นี่เราก็เคยพูดแล้ว เคยคิดเคยคาดเมื่อไรตั้งแต่ก่อน ไม่เคยคิด เวลามันเป็นขึ้นนี่ยอมรับนะ เวลามันผางขึ้นมานี้ เหอ นั่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ เห็นไหมมันซ้ำ มันแน่ขนาดนั้นนะ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ คือหายสงสัยทุกอย่าง เรื่องตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ากับธรรมชาตินี้เข้ากันได้สนิทเลย นี่อันหนึ่ง
อันหนึ่งก็ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เราเคยคิดเมื่อไรแต่ก่อน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดแนบถึงขณะนั้นไม่เคยปล่อยเลย พุทโธ ธัมโม สังโฆ ละเอียดตามจิตไปตลอดไม่เคยปล่อยวาง และไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงให้เห็นประจักษ์อย่างนี้ ครั้นเวลาถึงกาลที่ควรรู้ควรเห็นแล้วผางขึ้นมา หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ นั่นสงสัยที่ไหน แม่นยำแล้วนั่น แล้วจากนั้น หือ พุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น นี่ละมันไม่คาดไม่ฝันมันเป็นขึ้นในใจไม่ต้องถามใครเลย มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง คือมันเป็นแล้วนั่น ถึงได้เอาออกมาพูด พุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้ามาอยู่จุดเดียวนี้หมดเลย ไหลเข้ามาจุดนี้หมด พากันจำเอานะ
เรื่องภาวนาเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร สำคัญมากทีเดียวเรื่องภาวนา ความรู้เรื่องภาวนานี้พิสดารมาก ดังที่เราเคยพูดให้ฟังแล้ว เรียนหนังสือก็เรียนจนกระทั่งได้เป็นมหา ฟังซิน่ะ เรียนไปๆ สงสัยไปๆ ไม่มีอะไรแน่นอนพอจับได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เลย มันก็เป็นของมัน แต่เวลาเราออกมาปฏิบัตินี่ซิจับติดๆ อ๋อๆ เรื่อยไป นั่น นี่ละความแน่นอนอยู่กับภาคปฏิบัติ ผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ๆ มันรู้ชัดเจนๆ ไปอย่างงั้น เราเรียนเราจำเฉยๆ เรียนนิพพานก็ไปตั้งเวทีตีกับนิพพาน หือ นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ เรียนถึงนิพพานยังไปตั้งเวทีตีกับนิพพานอีก พอมันจ้าเข้าตรงนี้แล้วนิพพานที่ไหนเท่านั้นพอ พากันจำเอานะ เอาละเท่านั้นละวันนี้ไม่พูดมาก วันไหนก็พูดทุกวันๆ วันนี้มีน้อยบ้าง
วันนี้พูดเรื่องภาวนาก็พูดย่อๆ เอาเลย ทุกอย่างย่อๆ เอาเลย เหนื่อย มันเหนื่อยนะ ไม่อยากพูดอะไรมากนัก เมื่อวานก็ดุคน นี่ละพอว่าจะออกมาไม่ได้นะ พอออกมามันรุมเลย เราก็จำเป็นที่จะได้ออก แน่ะ มันมีเครื่องบีบบังคับให้ออก ออกดูนั้นดูนี้ที่จำเป็น มันเกี่ยวกับเราคนเดียวต้องไปดู ครั้นออกไป ใครอยู่ที่ไหน นู่นฟากทุ่งนาก็โดดเข้ามารุมกัน ดุเอาซิเมื่อวาน ออกมาทีไรได้ดุทุกที มันรุมเอาจริงๆ นะ ไม่มีเวล่ำเวลา เพราะฉะนั้นเวลาฉันจังหันแล้วเราหลบหนีของเราไปอยู่ในรถ ไม่มีอะไรล่ะนั่น นั่นละความสุขของเรา พอเข้าไปรถนอนปั๊บเท่านั้น รถจะไปไหนช่างมัน ระงับขันธ์ของเรา ระหว่างขันธ์กับจิตอยู่ด้วยกันระงับกันในเวลานั้น เงียบไปเลย รถไปถึงไหนหายเงียบไม่สนใจ นี่เป็นความสุขของเรา
ถ้าอยู่นี้เหมือนติดคุกติดตะรางนะ อู๊ย ทุกข์ยากลำบากมาก คนนับถือก็ยอมรับนับถือ แต่เราผู้รับความนับถือของคนซิมันจะตาย เขาไม่รู้เรา นี่ละหนักอย่างนี้นะ เวลาจะออกไปดูนั้นดูนี้ ค่ำๆ จึงค่อยออกไป ไปดู ได้อะไรมาก็สั่งๆๆ ถ้าออกไปกลางวันไม่ได้นะ มันยั้วเยี้ยๆ เมื่อวานนี้ก็ไล่ผู้หญิงคนหนึ่งกับฝรั่งผัวมันนั่นแหละ เราไปดูกุฏิเขา เขาแอ้มถึงไหนแล้ว พอออกไป เวลาเราไปนี้เห็นเขากำลังออกมา เขาเห็นเราเขาจะปุบปับมาหาเรา เราปุ๊บเข้าช่องนั้นเลย เข้าช่องไปหากุฏินั่นน่ะ หลบเข้าช่องปั๊บเขาก็ผ่านไป ทีนี้พอไปดูนั้นเสร็จ นึกว่าเขาไปถึงไหนแล้วเขาออกไปแล้ว
เขารอจังหวะเราอยู่นู่น เป็นอย่างงั้นนะ รอก็รอทางนี้ก็มีเหมือนกัน หมัดที่จะต่อยคน เข้าใจไหม เราไปดูเขาตีถึงไหนแล้ว ตีฝาถึงไหนๆ ดู จากนั้นเราก็อ้อมมาทางนั้น อ้าว ทางนั้นเขาจ้ออยู่นั้นแล้ว จ้ออยู่นั้น เห็นเรารุมใส่เรา ผัวเมียฝรั่งกับคนไทยคนหนึ่ง รุมมาใส่เรา รุมมาอะไรตะกี้นี้เห็นออกไปนู้นแล้วทำไมไม่ออก ไปออกไป สถานที่นี่ไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่นนะ ไปเดี๋ยวนี้ ไล่ทั้งผัวทั้งเมียเลย เดี๋ยวนี้มันตกฟากแม่น้ำโขงก็ไม่รู้นะ ไล่ตั้งแต่เย็นวานนี้ คงไปไม่หยุดละทั้งผัวทั้งเมีย ตกที่ไหนก็ไม่รู้ แน่ะบทเวลาจะตลกมันเป็นของมันเองปั๊บเลย ไล่ไปเลย ทีนี้พวกนี้ก็ยั้วเยี้ย ทีนี้กลัวละนะกลัว แตกฮือไปข้างๆ เราก็มานี้สบาย ปราบสองคนนั้นอยู่พวกนี้ไม่ต้องปราบ หลีกกันไปเอง เราก็ไปของเราเข้ากุฏิ อย่างนั้นนะ อู๊ยมันลำบากจริงๆ เอ้าให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |