เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ใจดวงนี้พร้อมที่จะเลิศเลอ
ก่อนจังหัน
จะพูดวิธีการภาวนาให้ฟังสำหรับผู้เริ่มแรก ยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์คว้านั้นคว้านี้ แล้วก็คว้าน้ำเหลวขี้เกียจไปเสีย การภาวนาเริ่มต้นเราจะเอาคำบริกรรมใดก็ได้มากำกับใจเรา เช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรืออาปานสติ ตามแต่อารมณ์ที่เราชอบตามนิสัยของเรา แล้วมาตั้งให้จิตทำงานกับคำบริกรรมนั้น เช่นพุทโธๆ นี่คืองานของจิต คำบริกรรมใดก็ตามเมื่อนำเข้ามาแล้วนั้นเรียกว่าเป็นงานของจิต ให้จิตทำงานอยู่กับคำบริกรรมนั้น โดยมีสติควบคุมอยู่ทุกคำบริกรรมของธรรมบทใดก็ตาม สติเป็นสำคัญมากนะ เอ้า ให้ท่านทั้งหลายไปทำลองทำดูซิน่ะ ถ้าหากจริงจังตั้งได้ๆ ท่านทั้งหลายจะเห็นของอัศจรรย์ในหัวใจของท่านเอง
เวลานี้ไขว่คว้าทั่วโลกดินแดน เอาฟืนเอาไฟเผากันทั่วโลก นี่ละคือกิเลสพาหา หาความสุขมีแต่ฟืนแต่ไฟ เอาธรรมพาหาความสุขดูซิ วันหนึ่งตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงค่ำนี้มันกี่ชั่วโมง คิดตั้งแต่เรื่องกิเลสตัณหาทั้งนั้น เรื่องอรรถเรื่องธรรมจะแย็บๆ นิดหนึ่งมีน้อยมากนะ แย็บนิดหนึ่งเท่านั้นก็ยังมีน้อยมาก ส่วนมากไม่มี เป็นแบบสัตว์เดียรัจฉาน เรายังภูมิใจเราอยู่เหรอว่าเราเป็นคนๆ มันไม่ได้มีหางเฉยๆ นะ เอาหางใส่ปั๊บเข้าไปก็เป็นหมาเต็มตัวเลยละ ไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่เครื่องหมายของมนุษย์นะ สัตว์ไม่มีธรรมเหล่านี้ประจำใจ เรียกว่าสัตว์ได้ทั้งนั้น เราถ้าไม่มีอันนี้ประจำใจแล้วเรียกว่าสัตว์ได้ เพราะธรรมนี้เป็นธรรมประเสริฐเลิศเลอ สมกับความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีกว่าสัตว์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจำให้ดีนะคำพูดคำนี้
ให้ตั้งเป็นคำบริกรรม เช่นพุทโธ ให้จิตทำหน้าที่อยู่กับพุทโธๆ มีสติควบคุมงาน กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามเถอะ แต่เรื่องความคิดความปรุงของใจนี้น่ะสำคัญมาก มันจะผลักดันออกมาๆ ให้คิดให้ปรุง เราเอาคำบริกรรรมใดก็ตามมันจะคอยปัดออกๆ กิเลสน่ะ ตัวอยากคิดอยากปรุงไปตามความชอบใจ ความชอบใจก็คือเรื่องของกิเลส มันจะผลักดันขึ้นมาภายในใจ นี่พูดถึงเรื่องนักภาวนา เฉพาะอย่างยิ่งพระเรา ให้เอาไปปฏิบัติลองดูซิ ให้ตั้งสติให้ดี งานการใดก็ตามเคลื่อนที่ไหวตัวไปที่ไหนก็ตาม สติติดแนบๆ นี่เรียกว่างานไม่ปล่อย งานของธรรมไม่ปล่อย แล้วจิตนี้มันจะคึกคะนองเหมือนม้าออกสนามก็ตามเถอะ มันจะสงบลงได้ๆ เอา ให้หนาแน่นขึ้น สติดีเท่าไรคำบริกรรมกับจิตติดแนบกันเรียกว่าทำงานเพื่อธรรม เพื่อธรรมก็เพื่อความสงบใจ แล้วจิตจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นมาๆ นี่เบื้องต้นที่ตั้งรากฐานของจิตใจ ต้องตั้งนี้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ตั้งให้ดีตรงนี้น่ะ
นักภาวนาไม่น่าจะมีงานมีการอะไรเข้ามายุ่งเหยิงวุ่นวายนะ เฉพาะอย่างยิ่งวัดป่าบ้านตาด ผมรักสงวนพระปฏิบัติมากที่สุด ไม่ให้สิ่งใดเข้ามายุ่งนะ งานการภายนอกก็ทำยิบๆ แย็บๆ นิดหน่อยที่จะเห็นว่าจำเป็นทางเรื่องภายนอก แต่เรื่องภายในคือจิตตภาวนามีสติเป็นพื้นฐานนี้เป็นงานสำคัญมากสำหรับพระเรา ภาวนาไปที่ไหนๆ มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว โลเลๆ ก็คืองานที่ทำเป็นชิ้นเป็นอันไม่มี มีแต่เรื่องโลเลๆ แต่ที่ไม่โลเลคือกิเลสถลุงหัวใจพระนั่นซิ เผลอทั้งวันๆ กิเลสเอาไปกินหมดๆ ท่านทั้งหลายจำให้ดี นี่พูดอย่างแม่นยำ เราฝึกมาแล้วสอนตัวเองเอามาแล้วผ่านมาแล้วทั้งนั้นนะนี่ ได้ผลเป็นที่พอใจๆ จนได้นำมาเทศน์นี่ละ ให้เอาไปปฏิบัติ
อย่าเหลาะแหละทำอะไร พุทธศาสนาไม่มีคำว่าเหลาะแหละนะ จริงจังทุกอย่าง เหลาะแหละๆ มีแต่เรื่องกิเลสเข้าแทรกธรรมๆ เรื่องของธรรมแท้ไม่เหลาะแหละ ทำอะไรๆ ให้มีสติติดๆ งานจะเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ค่อยผิดพลาดนะคนมีสติทำงาน อันนี้เรื่องสติไม่ทราบว่าเป็นยังไง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินว่าสติๆ ไปถามโคตรพ่อโคตรแม่อีก พ่อแม่ก็ไม่เคยมีสติสตัง ไปถามปู่ทวดอีกก็ไม่เคยมีสติสตัง เรื่อยมาจนกระทั่งถึงพวกหลานเหลนพวกเรานี้ก็ไม่มีสติสตัง พวกนี้เหลวไหล ถือพุทธศาสนาอะไรก็ไม่รู้ จำให้ดีนะ
เราอยากให้ท่านทั้งหลาย ได้เห็นความแปลกประหลาดในหัวใจของท่านนั้นเองนั่นนะ เอาธรรมเข้าไปจับดูซิน่ะ มีแต่กิเลสพอกพูนอยู่เต็มหัวใจ ไปที่ไหนจึงเป็นเหมือนส้วมเหมือนถานเคลื่อนที่ไป พวกส้วมพวกถานเคลื่อนที่ กิเลส ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันเคลื่อนที่ไหวตัว นั่งนิ่งมันก็อยู่นั้นน่ะกิเลส นี่เรียกว่าส้วม ส้วมถานมันนิ่ง ส้วมถานสงบตัว ส้วมถานเคลื่อนที่ก็คือกิเลสอยู่ในหัวใจเรา พาคิดนั้นคิดนี้เคลื่อนที่ ให้พากันจำ เอาธรรมจับเข้าไปซิน่ะ กิเลสวิเศษวิโสอะไร ทำโลกให้เดือดร้อนวุ่นวายตายกองกันมานี้ มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น ธรรมไม่มีคำว่าตายกองกัน เอาให้ดีนะ ขอให้เด็ดให้ขาดสักทีเถอะ นักปฏิบัติเราเฉพาะอย่างยิ่งคือพระ ขอให้จริงให้จัง พระพุทธเจ้าโกหกโลกจริงๆ หรือ มีแต่เราโกหกเรานะ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าโกหก มีแต่พวกลูกชาวพุทธๆ นี่ละมันตัวโกหกเก่งนี่ซิ โกหกตัวเองนั้นแหละ ว่าจะทำอย่างนี้กลับไปทำอย่างนั้น ทำอย่างงั้นกลับไปทำอย่างนี้ กลับไปไหนๆ กิเลสเอาไปถลุงๆ ทั้งนั้นนะ พากันจำให้ดี ภาวนาไม่ได้หลักได้เกณฑ์
อยู่ที่ไหนขอให้มีสติให้ดี จำให้ดีคำนี้น่ะ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว ออกจากสติความเคลื่อนไหวไปมาก็เป็นสัมปชัญญะ ความรู้รอบตัวรอบอาการกิริยาความเคลื่อนไหวของตัว ถ้ามีอยู่โดยจำเพาะ ก็เรียกว่าสติ จับอยู่กับคำบริกรรมก็เรียกว่าสติ ในขั้นเริ่มแรกต้องใช้คำบริกรรม จิตไม่มีงานทำเร่ร่อน คว้าโน้นคว้านี้ไปได้ ให้มีคำบริกรรมเป็นงานของจิตให้ทำอยู่นั้น ต่อไปพอจิตมีความสงบร่มเย็น งานของจิตก็คือความสงบนั้นแหละ สติติดอยู่นั้นเรื่อยๆ จำเอานะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
ตะกี้นี้ได้พูดถึงเรื่องการภาวนา ชาวพุทธเรา อย่าว่าแต่ชาวพุทธเราทั่วๆ ไปเลย ชาวพระเราก็ไม่เป็นท่าและไม่สนใจภาวนาเลยมีแยะในพุทธศาสนาของเรา ความจริงแล้วพระนั่นละคือนักภาวนานะ พระในครั้งพุทธกาลคือนักภาวนา เข้าไปอยู่ในป่าในเขาล้วนแล้วแต่ไปอยู่อบรมภาวนาเพื่อรักษาอารมณ์ ไม่ให้ยุ่งสิ่งอื่นเข้ามาประสานแล้ววุ่นวายไปได้ง่าย รักษาอารมณ์อยู่ในป่าที่สงบสงัดด้วยการภาวนา ผู้ที่ทำเอาจริงเอาจังจะเห็นผลประจักษ์ด้านจิตตภาวนา ไม่ต้องคาดหน้าคาดหลัง สดๆ ร้อนๆ คือการภาวนาด้วยความตั้งใจ ผลสะท้อนจะปรากฏขึ้นตามเหตุที่สดๆ ร้อนๆ ซึ่งเราทำด้วยความตั้งใจนั่นละ
ตะกี้นี้ก่อนจังหันได้พูดถึงเรื่องการตั้งสติ คือการตั้งสติธรรมดา เช่นอย่างการขบการฉันการอยู่การกินของเรา ตั้งธรรมดา สติก็เริ่มมีขึ้นตามขั้นธรรมดา ที่เราจะตั้งสติให้มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งเพื่อมรรคผลนิพพาน การตั้งสติก็ต้องมีเครื่องพยุงอีกนะ ส่วนมากจะมักถูกพวกอาหารเบาๆ ผ่อนอาหาร ช่วยสติได้ดี เราได้ทำแล้วนะเหล่านี้ไม่ใช่ไม่ได้ทำ ทำแล้ว ทดลองอย่างนั้นทดลองอย่างนี้ อยู่ในวงของธรรมนั่นแหละ อันไหนที่ถูกจริตของเราเอาอันนั้นมาอย่างนั้นแหละ พื้นฐานสำคัญสตินี้ต้องอาศัยสิ่งช่วยเหลือ เช่น ผู้อดอาหาร ผ่อนอาหารดี
พอเริ่มผ่อนอาหารสติจะเริ่มตั้งตัวๆ อดอาหารนี่มันหนักอยู่นะ ต้องเป็นจังหวะหนักๆ อดอาหาร ตั้งสติเอาจริงเอาจังนี้เป็นขั้นหนึ่ง ผ่อนอาหารตั้งสติไปเรียบๆ ดีอยู่ ตามแต่นักปฏิบัติจะเอาไปพิจารณาตัวเอง เฉพาะอย่างยิ่งพูดถึงนักบวชนักปฏิบัติจริงๆ ต้องมีหลักมีเกณฑ์การฝึกหัดตัวเอง ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้าไป พออดอาหารไปหลายวันเท่าไรๆ สติไม่เผลอตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ นั่นเห็นไหม นี่ค่อนๆ ไปแล้วนะ อดอาหารสามสี่วันไปแล้ว ทดลองดู สามสี่วันไปแล้วนี้ ไม่เผลอๆ ตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ เราอดอาหารได้แค่ ๗ วันไม่เลยนั้นไปละ คือกะว่าพอดี ๗ วัน อย่างมาก ๗ วัน ส่วนสี่ห้าวันนั้นเป็นประจำ
ทีนี้พอถึง ๗ วันสตินี้แน่วเลยไม่มีเผลอ พอเรามาฉันจังหันสติจะค่อยหลุดลุ่ยลงไปๆ ทีนี้มาอยู่ในผ่อนอาหาร พอทรงตัวๆ เรื่อยๆ สติเป็นสิ่งสำคัญประคองความเพียรได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มีสติไม่เป็นท่าแหละ อันนี้มันต่างนิสัยกัน สำหรับนิสัยเรามักจะดัดกันด้วยการอดอาหาร จนกระทั่งมันท้องเสียจะตายปีจะช่วยชาติบ้านเมือง นี่ท้องเสียมาตั้งแต่ออกปฏิบัติ พอพรรษา ๑๐ รู้แล้ว ออกพรรษา ๗ ออกก็เริ่มละ คืออดอาหารมันช่วยได้ดี จึงอดตลอดไปจนถึงพรรษา ๑๐ รู้สึกท้องแปลกๆ อยู่ แต่ไม่เคยสนใจกับท้องกับไส้อะไรยิ่งกว่าธรรม หมุนแต่กับธรรมเรื่อยๆ นี้อดไปเรื่อยๆ อย่างนั้นนะ ทนทุกข์ด้วยการอดอาหารมาก แต่ผลได้ดี คือประคองความเพียรได้ดีๆ เรื่อยไป จึงมักจะอดอาหารเรื่อยไปเรา ไปที่ไหนมักจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงชอบไปองค์เดียว
ไปกับเพื่อนฝูง เราอดท่านไม่อดก็ยังไง ท่านก็ต้องคิด ท่านต้องอดกับเรา คิดถึงใจกัน ถ้าไปองค์เดียวนี้ตัวเองเป็นตัวเอง ป่าช้าอยู่กับตัว นั่นเห็นไหมล่ะ ลงอันเดียวกันหมด อยู่ที่ไหนเป็นความเพียรตลอด นี่ละอยู่องค์เดียวเป็นอย่างนั้น เราจึงชอบไปแต่องค์เดียว เดินจากบ้านนี้ไปถึงบ้านนั้น ว่าจะขาดความเพียรเพราะเดินทางไม่มี เดินจงกรมตลอดเลย นั่น ไปถึงไหนก็ถึงนั้น ถึงไหนถึงกัน ความเพียรอยู่กับตัวตลอดเวลา นี่ละอำนาจของสติสำคัญมากนะ เราได้ทำมาแล้วนะพูดเหล่านี้ สติสำคัญมากทีเดียว
แต่นิสัยเรามันชอบไปทางอดอาหาร ทุกข์ยากลำบากเพราะอดอาหารนั่นแหละ แต่ว่าได้ผลๆ นั่นซิ จึงทนมาเรื่อย จนกระทั่งถึงพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้ว เอา พูดให้มันเต็มยันเสียเลยว่า ปี ๒๔๙๓ นั่นละลงเวทีการฟัดกัน ทีนี้ตั้งแต่นั้นมาไม่อดเลย นอกจากธาตุขันธ์ไม่ดีแล้ววันนี้ไม่ฉัน ถือเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตั้งใจอดอาหารเพื่อละกิเลสถอนกิเลสนะ อดเกี่ยวกับเรื่องธาตุขันธ์ ตั้งแต่พรรษา ๗ ไปถึงพรรษา ๑๖ เก้าปีนี้เป็นปีที่ทรมานมากที่สุดแหละสำหรับเราเอง จึงมักไปแต่องค์เดียวมันเป็นความเพียรตลอด ไปองค์เดียวอยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันก็เราเองๆ มันจะตายเสียจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตมากินเสียวันหนึ่งเท่านั้นแล้วหายเงียบไปเลย พอประคองธาตุขันธ์ไปได้เท่านั้น เอาละ ความเพียรมันเด็ดๆ
อดอาหารหลายวันเท่าไรธาตุขันธ์จะไปไม่ได้ จิตนี้เหมือนจะเหาะเหินเดินอากาศ มันสง่าทุกอย่างอยู่ในหัวใจนี่ ธาตุขันธ์นี้อ่อนเปียกๆ แต่จิตใจนี้สง่างามๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืนสง่าอยู่ภายในจิตนี่นะ นี่การอดอาหาร นิสัยของเราชอบอย่างนี้ จึงมาพูดให้หมู่เพื่อนฟังว่า ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำบอกเล่าธรรมดา เราว่าอย่างนี้นะ คืออันนี้จะสอนให้จริงให้จังนั้นก็เป็นนิสัยของแต่คนที่จะหาอุบายวิธีการดัดแปลงตัวเอง เราก็ทำของเราอย่างนั้น เราจึงเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง สำหรับนิสัยของเรานี้ชอบไปทางอดอาหาร เราว่าอย่างนั้น เพราะอาหารนี้มันเข้าไปธาตุขันธ์ ไปหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ให้มีกำลัง ความเพียรก้าวไม่ออกนะ สติก็ไม่ดี ผิดพลาดๆ ฉันจังหันยิ่งฉันมากฉันอิ่มเท่าไร การง่วงเหงาหาวนอนกับความขี้เกียจไปด้วยกัน เห็นชัดๆ จึงต้องได้ดัดกันเรื่อยๆ
อดอาหารหลายวันเท่าไรเรื่องความเพียรไม่ต้องบอก เป็นไปในตัวตลอดเวลาเลย เป็นอย่างนั้นนะ มันช่วยกันภายในตัว ตั้งแต่พรรษา ๗ แหละออกจากเรียนก็ขึ้นเวทีเลย ถึงพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้ว จนกระทั่งถึงจะเป็นพรรษา ๑๗ เดือนพฤษภา วันที่ ๑๕ ปี ๒๔๙๓ นั่นละลงเวที เรื่องเหล่านี้ปลดเองนะ อดอาหารก็ไม่อด ฉันธรรมดาเรื่อย จะว่าตั้งสติสตังตั้งอะไร แน่ะ มันก็บอกในตัวเสร็จแล้ว ในนั้นเสร็จ เรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ บอกในตัวเสร็จหมดเลย เสร็จแล้วงานที่เป็นข้าศึกอันใหญ่หลวงในภพชาติตายกองกันนี้ มาเสร็จในขณะนี้ นั่น มันบอกในตัวเสร็จเลย ขาดสะบั้นไปหมดขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มีเลย เหลือแต่ธรรมชาติล้วนๆ มันก็รู้ประจักษ์อยู่นั้นแล้ว นั่นใครไปบอกใคร สนฺทิฏฺฐิโก บอกแล้วนั่น
พระพุทธเจ้าองค์ไหนจะไปหารับรอง ดังที่พระเทศน์งูๆ ปลาๆ มาสอนขึ้นธรรมาสน์อวดโง่ให้เขาฟัง ใครเป็นพระอรหันต์ต้องมีพระพุทธเจ้ารับรองเสียก่อน โอ๋ย ขายขี้หน้าที่สุดเลยพระองค์นี้ ว่างั้นเลยเรา เราพูดตรงๆ ไม่เคยปฏิบัติ พูดเอางูๆ ปลาๆ นี้ปฏิบัติมาแล้วนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างปฏิบัติมาแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก เป็นลำดับตั้งแต่จิตสงบเข้าไป เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ไปตลอดๆ เรื่อย รู้ด้วยตัวเองๆ เป็นลำดับจนกระทั่งถึงกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจจ้าขึ้นมาแล้ว นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอด ไปหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนมารับรอง ท่านบอกแล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก พระวาจาพระพุทธเจ้ารับสั่งอย่างเด็ดขาด มอบให้เลย สนฺทิฏฺฐิโก จะรู้ผลของงานตัวเองปฏิบัติมาได้มากน้อยเพียงไรตลอดทั่วถึง จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดก็ประกาศป้างขึ้นมาเลย นั่น เป็นอย่างนั้นละการประกอบความเพียร
เราอยากเห็นบรรดาชาวพุทธ เฉพาะอย่างยิ่งพระกรรมฐานเราปฏิบัติภาวนา ให้ได้เห็นความสง่างามภายในใจ สิ่งภายนอกจะตบแต่งเท่าไรงามเท่าไรก็สกปรกเท่านั้นแหละ เรื่องของกิเลสแข่งธรรม เอาให้สวยให้งาม ขัดถูสีอะไรให้เรียบ ออกเป็นแสงแพรวพราวๆ ก็ว่าสวยงามที่สุด สะอาดที่สุด นี่สกปรกที่สุดในสายตาของธรรม ไม่มีอะไรเกินธรรม จะทำให้สวยงามขนาดไหนก็เป็นสวยงามของกิเลสแข่งธรรมต่างหาก แข่งไปเท่าไรก็คือกิเลส เหมือนมูตรเหมือนคูถเอาไปแข่งที่ไหนก็คือมูตรคูถอยู่นั้นแหละ ทองคำทั้งแท่งอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำ นั่น แข่งไม่แข่งก็เป็นทองคำ
นี่เป็นธรรมทั้งแท่งๆ อยู่ในหัวใจ อยู่ที่ไหนมองเห็นจ้าอยู่ตลอดเวลา เอาอะไรมาแข่งวะ อันนั้นดีอันนี้ดี ตบแต่งให้สดสวยงดงาม มันไม่สิ้นสุดเรื่องของจิตนี่ ตบแต่งนั้นตบแต่งนี้ ตัวหัวใจเองไม่เคยตบแต่งเจ้าของละซี ตบแต่งอันนั้นให้ดีอันนี้ให้ดี ได้อยู่ได้อาศัยแล้วภูมิใจนิดหนึ่ง ภูมิใจกับเรื่องของกิเลสที่จะดีดดิ้นหาความทุกข์เข้ามาใส่ตัวเองเพิ่มเข้าอีกนั้นแหละไม่ใช่อะไร โลกจึงไม่มีเวลาสิ้นสุด หมุนอยู่เหมือนกังหัน นี่ละโลกของกิเลสหมุน ใครจะมีความสุขเพราะเรื่องหมุนไปตามกิเลสอย่าหวัง ตายทิ้งเปล่าๆ ให้หมุนเข้ามาทางธรรมจะมีที่ยุติๆ เข้าไปเป็นลำดับลำดา
เรื่องภาวนาเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร โถ ไม่มีชินมีชากับสิ่งใดในโลกอันนี้ว่างั้นเลย ลงธรรมชาตินี้เข้าถึงใจเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว ไม่มีความชินชากับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุซึ่งเป็นแดนสมมุติ อันนั้นแดนวิมุตติเข้ากันไม่ได้เลย จ้าอยู่ตลอดเวลา จึงได้เทศน์เสมอความพากเพียรทางด้านจิตตภาวนา เฉพาะวัดป่าบ้านตาด พระจะมาอ่อนแอความพากเพียรให้เห็นไม่ได้นะ โลเลโลกเลกไม่ได้ เดี๋ยวไล่หนีจากวัดเลย รำคาญตา สิ่งสำคัญงานสำคัญของพระที่จะรื้อถอนตนให้พ้นจากทุกข์คือความเลิศเลอมันไม่สนใจภายในใจจิตตภาวนา มีสติปัญญาเป็นสำคัญ ไม่สนใจ แล้วไปลูบไปคลำภายนอกอันนั้นอันนี้ มันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกไปแก้ความรำคาญ เข้าไปภายในไม่ได้
พอจ่อจิตเข้าไปภายใน ไฟกิเลสมันเผาเอาเสียหงายออกมาๆ ก็ไปทำงานนั้นแก้รำคาญ ไปหาทำงานนั้นงานนี้ เราดูรู้หมดนะนี่ ไปทำงานป๊อกๆ แป๊กๆ อะไรแก้รำคาญ มันเข้าไปภายในไม่ได้ นี่เคยเข้าแล้วนี่จึงได้พูดละซิ มันเข้าไม่ได้เท่าไรยิ่งเข้าๆ ฟัดกันเสียจนกระทั่งกิเลสหมอบลงๆ เรามันอยากคิดอยากปรุงจนอกจะแตกก็เคยพูดให้ฟังแล้ว สติเป็นสำคัญ มันจะใหญ่โตขนาดไหนคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวง สู้คลื่นสติไม่ได้ สติเป็นทำนบใหญ่กั้นอยู่ มันอกจะแตกก็ตามไม่ให้คิด สติจับไว้ๆ ตลอด สุดท้ายมันก็สงบตัวลง นั่น ทำแล้วนะเหล่านี้ ทำหมดแล้ว พอสงบตัวลงก็เห็นเป็นความสบาย ทีนี้เห็นคุณค่าก็ขยับทางนี้ให้หนักเข้าๆ ทางนั้นก็ค่อยระงับลงๆ
จิตใจไม่เคยสงบก็สงบ ไม่เคยผ่องใสก็ผ่องใส แล้วสง่างามขึ้นเรื่อยๆ ทะนุบำรุงไปด้วยความเพียร มีสติเป็นพื้นฐานสำคัญตลอด จึงค่อยเจริญขึ้นๆ นี่จิตได้รับการบำรุงรักษา เรารักษาตั้งแต่ภายนอก บำรุงแต่ภายนอกนะ โลกสงสารเป็นอย่างนั้น มองไปที่ไหนมันดูไม่ได้ว่างั้นเลย ถ้าเอาธรรมดูโลกดูไม่ได้ เข้ากันไม่ได้เลย ต้องเป็นแบบหูหนวกตาบอด ก็โลกเขาเป็นอย่างนั้นจะให้เขาเป็นยังไง แน่ะ จับปั๊บเดียวเท่านั้นมันก็ปล่อยกัน ไม่เป็นอารมณ์ เห็นอะไรๆ เห็นไปรู้ไปธรรมดาๆ ไม่ติดไม่ข้องกับสิ่งที่เห็นทั้งดีทั้งชั่ว ผ่านไปๆ ด้วยความพอตัวๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีที่ตำหนิตัวในหัวใจตัวเองแล้ว ดูอะไรมันก็สนุกดูถ้าว่าสนุกนะ ไม่มีอะไรได้เสียจากการได้เห็นได้ยินได้ฟังไม่มี จิตใจก็ค่อยสง่างามขึ้นเรื่อย
เฉพาะผู้ที่ควรจะตักตวงเอามรรคผลนิพพานได้อย่างสมใจก็คือพระกรรมฐาน พระปฏิบัติ นี้เป็นอันดับหนึ่ง เป็นแนวหน้า ถ้าว่าออกสงครามก็เรียกว่าออกหน้าทัพเลยเทียว จิตตภาวนาเป็นสำคัญ เร่งเข้าไปๆ จิตนี้จะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นเรื่อยๆ และเหยียบสมมุติทั้งหลายไปเรื่อย สูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มีอะไรเหลือติดใจเลย เหลือแต่วิมุตติ หรือเรียกว่าเป็นธรรมธาตุ เรียกอย่างนั้นเหมาะกว่า เท่านั้นพอ
อยู่ไปวันหนึ่งๆ มืดกับแจ้ง ก็เห็นไปดูไปอย่างนั้น เป็นอารมณ์อะไรกับเขา มืดแจ้งเขามีมาตั้งแต่กัปแต่กัลป์ไหน วันนั้นเดือนนั้นปีนี้ก็ตั้งสมมุติมาแต่กัปไหนกัลป์ไหน ตั้งไว้เพื่อเข้าอกเข้าใจกัน ปฏิบัติหน้าที่การงานอะไรๆ ถูกต้องตามสมมุติวันที่เท่านั้น เดือนนั้น ปีนั้น เวลาเท่านั้นเท่านี้ตั้งเป็นระยะๆ เพื่อประกอบหน้าที่การงาน ความเคลื่อนไหวไปมาของตนได้ถูกต้อง ความจริงก็มีเท่านั้นแหละ เวลาตั้งเข้าไปในจิตนี้ไม่มีกลางวันกลางคืน มืดแจ้งเท่านั้นๆ ทางนี้ดูข้าศึกอยู่กับใจ มันจะแสดงขึ้นมากน้อยแสดงอยู่กับใจ ที่เรียกว่ามหาเหตุ กิเลสตัณหาตัวฟืนตัวไฟอยู่ที่ใจ เอ้าตั้งจ่อเข้าไป จิตตภาวนานี้คือน้ำดับไฟ ดับลงไปๆ หนักมือเข้าไป ทางนั้นดีดดิ้นมาก ทางนี้บังคับมากเข้าๆ มันก็เห็นฤทธิ์ของกันและกัน สุดท้ายมาเห็นฤทธิ์ของสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราเป็นลำดับลำดา ทีนี้หนักเข้าละซิ จิตก็ค่อยสว่างไสว ความกดถ่วงของใจที่ออกจากกิเลสมาบีบบังคับนี้ค่อยเบาลงๆ จิตค่อยเบาขึ้นๆ เบาขึ้นเรื่อยๆ
พูดให้ฟังตั้งแต่ต้น จิตของสามัญชนธรรมดาทั่วๆ ไปสามแดนโลกธาตุนี้ มีกามกิเลสเป็นมหาอำนาจครอบไว้หมดเลย กามกิเลสราคะตัณหาครอบหัวใจไว้ทุกดวง ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลครอบไว้หมด อันนี้เป็นมหาอำนาจมาก ไม่มีโลกใดหัวใจใดจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย มันพาดีดพาดิ้นไปไหน ก็ดิ้นไปตามมันอย่างนั้นละ พอได้ธรรมจับเข้าไปมันมีเครื่องต้านทานต่อสู้กัน มันก็เห็นฤทธิ์เห็นเดชกัน ตัวนี้มันก็ค่อยเบาลง ที่จะเบาลงก็การพิจารณาทางด้านกรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หมุนเข้าไปภายในตัวของเรา ป่าช้าผีดิบป่าช้าผีตายอยู่ในตัวของเราหมด
ป่าช้าผีตายก็สัตว์โลกทั้งหลายที่เอามากินในพุงของเรานี่ป่าช้าผีตาย อยู่ในป่าช้าผีสดคือตัวของเรานี่ มันอยู่ด้วยกันอย่างนี้ พิจารณาอันนี้เข้าไป เรื่องของจิตใจที่จะให้มันปล่อยวางพิจารณาลงไป เอา มันสวยตรงไหนงามตรงไหนดู เอาธรรมจับๆ จับมันจะลบล้างไปหมด ความสวยงามไม่มีในโลกนี้ มีแต่กิเลสเสกสรรเท่านั้น ธรรมแล้วไม่มีความสวยงาม มีแต่สิ่งที่จะต้องปล่อยให้หมด ปล่อยออกๆ เมื่อปล่อยออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้วทีนี้หมดภาระ
เพราะฉะนั้นจิตของพระอนาคามีผู้สิ้นราคะตัณหาแล้วจึงเป็นจิตใจที่ดีดขึ้น จิตใจของโลกทั้งหลายมีแต่ถูกกดถ่วงลงๆ พอใจๆ จากความกดถ่วงของกิเลสตัวนี้แหละมันดึงลงๆๆ ทีนี้พอชำระด้วยวิธีการดังที่กล่าวมานี้ป่าช้าผีดิบป่าช้าผีตายนี้เป็นต้นนะ เอาอันนี้เป็นสนามรบ พิจารณาเรื่องอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ป่าช้าผีดิบป่าช้าผีตายอยู่ในตัวของเรา แยกอันนี้ออกไปป่าช้าภายนอกเข้ามาป่าช้าภายใน เมื่อหายสงสัยป่าช้าภายนอกแล้วหมุนเข้ามาสู่ป่าช้าภายในเป็นป่าช้าอยู่นี้หมด พิจารณาจนกระทั่งอันนี้เบาลงๆ จิตจะค่อยดีขึ้นๆ
พอตัวนี้ขาดปั๊บเท่านั้น ราคะตัณหาอยู่ในขั้นอนาคามี พออันนี้ขาดปั๊บจิตนี้จะดีดขึ้นเลย ไม่มีคำว่าลง แต่ก่อนมีแต่ลงท่าเดียว พอจิตขาดอันนี้แล้วดีดขึ้นเรื่อย เพราะฉะนั้นพระอนาคามีจึงเกิดในสุทธาวาส ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา นี่เป็นสถานที่เกิดของพระอนาคามี เลื่อนชั้นไปเรื่อย ให้ลงไม่มี ขึ้นเรื่อยๆๆ ถึงอกนิษฐาก้าวเข้าสู่นิพพาน หมดสมมุติโดยประการทั้งปวง นี่ละดีดขึ้นเรื่อยนะ อนาคามีไม่มีคำว่าลง ตั้งแต่สอบได้ระดับถ้าพูดแบบโลกเขา ตั้งแต่ ๕๐% ไปแล้วได้ระดับแล้ว ทีนี้ค่อยขยับ ๖๐-๗๐% เรื่อยๆ หมุนละเอียดเข้าไปๆ หมุนคล่องตัวเข้าไป หมุนขึ้นนะ ละเอียดเข้าไปๆ รู้ชัดๆ
จนกระทั่งอันนี้หมดโดยสิ้นเชิง พออันนี้หมดโดยสิ้นเชิงนิพพานอยู่ที่ไหนไม่ต้องถาม เลยอกนิษฐาปั๊บก็คือนิพพาน หมดสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว นั่นคือนิพพาน หมด ทุกอย่างหมดโดยสิ้นเชิง ธาตุขันธ์ยังเหลือแต่ลมหายใจเท่านั้น วันหนึ่งๆ อยู่ไปกินไปนอนไปเท่านั้น มืดกับแจ้งเป็นของเก่ามาดั้งเดิม เราไม่ไปหมายเราก็อยู่สบายๆ เท่านั้นเอง นั่นละการปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติจริงจังเห็นอย่างที่ว่านี่ เห็นออกไปโดยลำดับ ความแปลกประหลาดของใจจะเห็นขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนมีแต่สิ่งสกปรกรกรุงรังทับถมมันไว้หมด เลยถือเอานี้เป็นเครื่องประดับ เอามูตรเอาคูถประดับตัวว่าเป็นของสวยของงาม งามขี้หมาอะไร เอาธรรมจับปั๊บนี้ขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรงาม ธรรมเท่านั้นงาม เหนือไปหมดธรรม
นี่การปฏิบัติถ้าเอาจริงเอาจัง ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ อกาลิโกๆ สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา ใครปฏิบัติเมื่อไรไม่ว่าดีว่าชั่วเป็นขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเองนั้นละ การสร้างบาปสร้างเมื่อไรเป็นบาปเมื่อนั้น ใครอย่าว่าอะไรครึอะไรล้าสมัย ตัวเราตัวครึตัวล้าสมัยวิ่งตามกิเลสตัณหานี้แหละ ตัวครึมากล้าสมัยมาก ถ้าธรรมแล้วดีดขึ้นซิ แก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วจะสว่างไสวขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อถึงขั้นแปลกประหลาดอัศจรรย์ตัวเองแล้ว ตั้งแต่ขั้นจิตว่างไปละ จิตชุลมุนวุ่นวายกับราคะตัณหาอสุภะอสุภังนี้หมุนชุลมุน เรียกว่าถ้าเป็นนักมวยเข้าวงในกัน ขั้นนี้เป็นขั้นเข้าวงใน ไม่มีวันมีคืนเหมือนกัน หมุนติ้วๆ
พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจากนั้นก็เป็นขั้นว่างไป อันนี้ก็ค่อยหมดไป มันไม่ว่างทีเดียวนะ ด้านวัตถุนี่ฝึกซ้อมกันละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งว่าง วัตถุไม่มี แล้วจะพิจารณาอสุภะอสุภังได้ที่ไหน ไม่มีวัตถุ ตั้งพับดับพร้อมๆ จะไปแยกแยะให้เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรืออสุภะอสุภังได้ยังไง ตั้งพับดับพร้อมๆ จากนั้นก็ว่างภายในจิต เมื่อว่างแล้วก็มีตั้งแต่อาการของจิตที่เกิดดับๆ สังขาร สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์นี่สำคัญมากมันดีดขึ้นมาจากจิต ดูมัน มันเกิดอะไรๆ เกิดแล้วดับๆๆ ดีชั่วเกิดแล้วดับทั้งนั้นๆ ดูอยู่ภายในนี่วงแคบเข้ามา
ส่วนวัตถุทั้งหลายที่จะพิจารณาเป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ไปในสิ่งเหล่านี้นั้นเรียกว่าหมดปัญหา ผ่านไปอย่างนี้นะ อสุภะอสุภังนี้นักกรรมฐานต้องหมุนติ้วตลอดเวลา แต่เวลามันผ่านมันก็ผ่านอย่างนี้แหละ อสุภะอสุภังเหล่านี้ไม่มี ดับ หมด วัตถุหมด เหลือแต่อากาศธาตุว่างเปล่าอยู่ในบริเวณจิต แต่จิตยังไม่ว่าง อาการของจิตนี้ว่างไปหมด นั้นละที่ว่ามีแต่ความอัศจรรย์ตัวเองเป็นลำดับลำดาไป นี่เราก็เคยพูดให้ฟังแล้ว เดินจงกรมรำพึงอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ตอนเช้า ตอนเดือนสามนั้นละ
เดินจงกรม โอ้โห อัศจรรย์ตัวเอง มันก็ถึงใจเหมือนกันนะ มองดูที่ไหนมันว่างไปหมดเลย โอ้โห จิตของเราทำไมถึงสว่างไสวถึงว่างเอาขนาดนี้ อัศจรรย์ขนาดนี้เชียวน้า อัศจรรย์ตัวเอง อะไรไม่มี ต้นไม้ภูเขาไม่มี ความว่างนี้ครอบไปหมดเลย ต้นไม้ภูเขา แม้ที่สุดภูเขาที่เราเดินจงกรมนั้นก็ไม่มี มันว่างไปหมด ด้วยอานุภาพของความว่างของจิตนั้นแหละ มันครอบไปหมด วัตถุเลยไม่มี ความว่างครอบไปหมดเลย พระธรรมท่านกลัวเราจะติด เพราะเราแปลกประหลาดอัศจรรย์ตัวเองแล้ว ติดแล้วนั่น ยังไม่รู้ว่าตัวติด ยังภูมิใจ โถ จิตเราทำไมถึงอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวน้าๆ นี่อยู่ในขั้นว่าง แต่มันว่างภายนอก ยังไม่ว่างภายใน
สักเดี๋ยวธรรมท่านก็เตือนขึ้นมา นี่ละธรรมเตือนขึ้นกับจิต ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ นั่นบอกแล้วนะ จุดก็คือจุดผู้รู้ต่อมผู้รู้นั่นแหละ นั่นละคือตัวภพ ถ้ามีอันนี้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ยังมีอยู่ ความหมาย ไอ้เราแทนที่จะแก้ในเวลานั้นได้แก้ไม่ได้ งงไปเลย นู่นไปอำเภอบ้านผือ ศรีเชียงใหม่ เข้าไปลึกๆ ไปองค์เดียวทั้งนั้นแหละ แบกปัญหาอันนี้แหละ จุดต่อมนี่ไป กลับมามาปลงที่นั่นละ มาปลงที่เก่า เวลาอันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว อ๋อ จุดต่อมอันนี้เอง คือจุดหมายถึงดวงจิตที่มันสว่างไสวเป็นจุดแห่งความสว่าง หรือต่อมแห่งความสว่าง นั่นแหละตัวภพยังมีอยู่นั้น ความหมายว่างั้น
ทีนี้เราจะทราบชัด เวลามันผ่านมาแล้วไอ้จุดแห่งความสว่างขาดสะบั้นลงหมดเลย ความสว่างอันนี้จึงเท่ากับกองขี้ควายกองหนึ่ง ความสว่างอันหลังนี้ที่เป็นหลักธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วครอบไปหมด อันนี้เป็นสว่างอะไรพูดไม่ได้ อัศจรรย์เกินคาดไปแล้ว ความสว่างอันที่ว่าอัศจรรย์มันเป็นเหมือนกองขี้ควายไปแล้วนั่น เป็นยังไงจิตดวงเดียวตำหนิตัวเองมันยังตำหนิได้ใช่ไหมล่ะ เมื่อมันสูงกว่านั้นมันก็ตำหนิที่ต่ำกว่านั้นได้ นี่มันก็มาปลงกันที่นั่น ทีนี้พอจุดต่อมแห่งผู้รู้ขาดสะบั้นลงไปปั๊บ ความว่างอันหลังนี้เป็นความว่างที่บริสุทธิ์ จ้าขึ้นมาอยู่ที่ใต้อันนี้ครอบเอาไว้ พออันนี้ขาดลงไปแล้วอันนั้นจ้าขึ้นมา อันนี้เลยเป็นเหมือนกองขี้ควายไป
นี่ละอัศจรรย์ตัวเองมันถึงขนาดนั้น ติดนะ อัศจรรย์นี้ก็ติด เพราะฉะนั้นท่านถึงเตือน ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ นั้นแหละท่านเตือน มันก็จับไม่ได้ กลับมาก็มาปลงที่เก่านั่นแหละ ถึงได้รู้ อ๋อ พอธรรมชาติอันหลังนี้ คำว่าว่างอันหลังนี้มันไม่ได้ว่างในสมมุติ ว่างนอกสมมุติละซี เหล่านี้มันว่างอยู่ในสมมุติ อันนั้นว่างขึ้นมาแล้วหมดปัญหา ตั้งแต่นั้นมาไม่มีปัญหาข้อขัดข้องอะไรๆ ที่จะพิจารณาอีก ไม่มี ขาดสะบั้นไปในปัจจุบัน เสร็จเลย พร้อมสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มที่ ไม่ได้แก้ไขดัดแปลงอะไรอีกแล้ว
นั่นละอำนาจแห่งการบำเพ็ญจิตใจ ใจดวงนี้พร้อมที่จะเลิศเลอ พร้อมที่จะเลวร้ายนะ ถ้าได้ธรรมเข้าไปประคับประคองช่วยแนะนำรักษายับยั้งตัวเองแล้ว จิตนี้จะค่อยดีขึ้นๆ ถ้าปล่อยให้เลยตามเลยเอาแต่ความชั่วช้าลามก ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นำหน้าแล้วจมไปตลอดๆ กี่กัปกี่กัลป์ก็ตายกองกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่มีที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ จึงขอให้พากันดูจิตนะ การภาวนาเป็นของสำคัญมาก เราดึงออกมาจากหัวใจเราเป็นตัวประกันเลยเชียว ที่พูดทั้งหมดนี้อยู่ในใจนี้หมดแล้ว ผ่านมาหมดทุกอย่างแล้ว
จึงได้มาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ หรือว่าโกหกเหรอ หรือว่าโอ้อวดเหรอความเมตตาครอบโลกธาตุยังจะมาถือว่าเป็นโอ้อวดอยู่เหรอ การพูดเหล่านี้พูดด้วยความเมตตานะ เราไม่ได้พูดเพื่ออยากโอ้อยากอวด โอ้อวดหาอะไร การโอ้การอวดเป็นส่วนเกิน คำสรรเสริญนินทาเป็นส่วนเกินทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นเป็นความพอดีแล้วด้วยความสมบูรณ์พูนผลอันเลิศเลอ แล้วเอาอะไรไปเพิ่มเข้าอีกล่ะ สรรเสริญก็ส่วนเกิน นินทาส่วนเกิน ปัดออกหมด โดยหลักธรรมชาติหากปัดเองๆ พอถึงขั้นพอตัวแล้วไม่มีอะไรติดละ ไม่ติดกับอะไรทั้งนั้น พากันจำเอา ให้พากันไปปฏิบัติ
การตั้งสติเป็นของสำคัญให้สังเกตตัวเอง นักภาวนานี้มักจะถูกการผ่อนอาหารนะ ดูซิพระวัดนี้มาฉันครบองค์เมื่อไร เราก็เพียงบอกเล่าเท่านั้นเอง สำหรับนิสัยของเราชอบทางนี้ๆ ท่านไปทำ ท่านก็ถูกท่านก็เลยชอบ สุดท้ายพระวัดนี้ไม่เคยฉันจังหันครบองค์นะ ขาดไปวันละหลายองค์ๆ นะ พอองค์นี้มาฉัน เอา องค์นั้นหายเงียบไปแล้ว หายเงียบไป เพราะท่านเร่งความเพียรของท่าน เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดพื้นฐานแห่งการภาวนา เราไม่ให้ลดเลยนะ ถึงเราช่วยชาติบ้านเมืองเราก็ช่วยเป็นเรื่องของเรา แต่พระนี้ให้แน่นหนามั่นคงทางด้านจิตตภาวนา เพราะหัวใจของเราแน่นอยู่กับธรรมประเภทนี้ตลอดอยู่แล้ว เราจะไปรามืออะไรกับพระกับเณร ต้องเข้มข้นตลอดเวลา เพราะหัวใจพาให้เข้มข้น
งานการอะไรก็ให้ทำ เวลาจำเป็นก็ทำเสียนิดๆ หน่อยๆ ไม่ถือว่าเป็นความจำเป็น ความจำเป็นแท้คือสติกับจิตกับปัญญาหมุนกันอยู่ตลอดเวลา นี่คือความจำเป็นของนักภาวนา พระวัดนี้ให้ทำอย่างนั้น ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา อะไรจะมีจะหมดจะยังเป็นเรื่องสมมุติ ไปสนใจกับเขาอะไร สำคัญที่มันบกพร่องตรงไหนสมบูรณ์ตรงไหนอยู่ที่ใจ ตัวมหาเหตุดูตรงนั้น แก้ไขตรงนั้น พอตรงนี้พอแล้วอะไรพอหมด จะมีจะกินอะไรๆ ไม่สนใจ วันหนึ่งๆ อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย ไปง่าย ตายง่าย คือจิตที่บริสุทธิ์แล้วง่ายทั้งนั้น ไม่มีอะไร ตั้งแต่จิตมีธรรมในใจไปเริ่มลดหย่อนภาระทั้งหลายเหล่านี้ลงๆๆ จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง นั่นละอำนาจของจิต จำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |