เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
เทวบุตรเทวดาเคยเทศน์มาแล้ว
(ผู้ว่าฯ กราบนิมนต์หลวงตา วันวิสาขบูชา วันที่ ๒๒ พฤษภาคม นี้ จังหวัดจะจัดงานวิสาขบูชาที่ทุ่งศรีเมือง อยากกราบนิมนต์หลวงตาไปเทศน์ธรรมะให้กับพี่น้องประชาชนฟังที่มณฑลพิธีทุ่งศรีเมือง ตอน ๖ โมงเย็นครับ และได้นิมนต์พระมาประมาณ ๕๐๐ รูปด้วย) เราฟังดูลวดลายเสียก่อน วิสาขบูชามันจะกลายเป็นวิสาขบูชาหมากัดกัน เราไม่อยากเล่นด้วยนะ เพราะฉะนั้นต้องฟังชัดเจนเสียก่อน ได้ทราบว่ากรุงเทพจะประมวลมา เอาโน้นมาเอานี้มาๆ ฟังเสียงมันเริ่มแสลงหูๆ เข้าไปแล้ว เอ้อ นี่ว่าจะให้ดัง มีวิสาขะโลกในเมืองไทย แต่วิสาขะหมากัดกันในเมืองไทยนี้ไม่เห็นพูดบ้างล่ะ เราฝากไว้นิดหนึ่งเท่านั้นแหละ ให้ได้พิจารณากัน
อย่างนี้ซิโลกทำอะไรไม่ค่อยมีแบบมีฉบับนะ แม้แต่พระก็เตลิดเปิดเปิงเรื่องแบบเรื่องฉบับมาแล้ว ธรรมวินัยไม่มี จะทำอะไรเลอะเทอะไปหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องได้พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าเรื่องเหล่านี้นะ ธรรมเป็นของละเอียดอ่อนมากทีเดียว ได้ยินอย่างนั้นละ เวลานี้ดูเงียบๆ ไปแล้วนะ ที่เราว่าเหล่านี้สอดเข้าไปให้เป็นข้อคิดนะ ที่ว่าให้เป็นวิสาขะโลก มันโลกแบบไหนน่ะ ฟังว่าจะเอาคณะนั้นมาคณะนี้มา คณะไหนๆ มีแต่อวดเบ่งๆ กิเลสทั้งนั้น พองตัวๆ ใหญ่ๆ แล้วมานี้ก็พอดีเป็นสนามหมากัดกัน เราว่าอย่างนี้ละ บอกตรงๆ เลย ฟังแล้วมันไม่เข้าท่านะ นี่ละกิเลสเป็นหัวหน้าเอาธรรมออกเป็นโล่เพียงเท่านั้น นอกนั้นเป็นกิเลสทั้งหมดแผลงฤทธิ์อยู่ในนั้น ฟังแล้วก็ได้สอดธรรมะเข้าไปให้เป็นข้อคิดเท่านั้นแหละ นี่มันจะเป็นวิสาขะหมากัดกันโลกเรานะ เราว่าอย่างนั้น
คือไม่ค่อยได้พิจารณา ก็จะเอาตั้งแต่ชื่อแต่เสียง ชื่อเสียงอะไร ความถูกต้องหลักเกณฑ์ไม่มีเอาชื่อเสียงมาจากไหน ชื่อเสียงก็ต้องเอาจากความดิบความดีเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้เป็นคติตัวอย่างแก่ประชาชนทั้งหลายถึงถูก พระพุทธเจ้าเป็นต้นแห่งหลักเกณฑ์ทั้งหลายแล้ว เอา แย้งซิแย้งพระพุทธเจ้าแย้งที่ตรงไหน เรานี้ยอมกราบทีเดียวนะ ภาคปฏิบัติจับกันๆ เข้าไป เจอตรงไหนรู้ตรงไหนมีแต่ทรงรู้แล้วเห็นแล้วแล้วค่อยสอนออกมาๆ เราจะทะนงตัวได้ยังไง หมอบๆ นั่น ธรรมะเป็นคติแก่โลกเป็นอย่างนั้นนะ ถ้ากิเลสแล้วเลอะเทอะๆ ไปหมด จึงต้องได้ระวังทุกวันนี้นะ กิเลสมันเอาธรรมเป็นโล่บังหน้า แต่กิเลสมันออกหน้านะเวลาเอาจริงๆ ธรรมมีเป็นโล่บังหน้า บทเวลาทำจริงๆ กิเลสออกหน้า จึงต้องได้ระวังๆ
วิสาขะเมืองอุดรนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นพิธีเรียบร้อยดีงามเพื่อเป็นคติตัวอย่างแก่พี่น้องทั้งหลายมีชาวอุดรเป็นต้นเราก็พอใจ เทศน์เราก็เทศน์ได้จะมาว่าอะไรเทศน์ให้มนุษย์ฟัง เทศน์ให้เทวบุตรเทวดาเคยเทศน์มาแล้วนี่นะ ว่าให้มันชัดเจนเสียก่อน ละเอียดลออขนาดไหนท้าวมหาพรหมท่านเทศน์สอน ท่านไม่เคยพูดนะเรื่องเหล่านี้ เรื่องอินทร์เรื่องพรหมเป็นเรื่องอินทร์เรื่องพรหมไป เรื่องมนุษย์เป็นมนุษย์ไปท่านสอน ดังพระพุทธเจ้าท่านพุทธกิจ ๕ เคยพูดแล้ว ตอนบ่าย ๓ โมง เทศนาว่าการสอนประชาชนนับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา นี่เรียกว่าพุทธกิจ ๕ งานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ คนอื่นไปทำแทนไม่ได้ พอตอนค่ำสอนภิกษุ มีทั้งบาลีแต่เราไม่ยกมาเฉยๆ สอนภิกษุ ล้วนแล้วแต่ภิกษุผู้มุ่งมรรคมุ่งผลทั้งนั้น นี่เป็นวาระที่สอง
ที่สามสอนพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม แก่ปัญหาพวกเทวดาอินทร์พรหม ๖ ทุ่ม ที่สี่ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ใครที่ข้องตาข่ายคือพระญาณของพระองค์ที่ควรจะเมตตาสั่งสอน โปรดก่อนหรือหลังท่านพิจารณาแล้ว ที่ห้า ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตให้โลกทั้งหลายได้เห็นได้ยินได้ฟัง เรียกว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ ได้เห็นสมณะผู้สงบกายวาจาใจจากบาปกรรมทั้งหลาย เป็นมงคลอันสูงสุด นี่พุทธกิจ ๕ เทวดาอินทร์พรหมพระพุทธเจ้าสอนมาแล้ว ลูกศิษย์ตถาคตจะไม่มีหูมีตาบ้างเหรอ พระพุทธเจ้าสอนเพื่อมีหูมีตา ธรรมนี่เป็นธรรมที่จะสอดส่องรู้ตามอุปนิสัยของผู้ที่รับธรรมนี้เข้ามา สมควรแก่กำลังวังชาวาสนาของตนแล้วเอาออกใช้ ทำไมจะใช้ไม่ได้ล่ะ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า พอมีวิสาขะเราก็แยกออกมาๆ พูดถึงเรื่องไปเทศนาว่าการเมืองอุดรทำไมจะเทศน์ไม่ได้ เทวดาอินทร์พรหมเราเคยผ่านมาแล้วนี่ ว่าให้ชัดๆ อย่างนี้ วันนี้เปิดเสียบ้างนะ ธรรมดาเฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้นะ ทำไมจะสอนมนุษย์ไม่ได้ถ้าไม่ใช่มนุษย์หมดค่าหมดราคาเสียจริงๆ เมืองอุดรเรานี้หมดค่าแล้วเหรอ หมดราคาแล้วหรือ ธรรมจะเข้าไม่ได้เลย จะมีแต่สนามหมากัดกันหรือเมืองอุดรเราน่ะ เราได้ยินแว่วๆ แต่ทางสนามหลวงจะเอาอะไรผสมผเสมา ฟังแล้วๆ มีแต่ผสมผเสหมูหมามากัดกัน เราพูดตรงๆ อย่างนี้ละ ธรรมะจะไม่เข้าใครออกใคร พูดอย่างตรงไปตรงมา พูดนี้ไม่ผิด วิสาขบูชาก็ให้เป็นคติตัวอย่างจริงๆ มีผู้มาเทศนาว่าการ ก็ให้เป็นคติตัวอย่างจริงๆ เทศนาว่าการไม่ใช่เอาสุ่มสี่สุ่มห้ามาเทศน์ว้อๆ เอากล้วยเหง้ากล้วยหอมไปกิน เอากล้วยไข่ไปกิน เราไม่ต้องการกล้วยไข่ ต้องการตั้งแต่หัวใจคน
ไปที่ไหนทั่วโลกเราไป เราไม่ได้ไปสนใจกับกล้วยหอมกล้วยไข่นะ สนใจกับหัวใจคน ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเราทนเอาๆ เราเองแบตลอด เราไม่เคยสนใจกับจะเอาชิ้นใดในสมบัติทั้งหลายที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคผ่านมาทั่วประเทศไทย เราเอาชิ้นไหนไม่เคยมี มีแต่เปิดๆ สงเคราะห์โลกๆ จะทำอะไรก็ต้องพิจารณาเหตุผลต้นปลายผิดถูกดีชั่วไปประจำตลอดเลย นี่เมืองอุดรเราจะให้เป็นวิสาขะโลก ก็เอาวิสาขะให้เป็นตัวอย่างของเมืองอุดรก็ดี เอา ถ้าหากว่าเป็นมงคลเราจะไปเทศน์ให้ ไม่มีอะไรก็ตามเถอะ หลวงตาบัวขึ้นธรรมาสน์แล้วก็จะเอานิทานขึ้นก่อน ขึ้นธรรมาสน์ไม่มีอะไรก็จะเอานิทานพ่อตากับลูกเขยลูกสาว พ่อตาไปเผาไร่แต่เช้า ลูกเขยกับลูกสาวจะเอาข้าวไปตามส่ง รอจนสายก็ยังไม่เห็นลูกเขยกับลูกสาวไป หิวข้าวจนจะตาย ไปเผาไร่ที่มันเศษมันเหลืออะไร เผายังไม่หมด ส่วนใหญ่เผาไปแล้ว ส่วนเล็กยังไม่หมด ไปเผาแต่เช้า ตื่นเช้าก็ไปแต่เช้า ให้ลูกเขยกับลูกสาวตามหลังไป
จนสายมาหิวข้าว มองมาก็ไม่เห็นๆ จนกระทั่งตะวันเที่ยงลูกเขยกับลูกสาวจึงสะพายกล่องข้าวต้อนแต้นๆ ไป มันโมโหสุดขีดซิ พอมองเห็นลูกเขยกับลูกสาวกับความหิวที่มันท่วมท้นเลยไม่มีอะไรจะพูด คือพูดอะไรมันก็จะเลยเถิดเลยแดนไปเสีย เพราะอำนาจแห่งความโมโหมันรุนแรง ไม่ได้อะไรก็มีแต่ สูนี่ๆ ว่าให้ลูกเขยกับลูกสาว จะพูดอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ ก็ได้แต่ว่า สูนี่ๆ เท่านั้นแหละ อันนี้เราไปถ้าหากว่ามันไม่มีจริงๆ คำเทศนาว่าการสอนพี่น้องชาวอุดร เราสอนคนทั่วประเทศไทย เทวบุตรเทวดาเราพูดจริงๆ เราสอนได้นะ เข้าใจว่าไม่มีเหรอ นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ ถ้าไม่สมควรแก่เหตุแก่ผลไม่ออก ถ้าสมควรแล้วออกๆ ทันที
เมืองอุดรเรา อุตร แปลว่า สูง เมืองอุดรเป็นเมืองสูง สูงด้วยอรรถด้วยธรรมค่อยยังชั่ว สูงด้วยมูตรด้วยคูถใช้ไม่ได้นะ ธรรมดาไปนี้ถ้าไม่มีอะไรจะเทศน์ เราขึ้นธรรมาสน์แล้วก็หันนู่นหันนี่แล้วก็ สูนี่ๆ หันทางโน้นสูนี่ หันทางนี้สูนี่ หมดเรื่องแล้วก็ลงธรรมาสน์ไปเลย เพราะมองดูข้างๆ มันไม่มีกล้วยหอมกล้วยไข่ มันก็มีแต่สูนี่ๆ เข้าใจแล้วนะ เอาละพอ นี่ละนิทานจำเอานะ นิทานพ่อตากับลูกเขยลูกสาว สูนี่ๆ ไปนี่คนมามากๆ ไม่มีอะไรจะเทศน์ให้เขาฟัง ขึ้นไปธรรมาสน์ก็มองทางนั้นทางนี้ ทั้งมองดูกล้วยหอม มองดูกล้วยไข่ มองแล้วกล้วยหอมกล้วยไข่ไม่มี หันหน้ามาแล้วก็ว่าสูนี่เท่านั้นเอง เอา รับจะไปอยู่ เหตุการณ์เป็นอย่างไรเมืองอุดรเราจะไปเองไปเทศน์ อยากให้เป็นคติตัวอย่าง
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ยิ่งเป็นเมืองหลวงเช่นกรุงเทพมหานคร ว่าเป็นวิสาขะโลก เราอยากให้เป็นคติตัวอย่างอันดีงามจริงๆ นะ อย่าเอาแต่เรื่องกิเลสตัณหา ยศถาบรรดาศักดิ์มาอวดมาเบ่งกันนะ เราไม่อยากฟังเรื่องเหล่านี้น่ะ เราอยากฟังแต่กฎระเบียบแบบแผนอันดีงามของพระพุทธเจ้า ให้เอามากางในวันเช่นนั้น ให้ได้เป็นคติตัวอย่างแก่พี่น้องทั้งหลาย นี้เราอนุโมทนาสาธุการ มามีแต่มาเบ่งๆ คณะนั้นมาคณะนี้มา คณะไหนมีแต่เบ่งเหมือนอึ่งอ่างเบ่ง อึ่งอ่างกับวัวเบ่งใช้ไม่ได้นะ เวลานี้มีแต่พวกเบ่งนั่นละ ศาสนาก็กลายเป็นศาสนาเบ่งไปหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เอาศาสนาเป็นโล่บังหน้าเฉยๆ ตัวนั้นออกหน้าศาสนา ตัวเบ่งๆ นั่น ก็มีเท่านั้นละ วันที่ ๒๒ เหรอ ตอนค่ำๆ เราถึงจะไปดูลาดเลา ขึ้นธรรมาสน์ก็จะดูนั้นดูนี้ ดูลาดเลา ถ้าไม่น่าดูว่า สูนี่แล้วก็ไปเลยยากอะไร
พุทธศาสนานี่เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พี่น้องทั้งหลายฟังหรือยังคำพูดคำนี้น่ะ ควรจะเอาไปเป็นคติตัวอย่างแก่ตัวเอง ตลอดครอบครัวเหย้าเรือน สังคมกว้างแคบ ควรจะเอาไปเป็นคติตัวอย่าง ยันได้เลย ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ออกสังคมได้ทุกสังคมตั้งแต่เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมลงมา ออกได้หมด ไม่มีอะไรเกินธรรม ขอให้นำธรรมะนี้ไปปฏิบัติเถอะ อย่างน้อยก็สงบร่มเย็นในครอบครัวเหย้าเรือน ขอให้มีธรรมเถอะน่ะ ว่าแต่ชาวพุทธๆ มันเป็นชาวเปรตชาวผีชาวคึกคะนองเหมือนหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ เวลานี้น่ะ เมืองไทยเรามันเป็นชาวพุทธอะไรที่ไหน มองดูที่ไหนมองหาคนไม่เห็น เห็นแต่เรื่องกิเลสตัณหาความคึกความคะนองความดีดความดิ้นเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มเขาเต็มเรา มองหาคนไม่เห็น ยังว่าเป็นชาวพุทธๆ อยู่เหรอ
ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ ก็ดูตัวเองซิ ตรงไหนผิดตรงไหนถูกแก้ไขตนเองไปเรื่อยๆ นี่ชาวพุทธ ดูอย่างนี้ ถ้าชาวเปรตชาวผีชาวหมาเดือน ๙ จะดูแต่ความทะเยอทะยานคึกคะนองเก่งไม่มีใครสู้แหละ ดูไม่ได้นะ อย่าเอามาประดับชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาติแห่งชาวพุทธ อย่าเอามาประดับสิ่งเหล่านี้ ให้เอาของดีงามมาประดับ จะสมชื่อสมนามว่าเป็นลูกชาวพุทธ วันที่ว่าเราก็จะไป อย่างว่าแหละไปดูเหตุการณ์เป็นยังไง ให้พากันมีกฎมีระเบียบให้น่าดูนะ เมืองอุดรนี่เป็นเมืองหลวงตาบัวที่เป็นผู้นำคนทั้งประเทศอีกด้วยนะ จะมาขายหน้าอยู่ที่เมืองอุดรเอาอีกนะ ไปนี่ก็จะไปสูนี่ๆ อู๊ย ลำบากนะ ดูที่ไหนก็ดิบก็ดี มาดูบ้านเมืองเจ้าของใช้ไม่ได้ แล้วก็มาสูนี่อยู่บ้านเจ้าของ โอ๊ย อย่าให้เป็นนะ ระวังให้ดี
วันที่ ๒๘ นี่ก็จะไปฉันที่โรงพยาบาลโนนสะอาด ที่เราจะไปฉันให้ก็อนุโลมให้ธรรมลี อุตส่าห์มากนะช่วยบ้านช่วยเมืองเรานี่ ธรรมลีนี้เก่งมากเหมือนกัน ได้ทองคำมาทีละมากๆ มาช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา นี้ท่านจะพาประชาชนญาติโยม ท่านเป็นหัวหน้าตั้งกองผ้าป่งผ้าป่าขึ้นที่นั่น ที่โรงพยาบาลโนนสะอาด ที่ตั้งโนนสะอาดก็เพราะเห็นว่าเราไปสร้างตึกโรงพยาบาลหลังใหญ่หลังหนึ่ง หลังหนึ่ง ๘ ล้านเสร็จผ่านไปปุ๊บ ขึ้นหลังใหญ่ ๒๒ ล้าน นี่หลังนี้กำลังจะเสร็จ เราก็ไปฉลองอันนี้ ตั้งผ้าป่าขึ้นมาเป็นที่ระลึก ว่างั้นนะ เป็นกุศลเราก็อนุโลม มิหนำซ้ำยังจะลากเราไปฉันอีก เราก็ยังอนุโลมอีกนะ วันนั้นเราก็จะไปฉันตอนเช้า ฉันโนนสะอาด วันที่ ๒๘
วันที่ ๓๐ ก็เป็นวันแผ่ส่วนกุศลให้สัตว์ทั่วแดนโลกธาตุ โดยยกคำว่ามารดาเสียในวันนั้นเป็นต้นเหตุ ความมุ่งหมายของเราอย่างแท้จริงมุ่งสัตว์โลกที่ปราศจากญาติมิตรเพื่อนฝูง มางานบุญแต่ละงานๆ มาหวังจะรับส่วนกุศลจากญาติมิตรที่ทำบุญอุทิศส่งไปให้ๆ ไม่มี ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นเปรตเหมือนกันเขายังได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติจากมิตร เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติจนกระทั่งไปสวรรค์ก็มี ไอ้เราที่มานี่มาแบบ หวังก็หวังแห้งๆ มา หวังได้หรือไม่ได้ในงานใหญ่ๆ อย่างนี้นะ จะมีผู้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เราหรือไม่ เราจะมีญาติหรือไม่ ทั้งๆ ที่ว่ามีญาติ แต่คำว่ามีญาติหรือไม่คือว่า ญาติจะเป็นญาติใจดำหรือใจขาวใจสะอาด ความหมาย ถ้าเป็นญาติใจสะอาดก็จะทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศล เขาจะได้รับส่วนบุญไป ถ้าเป็นญาติใจดำน้ำขุ่นแล้วไม่สนใจ แม้แต่ไปในงานนี้ก็ไม่ไป ทางนี้มาก็ใจแห้งเหี่ยว มาดูแล้วไม่เป็นท่า กลับด้วยความเสียอกเสียใจ อีกทั้งยังสาปแช่งด้วยนะ พวกเปรตเขาก็ด่าเหมือนกัน
ญาติทั้งหลายเขามีๆ ผู้เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปถึงสวรรค์ให้เห็นต่อหน้าต่อตาก็มี เขาว่าอย่างนั้นนะพวกเปรต แต่ญาติของเรามันเป็นยังไงถึงใจดำน้ำขุ่นเอานักหนา เราก็มีญาติเหมือนกัน ญาติเรามันเป็นยังไง ส่วนบุญส่วนกุศลนิดหนึ่งที่จะอุทิศให้พวกเปรตทั้งหลายไม่เห็นได้รับเลย ไม่มีเลย นี่ละเขาว่าให้ในคัมภีร์ เราจึงได้เอานั้นละเป็นต้นเหตุอุทิศส่วนกุศลให้ ไม่นิยมว่าญาติไม่ญาติ ญาติเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เราอุทิศส่วนกุศลกระจายไปหมดเลย ใครมีญาติไม่มีญาติ เราเป็นญาติกับสัตว์ทั่วโลกว่างั้นเลย อุทิศส่วนกุศล นี่ละที่เราทำทุกวันนี้ เราพิจารณาเต็มหัวใจแล้ว ไม่ได้มาทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ ยกเอามารดาเสียวันที่ ๓๐ ทำ พวกลูกศิษย์ลูกหานั่นแหละเขาตั้งขึ้นทำ เราก็เห็นด้วยๆ เป็นเรื่องประเพณีอันงาม เป็นมงคลอันใหญ่หลวงอยู่ เราจึงได้ทำเรื่อยมา
โห คนมันมองเห็นพระพุทธเจ้าอะไรที่ไหน เพราะความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้เหมือนความรู้ของโลกทั่วๆ ไป โลกมันจะไปฟังเสียงอะไร มันมองดูอะไร ตั้งแต่ต้นเสามันก็เดินไปชนได้นะ มันหยาบหรือไม่หยาบ บอดหรือไม่บอด ต้นเสาทั้งต้นมันเดินไปชนได้ นั่นละตาคนกับตาพระพุทธเจ้าต่างกันยังไง ตาพระพุทธเจ้ามองเห็นพวกเปรตพวกผี ละเอียดลออขนาดไหนเห็นหมด ยกตัวอย่างเช่นพระติสสะ โยมอุปัฏฐากท่านเอาผ้ามาบังสุกุล ท่านก็เลยตัดเย็บเรียบร้อยย้อมเสร็จ แล้วเอาผ้าตากไว้ กลางคืนเกิดอุบัติเหตุถ่ายท้อง เลยเสียเสียคืนนั้นยังไม่ได้ครองผ้าผืนนั้นนะ
นี่เห็นไหมตาคนทั้งหลายกับตาพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไรบ้าง เอากันตรงนี้ ผ้าจีวรผืนนั้นตากไว้ พระติสสะท้องเสีย ถ่ายท้องตายเสียคืนวันนั้น ตอนเช้าพระพุทธเจ้าเสด็จปึ๋งมาเลยโดยไม่คาดไม่ฝัน มาสั่งอย่างเด็ดขาดเลย จีวรผืนที่ตากไว้นี้ พระติสสะบวชมาเพื่อสวรรค์นิพพาน ทีแรกบวชมาเพื่อสวรรค์นิพพาน แล้วเดี๋ยวนี้สวรรค์นิพพานกลับไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าจีวรผืนนี้ พระติสสะตายแล้วเป็นห่วงจีวรผืนนี้ แล้วก็มาเป็นเล็นติดอยู่ในนี้ หึงหวงเป็นกำลัง ใครไปแตะไม่ได้นะจีวรผืนนี้ พระติสสะหวงมากห่วงมาก แล้วพระติสสะจะโกรธจะแค้น ตายแล้วจะลงนรก ว่างั้นนะ จึงห้ามไม่ให้พระมาแตะ ตากไว้อย่างนั้นแหละ บอกไว้เลย ท่านมารับสั่งเอง
พอ ๗ วันล่วงไปแล้วเสด็จมาอีก เห็นไหมล่ะ เอาจริงเอาจังมาก นี่ใครเห็นเล็นตัวนั้น พระติสสะตายแล้วเพราะความห่วงความหวงในผ้าจีวร ตายแล้วมาเป็นเล็นเกาะอยู่นั้นไม่มีใครเห็น พระพุทธเจ้าเห็น เสด็จมาห้าม บอกไม่ให้ใครแตะ ทิ้งไว้นั้นเลยนะ บอกว่าทิ้งไว้นั้นเลย เวลานี้พระติสสะเป็นเล็นอยู่นั้น กำลังหึงหวงอยู่ในจีวร ใครไปแตะไม่ได้ จะว่ามาแย่งจีวรทั้งนั้น แล้วจะเกิดอกุศลภายในจิตใจ ตายแล้วจะลงนรก เธอสมควรจะไปสวรรค์ได้อยู่ ก็มีจีวรผืนเดียวมาเป็นอุปสรรคกีดกันมรรคผลนิพพานตอนนั้นไม่ให้มี ให้มีแต่จีวรผืนเดียวเป็นใหญ่โตมากในหัวใจของพระติสสะ จึงต้องมาเป็นเล็น พระองค์รับสั่งให้ตากทิ้งไว้เลย
จนกระทั่ง ๗ วันล่วงไปแล้ว เล็นตัวนั้นตายแล้วไปสวรรค์เลย นั่น พระองค์รักษาทุกด้านนะ กลัวพระติสสะจะตกนรก เพราะใครไปจับจีวรหรือเอาจีวรมาใช้ พระติสสะจะโกรธแค้นมาก ตายแล้วจะตกนรก พระองค์ก็รักษาไว้ไม่ให้ไปแตะ กลัวพระติสสะจะตกนรก พอเล็นตัวนั้นตายแล้ว เอ้า ที่นี่เอาไปใช้ได้พระติสสะไปสวรรค์แล้ว นี่ละเรื่องราวมัน เล็นตัวเล็กๆ มีใครเห็น พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเห็น อย่างนั้นละตาพระพุทธเจ้ากับตาของสัตว์โลกมันผิดกันนะ เพราะฉะนั้นจึงสมควรเป็นศาสดาเอกในโลก คือพุทธศาสนา ให้ยึดเป็นหลักไว้นะท่านทั้งหลาย
เราขึ้นเวทีมาเต็มกำลังความสามารถ กระจายถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เราไม่คุยนะ ว่าปั๊บนี้ถึงกันหมดเลย เรายอมกราบ พระพุทธเจ้ามีจำนวนมากเท่าไรกราบราบเลย เหมือนน้ำมหาสมุทร จ่อลงปั๊บนี่เป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด เอามือจ่อลงไปนี่ถูกแล้วมหาสมุทร จ่อตรงนั้นก็มหาสมุทร จ่อตรงไหนเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันแล้ว นี่จิตเมื่อเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นธรรมธาตุ เป็นอันเดียวกันหมด เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นอย่างนั้น จ่อปั๊บลงไป คือใครบรรลุธรรมปึ๋ง เข้าแล้วนั่น เป็นอันเดียวกันแล้วๆ ท่านถามกันหาอะไร พูดให้มันชัด ให้มันรู้อยู่ในหัวใจซิ พูดงูๆ ปลาๆ ได้หรือ นี่ไม่งูๆ ปลาๆ นะ สอนโลกมานี่สอนด้วยความแม่นยำนะ เพราะฉะนั้นจึงกล้าหาญชาญชัยทุกอย่างที่จะพูดออกมาด้วยความเป็นธรรมทั้งนั้น บอกว่าแน่นอนไม่ผิด
เราพูดไปจะเด็ดจะเดี่ยว คัดค้านต้านทานยังไงถูกทั้งนั้น เราพิจารณาโดยธรรมแล้ว ใครจะปฏิบัติตามไม่ปฏิบัติตามก็เป็นเรื่องของโลกเรื่องของผู้อื่นไป แต่เรื่องธรรมเป็นธรรมล้วนๆ เก็บเข้าไปลิ้นชักก็เป็นธรรมอยู่ในนั้น เอาออกมาจากลิ้นชักก็เป็นธรรม อยู่ภายในลิ้นชักก็สง่างามด้วยความเป็นธรรม ออกมาก็สง่างามด้วยความเป็นธรรม ไม่เหมือนมูตรเหมือนคูถ อยู่ในส้วมในถานก็เป็นมูตรเป็นคูถ กระจายออกมาก็เหม็นคลุ้งไปทั่วประเทศไทย นี่ละกิเลสมันเหม็นคลุ้งอย่างนี้เข้าใจหรือ แต่ชอบให้มันออกมากระจายปะจมูกกันแหลกเหลว พวกนี้พวกจมูกขาด มีตั้งแต่มูตรแต่คูถโปะเอาหมดๆ เข้าใจหรือยังที่พูดอย่างนี้น่ะ หรือหาว่าโกหกเหรอ
ธรรมพระพุทธเจ้าแน่นอนมาเท่าไร สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีคำว่าผิดแม้นิดหนึ่ง ขอให้ปฏิบัติตามเถอะจะหมอบราบๆ ทั้งๆ ที่ไม่เห็นองค์ศาสดาในพระรูปพระโฉมท่านเลย เห็นธรรมแล้วถึงกันหมดเลย นี่ก็ได้พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วย จวนจะตายเท่าไรยิ่งเปิดออก ไอ้เรื่องใครจะว่าโอ้ว่าอวดเราไม่เคยสนใจ เรื่องเหล่านี้เรื่องขี้หมูขี้หมาทั้งนั้น สนใจกับมันอะไร ธรรมเลิศเลอยิ่งกว่าขี้หมูขี้หมา ที่จะทำประโยชน์ให้โลกขนาดไหนเอาออกๆ เราไม่เคยสนใจกับใครจะมาว่าอะไร ถ้าสนใจอย่างนี้พูดไม่ได้ พระพุทธเจ้าสนพระทัยอย่างนี้สอนโลกไม่ได้นะ พระองค์จะไม่สนใจ สนใจตั้งแต่เพชรเม็ดหนึ่งมีราคาเท่าไร นั่นเอาตรงนั้น น้อยก็ตามเอาจนได้ กองมูตรกองคูถกองเท่าภูเขาไม่สนพระทัย
อันนี้ก็เหมือนกันมูตรคูถมันกองเท่าภูเขาก็ไม่สนใจ สนใจที่เป็นเพชรเป็นพลอยเป็นแร่ธาตุสำคัญๆ ฝังอยู่ในภูเขาลูกมืดตื้อนั้น เอาอันนั้นออกมาๆ พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนอย่างนั้นละ นี้เราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรงไหนผิดบอกเลย เราไม่เคยสะทกสะท้าน กลัวคนจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไม่กลัว กลัวอะไรธรรมเหนือโลกอยู่แล้ว นำออกมาเป็นธรรมเหนือโลกตลอด ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นธรรมเหนือโลกตลอด คนนั้นก็ได้หรือเสียไปตามความเชื่อหรือไม่เชื่อของตนนั้นแหละ
อันนี้ก็เป็นว่ารับล่ะนะ เรื่องวิสาขบูชาจะไปดู ไปมองนั้นมองนี้ ถ้าควรสูนี่จะสูนี่ ถ้าควรตดตดป้าด ปวดขี้ขี้ฟาดลงนั้นเปิดเลย เข้าใจไหม ถ้าไม่ยังงั้นก็เทศน์ละที่นี่ ต่อไปก็เทศน์ เข้าใจหรือมีสองอย่าง อย่างหนึ่งขี้ป้าดขี้แตกสูนี่เปิดเลย อย่างหนึ่งก็เทศน์ละที่นี่ จะฟังวันนั้นจะได้ฟังแง่ไหน ให้คอยไปดูก็แล้วกัน พวกไปดูคอยดู อย่าไปดูตั้งแต่ท่านจะเทศน์ถ่ายเดียว ตดท่านก็มี ขี้ท่านก็มี เดี๋ยวแตกป้าดอยู่บนธรรมาสน์สูนี่ไปเลยก็มี เข้าใจไหมล่ะ เอาละพอดี จำได้ทุกคนนะ หรือเป็นยังไง มองไปที่ไหนมีแต่พวกสูนี่ทั้งนั้น
คิดดูเล็นตัวเดียวอยู่ในจีวรไม่มีใครเห็น พระติสสะเตรียมพร้อมที่จะลงนรกเพราะความหึงหวง เตรียมพร้อมที่จะไปสวรรค์เมื่อไม่มีใครมาขัดมาแย้ง ตายแล้วไปสวรรค์ นั่น พระองค์บอกว่านี่พระติสสะไปสวรรค์แล้ว หายห่วงแล้ว เอา จีวรจะแจกองค์ไหนที่จีวรชำรุดทรุดโทรม เอ้าแจกได้เลย พระติสสะไปสวรรค์แล้ว แต่ก่อนพระติสสะเตรียมพร้อมจะลงนรก ถ้าไม่มีใครมาแตะก็ไปสวรรค์ พระพุทธเจ้ารักษาทั้งสองด้าน เข้าใจไหมล่ะ
เป็นอย่างไรล่ะฟังธรรมหลวงตาพูดแล้วเป็นยังไง มีทั้งตลกขบขัน มีทุกแบบอยู่ในนี้หมด แต่สรุปความลงแล้วไม่มีอะไร แน่ะ ใช้กิริยาสมมุติไปอย่างนั้น พอหมดแล้วปั๊บหายเงียบไม่มีอะไรเหลือเลย เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |