เจ้าคุณศรีวรคุณช่วยไว้
วันที่ 2 พฤษภาคม 2548 เวลา 8:30 น. ความยาว 54 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

เจ้าคุณศรีวรคุณช่วยไว้

 

ก่อนจังหัน

ตามปรกติวัดป่าบ้านตาดนี้การประกอบความพากเพียรของพระ คงเส้นคงวามาตลอดตั้งแต่เริ่มสร้างวัด เรื่องจิตตภาวนานี้อ่อนไม่ได้ มีกิจการงานอะไรก็ยิบแย็บทำเสียบ้างเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องใหญ่โตคือจิตตภาวนาชำระจิตใจ อันนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ใครไม่อยากมองเข้าไป มองดูใจเรานี้นะ เพราะไฟนรกอเวจีมันพลุ่งๆ ออกมาจากใจ ใจกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา อารมณ์ต่างๆ ไปสุมอยู่ข้างใน แล้วผลักดันออกมาๆ  เวลาจะเอาน้ำดับไฟด้วยจิตตภาวนามันไม่ยอมนะ พอเอาจิตจ่อเข้าไปเท่านั้นหงายเลยๆ คือเปลวไฟมันรุนแรง เปลวไฟกิเลสตัณหา พอจ่อจิตเข้าไปนั้นถูกเปลวไฟเผาเอาหงายไปๆ จำให้ดีนะคำนี้ ผิดหรือไม่ผิดเอาไปพิจารณา นักภาวนาจะรู้เอง

เพราะฉะนั้นนักภาวนาเราจึงขี้เกียจภาวนา ถูกไฟเผาหน้าผากเอา จ่อลงไปจะดูจิตนั่นนะ ไฟมันอยู่ที่จิต มันแสดงเปลวอยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากๆ ตลอดเวลาอยู่ในใจ ดูให้ดีนะ นี่ละจุดมหาภัยอยู่ตรงนี้ พร้อมกับมหาคุณก็อยู่ตรงนี้ ถ้าดับได้แล้วเป็นมหาคุณ โลกไม่มีใครมองไม่มีใครสอนนอกจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น สอนจุดนี้โดยถูกต้อง นี่คือจุดแห่งวัฏวนของสัตว์ ฟืนไฟอยู่ในนี้หมดเลยเชียว อยู่ในใจดวงนี้ ดับอันนี้ได้แล้วก็พุ่งถึงนิพพาน อยู่ที่ใจดวงเดียว เพราะฉะนั้นนักภาวนาเราอย่าลดละนะ มันอยากคิดอยากปรุงเท่าไรให้จ่อลงไป อย่าถอย พอจ่อลงไปนี้ความอิดหนาระอาใจมาแล้ว สู้ความอยากคิดอยากปรุงไม่ไหว เดี๋ยวก็หางานนั้นมาทำ หางานนี้มาทำแก้รำคาญ นั่นแพ้แล้วนะ แพ้แล้ว

มันหนักเท่าไรฟัดกันลงไปๆ ให้เห็นดำเห็นแดงกันซินักภาวนา เอ้า ปฏิบัติตามที่ผมว่านี่จะผิดไปไหน ผิดไหม ลองดูซิน่ะ เปลวไฟมันอยู่ที่หัวใจ พอเราจะจ่อลงไป ภาวนาคือเป็นน้ำดับไฟ ระงับอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นอารมณ์ของกิเลสนั่นแหละด้วยธรรม จะเป็นคำบริกรรมหรือคำใดก็ได้ ด้วยสติๆ  เราจะได้เห็นเปลวไฟมันแสดงออกมา นี่สู้มันไม่ได้ก็เถลไถลไปทำกิจนั้นงานนี้ ออกไปข้างนอก นี่ถูกมันเตะเอานะนั่น ไม่รู้ตัว จ่อเข้าไปนั้นไม่ได้ เลยเอางานภายนอก งานของกิเลสนั้นแหละมาทำไปเสีย พอสืบวันสืบคืนไปเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไรพวกนี้น่ะ

เช่นอย่างมาเป็นนักภาวนาอยู่ในวัดนี้ก็เหมือนกัน ทั้งฝ่ายครัวทั้งฝ่ายพระ เป็นแบบเดียวกันนี้ทั้งนั้น เอ้า ท่านทั้งหลายจับคำพูดที่ผมพูดเวลานี้เอาไปปฏิบัติต่อตัวเอง จะเห็นได้ชัดเจนเลย นี่ผ่านมาแล้วที่มาพูดนี่นะ มันของเล่นเมื่อไรกิเลส มันพลุ่งๆ จากหัวใจ มันจะไม่ยอมให้ธรรมคือความสงบใจจ่อลงนั้นได้เลย มันพลุ่งๆ หงายๆ ทั้งนั้นแหละ นี่ได้ฟัดกันพอแล้ว เอาจนกระทั่งมันหงายว่างั้นเถอะ พูดง่ายๆ ถึงได้เอาเรื่องมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ทำกับกิเลสทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้นะ กิเลสไม่ใช่เหยาะแหยะ เหนียวแน่นก็อยู่กับกิเลส เด็ดขาดอยู่ที่กิเลส นิ่มนวลอยู่ที่กิเลส ไม่ทันมันทั้งนั้น

นักปฏิบัติต้องเอาจริงเอาจัง มันอยากคิดอยากปรุงอะไรเอาตรงนั้นแหละนะ ความอยากนั้นละคือกิเลสอันใหญ่หลวง สติจ่อลงๆ อุบายวิธีการที่เป็นเครื่องสนับสนุนความเพียรเราให้เดินคล่องตัวดังที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติมาและเคยแสดงให้ฟังแล้ว เช่น ผ่อนอาหาร อดอาหาร อดนอนบ้างอะไรบ้าง ตามแต่จะเหมาะในการหนุนความพากเพียร คือสติธรรม ปัญญาธรรม เป็นสำคัญ จุดนี้เป็นจุดสำคัญ การประกอบความเพียรมีแต่ทำๆ ทำเฉยๆ มันขัดข้องกับอะไรไม่ดูไม่ได้เรื่องนะ มันขัดข้องกับอะไร สะดวกเพราะอะไรให้ดู จับไว้ๆ จะได้เรื่องได้ราวในการภาวนา

นักภาวนาต้องเป็นนักสังเกต นักสู้ สู้ที่จิตนะ มันแสดงเปลวอยู่ที่จิต จำให้ดีทุกคน ผิดหรือถูกที่เราพูดเวลานี้ เปลวไฟคือกิเลสออกมาจากใจ ที่ว่าความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ออกที่ใจ รวมแล้วเป็นกิเลส กองไฟใหญ่อยู่ที่นั่น มันอยู่ไม่ได้นะมันอยากคิดอยากปรุง มันดีดมันดิ้นอยู่ตลอดเวลา นักภาวนาถึงจะรู้ความดีดดิ้นของกิเลสภายในจิตที่ผลักดันออกไป ไม่ใช่นักภาวนาต้องตายกับมันทั้งนั้นๆ ดีไม่ดีก็ตายกองกันไปเลย จำให้ดีนะนักภาวนา อย่าเหยาะๆ แหยะๆ ทำอะไรให้มีจริงมีจัง มีสติจับๆ ไปทุกอย่าง อย่าทำสักแต่ว่าทำ

ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่สักแต่ว่านะ จริงจังทุกอย่าง ละก็จริง บำเพ็ญก็จริง สติปัญญาติดแนบๆ กับความเคลื่อนไหวของจิต ความเคลื่อนไหวของกาย วาจา ความเคลื่อนไหวของอาการของเราทั้งหมด มีสติปัญญาติดแนบๆ นี่เรียกว่าความเพียร ผู้มีความเพียรต้องทำอย่างนั้น ไปแบบเซ่อๆ ซ่าๆ อยู่ไปๆ กินไป มองดูแล้วเหมือนควายนะ ไม่ได้ประมาทหมู่เพื่อนหรือใครๆ แหละ นอกจากหลับหูหลับตาไม่ดูเฉยๆ อย่างนั้นค่อยยังชั่วนะ ถ้ามองดูปั๊บมันจะขวางทันทีๆ เพราะเป็นเรื่องของกิเลสเต็ม มองดูคนไม่เห็นคน เห็นแต่กิเลสเต็มตัวๆ ทั้งพระทั้งเณรทั้งฆราวาส

เอาธรรมจับซิ ไม่มีใครเอาธรรมจับแหละ พระพุทธเจ้าจับ พระสาวกทั้งหลายจับ ได้เรื่องราวอันนี้แล้วเอามาแสดงให้ทราบว่า สิ่งเหล่านี้เป็นไฟๆ ทั้งนั้น เป็นพิษทั้งนั้น เอาสติปัญญาจับดูตัวเองให้ดี ไม่งั้นไม่มีสาระนะคนเรา มีแต่ว่าโลกเจริญๆ ไม่ทราบมันเจริญอะไร ก็คือไฟเผาหัวอกสัตว์โลกนั่นเอง เจริญที่ตรงนั้นนะ เกิดความเดือดร้อนระส่ำระสายทุกหย่อมหญ้านั่นแหละ นี่ละโลกเจริญ โลกกิเลสเจริญ ถ้าธรรมเจริญที่ไหนสงบเย็นๆ แต่ไม่เคยปรากฏนะ ที่ไหนๆ ปรากฏว่าที่นั่นเจริญๆ ด้วยศีลด้วยธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมได้รับมรรครับผลมีความสงบร่มเย็น เอาขายที่ไหนจ่ายตลาดก็ได้ไม่เคยมี แต่เรื่องกิเลสไม่มีใครซื้อใคร เพราะมันเกลื่อนด้วยกันทุกคน นี่ละกิเลสเกลื่อนโลก ทุกข์ก็เกลื่อนโลก

ธรรมที่จะมีให้เกาะให้ยึดให้พอเป็นที่ซุกหัวนอนบ้างมันไม่มี เป็นอย่างไรชาวพุทธเรา คนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องเป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนี้ชาวพุทธเป็นผู้ปฏิบัติธรรมโดยแท้ น่าจะได้ธรรมมาชม คือความสงบร่มเย็นใจนะ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

เรียงลำดับอายุ วัยของร่างกายเจ้าของ เรียงลำดับกำลังวังชา ตอน ๒๒-๒๓ นี้กำลังเหมือนช้างสารตัวหนึ่ง อาหารมีเท่าไรมากินหมดเลยนะ ไม่พอ กินเท่าไรก็ไม่พอ เวลามันเร่งของมันนี้อะไรอร่อยหมด อาหารอะไรอร่อยหมดเลย สุดท้ายทดลองดูมันจะอร่อยอะไรนักหนา ก็เอาข้าวเปล่ามาให้มันกิน อ้าว ข้าวเปล่าๆ นี้หวานนะ แน่ะ ทดลองดู ข้าวเหนียวหวานกว่าข้าวเจ้า หวานด้วยกัน โถ ไม่มีอะไรมันเอารสของมันเอง เอารสจากข้าวของมันเอง ทดลองชัดเจนมากอายุ ๒๓ ต้องได้ดัดกัน คือที่มันเด่นตรงไหนเราจำได้ตรงนั้น เราจับมันก็ติดใจมาเรื่อยๆ  อายุ ๒๔ กำลังเรียนหนังสือ ที่พัดติดหลัง(รูปถ่ายที่วัดสุทธาวาส) นั่นอายุ ๓๖ พัดนั่นเป็นของอาจารย์มหาทองสุกนะไม่ใช่ของเราเอง นั่นละที่ลงมาจากวัดดอยธรรมเจดีย์แล้วมาพักวัดสุทธาวาส

พูดอะไรเรื่องราวมันไปสัมผัสเรื่องพัด ท่าน(อาจารย์มหาทองสุก) เอะใจขึ้นมา อ้าว เป็นมหาทั้งทีเคยได้พัดกับเขาหรือเปล่า อู๊ย ผมไม่เคยสนใจ ไป เรียนมาแทบเป็นแทบตายให้ได้มหาติดตัวบ้างซิ พอว่าอย่างนั้นท่านก็ลุกปุ๊บปั๊บไปเอาพัดของท่านมา นี่พัดผมก็มี พอดีมีโยมไปที่วัดและมีกล้องถ่ายรูปติดไปด้วย เอ้า ถ่ายเดี๋ยวนี้ นั่งเก้าอี้ ท่านจัดให้นะ เอาพัดมาวางให้แล้วนิมนต์เราไปนั่ง นั่นละถึงมีพัดติดหลังมา เป็นพัดท่านอาจารย์มหาทองสุก ไม่ใช่ของตัวนะ ของตัวไม่เคยเห็นและไม่เคยสนใจด้วย เป็นเปรียญขั้นเดียวกัน ก็เลยมีพัด

เรียนหนังสือมาไม่เคยสนใจ ใบประกาศนียบัตรไม่เคยสนใจเลย ออกผึงเลย ตั้งแต่พัดก็ไม่เคยสนใจ จริงๆ ไม่ทราบเขาให้ไม่ให้ไม่รู้คือเราไม่สนใจ ตามธรรมดาเป็นพระสมัยก่อนต้องมีพัดติดตัวๆ ทุกวันนี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ พระสมัยทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนนะ การศึกษาเล่าเรียนแต่ก่อนจริงจังมาก ถ้าลงได้ภูมิมหาแล้วเต็มเหนี่ยวเลย ทุกวันนี้เรียนลัดๆ ได้แต่ชื่อก็เอา เป็นอย่างนั้น แต่ก่อน โถ... คิดดูสอบเปรียญตกปีที่สองจนจะยืนไม่อยู่เลย เสียใจมาก มันตกได้ยังไง อยากเอากรรมการมาแปลให้ดู ตกตรงไหน อยากว่าอย่างนั้นนะ มันเต็มเปี่ยมของมันแล้วไม่มีที่ต้องติ สอบทำได้แน่ตามภูมิวิชาของเรา แล้วมาตก โถ จนจะยืนไม่อยู่นะ มันตกได้ยังไงๆ อยากเอากรรมการที่ตรวจให้เราตก วิชาไหนตกตรงไหน

เวลามาพิจารณาย้อนหลังมันมีสายของมัน คือเราว่าจบเปรียญ ๓ แล้วจะออกทันที นักธรรมตอนนั้นได้ชั้นโท นักธรรมเอกยังไม่ได้ เหมือนว่ารอนักธรรมเอก จึงต้องให้เปรียญมหาตกไปเสียก่อน พอได้นักธรรมเอกปั๊บ เปรียญนี้ผึงไปเลย ก็มันรออยู่แล้ว มันรอกันเฉยๆ เราก็เลยผ่อนความเสียใจลงได้ อ๋อ อาจจะรอกันนี้ก็ได้ คือพอได้เปรียญแล้วนักธรรมจะไม่สนใจ จะออกเลย แต่นี้รอให้ได้เอกเสียก่อน พอดีได้ปั๊บเปรียญก็ปุ๊บด้วยกัน ก็ไปเลยออกเลย ไม่สนใจกับใบประกาศนียบัตร พัดยศอะไรไม่เคยสนใจ นี่ก็เป็นพัดอาจารย์มหาทองสุกเอามาติดไว้ เป็นพัดปลอม

คือจิตมันไม่ได้อยู่กับอันนี้นะ เรียนก็เรียนเพื่อจะออกปฏิบัติ พอเสร็จแล้วปึ๋งเลยทีเดียวไม่รอเลย ก็เดชะอยู่ไม่งั้นจะออกลำบาก ผู้ใหญ่คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ โอ๋ย ท่านเมตตามาก ผูกพันมาก ไปที่ไหนติดตามจะเอาคืนไปอยู่กรุงเทพ ตั้งแต่พรรษา ๑๖ แล้ว ฟังซิน่ะ มาเผาศพหลวงปู่มั่น ท่านก็มาในงานด้วย อันนี้ก็เจ้าคุณศรีวรคุณช่วยไว้ได้ ไม่งั้นก็จะลำบากเหมือนกัน เรื่องกลับหรือไม่กลับอาจจะชอกช้ำกันอยู่ หาอุบายออกละซิ มามีแต่จะเอากลับกรุงเทพท่าเดียว ติดตามตลอดนะ ตั้งแต่เราจากกรุงเทพมาออกปฏิบัติท่านไม่ปล่อย สกัดลัดต้อนจะเอาคืนไปกรุงเทพ เพราะอยู่กับท่าน ท่านรู้นิสัยดีทุกอย่างแล้ว ท่านจึงเมตตามาก

มาถึง ๓๖ นึกว่าจางไปแล้วนะออกปฏิบัติแล้ว เผาศพท่านอาจารย์มั่น ท่านมาเห็นก็จะเอากลับไปกรุงเทพจริงๆ ไม่ใช่เล่นๆ นะ จะเอากลับคืนไปพร้อมเลย เราก็ เอ๊ จะทำยังไง พอดีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ น้องชายเจ้าคุณอุบาลี ท่านเป็นเพื่อนกัน สนิทกัน นั่งอยู่ด้วยกัน ท่านพูด นั่นละท่านช่วย เราไม่ลืมคุณท่านนะ ท่านช่วย ไม่ชอกช้ำ ไม่งั้นจะลำบากเหมือนกัน เพราะคนหนึ่งก็จะเอากลับกรุงเทพ คนหนึ่งก็จะไม่ไป ตอนนั้นธรรมจักรกำลังหมุนหัวใจมันจะไปได้ยังไง จิตใจไม่มีวันมีคืนเลย หมุนติ้วๆ แล้วจะเอาคืนไปกรุงเทพได้ยังไงนี่ซิ แต่ท่านไม่รู้ภายในของเราซิ มีแต่จะเอากลับท่าเดียว

ท่านพูดมีแต่จะเอากลับท่าเดียวๆ เราก็นิ่ง สักเดี๋ยวท่านเจ้าคุณศรีวรคุณท่านคงรำคาญละท่า โอ๊ย ก็จะเอาเขาไปอะไรนักหนา ถ้าเป็นพ่อบ้านพ่อเมืองก็เป็นพ่อตาแล้ว แล้วจะไปเป็นลูกเขยใหม่ยังไง นี่บวชมาก็นานแล้วท่านมหากี่พรรษา เราอยากตอบตั้งแต่ยังไม่ถาม บอกว่าได้ ๑๖ พรรษา นู่นน่ะเป็นอุปัชฌาย์เขาได้แล้ว ท่านย้ำเข้าอีก เป็นอุปัชฌาย์เขาได้แล้วจะเอาไปเป็นลูกเขยใหม่ได้ยังไง เวลาเขาออกก็ให้เขาออกไปซิ จะผูกจะมัดกันทำไม ท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกัน ท่านก็ว่าได้สบายๆ เราก็นิ่งเป็นทางออก ทางนี้ก็เลยเงียบนะ เงียบก็ออกช่องนี้แหละ ไม่งั้นจะลำบากเหมือนกัน

ท่านรู้สึกว่าผูกพัน เมตตามาก ไปไหนติดตามๆ ตลอด ดักหน้าดักหลัง แต่เราไม่ยอมไป สมเด็จมหาวีรวงศ์ นี่ละองค์หนึ่งที่มาอยู่บนหัวใจเรา ทางปริยัติก็คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ ทางฝ่ายปฏิบัติก็หลวงปู่มั่น อยู่ในหัวใจเรา เพราะอะไรจึงมาอยู่ในหัวใจเรา สมเด็จมหาวีรวงศ์เป็นนักเสียสละ เข้ากันได้ปึ๋งเลยกับเรา เป็นนักเสียสละ มีเท่าไรไม่มีเหลือเลย ก็เราดูแลทุกสิ่งทุกอย่างของท่านทั้งหมด เราดูแลทั้งนั้น พอของเต็มตู้ ไม่นานนะคอยดู สักเดี๋ยวท่านก็สั่งจับฉลาก พระเณรทั้งวัดมาเอาหมดเลย ท่านไม่มีเหลือแหละ สมบัติปัจจัยอะไรอย่างนี้เหมือนกัน เราเป็นคนถือบัญชี จ่ายเงินเราเป็นคนสั่งจ่าย ท่านไม่เกี่ยวข้องแหละ เรารู้หมด ท่านจึงอยากให้ไปอยู่ ท่านไว้ใจ นี่ละที่ว่าอยู่บนหัวใจเรา คือท่านเป็นนักเสียสละจริงๆ  อยู่กับท่านมาทุกสิ่งทุกอย่างรู้หมด ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวแหละสมเด็จมหาวีรวงศ์ ไม่มี มีเท่าไรเป็นหมดๆ หมดตลอดเลย ท่านเป็นนักเสียสละ ถึงใจเรา

เราตัวเท่าอึ่งก็ตามแต่ใจไม่ได้เป็นอึ่ง ใจมันเป็นนักเสียสละอยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ก็เหมือนกัน เราไม่เคยเก็บหอมรอมริบอะไร เพื่อนฝูงนี้เต็มละ คณะของเรา เราเป็นหัวหน้าคณะเต็มหมด พระเณรมาอยู่กับเรา มีอะไรเป็นอันเดียวกันหมดๆ ตลอดมาตั้งแต่เรียนหนังสือจนกระทั่งออกปฏิบัติ สมเด็จนี่ละนั่งอยู่บนหัวใจเรา เป็นนักเสียสละ ไม่มีเหลือเลย บริษัทบริวารลูกหามากต่อมาก ไม่มากยังไงร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่ที่นั่น ฝ่ายปฏิบัติคือหลวงปู่มั่น อันนี้ยกให้เลย เป็นเอกหมดทุกอย่างเลย สมเด็จเป็นเอกทางการเสียสละ ไม่มีเหลือละ หมดเลย

มันถึงใจนะเรา ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดถ้าตระหนี่ถี่เหนียวแล้ว เราเป็นจริงๆ นะ อยู่ไม่ได้นาน มันหากเป็นในจิต ครูบาอาจารย์องค์ใดหรือเป็นสมภารเจ้าวัดตระหนี่ถี่เหนียวแล้วอยู่ไม่ได้เรา ไม่ติด ผ้าอังสะผืนหนึ่งก็เอามาวางอยู่ท่ามกลางสงฆ์ ผ้าอังสะผืนนี้ให้องค์นั้นๆ ถ้าเป็นเราแล้วจับฟาดเข้าป่าเลย มันสมบัติอะไร จะให้ก็ให้ไปซิ ประสาสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสงเคราะห์กัน เราเห็นต่อหน้าต่อตาเราฝังลึกนะ ตระหนี่ถี่เหนียว เก็บไว้หาอะไร ตายแล้วไม่เห็นเอาสิ่งเหล่านี้ไปเผากัน ก็เผาด้วยฟืนทั้งนั้น เห็นแล้วพูดได้ชัดๆ แหละเรา นิสัยเราไม่เป็นอย่างนั้นด้วย มันเปิดอยู่งั้น ตั้งแต่เรียนหนังสือก็เปิดตลอด ไม่เคยมีคำว่าตระหนี่ถี่เหนียว มีเท่าไรเป็นหมดเลย

ไปไหนมาพระนี้รุมเลย แย่งกันหมด เราไม่ได้อะไร ท่านรู้นิสัย ใครได้ก่อนก็เอา เหมือนลูกกับพ่อกับแม่ แย่งกันอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ อันนี้ก็แย่งต่อหน้าครูบาอาจารย์ มันก็แบบเดียวกัน ใครจะไปถือสาใคร แขนซ้ายแขนขวา เข้าใจไหม ก็เท่านั้นเอง เป็นอย่างนั้นแหละไปไหน ความเสียสละมันเป็นนิสัยเอง

(ถวายทองคำ ๕๐ สตางค์ครับ) ทองคำก็ได้เรื่อยๆ ประเภทน้ำไหลซึมก็ค่อยไหลซึมเข้ามา สมเจตนานะ เจตนาที่เราหวังจะพยายามหาสมบัติที่มีค่าเข้าคลังหลวง เข้าไปแล้วมันก็ไม่แล้วในใจนะ เพราะไปเห็นทองคำในคลังหลวงเสียเอง มันจึงติดใจอยู่ตลอด ได้มามากแล้วก็ยังไม่สนิทใจ เพราะฉะนั้นจึงออดจึงอ้อน ให้เป็นประเภทน้ำไหลซึม เขาให้เท่าไรก็เอาถ้าเป็นประเภทน้ำไหลซึม มันหลายประเภท ใช้แบบไหนแบบนั้นแหละเราไม่ก้าวก่ายกัน เวลาขู่นี้ขู่ เห็นกระเป๋าไหน ไหนล่ะทองคำ นั่นเด็ด อันนั้นเด็ดกัน พอหลังจากนั้นนี้ประเภทน้ำไหลซึม ใครให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา  พอออดออดเอา .ก็ได้มาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ ๙๖-๙๗ กิโลแล้วมังทองคำประเภทน้ำไหลซึม (๙๔ กิโลครับผม) นั่น ๙๔ กิโลแล้ว นี่ละประเภทน้ำไหลซึม จะเข้านะ

เราคิดไว้หมด คิดนี้คิดเพื่อพี่น้องลูกหลานไทยเรา เราไม่ได้คิดเพื่อเรา ทุกอย่างเราคิดเพื่อลูกเพื่อหลานไทย คิดอะไรเดินตามนั้นๆ ก็เป็นไปตามนั้นทุกอย่าง ราบรื่นดีงาม ไม่ผิดพลาดนะ ตั้งแต่การช่วยชาติก็เหมือนกัน เราพิจารณาเต็มกำลังแล้วออกๆๆ ตลอดมา ทั้งด้านวัตถุทั้งด้านนามธรรมคือการเทศนาว่าการ ออกมาตลอดเลยไม่ผิดพลาด ราบรื่นดีงามตลอดมา ทางด้านวัตถุนี้ก็มาหาทองคำเราประเภทน้ำไหลซึม เพราะยังแป้วใจอยู่มากทองคำในคลังหลวงเรา เพราะฉะนั้นได้มาแม้จะเป็นกอบเป็นกำแล้วก็ตาม ที่บกพร่องยังบกพร่องอยู่มาก จึงบิณฑบาตวิงวอนออดอ้อนกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้พยายามหามา เพื่อทองคำเราจะได้เข้าสู่คลังหลวงให้เป็นความแน่นหนามั่นคงแก่ชาติไทยของเรา

ลมหายใจของคนทั้งชาติอยู่จุดนั้นนะ การรับรองยืนยันทุกอย่าง การซื้อการขาย ติดหนี้ติดสิน เอาทองคำเป็นเครื่องประกัน ถ้าเราไม่มีทองคำเขาไม่ให้กู้ให้ยืมนะ ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ ประเทศต่อประเทศกู้กันก็ไม่ได้นะ ต้องมีทองคำเป็นเครื่องยืนยันแล้วกู้กันได้ขายกันได้ ทีนี้มันก็ก้าวออก รายได้ก็มี เราจึงได้พยายามเอาไว้เพื่อทองคำนี้เป็นหลักแห่งชาติไทยของเรา จึงได้ออดอ้อนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย คิดไว้เรียบร้อยนะไม่ได้มาพูดเฉยๆ คิดเรียบร้อยแล้ว จึงได้ระบายออกมาๆ ทองคำสำคัญมาก ส่วนปัจจัยก็ดังที่ว่าแหละ ช่วยตลอดไม่มีเหลือ เราแบตลอด ไม่เคยเก็บอะไรเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครดิ้นเกินเราการดิ้นเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา เราดิ้นเป็นเบอร์หนึ่งเลย ดิ้นมาก็เพื่อชาติ เราไม่ได้เอาอะไร เมื่อชาติบ้านเมืองเราพอเป็นไปแล้วเราก็นอนตาหลับ ความหมายว่าอย่างนั้น

ในฐานะที่เราเป็นผู้นำยังไม่สิ้นสุดลง ยังพอตะเกียกตะกายได้ เราก็พยายามพาพี่น้องทั้งหลายตะเกียกตะกายไปให้ได้สมบัติที่เป็นสาระ เช่นทองคำ เป็นต้น เข้าสู่คลังหลวงของเรา แล้วเราก็จะมีลมหายใจ หายใจเต็มปอดๆ ไม่เต็มปอดครึ่งปอดก็ยังดี จึงได้พยายาม นี่ก็ได้ตั้ง ๙๔ กิโลแล้ว มันจะได้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ละทองคำก็ดี นานๆ ลูกเห็บตูมลงมา ฝนตกฝอยๆ เบาๆ เป็นน้ำไหลซึม สักเดี๋ยวก็ลูกเห็บตูมตามลงมาๆ ตั้งแต่ ๕ บาทขึ้นไปเรียกว่าลูกเห็บละ ๕ บาท ๑๐ บาทขึ้นไปจนกระทั่งกิโลขึ้นไป เรียกว่าประเภทลูกเห็บลูกเล็กลูกใหญ่ นี่ก็ ๙๔ กิโลแล้ว

เราพยายามที่สุด ที่เราพาพี่น้องดำเนินมานี้ เรายังไม่เห็นข้อตำหนิในใจของเราเลยว่า ได้พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินผิดไป ไม่ปรากฏ ถึงถูกจะตำหนิติเตียนอะไร ก็เป็นเรื่องปากสกปรกเขาก็ว่าไปของเขา เราสะอาดด้วยการกระทำของเรา โดยคิดอ่านไตร่ตรองแล้วด้วยธรรม เราก็ก้าวเดินของเราไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าราบรื่นดีงามเรื่อยมา วัตถุของเราก็ไม่มีที่ด่างพร้อย เพราะเราเป็นผู้นำเอง ออกด้วยความบริสุทธิ์ทุกอย่าง โอ๊ย สิ่งก่อสร้างมากจริงๆ นะ ก็สมบัติเงินทองสิ่งที่รักสงวนของพี่น้องทั้งหลายนั้นแหละ ต่างคนต่างเสียสละออกมา เพื่อชาติบ้านเมืองของเราที่อยู่ร่วมกัน ที่ไหนขัดข้องขาดแคลนมากก็หนุนกันไปๆ

เวลานี้ก็ยังหลายหลังนะ ๕ หลังเวลานี้นะ อย่างนั้นละ คิดดูไปกรุงเทพคราวนี้ไม่ได้เงินติดตัวมานะ ไปคราวนี้บอกให้เอาไว้กรุงเทพทั้งหมด เพราะสร้างกุฏิอยู่สองหลัง หลังแน่นหนามั่นคงเสียด้วย ต้องเอาเงินจำนวนนี้ไว้สำหรับจ่าย ทั้งอุปกรณ์เครื่องก่อสร้าง ทั้งค่าจ้างคนงานอะไรๆ ก็ยังไม่พอ เราก็สั่งเอาไว้ถ้าขาดเหลือเท่าไรให้บอกไปเราจะโอนมาๆ เราว่างั้น คราวนี้จึงไม่ให้เอามา เฉพาะอย่างยิ่งตอนเช้าวันจะกลับมาไม่เอามาเลยห้ามเลย ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่พอเงินจำนวนนี้ นี่เห็นไหมนั่น ชี้ไปกุฏิสองหลังกำลังเริ่มขึ้น นั่นก็เงินของวัดเรานี่ละออกช่วย จึงไม่ให้เอามา คราวนี้ไม่เอามาเลย เอาไว้โน้นทั้งหมด ทางนี้เราหาเอาใหม่ ทางโน้นไม่มีใครประกัน อยู่ทางเรานี้เราประกันตลอดทางโน้นไม่มี ขาดเหลืออะไรก็ต้องบอกมาทางนี้ ขอมาทางนี้ ทางนี้ส่งไปให้ๆ ทางนี้เราไม่เป็นไรขาดเหลืออะไรเราดูแลด้านนี้

จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พากันตั้งอกตั้งใจหันหน้าเข้าสู่ศาสนานะ ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้า ฟังเสียงกิเลสนี้ฟังมานานแล้วพาคนให้เดือดร้อนล่มจมมามากต่อมาก ถ้าจะฟังกันไปเรื่อยๆ โลกนี้จะเป็นเถ้าเป็นถ่าน ในท่ามกลางแห่งโลกที่ว่าโลกเจริญๆ นั้นแหละ ความเสื่อมความเสียความเป็นเถ้าเป็นถ่าน จะอยู่ในนั้น ในย่านเดียวกัน ถ้าลงให้กิเลสนำแล้วเป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมนำแล้วดีหมด ผู้ใหญ่ก็มีความเมตตาสงสารผู้น้อยด้วยคุณธรรมของตน ผู้น้อยก็เคารพนับถือเชื่อฟังกัน โลกก็ร่มเย็นๆ ประเทศไหนใหญ่เท่าไรมีอรรถมีธรรมมาก ประเทศนั้นยิ่งให้ความร่มเย็นมาก เหมือนกับต้นไม้ใหญ่มีใบหนานั่นเอง นี่ใหญ่เท่าไรๆ ยิ่งเป็นยักษ์เป็นผีกลืนสัตว์เล็กสัตว์น้อยปลาเล็กปลาน้อยไปหมด มันก็ฉิบหายได้ นี่ละโลกเจริญเจริญแบบนี้นะ ปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นแบบนั้นนะ หาความเจริญไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมแล้วกระจายถึงกันหมด

อยากให้พี่น้องทั้งหลาย และอยากให้โลกได้สนใจกับธรรมของพระพุทธเจ้าบ้างพอประมาณ โลกจะได้มองหน้ากันทั่วถึง ไม่ได้มองแบบเป็นยักษ์เป็นผีคอยแต่จะกินจะกลืนร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมร้อยสันพันคมอย่างนี้ อันนี้ทำให้ไม่มีความสนิทกัน มีมากขนาดไหนหาความสนิทกันไม่ได้ ถ้าธรรมเข้าตรงไหนมีมากมีน้อยสนิทกันหมด ต่างกันอย่างนี้นะ ไม่ต้องถามหาชาติชั้นวรรณะชื่อเสียงอยู่ที่บ้านใดเมืองใดภาคไหนไม่ต้องถาม น้ำใจแสดงต่อกันนี้ถึงกันหมดด้วยความเป็นธรรม ถ้าไม่เป็นธรรมครัวเรือนเดียวกันก็แตกกัน อย่าว่าแต่อื่นไกลที่ไหน ครัวเรือนเดียวกันก็แตกกัน เพราะไม่เป็นเป็นธรรมต่อกัน ถ้าเป็นธรรมแล้วมากน้อยเย็นไปหมด จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ยึดธรรมนี้ ไม่ได้มากให้ยึดในตัวของเราครอบครัวของเรา สังคมของเราก็ยังดี ไม่ใหญ่เอาแค่นี้ก็ดี

ถ้าต่างคนเอาธรรมไปปฏิบัติดังที่ว่านี้กระจายไปทั่วโลก โลกก็เย็นได้ คอยที่จะให้กิเลสพาเย็นนี้อย่าหวังนะ ไม่มีทาง ไม่มีใครเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ภัยของโลกก็คือกิเลสนั้นเอง ท่านไม่ได้บอกว่าคุณของโลกคือกิเลสนะ ภัยของโลกคือกิเลสนั้นเอง คุณของโลกคือธรรม แน่ะ ทับกันลงไปตรงนั้น ถ้าใครมีธรรมมากน้อยจะมีคุณค่าขึ้นในตัวและสงบร่มเย็น ถ้ามีแต่กิเลสตัณหาล้วนๆ แล้วเป็นไฟด้วยกันหมด ให้พากันสนใจเข้าอรรถเข้าธรรม ธรรมเวลาได้อบรมเต็มที่แล้ว เฉพาะอย่างยิ่งพูดในหัวใจนี่ละนะ ใจนี้เวลามันเป็นฟืนเป็นไฟนี้ โถ มันของเล่นเมื่อไร นอนก็จะไม่หลับ มันสร้างฟืนสร้างไฟความคิดความปรุง ทุกแง่ทุกมุมเผาเข้ามาในหัวใจมันจะนอนไม่หลับ นี่ละกิเลสทำงานไฟเผาหัวอก

เวลาเราออกปฏิบัติระงับมันด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วค่อยสงบไปๆ เอาเสียจนเรียบไปเลย ไม่มีกิเลสตัวใดขึ้นชื่อว่าเป็นภัย เหลือค้างอยู่ในใจเลย ทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มี เพราะทุกข์นี้เป็นผลเกิดขึ้นมาจากกิเลสสร้างขึ้นมา เมื่อกิเลสตัวสร้างทุกข์ดับไปทุกข์ก็ดับไปพร้อมกัน ท่านว่าสมุทัยทุกข์ สมุทัยเป็นต้นเหตุให้สร้างทุกข์ให้เกิดขึ้น มรรค นิโรธ มรรคเป็นต้นเหตุสร้างนิโรธความดับทุกข์ขึ้นมานั่น อริยสัจท่านว่าอย่างนั้น มันเห็นกระจ่างในจิตจริงๆ ถ้ายิ่งผู้ชอบมองดูในจิตมากๆ ผู้นั้นจะเห็นภัย เห็นภัยไปโดยลำดับ เพราะกองไฟจริงๆ อยู่ในหัวใจของทุกคนไม่เลือก เว้นพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นไม่เลือกละเรื่องไฟในหัวใจ มีมากมีน้อย ยิ่งไม่มีธรรมในใจเลยมีแต่ไฟ ใครจะมาเสกสรรปั้นยอว่าเป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหนก็ตามมีลมปาก หัวใจนั่นคือไฟเผาอยู่ในหัวอกนั่นไม่มีที่ไหนนะ

ไม่มีใครเกินศาสดาองค์เอกที่มองดูโลกด้วยสายตาของธรรม พระญาณหยั่งทราบหมดเลย ไอ้เราให้กิเลสมันพามอง หัวชนฝาไปเลยหัวชนต้นไม้ เพราะกิเลสพาให้สัตว์ตาบอดชนดะไปเลย ไม่ว่าได้ว่าเสีย ความทุกข์กิเลสมันไม่รับเราเป็นคนรับเคราะห์ นี่ละกิเลสพาเดินเดินอย่างนั้น ถ้าธรรมพาเดินมีทางเล็ดลอดออกไปได้ๆ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ที่พูดตะกี้นี้ก่อนจังหันที่ว่ามันเป็นเปลวขึ้นมาหัวใจนี้ เวลามันแสดงเปลวขึ้นมานี้ จิตจ่อลงจะไปเป็นน้ำดับไฟ จ่อลงภาวนานี้หงายเลยนะมันรุนแรงมาก สติจ่อไม่อยู่ สติเปิงเลยเชียว อันนี้มันพลุ่งๆ นี่เห็นหมดในหัวใจนะ ที่นำมาพูดนี้นำมาจากหัวใจเจ้าของมาพูด เวลามันรุนแรงรุนแรงขนาดนั้น

นี่พูดถึงเรื่องความรุนแรงของกิเลส เวลาสู้มันไม่ได้หงายทั้งนั้นๆ แต่ความพยายามสู้ไม่ถอยๆ สุดท้ายก็เอาเลยกำเลย กำได้ๆ สงบได้ เอ้ามันฟุ้งซ่านไปไหนรู้ตามกันทัน เอาเข้ามาสงบจนได้ๆ ด้วยอำนาจของธรรม ทีนี้หนักเข้าๆ ธรรมกำได้หมด กำอำนาจไว้หมด จิตจะคิดแย็บไปยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไรตีปั๊วะเดียวหงายเลย หงายกลับคืนๆ นี่ละอำนาจแห่งการฝึกตน มันจะหนักจะเบาเท่าไรก็เราเป็นผู้รับผิดชอบตัวเราเอง เราจะไปโยนให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบแทน ความทุกข์ก็มาอยู่กับเรานั้นแหละ เราต้องรับผิดชอบเราความทุกข์จะได้เบาบางลงไป จากผลแห่งงานของเราที่สู้กิเลสตัวสร้างทุกข์ขึ้นมานั้น ไปโดยลำดับลำดานะ ปัดออกๆ เรื่อย ยิ่งเป็นนักภาวนายิ่งเห็นชัดเจน

ฝึกฝนทรมานตนนี้ต้องใช้ความคิดความอ่านทุกวิถีทาง เพื่อการเบิกกว้างราบรื่นในการภาวนา ไม่ใช่แต่ว่าเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ไม่คิดอ่านไตร่ตรองผลไม่ค่อยมีและไม่มี ต้องคิดอ่านไตร่ตรอง วิธีการใดมีผลมากให้จับเอาไว้ๆ แล้วก็ค่อยเบิกกว้างออกๆ ทีนี้เวลาสรุปความลงแล้ว เอ้า ทรมานมันได้จนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อหมดได้แล้ว ทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี ก็เพราะกิเลสไม่มีทุกข์ก็ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นั่นท่านเรียกบรมสุข จิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์ครองบรมสุขอันนี้ทั่วหน้ากัน นอกนั้นจมไปด้วยทุกข์มากน้อยเหมือนกันหมดนั่นแหละ นี่ละการฝึกทรมานตนต้องได้ใช้ความพยายามเต็มกำลังความสามารถ จะแบบสุกเอาเผากินๆ ตายกองกันอยู่นี้ไม่มีวันสิ้นสุดนะ ให้พากันพิจารณา พยายาม

เทศน์กรุงเทพก็เทศน์มาแล้ว วันนี้ก็เทศน์ตอนเช้าเสียมั่ง ไม่เทศน์มากเทศน์น้อยก็เอา พระเราและพวกอยู่ในคงในครัวก็เหมือนกันนะ ให้ดูหัวใจเขาหัวใจเรา เข้าไปอยู่นั่นว่าไปอบรมๆ ใครมองมาข้างนอกเขาว่า วัดป่าบ้านตาดเป็นวัดภาวนานะ เขาคิดกันอย่างนั้น ส่วนภายในนี้มีแต่นักมวยต่อยกันด้วยลมฝีปาก เข้าใจไหมล่ะ วัดป่าบ้านตาดนี่เป็นวัดนักมวย แชมเปี้ยนก็อาจมีอยู่ในแถวนี้นะ มันต่อยกันด้วยลมฝีปาก มากกว่านั้นมาทะเลาะกันให้เห็น ถ้ามาทะเลาะกันให้เห็นไม่อยู่นะ มาทะเลาะกันให้เราเห็นไล่ทันทีไม่ให้อยู่ ไม่วินิจฉัยให้นะ เพราะหยาบที่สุดแล้ว เอาไว้ไม่อยู่นี้แล้วให้ไป ก็มีเท่านั้น เพราะฉะนั้นให้ฝึกตน เรื่องนี้เป็นเรื่องของกิเลส มันออกจากใจแล้วก็ไปอาละวาดคนอื่น เจ้าของรักษามันไม่ได้ปล่อยมันไปมันก็อาละวาดคนอื่น ถ้าปล่อยไปเท่าไรก็ยิ่งวัดแตกไปเลย

ถ้าต่างคนต่างระมัดระวังรักษา ดูใจเขาดูใจเราดูเหตุดูผล ฟังความผิดความถูกของตัวเองก็มีทางระงับได้ ถ้าเอาไปตามอารมณ์ถูกทั้งนั้นกิเลสนะ เป็นไฟขึ้นมาก็ถูก ได้เผาคนอื่นมากเท่าไรยิ่งถูก นั่นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นธรรมแล้วแย็บออกมาเท่านี้เผาตัวเองแล้ว ทำไมจะไปปล่อยให้มันไปเผาคนอื่น พอมันแย็บขึ้นมา ความหงุดหงิดความไม่พอใจเผาเราก่อนแล้ว ดูนี่ก่อนระงับ นั่นเรียกว่าธรรม พากันจำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้น

โยม : ขอโอกาส เจ้าคุณศรีวรคุณนี้ ที่ชื่ออ่ำใช่ไหมฮะ ที่อยู่วัดเขาพระงามที่ลพบุรีใช่ไหมฮะ

หลวงตา : นั่นแล้วนี่ละ อ่ำ เจ้าคุณศรีวรคุณ ชื่ออ่ำ เป็นน้องชายท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเมตตาเราอยู่มากนะ สนิทสนมกันมานาน อายุท่านก็ไล่เลี่ยกันกับสมเด็จมหาวีรวงศ์ คงจะล่วงลับไปในระยะเดียวกัน นี้ได้ท่านช่วยนะ โห ท่านมีแต่จะเอากลับท่าเดียว จะไม่ยอมให้ไปเลย เหมือนว่าจับตัวได้แล้วจึงลากไปกรุงเทพเลย โถ ตอนนั้นพูดให้มันชัดเจนเสีย จิตมันหมุนเป็นธรรมจักรอยู่กับใครได้เมื่อไร อยู่องค์เดียวๆ คิดดูงานท่านอาจารย์มั่นเรา จนครูบาอาจารย์บางรายว่า มหาบัวนี่เวลาท่านมีชีวิตอยู่นี้เหมือนเงาเทียมตัวติดกับท่านตลอด บทเวลาท่านมรณภาพแล้วไม่มาเหลียวแลเลย ว่าอย่างนี้ก็มี เพราะท่านไม่มองเห็นภายในของเรา ท่านว่าอย่างนี้ก็ว่าได้ ก็ถูกของท่านท่านดูภายนอกนะ เพราะเวลาท่านยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนเงาเทียมตัว พอท่านสิ้นไปแล้วก็มีเพื่อนฝูงมาปฏิบัติหน้าที่แทนพอสมควร เราก็ออกเร่งความเพียร นี่ละเร่งความเพียรตอนนี้ละ

อยู่คนเดียวทั้งนั้นนะ อย่างศพท่านอยู่วัดสุทธาวาส เราก็อยู่บนภูเขา ภูพานนู้นนะองค์เดียว ไม่มีใครไปอยู่ด้วย นานๆ ลงมา ฉันจังหันแล้วก็เดิน วันไหนจะมาก็ฉันไม่มาก็ไม่ฉัน เดินมาเดินจงกรมมาตลอดจนกระทั่งถึงวัดสุทธาวาส ด้อมๆ มาก็เข้าไปกราบศพท่าน งานนี่อึกทึกพระเณรทำงานทำการอะไรเต็มวัด ประชาชนมาช่วย ตอนนั้นมีท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเป็นหัวหน้างาน พอพูดถึงท่านอาจารย์ฝั้นขบขันดีไหม นี่ละพลังของจิตท่านสำคัญมากนะ ท่านพาพวกพระพวกโยมเขาสานขัดแตะที่จะไปเป็นแผงกั้นในงานนี้ แล้วมีหญิงสองคนกำลังคึกคะนองขี่จักรยานมาปุ๊บปั๊บๆ มานี่ ท่านก็จนได้เงยหน้าขึ้น มันยังไงไอ้เด็กสองคนนี่น่ะท่านว่างั้นนะ ไม่รู้ภาสีภาษาอะไร ท่านว่ายิ้มๆนะ พวกพระเณรก็สานขัดแตะนั่งสานอยู่ มันสะเปะสะปะมาใกล้ๆ นี่นะ เด็กสองคนกำลังคึกคะนองไม่รู้ภาสีภาษาอะไร ฉากอยู่นั้นนะ

มายังไงนี่ ท่านว่า ทีนี้ท่านว่าเอาๆ คอยดูนะ นี่สำคัญมากนะ จะเอาให้มันล้มให้ดู แต่ไม่ให้มันเจ็บ คือให้มันอายเฉยๆ ให้มันรู้ว่าความคึกความคะนองเป็นผลยังไง ความหมายว่างั้น พอท่านว่าเอ้าจะเอาให้มันล้มให้ดู ทีนี้พระเณรวางอะไรหมดจ้อ มันก็ขี่รถจักรยาน เปะปะล้มทั้งสองคันเลย นั่นเห็นไหมล่ะ หาอะไรมันก็เจออันนั้น บาปมีอยู่บุญมีอยู่ หาอะไรมันก็เจออันนั้น นี่เขาหาอันนี้เขาก็เจออันนี้ความหมายว่างั้น นี่พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ฝั้น พลังจิตของท่านสำคัญมาก คิดดูซิว่าจะให้มันล้มให้ดู พอออกไปนี่ต่างคนก็ต่างจ้อ พอมาเท่านั้นเปะปะล้มจริงๆ นะจักรยานล้มจริงๆ นั่นเห็นไหม หาอะไรมันก็เจออันนั้น หาอะไรมันก็เจออันนั้นแหละ บาปมีบุญมี เอ้อ แปลกอยู่

พูดถึงเรื่องเราอยู่ในป่า ตอนนั้นกำลังพิลึกจริงๆ นะ เข้ากับใครไม่ได้เลย นี่ละครูบาอาจารย์ทั้งหลายบางองค์ยังว่าเราพูดให้เรา ว่ามหาบัวนี่เวลาครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่เหมือนเงาเทียมตัวติดแนบตลอด พอท่านมรณภาพไปแล้วหายหน้าไม่มาเกี่ยวข้องเลย ว่างั้นก็มี แต่เรามันหมุนอันนี้ซิ อันนั้นก็มีคนดูแลช่วยแล้ว เราก็ไปของเราแหละ คิดดูมาเผาศพนี่มาอยู่เพียงสี่คืนนะ ในงานเผาศพมาได้สี่คืนมาอยู่ที่นั่น ทนเอานะ มันหมุนของมัน จากนั้นก็ดีดผึงเลย นี่ละจิตเวลามันถึงขั้นของมันแล้วเป็นอย่างนั้น ถึงขั้นหมุนแล้วไม่มีรอ คุ้นใครไม่ได้เลย ไม่มีใครไปด้วยได้เลย ไปคนเดียวๆ ตลอด ใครเป็นเพื่อนไม่ได้ มันแย็บทางนู้นแย็บทางนี้เป็นน้ำไหลบ่า น้ำไหลบ่ามันจะรุนแรงอะไร พุ่งลงช่องเดียว เป็นกับตายเราคนเดียวพุ่งๆ ตลอดมา

นี่เราก็ไม่ลืม ถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ เราก็ดูเหมือนจบเท่านั้นนะ ตอนเราประกอบความเพียร ตอนนั้นเป็นตอนที่เป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตลอดเลย กลางคืนกลางวันบังคับมันถึงจะนอน หลับงีบบังคับ ต้องบังคับด้วยพุทโธนะ จะบังคับให้หลับเฉยๆ ไม่หลับ คือมันพุ่งๆ เกี่ยวกับเรื่องกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจเรานี่แหละ ต้องเอาพุทโธมาบีบบังคับให้ทำงานกับพุทโธอย่างเดียว ไม่ให้ทำงานกับเวที เข้าใจไหม ให้ทำงานกับพุทโธ พุทโธถี่ยิบนะ ถี่ยิบสงบลงๆ แน่วหลับ นั่นเป็นอย่างงั้น จะให้มันสงบเฉยๆ นอนหลับยากนะ จิตขั้นนี้ยาก ต้องเอาพุทโธมาบีบบังคับเอาไว้ให้อยู่กับพุทโธๆ เหมือนเราเรียนกอไก่กอกา ให้อยู่กับพุทโธคำเดียวแน่ว สงบหลับ ถ้าว่าสมาธิก็แน่วลงสะดวกสบาย บังคับให้อยู่สมาธิเฉยๆ ไม่ลง นู่นน่ะ เหมือนว่าคู่ต่อสู้ยืนจังก้าคอยอยู่ ทางนี้ก็ซัดกันละซิ นั่นละเรื่องราว ถึงขั้นมันเป็นเป็นในหัวใจรู้ได้ทุกคน เอาละทีนี้ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก