สร้างธรรมให้เจริญในใจ
วันที่ 29 เมษายน 2548 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม

เมื่อค่ำวันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

สร้างธรรมให้เจริญในใจ

         

(เวลาแสดงธรรม ๔๗ นาที)

          ธรรมะพระพุทธเจ้าคาดว่าธรรมเหนือโลก ท่านจึงให้ชื่อว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ที่ท่านเทศน์สอนเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มากมายยิ่งกว่ามนุษย์เรานี้หลายเท่าทีเดียว ทีนี้โลกก็ไม่ยอมเชื่อ มันเหนือโลก โลกตามเชื่อไม่ได้ พระพุทธเจ้า และพระสาวกผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้เกี่ยวข้องกันกับพวกนี้จำนวนมากตลอดมา ท่านเรียกว่าธรรมสอนเทพมากยิ่งกว่าสอนมนุษย์เราอีก พวกเทพฟังอย่างเงียบ ๆ เคารพอย่างเงียบ ๆ เวลาเทศน์จบลง ดังพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทจบลง ปรากฏว่าเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลายสำเร็จมรรค ผล นิพพานเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ฟังซิน่ะ

          นี่เป็นคำเทศนาของพระพุทธเจ้า เทศน์ผู้ที่ควรแก่ธรรมขั้นเหล่านี้ที่จะได้เป็นสมบัติ-มหาสมบัติของตน มีมาดั้งเดิม แต่มนุษย์เราเชื่อถือไม่ได้ แม้แต่สอนมนุษย์เองก็ยังไม่ยอมเชื่อถือ มันต่างกันอย่างนี้ ธรรมพระพุทธเจ้าจึงเป็นไปตามวิสัยของผู้ที่จะรับได้เพียงใด พระองค์ก็ประทานลงเพียงนั้น จึงสอนไว้เป็นวาระ ๆ เรียกว่าพุทธกิจห้า คืองานของพระพุทธเจ้าห้าประการ แปลออกแล้ว นี่ละลำดับของการสอนโลกนะ บ่ายสามโมงสี่โมงประทานพระโอวาทแก่ทวยค้าประชาชนเศรษฐีกุฎุมพี นับแต่มหากษัตริย์ลงมา

          พอจบลงเรียบร้อยแล้ว ตอนค่ำกลางคืนลงไปแล้ว ประทานพระโอวาทแก่บรรดาพระสงฆ์นับแต่พระสงฆ์สาวกลงมาโดยลำดับ ถึงกัลยาณปุถุชน นี่เป็นวาระสอง วาระสามคือท่านประมาณเอาว่าตอนเที่ยงคืน ประทานพระโอวาทและแก้ปัญหาแก่ทวยเทพทั้งหลายที่มาเฝ้าพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ทั้งการแก้ปัญหาถามปัญหาในระยะหกทุ่มนั้น นี่เป็นวาระที่สามที่ทรงสั่งสอนสัตว์โลก ให้พากันฟังเอา ที่กล่าวถึงมาได้สามวาระนี้มีหรือไม่มี เช่นมนุษย์เรามีหรือไม่มี พระสงฆ์ที่ประทานพระโอวาทมีหรือไม่มี

          วาระที่สามทีนี้ไม่เกี่ยวกับมนุษย์เรา สอนพวกทวยเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาตลอด อยู่ในย่านหกทุ่มเที่ยงคืน พอหลังจากนั้นแล้วทรงเล็งญาณดู สัตวโลก เล็งญาณดูสัตวโลกผู้ใดที่มีอุปนิสัยปัจจัยมาเกี่ยวข้องกับตาข่ายคือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงทราบไว้ ๆ ตามแง่หนักเบาของอุปนิสัยนั้นๆ  แห่งสัตว์ทั้งหลาย เราสรุปเราไม่พูดไปมากมาย นี่ละทรงเล็งญาณดูสัตวโลกทั่วแดนโลกธาตุ ใครจะมีอุปนิสัยปัจจัยเกี่ยวแก่มรรคแก่ผล หรืออรรถธรรมขั้นใด พระองค์ก็ทรงเล็งญาณทราบไปหมด

          ที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นลำดับ อันนี้เรียกว่าข้อที่สี่ พระพุทธเจ้าประทานเอง เป็นพุทธกิจ คืองานของพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงทำงานเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ ที่ห้า พอสว่างเป็นกาลเวลาที่ควรบิณฑบาตแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ทั้งหลายในเวลาออกบิณฑบาต ใครได้เห็นได้ยินได้ฟัง ได้ทำบุญให้ทานกับพระพุทธเจ้าแต่ละเช้า ๆ นั้นเป็นมหามงคลแก่ตัวเองอย่างมากทีเดียว นี่คืองานของพระพุทธเจ้า สอนตามลำดับลำดา

          แล้วพวกสัตว์ทั้งหลายจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง จำนวนมากไม่เชื่อ นี่ละความจริงพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานพระโอวาท และภารกิจห้าประการนี้พระองค์ทรงบำเพ็ญหรือดำเนินมาโดยลำดับลำดา แต่สัตว์โลกจะพอเหมาะพอควรแก่อุปนิสัยของตนในขั้นใดภูมิใดก็รับไปได้แค่นั้น ๆ ที่สุดวิสัยแล้วก็รับไม่ได้ ในกิจสี่ประการนี้ นี่ละพระพุทธเจ้าทรงสอนโลกสอนตามหลักความจริง ไม่ลบไม่ล้าง ไม่ลูบไม่คลำมาสอนโลก สอนตามหลักความจริง แต่โลกนั้นเรียกว่ามันหนา

          ผู้เชื่อฟังได้ตามกำลังของตนเป็นลำดับลำดาก็ได้รับผลประโยชน์ ตามกำลังแห่งความเชื่อและความอุตส่าห์พยายามปฏิบัติตามท่าน นับตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงผู้ที่สำเร็จมรรค ผล นิพพาน มีจำนวนมากมาย ล้วนแล้วตั้งแต่พระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ทรงสั่งสอนสัตว์โลกไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ สอนได้หมด จนกระทั่งถึงเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม หมด ไม่มีอะไรอัดอั้นตันพระทัยในการสั่งสอนสัตว์โลก สัตว์โลกนั้นก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาของตนที่จะรับไว้ปฏิบัติเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มนุษย์ก็มีอยู่ดังที่เราเห็นกันนี้แล พระสงฆ์ในแดนพุทธศาสนาก็มีอยู่ดังที่เห็นนี้ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ก็มีอยู่ปรกติตามเดิม เป็นแต่เพียงไม่มีผู้เล็งญาณดูอุปนิสัยของสัตว์ อุปนิสัยของสัตว์ก็มีอยู่ตามเดิม ติดต่อสืบเนื่องกันมาเป็นลำดับลำดา

          นี้มีมาดั้งเดิม นี้คือพื้นเพแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนโลกเป็นขั้นเป็นภูมิ ตามหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้ว แล้วนำมาสอน พวกเราทั้งหลายที่ไม่รู้ไม่เห็นก็ขอให้เชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า และอุตส่าห์บึกบึนตัวเองไป ผลจะค่อยปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับลำดา อย่าถือเอาแต่เรื่องกิเลสออกหน้าออกตา เหยียบย่ำทำลายตนและ  ศาสนธรรมไป ซึ่งเป็นการทำลายตนโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่เป็นของไม่ควร ให้พากันพินิจพิจารณา คนเราที่เกิดมาแต่ละคน ๆ ใครตกแต่งเอาไม่ได้นะ อย่างพวกเราทั้งหลายที่มานั่งกันจำนวนมากนี้ มีใครตกแต่งเอาภพชาติของตนให้เกิดมาได้ตามความปรารถนา ไม่มี เป็นเรื่องของกรรมตกแต่งมา

          เกิดมาแล้วเป็นหญิงก็ดี เป็นชายก็ดี เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ ก็เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมของตนของสัตว์ เราทราบแล้วว่าเวลานี้เราเป็นมนุษย์ ไม่เป็นอื่นแล้ว เป็นภาชนะเหมาะสมอย่างยิ่งแล้วกับพุทธศาสนาที่เป็นธรรมอันเลิศของพระพุทธเจ้า ควรที่จะน้อมรับนำมาปฏิบัติตนเอง แก้ไขดัดแปลงตนเองไป ฝืนกับกิเลสไปในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ฝืนจะไม่มีทางได้รับประโยชน์แม้นิดเดียว เพราะกิเลสจะไม่เปิดช่องเปิดทางให้สัตว์โลกทั้งหลายสร้างคุณงามความดี เพราะการสร้างคุณงามความดีมันถือว่าจะเล็ดลอดออกจากอำนาจของมันในวัฏจักรที่มันครอบครองเป็นมหาอำนาจอยู่ตลอดมา เป็นกัปเป็นกัลป์

          ถ้าใครสร้างคุณงามความดีได้มากน้อย ผู้นั้นละเตรียมที่จะเล็ดลอดออกจากวัฏจักร วัฏวน วัฏตายกองกัน จะออกไป ๆ ผู้มีอุปนิสัยแก่กล้าเท่าไรก็ยิ่งเล็ดลอดออกไปได้เรื่อย ๆ กิเลสจึงบังคับบัญชากีดขวางในหัวใจของสัตว์โลกที่จะไปสร้างความดีเสมอมา เรื่องกิเลสจะปล่อยให้เราไปบำเพ็ญประโยชน์คุณงามความดีทั้งหลายนี้ไม่มี ไม่มีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ เพราะฉะนั้นเราจึงอย่าไปรอหาโอกาสว่าจะว่างเมื่อไร คำว่าว่างไม่มี สำหรับผู้จะสร้างความดีต้องถูกปิดกันของกิเลสไว้เสมอ ๆ นอกจากเราจะแหวกว่าย หรือฝ่าฝืนกิเลสนั้น ออกไปสร้างความดีเราก็แหวกว่ายไปได้ตามกำลังของเราตลอดมา เมื่อแหวกว่ายไปเรื่อย ๆ ก็ค่อยเบาบาง ค่อยสะดวกสบายไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าฝืน ไม่ฝืนไม่ได้ เรื่องกิเลสหนาแน่นมากทีเดียว ไม่มีใครจะเล็ดลอดมันออกไปได้อย่างง่ายดาย

          คิดดูดังพระโคธิกะ ที่กล่าวมานี้เป็นคติตัวอย่างได้เป็นอย่างดี ฌานท่านเสื่อมถึงห้าครั้ง เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม ฌานเสื่อมไปทีไรได้รับความทุกข์ความทรมานแสนสาหัส พอเจริญขึ้นมาแล้วกว่าจะได้หายใจ เอ้าฌานเสื่อมอีกแล้ว เสื่อมอีกแล้วถึงห้าหน หลังจากนั้นแล้วฌานเสื่อมอีก พอหนที่หกนี้ตัดสินใจเลย เราจะอยู่ไปทำไมไม่เกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายเลยเอาความตายมาเทียบเข้าเป็นน้ำหนัก มากกว่าความเป็นอยู่เสียว่า ตายเสียดีกว่า เลยเอามีดมาเชือดคอเจ้าของในขณะนั้น เลือดทะลักออกมา

          ท่านมีอุปนิสัยแก่กล้าจะเข้าภูมิอรหันต์อยู่เร็ว ๆ นี้แล้ว เรียกว่ามีอุปนิสัยแห่งอรหัตบุคคลเต็มหัวใจ แต่ก็ถูกมารมันกล่อมอยู่อย่างนั้น พอเลือดกระจายออกไปท่านพิจารณาเลือดของท่านที่ตกออกไป แล้วบรรลุธรรมถึงขั้นอรหันต์ในเวลานั้น นั่น พอบรรลุธรรมแล้วก็นิพพานไปเลย พญามารมาตามคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาดวงวิญญาณเพียงดวงเดียวนี้แหละของพระโคธิกะ ว่าไปอยู่ที่ไหนแห่งหนตำบลใด จิตตวิญญาณของโลกในไตรภพนี้มันกว้านเอามาอยู่ใต้อำนาจของมันหมด แต่จิตตวิญญาณของพระโคธิกะนี้พอตายไปแล้วหายไปไหน มาคุ้ยเขี่ยขุดค้นจนกระทั่งมืดฟ้ามัวดิน ตามตำราท่านแสดงไว้อย่างชัดเจน

          ล้วนแล้วตั้งแต่มันแสดงฤทธิ์เดชคุ้ยเขี่ยขุดค้น หาจิตตวิญญาณของพระโคธิกะเพียงดวงเดียว จิตตวิญญาณที่อยู่ในวัฏจักรนี้มากขนาดไหนมันไม่สนใจ เพราะอยู่ใต้อำนาจของมันอยู่แล้ว แต่จิตตวิญญาณของพระโคธิกะนี้เป็นจิตตวิญญาณที่บรรลุธรรมถึงขั้นอรหันต์แล้วนิพพานไปเลย สุดวิสัยของพญามารที่จะตามขุดค้นให้พบให้เห็นได้จึงคุ้ยเขี่ยขุดค้นแสดงฤทธิ์จนมืดฟ้ามัวดิน เรียกว่าอากาศที่ไหน ๆ มืดดำไปหมด ฤทธิ์ของพญามารคุ้ยเขี่ยขุดค้นจิตของพระโคธิกะเพียงดวงเดียวเท่านั้น

          พระพุทธเจ้าจึงทรงมาตวาดเอาเลยว่า พญามารเธอจะมาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาหจิตตวิญญาณลูกเราตถาคตให้เธอค้นไปจนถึงวันตายเธอก็ไม่มีทางที่จะพบได้แล้ว เพราะพระโคธิกะพ้นวิสัยของเธอที่จะขุดค้นหาได้แล้ว พระโคธิกะเป็นพระอรหันต์ผ่านพ้นสมมุติที่อยู่ในครอบครองแห่งอำนาจของเธอไปหมดแล้ว เธออย่าค้นหาให้เสียเวลาตายเปล่า ๆ พูดถึงเรื่องจิตตวิญญาณเพียงดวงเดียว เรื่องวัฏวนกิเลสนี้มันรักมันสงวนมาก มันไม่ยอมให้ผ่านมือมันไปได้แหละ

          เพราะฉะนั้นเราจะไปสร้างคุณงามความดีที่ไหน ๆ นี้ เหมือนกับจะเล็ดลอดออกจากเงื้อมมืออำนาจของกิเลสนี้แหละ พญามารนายใหญ่ของกิเลสนั้นเอง มันจึงไม่ยอม เราจะทำอะไรต้องได้ฝ่าฝืนทุกแง่ทุกมุมกับกิเลส ที่จะทำไปตามความสะดวกสบายนี้มีน้อย นอกจากผู้ที่มีอุปนิสัยวาสนามาพร้อมแล้ว ๆ กับผู้ที่บำเพ็ญกันอยู่โดยสม่ำเสมอด้วยการสู้รบกับกิเลสที่มันไม่ให้ทำ แต่ฝืนทำมาตลอด ก็กลายเป็นทางราบรื่นในการสร้างคุณงามความดีไปเป็นลำดับได้ จนกระทั่งราบรื่นไปได้เลย นี่แหละอำนาจแห่งการบำเพ็ญความดี

          ในเบื้องต้นจึงเป็นความลำบากมาก เพราะหนาแน่นไปด้วยโจรด้วยมารคือกิเลสที่มันอยู่ในหัวใจเจ้าของนั้นแหละ บุญกุศลเกิดมานี้มันจึงตะครุบ ๆ เอาไว้ ไม่ให้พ้นเงื้อมมือมันไปได้ ด้วยเหตุนี้ผู้จะทำความดีทั้งหลายจึงทำได้ยาก เพราะกิเลสไม่ให้ทำ กิเลสเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในหัวใจของสัตว์ ธรรมเลยไม่มีคุณค่า จึงสร้างความดีได้ยาก ๆ แต่เมื่อฝืนกันไปฝืนกันมาไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยคล่องตัวไป คล่องตัวไป จนกระทั่งไม่ได้ทำบุญให้ทาน ไม่ได้สร้างความดีในวันหนึ่ง ๆ อยู่ไม่ได้

          นั่นละทีนี้ทางเริ่มราบรื่นไปแล้ว จิตใจมันว้าเหว่ มันหากเป็นอะไรในใจนั้นแหละ เป็นอยู่กับหัวใจของผู้ที่มีความราบรื่นในการสร้างความดีแล้วไม่ต้องถามใคร ไม่ได้สร้างความดีวันหนึ่ง ๆ มันรู้สึกว้าเหว่ไม่สบายใจ ใจเหี่ยวใจห่อไปนะ ถ้าได้สร้างความดีแล้วรู้สึกว่ายิ้มแย้มแจ่มใสภายในจิตใจ นี่คือผู้ที่เคยบำเพ็ญจนเป็นทางราบรื่นมาแล้วในการสร้างความดี จากนั้นก็ก้าวไปเรื่อย ก็ราบรื่นไปเรื่อย ราบรื่นไปเรื่อยอย่างนี้แหละ

          ทีนี้ย้อนเข้ามาหาวงปฏิบัติ ในการฝึกฝนจิตใจในเบื้องต้นก็แบบเดียวกันกับเราฝึกฝนอบรมตนเพื่อเข้าศีลเข้าทานในเบื้องต้นนั้นแหละ จะไปวัดไปวาฟังธรรมจำศีลมันขัดมันข้องไปหมด ถ้าไปโรงลิเกละครระบำรำโป๊ไปได้ ยกครอบครัวไปเลย มีหมูหมาเป็ดไก่จูงกันไป อึงคะนึงไปได้ทั้งนั้น ดีไม่ดีจะยกไปหมดครัวเรือนเอาเสาเรือนไปด้วยก็ได้ ด้วยความพอใจ ถ้าให้ไปทางวัดทางวามันไม่อยากไป มันฝืนของมัน จิตใจของคนเป็นอย่างนั้น

          ทีนี้เวลาเราได้ออกบำเพ็ญแล้วคือผู้ปฏิบัติ เอาย่นเข้ามา ตั้งแต่ต้นถึงความพ้นทุกข์ เวลาออกปฏิบัติทีแรกจิตใจนี้ยุ่งไปหมดเลย ไม่ว่าห่วงหน้าห่วงหลัง ไม่ทราบห่วงลมห่วงแล้งอะไรมาเต็มอยู่ในหัวใจนี้หมด โลกธาตุประหนึ่งว่าจะแบกไปได้หมดทั้งโลกธาตุนี้แหละ ด้วยความหึงหวง ด้วยความห่วงใย ไม่อยากปล่อยอยากวาง เสียดายอ้อยอิ่งกับโลกธาตุนี้อยู่ตลอด นี่คือเรื่องของวัฏวนมันเหนียวแน่นอย่างนี้ภายในจิตใจ การบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อความพ้นทุกข์จึงถูกบีบบี้สีไฟ ก้าวไม่ออก เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาจิตใจนี้ถูกกิเลสจูงไปเที่ยวรอบโลกธาตุ ไม่ได้เข้ามาหาธรรมองค์แห่งการภาวนาตามความตั้งใจไว้เบื้องต้นเลย     นี่ละจิตในเบื้องต้น

          พยายามฝึกพยายามฝืนอยู่นั้นไม่หยุดไม่ถอย ทางนี้ก็ค่อยคลี่คลายออกไปเรื่อย ๆ จิตที่ดีดที่ดิ้นไปตามกิเลสตัณหาไม่มีวันมีคืนก็ค่อยสงบตัวเข้ามา การสงบตัวของจิตแต่ละครั้ง ๆ เห็นคุณค่าในหัวใจตนเอง พร้อมกับเห็นกิเลสความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่ใจยังไม่สงบในขณะนั้นทันทีทันใด จากนั้นจิตใจก็มีความดูดดื่มในผลงานของตนคือความสงบเป็นต้น แล้วความเพียรก็หนักเข้าไป หนักเข้าไปจนจิตใจมีความแน่นหนามั่นคงด้วยอรรถด้วยธรรม คือสมถธรรม สมาธิธรรม แน่นภายในจิตใจ เป็นใจที่ราบรื่นเป็นลำดับลำดาไป ไม่ห่วงนั้นห่วงนี้เหมือนแต่ก่อน

          มันปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา เพราะรสแห่งธรรมนี่ชนะซึ่งรสทั้งปวง ที่เราเคยผ่านมาในโลกนี้ ใครก็เคยผ่านรสของโลกของสงสาร ทีนี้เข้ามาสู่รสของธรรม มีเลิศเลอกว่านั้น ปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา ทางโลกทางสารค่อยจืดเข้ามาภายในใจ จิตใจดูดดื่มทางอรรถทางธรรมหนักเข้า ๆ จิตก็เบิกกว้างออกไป เบิกกว้างออกไป ก้าวทางด้านปัญญาพินิจพิจารณายิ่งเบิกกว้างละเอียดลออแหลมคมมากยิ่งกว่าขั้นสมาธิ จนกระทั่งพิจารณาอะไร นี่หมายถึงจิตที่เราฝึกแล้วค่อยคล่องตัว ๆ พอตั้งตัวได้อยู่ในขั้นสมาธิ สงบเย็นใจ

          จากนั้นก้าวจากสมาธิออกเดินทางด้านปัญญา นี่จะทำตัวให้หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง หรือโดยถ่ายเดียว ทีนี้จิตก็หมุนเรื่อย จิตดวงนี้แหละดวงที่เคยตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานอยู่นี้ แล้วค่อยคล่องตัว ๆ เมื่อธรรมได้ปรากฏขึ้นที่ใจ สิ่งภายนอกจืดไป ๆ มีแต่หมุนติ้วเข้าสู่ธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ พ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว การพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมืดมิดปิดตา สว่างกระจ่างแจ้งเบิกทางให้ออกด้วยความราบรื่นดีงาม ประหนึ่งว่าพระนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม อยู่ชั่วเอื้อม

          นี่คือความพ้นทุกข์ หวุดหวิด ๆ เพลินในความพากความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ ลืมหลับลืมนอนทุกสิ่งทุกอย่างลืมไปหมด เวลาจิตใจได้ดูดดื่มทางด้านธรรมะลืมไปหมด ฟังซิธรรมตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานถึงขั้นราบรื่น ถึงขั้นที่ว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม นี้เรียกว่าความเพียรกล้า มีแต่จะทำให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียว จึงเป็นเหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ บึกบึน ๆ หวุดหวิด ๆ ลืมหลับลืมนอน ลืมเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อพิจารณาไม่ถอยก้าวไม่ถอยแล้วนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมก็กำได้เต็มเงื้อมมือ เข้ามาสู่หัวใจเต็มใจกลายเป็นใจที่บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมา ไม่ต้องเอื้อมหานิพพานที่ไหน กระจ่างแจ้งขึ้นมาที่ใจ เพราะการอบรมตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา จนกระทั่งถึงเห็นภัยเป็นลำดับลำดา

          จิตใจหมุนติ้วเป็นธรรมจักรฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับบัญชาให้ฆ่ากิเลสตัวเป็นอุปสรรคมาแต่ก่อน กลายเป็นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ฆ่าเองๆ อิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีอิริยาบถใดที่จะว่างจากการฆ่ากิเลส เว้นแต่หลับเท่านั้น นี่เวลาคล่องตัว จิตเวลาเห็นคุณค่าแห่งความพ้นทุกข์ที่เลิศเลอ หนักเข้าเท่าไรทำความพากความเพียรนี้หมุนติ้ว ๆ ๆ ถึงขั้นผาดโผน ต้องได้รั้งเอาไว้ให้ได้รับได้นอน เข้าสู่สมาธิ พอพักเอากำลังบ้าง ไม่เช่นนั้นมันเพลินในการแก้กิเลสไม่มีวันมีคืน

          นี่ละการประกอบความพากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ เมื่อจิตได้รับการอบรมบำรุงรักษาอยู่เสมอ มีความแกล้วกล้าสามารถ ถึงขนาดที่ว่าไม่มีวันมีคืน สุดท้ายพ้นไปได้โดยสิ้นเชิง นี่คือการฝึกฝนอบรม ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลาน จนกระทั่งขั้นคล่องตัว ถึงนิพพานทั้งเป็นสด ๆ ร้อน ๆ ทรงอยู่ในหัวใจ ดังพระอรหันต์ท่านทั้งหลายท่านทรงนิพพานทั้งเป็นอยู่ภายในหัวใจ เรียกว่าสอุปทิเสสนิพพาน ได้นิพพานคือจิตที่บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้ว แต่ยังครองขันธ์อยู่ คือธาตุขันธ์ของเรา

          และ อนุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสแล้วด้วย ธาตุขันธ์ระงับดับไปแล้วเรียกว่าตายด้วย นี้เป็นนิพพานล้วน ๆ ไปเลย หมดสมมุติโดยสิ้นเชิง ไม่มีการรับผิดชอบในขันธ์ส่วนใดทั้งสิ้น นี่ท่านว่าอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นวิมุตติล้วน ๆ เลย นี่การบำเพ็ญความดี ผลแห่งประจักษ์มาโดยลำดับลำดาอย่างนี้ และการทำชั่วก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยให้ทำชั่วไป ไม่ฝึก ไม่ยับยั้งตนเอง ไม่เตือนตนเอง ไม่หักห้ามตนเองแล้ว การทำความชั่วยิ่งมีความเคยชิน หนักเข้าไป หนักเข้าไป วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำชั่วอยู่ไม่ได้ ต้องได้ทำไม่มากก็น้อย ตามนิสัยของคนชั่วที่มันฝังใจแล้ว ชอบทำตั้งแต่ความชั่วแล้วก็หนักเข้า หนักเข้าก็เอาเจ้าของให้จมได้เลยทีเดียว ความชั่วเมื่อหนักมากแล้วทำให้จม ความดีเมื่อทำให้เต็มที่แล้วและดีดผึงถึงนิพพานเลย ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ

          เรื่องอรรถเรื่องธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ตามที่กิเลสมันตามหลอกลวงสัตว์โลกตาบอดเรา ใครถ้าจะบำเพ็ญคุณงามความดี มันมักจะถูกกิเลสมากระซิบกระซาบในเรื่องความดีงามทั้งหลายที่จะพึงได้รับ กิเลสมาปิดออกไปหมด ถ้าว่าจะทำบุญทำไปหาอะไร เอาไว้กินดีกว่า เอาไปให้พระพระก็กินหมด ไม่เห็นได้เรื่องอะไร นี่เห็นไหมตัวหยาบของกิเลสมันออกมา เอาไปให้ที่ไหน ๆ ก็มีแต่ให้ไปไม่เห็นได้กลับมา เรากินเห็นต่อหน้าต่อตา สร้างบ้านสร้างเรือนเราสร้างเองเราอยู่สบายจนกระทั่งวันตาย แน่ะมันก็เห็นสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ต่อหน้าต่อตาสำหรับคนตาสั้นตาบอด แต่ผู้ที่ตาดีไม่ได้เป็นอย่างนั้น

          ภพนี้มีภพหน้ามี เมืองมนุษย์มี เมืองเปรตเมืองผี เมืองอินทร์ เมืองพรหม เทวบุตรเทวดา มี ที่อยู่ที่อาศัยต่างกันเป็นลำดับลำดา ที่อยู่ที่อาศัยต่างกันเป็นลำดับลำดา ที่อยู่ที่อาศัยของคนมีบุญก็ตั้งแต่พื้นมนุษย์เรานี่ขึ้นไปเป็นลำดับ จนสวรรค์หกชั้น เป็นที่อยู่ของคนดีเป็นลำดับลำดา และพรหม ๑๖ ชั้น นี่ก็เป็นที่อยู่ของผู้สร้างคุณงามความดี แล้วก็นิพพานปึ๋งเลย นี่เป็นที่อยู่ไม่จนตรอกจนมุมสำหรับคนที่สร้างความดีแล้ว ว่าไม่ได้บรรจุ เหมือนเขาเรียนที่ไหนอะไร ๆ มาเป็นดอกเตอร์ดอกแต้ก็ตาม เรียนมาแล้วไม่ได้ทำงาน เรียกว่าเป็นคนว่างงาน อย่างนี้ไม่มี

          สร้างลงไปเท่าไรเอาที่บรรจุ ควรที่จะเข้าบรรจุในชั้นไหน เช่นดาวดึงส์ ตั้งแต่จาตุมฯขึ้นไป จนกระทั่งถึงปรนิมมิตวสวัตดี ในสวรรค์ ๖ ชั้น เอาบรรจุได้ นั่นเต็มอยู่ในนั้น ไม่มีว่าง ว่าเราว่างงาน เราสร้างความดีแล้วไม่มีอะไรเป็นที่เสวย ที่อยู่ของคนดีก็ไม่มี อย่างนี้ไม่มี จนกระทั่งพรหมโลกว่างสำหรับคนดีอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงนิพพาน นี่ละการสร้างความดีก็ไม่จนตรอกจนมุม ทีนี้การสร้างความชั่วก็ไปอีกแบบ ความชั่วมีแต่จะไหลลงทางชั่วตลอดเวลา ในภพนี้ก็ชั่วพอแล้ว เป็นมนุษย์นี้ก็มีแต่ร่างกาย หัวใจมีแต่บาปแต่กรรมเต็มหัวอก หนักอึ้ง พอตายลงไปแล้วยมบาลลากทีเดียวถึงนรกปึ๋งเลยทีเดียว

          เราอวดว่านรกไม่มี ๆ บทเวลาตายแล้วไม่เห็นมีอำนาจ นั่น ลงผึง เพราะกรรมเหนือเราอีก เราเพียงคาดเอาเฉย ๆ ว่าบาป-บุญไม่มีบ้าง สวรรค์-นิพพานไม่มีบ้าง ทั้ง ๆ ที่พูดด้วยความตาบอด หนาด้วยกิเลส แต่ทำไปตามกิเลสมันก็พาให้บอดลงไปลงนรก สวรรค์-นิพพพานมีเขาไปกันทั่วโลกไม่ยอมไป โดดลงไปนรกให้ไฟเผาในนรก เป็นคนฉลาดเหรอคนประเภทนั้น คนประเภทที่พูดอวดตัวเย่อหยิ่งจองหอง เวลาเขาสร้างความดีไม่อยากสร้าง ยังพูดลบล้างศาสนา พูดลบล้างพระพุทธเจ้าไปด้วยว่าไม่เกิดบุญเกิดกุศล พระพุทธเจ้าสอนไว้บาป บุญ นรก สวรรค์ มี ไม่ยอมเชื่อ มาเชื่อตนเองเวลาจมลงในนรก เป็นยังไงใครช่วยได้ละทีนี้ ไม่มีใครช่วยได้

          เพราะฉะนั้น จงให้พินิจพิจารณาตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วโดยถูกต้อง  อย่าปล่อยอย่าวาง ใครมีกำลังวังชาสามารถแค่ไหนให้พากันทำนะ โลกนี้มันมีแต่เกิดกับตายอย่าไปดีดไปดิ้นเป็นบ้าเห่อกับเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ตั้งเป็นนั้นเป็นนี้ก็เป็นบ้าไป ลม ๆ แล้ง ๆ ลมปาก เขาตั้งให้เป็นนั้นเป็นนี้ก็เห่อ ๆ ไปตามเขา ความดีไม่มีในตัวตั้งไปถึงไหนมันก็เท่านั้นลมปาก ถ้ามีความดีแล้วตั้งไม่ตั้งก็ตาม ความดีเต็มอยู่ในหัวใจอยู่ไหนอยู่ได้หมด ถึงนิพพานได้เลย ผู้มีความดีเต็มที่แล้วให้ดีอยู่กับหัวใจ ให้ดีอยู่ตัวของเรา

          ความเยินยอสรรเสริญนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส มันปากหวานกิเลสนั่นน่ะ นิ่มนวลอ่อนหวานไม่มีอะไรเกินกิเลส สัตว์โลกจึงชอบความนิ่มนวลอ่อนหวาน ไพเราะเพราะพริ้ง ติดไม่มีวันจืดจาง ยิ่งกว่าเขาติดฝิ่นติดเฮโรอีนไปเสียอีก ส่วนธรรมยังไม่ติดเมื่อยังไม่เข้าถึง เมื่อเข้าถึงแล้วก็ติด ติดเพื่อพ้น กิเลสนี่ติดเพื่อผูกเพื่อมัด เพื่อความล่มจม แต่ติดธรรมติดเท่าไรเพื่อความหลุดพ้น ๆ พ้นไปได้ถึงนิพพาน นี่ต่างกันอย่างนี้ ถ้าว่าติดนะธรรม จิตติดธรรมติดจริงๆ วันหนึ่ง ๆ ๆ นี้จิตถ้าลงได้มีกำลังวังชาแล้วจะไม่มีเผลอ สติ-ปัญญาเป็นอัตโนมัตินะ จากนั้นก็เป็นมหาสติ-มหาปัญญาราบรื่นไปเลย นี่ติดหรือไม่ติด หมุนติ้วอยู่อย่างนั้นจะว่าติดหรือไม่ติด หมุนติ้วเพื่อออกจากทุกข์

          ที่พูดมาเหล่านี้เป็นสักขีพยานสำหรับผู้ปฏิบัติ ได้ปฏิบัติมาแล้วรู้เห็นมาแล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา ไม่ได้มาพูดลูบ ๆ คลำ ๆ เอานิทานมาเล่ากันเฉย ๆ เอาความจริงมาพูด ภาคปฏิบัติก็มีประจำทุกวันนี้ เมื่อภาคปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนามีอยู่ก็เป็นผู้ตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน จากธรรมพระพุทธเจ้ามาตลอดเช่นเดียวกัน เป็นอกาลิโก ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา พากันตั้งอกตั้งใจนะบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย เรานี้เป็นห่วงบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังหนังสือเขาอ่านฉบับตะกี้นี้ว่าเมตตา ๆ ที่มาอ่านนี้เพียงผิวเผินเมตตาอันนี้นะ เมตตาในหลักธรรมชาติของจิตนี้ซ่านไปครอบโลกธาตุ จะมาว่าอะไรเมตตาอันนี้

          เมตตาพระพุทธเจ้า เมตตาของพระอรหันต์ เป็นธรรมชาติที่ซึมซาบครอบโลกธาตุ เมตตาอันนี้เป็นเมตตาเฉพาะหัวใจของเราที่ได้รับมา เกิดความปีติยินดีขึ้นมา  นี่เป็นเมตตาสมบัติเฉพาะตน เมตตาที่ท่านกระจายออกไปทั่วแดนโลกธาตุยังกว้างขวางละเอียดลออยิ่งกว่านี้เป็นไหน ๆ ขอให้พากันดำเนิน จิตดวงนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เวลานี้ถูกกิเลสซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถครอบหัวใจอยู่ จิตใจจึงหาคุณค่าไม่ได้ อะไรก็มีแต่ความโลภออกหน้า ความโกรธออกหน้า ราคะตัณหาออกหน้า ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส และล้วนแล้วตั้งแต่สร้างฟืนสร้างไฟมาเผาตัวเองทั้งนั้นสิ่งเหล่านี้นะ ธรรมะออกไม่ได้

          เวลาธรรมออก ออกฟาดกระจายหมด ความโลภไม่มี ความโกรธไม่มี ราคะตัณหาไม่มี สูงส่งสุดยอดแล้วไม่มีอะไรกวนใจ ความรักก็กวนใจ ความชังกวนใจ ถ้าลงได้ผ่านพ้นสมมุตินี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรกวนใจ นั่นละท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงตลอดเวลา ก็เพราะอำนาจแห่งการประพฤติปฏิบัติตัว เรานี้เป็นห่วงบรรดาพี่น้องทั้งหลาย หนักจวนจะตายเข้าไปเท่าไรแทนที่จะมาเป็นห่วงใยตนเอง เราพูดตรง ๆ บอกว่าเราไม่มี เม็ดหินเม็ดทรายหนึ่งที่จะมาห่วงชีวิตจิตใจนี้ไม่มี นอกจากเราแยกส่วนแบ่งส่วนออกมาชั่งน้ำหนักเพื่อประโยชน์แก่โลกเท่านั้นมี

          เช่น ชีวิตของเราถ้าอยู่ธรรมดาเราตายเมื่อไรก็ได้ ไม่เห็นขัดข้องอะไร ถ้าหากว่าเรามีชีวิตอยู่ทำประโยชน์ให้โลกได้มากน้อยเพียงไรก็ทราบอยู่ โลกก็เป็นโลกที่บกพร่องต้องการความช่วยเหลือตลอดมา จิตใจทำไมจะจืดจาง ก็ต้องสงเคราะห์สงหาเมตตาซึ่งกันและกัน เราอยู่เพื่อโลก เราไม่ได้อยู่เพื่อเรา เราพอทุกอย่างแล้ว การมาสอนพี่น้องทั้งหลายตั้งแต่ธรรมพื้น ๆ ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานเราถอดออกมาจากหัวใจมาสอน จากภาคปฏิบัติของเรา ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลานถึงขนาดที่ฟ้าดินถล่ม พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว คืองานถอดถอนกิเลสตั้งแต่ส่วนหยาบถึงขั้นละเอียดสุดหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีกิเลสตัวใดจะถอนอีกแล้ว

          ท่านว่าวุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว การประพฤติตัว ในงานใดที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มีงานอะไรที่จะทำ กิเลสเท่านั้นเป็นตัวยุ่งเหยิงให้ต้องทำงาน ทำงานคืองานแก้กิเลสนั้นแหละ เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้วไม่มีงานทำ มีแต่ความว่างไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ จิตใจไม่มีงานทำ ปล่อย ตั้งแต่กิเลสขาดลงไปแล้วงานของจิตที่บริสุทธิ์ไม่มี พอตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ละการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นโมฆะเหรอ อ้าวพิจารณาให้ดีนะ

          ธรรมที่สอนมานี้สอนเพื่อรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ ถ้าเราเห็นว่าธรรมเป็นโมฆะตัวเรานี้เป็นโมฆะมานานแล้ว ไม่รู้สึกเนื้อสึกตัว จะเป็นโมฆะตลอดไป ถ้านำธรรมเข้ามาเทียบเคียง หรือมาประพฤติปฏิบัติแก้ไขดัดแปลงตนเองแล้ว จะเป็นผู้มีคุณค่าขึ้นโดยลำดับนะ ให้พากันสร้างคุณค่าไว้ในใจของเรา เวลานี้ชีวิตยังมีอยู่เราสามารถสร้างความดีได้มากน้อยเต็มกำลังของเรา โดยไม่ให้กิเลสมาแย่งไปกิน แย่งไปกินเสียทั้งหมด ดังที่เคยเป็นมา เราแย่งจากกิเลสมาเข้าสู่หัวใจเป็นอรรถเป็นธรรม นี่เป็นสมบัติของเรา เรียกว่าอัตสมบัติ สมบัติของตนโดยแท้

          สมบัตินอกนั้นอาศัยในเวลาธาตุขันธ์ยังมีอยู่เท่านั้นเอง พาอยู่พากิน พาหลับพานอน จากสมบัติที่ได้มาอาศัยสิ่งนี้พอไปวันหนึ่ง ๆ พอลมหายใจขาดแล้วทั้งหมดขาดสะบั้นไปตาม ๆ กัน ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จะพึ่งอะไรพึ่งไม่ได้ แต่ธรรมมีในใจ บุญมีในใจแล้ว นี้แลติดไปเลย ไม่เอาอะไรทั้งหมด สมบัติพอแล้วอยู่กับใจ ดีดผึงเดียวไปเลย นี่เพราะอำนาจแห่งการสร้างความดี ให้พากันอุตส่าห์พยายามสร้างนะ ชีวิตที่มีความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่าก็น้ำหนักมากกว่าด้วยความเมตตาสงสาร สงเคราะห์โลกนี้เอง ถ้าไม่มีนี้แล้วดีดเมื่อไรได้ ไม่ยากอะไร ลมหายใจฝอด ๆ มีปัญหาอะไร

          มีแต่มืดกับแจ้ง ถ้าพิจารณาไปภายนอกก็มีแต่มืดกับแจ้ง ต้มไม้ภูเขาเขามีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่เห็นมาสร้างบุญสร้างบาปให้ใคร ถ้าเจ้าของไม่หลงเอง และรู้ตัวเอง สร้างบาปก็ปล่อยบาป สร้างบุญไปเสียเรียกว่าหลงแล้วรู้ตัวเองก็แก้ไขตัวเอง เราก็เป็นผู้ผ่านพ้นไปได้โดยลำดับ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำนะ ธรรมเหล่านี้เราเทศน์ด้วยความแม่นยำ เรียกว่าแม่นยำ ถอดออกมากจากหัวใจ ไม่ว่าธรรมทุกขั้น ไม่เคยสงสัยว่าผิดหรือถูกประการใด เป็นความแม่นยำตลอด ออกสำเร็จรูปสมบูรณ์ ๆ ทุกขั้นภูมิแห่งธรรมทั้งหลาย

          ใครจะมาว่าอะไรเราไม่เคยสนใจ เพราะเรื่องโลกอันนี้เป็นเรื่องสมมุติ มันไม่มีประมาณ ธรรมแล้วเหนือโลกไปทั้งหมด ไม่เคยสะทกสะท้านกับใครจะมาตำหนิติชมว่ายังไง การตำหนิก็เป็นส่วนเกิน การชมก็เป็นส่วนเกิน จิตที่พอตัวแล้วไม่มีที่จะเอาส่วนเกินนี้มาขยี้ขยำ มันเหมือนมูตรเหมือนคูถ นั่นละจิตที่พอตัวแล้วจึงว่าปล่อยได้ทุกอย่าง แสนสบายก็คือจิตที่ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ว่างเปล่าจากสมมุติโดยประการทั้งปวง  นั้นละเรียกว่าจิตว่าง นี่เพราะอำนาจแห่งการประพฤติตัวให้เป็นคนดี

          จิตใจของเรามีด้วยกันทุกคน ไม่เคยฉิบหาย ไม่เคยตาย มีคุณค่า เมื่อเราบำรุงส่งเสริมในทางดีงามแล้วจิตใจเราจะเป็นของมีคุณค่า สง่างามขึ้นมาในตัว ถ้าพาสร้างแต่บาปหาบแต่กรรมแล้วตัวของเรานี้เขาจะตั้งชื่อตั้งนามว่าเศรษฐีกุฎุมพี หรือเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์อะไรก็ตาม ยศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไรก็ตามก็มีแต่ลมปาก ๆ หัวใจเป็นฟืนเผาตัวเอง นั้นแหละกิเลสเมืองผีจองไว้แล้ว พอตายแล้วลงนรกตูมเลย ชื่อเสียงไม่เห็นมีปัญหา ไม่เห็นมีปัญญาจะไปแก้ตัวได้นะ ให้แก้ตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ ให้เห็นประจักษ์ตน จิตใจของเราจะมีความสง่างามไปเป็นลำดับลำดา

          เราพูดจริง ๆ เรามีความสงสารเต็มเม็ดเต็มหน่วย การช่วยชาติบ้านเมืองเราก็เอาจริงเอาจัง ไม่ว่าช่วยชาติ ศาสนา ทุกอย่าง เราจริงจังทุกอย่าง ทำออกมาจากหัวใจซึ่งเป็นของจริงอยู่แล้ว จึงไม่เคยจืดจาง ไม่เคยจืดชืด ไม่เคยเหลาะแหละ ทำอะไรจริงทุกอย่าง ๆ สอนโลกก็ดี สอนตัวเองก็เป็นอย่างนั้น เอาจนกระทั่งถึงเหตุถึงผลแล้วนำธรรมเหล่านี้มาสอนโลก เราจึงไม่สงสัยในธรรมทั้งหลายที่สอนพี่น้องทั้งหลายนี้ เราถอดออกจากหัวใจเราเลย พูดให้มันชัด ๆ พระพุทธเจ้าสอนโลกถอดออกจากหัวใจพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายสอนโลกท่านก็ถอดออกจากหัวใจท่านสอนโลก

          เราตัวเท่าหนูก็ปฏิบัติธรรม ธรรมมีอยู่ในหัวใจหนู หนูก็สอนได้เต็มหัวใจหนูเหมือนกัน จะมีขัดข้องที่ตรงไหน ไม่สงสัย เรื่องทั้งหลายในโลกนี้ปล่อยโดยสิ้นเชิง  หรือจะพูดให้มันชัดเจนลงไปว่าเรียนโลกนี้เรียนจบเรียบร้อยแล้ว เรียนธรรมก็จบแล้วตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ กิเลสเรื่องของโลกก็จบในเวลาเดียวกัน เรียนธรรมก็จบในเวลาเดียวกัน ไม่มีงานใดจะทำ แสนสบาย อยู่ที่ไหนอยู่สบาย ๆ ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นความสุขที่เลิศเลอ เลิศเลอที่หัวใจนี้นะ เอาตรงนี้เลย จะไปหานิพพานที่ไหน หัวใจบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว บอกตายตัวเลยว่านี่คือนิพพาน จะไปหานิพพานที่ไหน ตาบอดหรืออยากว่าอย่างนั้นนะ

          ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะพี่น้องทั้งหลาย พวกเราชาวพุทธนี้รู้สึกห่างเหินต่อศาสนามากทีเดียว ใกล้ชิดติดพันกับกิเลสตัณหามากขึ้น ๆ ทุกวันๆ การลืมเนื้อลืมตัวที่จะสร้างกองทุกข์มาจึงหนาแน่นด้วยกัน ไม่ว่าบ้านใดเมืองใด บ้านใดที่ว่ามันเจริญ มันเจริญด้วยฟืนด้วยไฟจากกิเลสที่หัวใจคนทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมอยู่ที่ไหนใครจะอวดว่าบ้านใดเจริญอย่ามาอวด ว่างั้นเลย ธรรมจับปั๊บเดียวรู้ครอบโลกธาตุ จะเอาที่ไหนมาเจริญ ๆ  เช่นอย่างนักโทษไปอยู่ในเรือนจำ ชื่อเขาว่าเจริญ มันก็มีแต่ชื่อ ตัวมันก็เป็นนักโทษ บ้านเมืองของเราตัวของเราว่าเจริญ ๆ มันก็มีแต่ชื่อ ตัวเราเป็นฟืนเป็นไฟดีดดิ้นอยู่ เหมือนคนจะตาย

          ให้พากันสร้างจิตใจด้วยความดีงาม ความสงบร่มเย็นของใจเกิดขึ้นแล้วไปที่ไนหสบายนะ ไม่เดือดร้อน ถ้าโลกอันนี้ต่างคนต่างมีธรรม เสาะแสวงหาธรรมแล้วโลกนี้จะสงบร่มเย็นมาก ไม่มีอะไรเกินโลกมนุษย์นะ เพราะมนุษย์นี้ฉลาด ฉลาดหาความดีใส่ตน เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ใครอยู่ที่ใด ๆ ทั่วแดนโลกธาตุนี้ ให้ต่างคนต่างเสาะแสวงหาธรรมมาบำรุงจิตใจของตน แล้วต่างคนจะมีความสงบร่มเย็น เห็นโทษแห่งความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เห็นโทษแห่งความดีดความดิ้น ความทะเยอทะยานลงโดยลำดับ แล้วเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

          มดเขาก็ไม่อยากตาย ไปรังแกหรือไปทำลายเขาทำไม มนุษย์อยู่กันทั่วโลกไปบีบบี้สีไฟเขาด้วยอำนาจป่า ๆ เถื่อนๆ  ทำไม เขาก็มีหัวใจเหมือนเรา มีคนมาบีบเราเราเสียใจไหม หรือมีคนมาทำลายเราเราเสียใจไหม สัตว์โลกทั้งหลายไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าสัตว์ทั้งหลายเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อมีธรรมเข้าสู่หัวใจแล้วประสานถึงกันหมด แล้วไม่ทำลายกัน ไม่เบียดเบียนกัน เห็นอกเห็นใจกัน นี้ละโลกสุขสุขที่ตรงนี้นะ ไม่ได้สุขที่ว่าสมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยมันเจริญ มันก็เจริญด้วยอิฐ ด้วยปูน ด้วยหิน ด้วยทรายเท่านั้นเอง ถ้าธรรมไม่เจริญในใจไม่มีความหมายนะ ให้พากันสร้างธรรมให้เจริญในใจทุกคน ๆ

          เราอยากจะให้ธรรมพระพุทธเจ้าได้แผ่กระจายไปทั่วโลก โลกจะได้รับความสงบร่มเย็น สมว่ามนุษย์เรานี้ฉลาดเสียที อันนี้ว่ามนุษย์ฉลาดเท่าไรมันฉลาดกัดกันยิ่งกว่าหมานี่ซิ มันฉลาดอะไรมันจึงไปทำอย่างนั้น ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเบ่ง เบ่งลงไปเท่าไรทำความเดือดร้อนแก่ผู้น้อย กระเทือนไปทั่วโลกดินแดน ให้พากันจำไว้นะ

          วันนี้เทศน์ไป ๆ ก็รู้สึกเหนื่อย ๆ เอาละพอสมควรแก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

          (โยมนำปัจจัยและดอกบัวมากราบถวายหลวงตา) ทองเข้าคลังหลวง ดอกบัวลงริมสระ ก็เป็นอย่างนั้นจะให้ไปไหน จะไปเอาทองมาลงสระ เอาดอกบัวไปเข้าคลังหลวงมีอย่างเหรอ พูดต้องมีเหตุมีผลซิ

          (โยมปากน้ำนำปัจจัยมากราบถวายหลวงตา ๑๒,๒๐๐ ดอลล์ และมีภาพโยมมารดาของหลวงตาประกอบมาถวาย) นี่มารดา เป็นยังไงมารดากับลูกคล้ายคลึงกันไหมนี่ นี่ลูกชายมารดา อายุดูเหมือน ๙๑ หรือ ๙๒ ดูเหมือนจะพอๆ กับเรา พูดถึงโยมแม่เราพอใจในการปฏิบัติธรรม โยมแม่ได้หลักไม่สงสัยเลย ดีไม่ดีจะไม่กลับมาเกิดอีกก็ได้ (สาธุ) หยุดพักนี่แล้วออกจากนี่ก้าวผึงเลย ถึงไม่ถึงที่สุดในขณะนั้นก็ก้าวเตรียมพร้อมแล้วที่จะพุ่ง ที่ว่าแม่ลงลูกก็มีโยมแม่ลงเรา พูดจริงๆ นะ ที่แม่ลงลูกก็มีโยมแม่ลงเรา ลงจริง ๆ ยอมรับถึงขนาดที่ว่าฟังเทศน์นี้ ว่าง ๆ อยากให้เราไปเทศน์ให้ฟัง ถ้าเทศน์ให้ฟังไม่ว่ากัณฑ์ไหนก็ตาม ถ้าลองเริ่มได้เทศน์ปั๊บจิตไม่ต้องบังคับลงผึงเลย ๆ เพราะงั้นเวลาว่าง ๆ ไม่มีใครมาก็ตาม อาจารย์นิมนต์มาเทศน์สอนแม่บ้างเพื่อภาวนาสะดวก คือจิตไม่ต้องบังคับ ลงผึง ๆ เลยละ พูดเท่านี้เราเข้าใจหมด เพราะเราเคยผ่านมาแล้ว สุดท้ายการฟังเทศน์นี่ต้องเป็นอาจารย์น้า องค์อื่นแม่ไม่อยากฟัง นี่เรียกว่าแม่ลงลูก ลงอย่างนี้ละ ทีแรกเรียกลูกว่ามหา ๆ ตั้งแต่ยังหนุ่มอยู่เรียกมหา ครั้นต่อมาก็เลยกลายเป็นอาจารย์ เรียกเองนะ ทีแรกมหาเท่านั้นละ ต่อมาก็เรียกอาจารย์ จนอาจารย์กระทั่งวันตายเป็นอาจารย์ เท่านั้นละนะ

         วันที่ ๒๙ เมษา ทองคำทั้งวันได้ ๑ กิโล ๔๕ บาท ๖๐ สตางค์ ทองคำตั้งแต่วันที่ ๘ ซึ่งเป็นวันที่เรามาถึง ถึงวันนี้ที่กรุงเทพฯ ได้ทองคำ ๑๗ กิโล ๑ บาท ๔๐ สตางค์ ทองคำที่ได้หลังมอบแล้ว ๙๓ กิโล ๒๗ บาท ๒๒ สตางค์ เอาสาธุ (สาธุ)

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก