ให้ดูความจอมปลอมในหัวใจ
วันที่ 27 เมษายน 2548 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : ศาลา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อเช้าวันที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ให้ดูความจอมปลอมในหัวใจ

 

ก่อนจังหัน

         เรื่องวิทยุเราเวลานี้กว้างขวางมาก ไปอย่างรวดเร็ว วิทยุตั้งที่นั่นที่นี่ รวดเร็วนะ กระจายไปหมด ดูเหมือนจะเป็นทุกภาคไปแล้วมัง ภาคกลางกับภาคอีสานมาก ภาคไหนก็มีเหมือนกันๆ กำลังมีขึ้นเรื่อยๆ นี่เรื่องกระแสของธรรม เมื่อเข้าสู่ใจทำให้จิตใจเยือกเย็น ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา เหมือนกับว่าน้ำรด ต้นไม้ซึ่งกำลังเหี่ยวแห้งรอฟ้ารอฝน พอได้รับน้ำก็ชุ่มเย็นขึ้นมา บรรดาสิ่งเพาะปลูกทั้งหลายสดเขียวงดงาม จิตใจของเราเมื่อมีอรรถมีธรรมรดลงอยู่เสมอก็ชุ่มเย็น เพราะแดดคือกิเลสมันแผดมันเผาตลอดเวลา หัวใจหาเวลายิ้มแย้มแจ่มใสไม่ได้นะ 

         พี่น้องทั้งหลายฟังให้ถึงใจนะฟังธรรม การพูดทั้งนี้เราถอดออกมาจากหัวใจพูดโดยการพิจารณาเรียบร้อยแล้วค่อยพูด ไม่ได้มาโกหกพี่น้องทั้งหลายนะ เราทุ่มทุกอย่างสำหรับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรียกว่าโลกทั่วๆ ไป เพื่อเป็นประโยชน์เท่านั้น สำหรับเราเราพูดจริงๆ ดังที่ท่านทั้งหลายทราบแล้ว เราพอทุกอย่างแล้ว เราไม่เอาอะไรทั้งนั้น ที่ดีดที่ดิ้นอยู่ทุกวันนี้ ดีดดิ้นเพื่อประโยชน์แก่โลกนั้นเอง ขอให้ทุกๆ ท่านได้ดูใจตัวเอง ตามที่ธรรมะท่านชี้บอก ว่ามันเดือดร้อนเพราะอะไร มันมีความสุขสดชื่นบ้างไหม หรือมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟ มองดูหัวใจดวงใดก็มีแต่ไฟเผา เผาอยู่ตลอดเวลา  แต่มันก็ทนอยู่อย่างนั้น เพราะเชื่อกิเลส เลยไม่รู้ว่ากิเลสคือฟืนคือไฟมันเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา

         ให้เอาน้ำเข้าไปรด เอาธรรมจับดูแล้วมันก็รู้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าภพฺเพภพฺพา วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกทั้งหลายมันเป็นยังไง แล้วทรงแนะนำสั่งสอน รดน้ำไปเรื่อยๆ นี่ก็เอาธรรมอันเดียวกันมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราสงสารจริงๆ นะ สงสารอย่างถึงใจ เพราะฉะนั้นเราจึงสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้พี่น้องทั้งหลายได้มองดูหัวใจตัวเอง ซึ่งกำลังถูกไฟกิเลสตัณหามันเผาผลาญตลอดเวลา ไม่ให้ตายแต่ให้ทรมานตลอดมา ให้เอาธรรมเข้าไป เอาคุณงามความดี จิตตภาวนาเป็นสำคัญ เป็นน้ำที่สำคัญมาก ให้ชะล้างเข้าไปในใจที่กำลังแสดงเปลวอยู่ น้ำคือภาวนาดับลงไปที่นั่น แล้วใจจะสงบๆ พอสงบแล้วความเย็นจะปรากฏขึ้นมาในใจนะ

         นี่ได้อุตส่าห์พยายามเต็มกำลังแล้ว หมดความสามารถสำหรับเราที่ช่วยพี่น้องชาวไทยเรา โดยไม่หวังอะไรทั้งนั้นแหละ แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราพูดตรงๆ เราไม่มีเราไม่หวัง มีแต่ทำประโยชน์ให้โลกได้รับทั่วถึงกัน ตามกำลังความสามารถของตน เพราะฉะนั้นจึงขอให้มองดูใจตัวเองทุกคนๆ ทุกคนนี้มีหัวใจ หัวใจนี้เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตลอดเวลา กายของเราสงบแต่ใจมันไม่สงบ ไฟเผาอยู่นั้น กิเลสตัณหา ด้วยอารมณ์ต่างๆ หากมีทุกคนๆ ในหัวใจนั้นแหละ ร่างกายมันสงบแต่ใจมันไม่สงบ มันดีดมันดิ้นหาฟืนหาไฟ เพราะกิเลสตัณหาฉุดลากไปให้ดีดให้ดิ้น เอาน้ำดับไฟๆๆ สงบนะ

         วันนี้เทศน์ตอนเช้าก่อนที่จะพูดนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องทาง ๔ จังหวัดเขามาเมื่อคืนนี้  เขาอยากมาฟังเทศน์ นู่นมาจากอ่างทอง อยุธยา สระบุรี ลพบุรี มาเมื่อวาน เขาก็อุตส่าห์มา ได้ยินเสียงวิทยุนั้นละ ตามวิทยุมา แล้วหัวหน้าเขาที่จะทำวิทยุเขาก็มาด้วยกัน จึงมากันมากมายเราก็ตั้งใจสงเคราะห์เมื่อวาน เทศน์ทั้งไอทั้งจาม เวลาไอจามเอาไอจามเสียก่อน พอหยุดไอจามเทศน์อีกตลอดจบ ได้ ๕๔ นาที นับว่าได้เทศน์มากอยู่ ไอตลอดจามตลอดเวลา ทนเอานะ ทีนี้ให้พร

         ๗ โมงกว่าแล้ว กว่าก็กว่าเถอะไอ้มืดกับแจ้งมันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ความดี-ความชั่วมันอยู่กับเรา ให้ดูตัวเราก็แล้วกัน เอาละให้พร

        

         หลังจังหัน

เวลาทำบุญให้ทานแผ่ส่วนกุศลถึงสัตว์ทั่วแดนโลกธาตุนี้ ได้นิมนต์พระวัดนั้นวัดนี้มาทำบุญอุทิศส่วนกุศล ถวายไทยทานให้ตามวัดต่างๆ อะไรเมื่อถวายท่านไปแล้ว อะไรที่ควรท่านจัดของท่านเอง ทำอย่างนั้นทุกปี

วันที่เผาศพท่านปัญญาก็เหมือนกัน นิมนต์พระวัดต่างๆ มาเลยละ เฉพาะอย่างยิ่งวัดนานาชาติมามาก มาเผาศพท่านปัญญา เราจัดเองหมด สั่งหมดเลย

วันนี้พูดถึงเรื่องสัตว์โลกที่จำเป็นจะพึ่งบุญของพี่น้องทั้งหลาย สัตว์โลกที่จำเป็นมาก พวกเปรต เปรตไม่ใช่น้อยๆ เพราะสัตว์โลกชอบทำแต่บาปๆ ตายแล้วอย่างน้อยก็มาเป็นเปรต เมื่อเป็นเปรตแล้วคว้าหาญาติหาวงศ์ ญาติวงศ์ใครมีใจดำน้ำขุ่น ญาติก็พลอยได้รับเคราะห์รับกรรมต่อไป ญาติที่มีจิตใจขาวสะอาด มองเห็นกว้างออกไปก็ทำบุญให้ทานอุทิศให้ พวกเปรตเหล่านี้ก็ได้รับส่วนกุศลจากไทยทานของญาติที่อุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปเรื่อยๆ ไปถึงสวรรค์เลยก็มี เป็นอย่างนั้น

เหล่านี้ทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้วตามหลักความจริง ไม่ใช่ทำอย่างลอยๆ มาอย่างลอยๆ นะ ศาสนาพุทธนี้ตามหลักของพุทธศาสนาที่สอนจริงๆ แล้ว ไม่มีคำว่าหลักลอย ไม่มี เป็นหลักเป็นเกณฑ์ออกมาจากพระทัยที่แม่นยำๆ สั่งอะไรๆ ลงไปนี้แม่นยำหมดเลย เพราะจิตใจแม่นยำ นี่ละจิตใจของผู้สิ้นกิเลสแล้วแม่นยำ พระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง ความแม่นยำในการแนะนำสั่งสอนกว้างขวางลึกซึ้งไม่มีใครเกินศาสดา พระญาณหยั่งทราบก็กว้างขวางลึกซึ้ง

จากนั้นมาก็สาวก ผู้มีวาสนาบารมีกว้างแคบต่างกันก็เต็มภูมิของตัวเอง ทราบเรื่องราวของสัตว์โลกด้วยกัน นอกนั้นไม่ทราบ ใครจะว่าอะไรก็ไม่ทราบ แบบหลับตาชน หัวแตกเลือดไหลออกมาก็นึกว่าเป็นฝนตกออกมาชะล้างให้เย็นไปอีก เห็นไหมล่ะมันไม่รู้ตัวนะ เราจึงให้ภาคภูมิใจนะได้เกิดมาพบพุทธศาสนา ในแง่ใดมุมใดนี้ ไม่มีผิดเลย ต้องพิสูจน์กันทางภาคปฏิบัติ เราจะอ่านลอยๆ ธรรมดา คาดนู้นคาดนี้ เดา ไม่ค่อยถูกและไม่ถูก ต้องทดสอบกันทางภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติจิตหมุนเข้าสู่ความจริงด้วยกันแล้วจะเล็งเรื่องของกัน ทราบได้ดี

อย่างพระพุทธเจ้าของเราหาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว มีแต่แง่ที่จะฉุดลากให้หลุดพ้นจากกองทุกข์เป็นลำดับลำดาไปทั้งนั้น ที่จะสั่งสอนสัตว์โลกให้ลุ่มหลงงมงาย ทำคนให้เสียคนจนกระทั่งเป็นบาปเป็นกรรมตกนรกอเวจีไม่เคยมีในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่กิเลสมันแทรกเข้าไป กิเลสแทรกธรรมๆ ศาสนาที่เป็นของจริงแท้อยู่ข้างใน ของปลอมออกมาประดับร้าน ล้วนแล้วตั้งแต่หลอกโลกทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเราก็จะกลายเป็นศาสนาหลอกโลกไปแล้ว เพราะของปลอมที่เป็นกาฝาก ติดแนบอยู่กับศาสนานั้น แล้วมันทำลายศาสนาเพื่อผลประโยชน์ของตน และทำลายผู้อื่นให้เสียผู้เสียคนไปมากมาย เพราะกาฝากของศาสนามันแอบแฝงความจริง คือธรรมแท้ มันเอาของปลอมเข้าไปแทรกๆ อ้างออกมาว่าเป็นศาสนาๆ เป็นพระพุทธเจ้า ตัวมันเป็นคนปลอม เป็นของปลอม

เวลานี้กำลังมาก มองหาศาสนาแทบจะไม่เห็นแล้วนะ เราอย่าภูมิใจว่าเราเป็นชาวพุทธ เป็นชาวพุทธแล้วภูมิใจ ให้ดูความจอมปลอมอยู่ในหัวใจของเรา ที่มันกลุ้มรุมของจริง คือความถือว่าพุทธนั้นเป็นของจริง สิ่งจอมปลอมมาทำให้พุทธนี้เหลวไหลๆ มากต่อมากในหัวใจเราแต่ละคนๆ ออกมาเป็นขั้นเป็นตอน ประชาชนคนธรรมดาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาออกแนวรบเป็นหัวหน้าทัพออกแนวรบ รบกับกิเลสกลายเป็นกิเลสรบพระ พระนี่ล้มเหลวไปตามกิเลสเสียมากต่อมาก บวชเข้ามานี้แทบจะไม่มีว่าบวชมาชำระกิเลส ให้หลุดพ้นจากทุกข์ เราอยากจะพูดว่าแทบไม่มี ว่าไม่มีไม่ได้ แทบไม่มี เพราะสิ่งที่จอมปลอมอาศัยเพศของพระเข้ามาทำลายศาสนานี้มากจริงๆ เวลานี้ เต็มไปหมด ผ้าเหลืองใครครองก็ได้ ใครห่มก็ได้ อยู่ในตลาดไม่อด เอามาคลุมจนเผาศพพระองค์นั้นให้ยังเหลือแต่เถ้าแต่ถ่านก็ได้ เพราะกองจีวรที่เอามาสุมตัวเอง มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจิตใจมันปลอม

นี่ละศาสนาแท้แทบไม่ปรากฏนะ ขอให้ท่านทั้งหลายคิดให้ดี วันหนึ่งๆ ตื่นเช้าจนกระทั่งถึงค่ำเราระลึกถึงอรรถถึงธรรมในแง่ดีส่วนใดบ้างหรือไม่ ส่วนมากเป็นน้ำไหลรินตลอด คือกิเลสฉุดลากๆ ลงทางต่ำๆ เหมือนกับน้ำไหลริน ไม่ต้องบังคับมันไหลลงเอง ถ้าเป็นไปตามกิเลสเหมือนกับน้ำไหลลงทางต่ำและไหลลงจากภูเขา โจนลงเลยทีเดียว สัตว์โลกจึงนับวันที่จะจมไปมากต่อมากนะ จึงน่าวิตกวิจารณ์ พุทธศาสนาล่วงมา ๒๕๐๐ ในระยะ ๒๕๐๐ นี้จึงเห็นได้ชัดเจนมากทีเดียว ระหว่างธรรมกับอธรรมรบกัน มีแต่อธรรมออกหน้าทัพๆ เพื่อทำลายศาสนาและทำลายจิตใจประชาชนไม่ให้มีศาสนานั้นแหละ มากต่อมากเวลานี้

ผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างน้อยเพื่ออรรถเพื่อธรรม จนถึงความพ้นทุกข์นั้นมีน้อยมากนะเวลานี้ แต่ปฏิบัติพอเป็นพิธีพอเป็นทางหากิน พอเป็นกาฝากเกาะศาสนาไปนั้นมากต่อมาก เราพูดแล้วเราสลดสังเวช ไม่ได้ถูกเหยียดหยามใคร เอาธรรมออกมาพูดทีเดียว ผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ นั้นมี ยอมรับว่ามีหากมีน้อยมากทีเดียว นี่ละผู้เป็นหัวใจของบรรดาประชาชนในที่ต่างๆ ท่านเหล่านี้อยู่สถานที่ใดร่มเย็น เพราะองค์ของท่านไม่มีเรื่อง มีแต่ชำระเรื่องๆ ออก ที่จะสั่งสมเรื่องให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตนเองและทำคนอื่นให้เดือดร้อนไปตามนั้นไม่มีสำหรับท่านผู้มุ่งธรรม ผู้นี้แลให้ความร่มเย็นแก่โลก

ด้วยเหตุนี้ชาติไทยเราไปอยู่ที่ไหนๆ ต้องมีการสร้างวัดสร้างวา ไปสร้างบ้านใหม่เมืองใหม่ที่ไหนก็ตาม แม้แต่ตามบ้านนอกไปปลูกบ้านใหม่เรือนใหม่ก็ต้องไปสร้างวัดด้วย คือศาสนาเป็นหัวใจจริงๆ ไปที่ไหนต้องมีวัดมีวาเป็นหลักใจเป็นที่อบอุ่น เวลาอยากทำบุญให้ทานก็ได้ทำตามความสะดวกสบาย นอกจากนั้นอยากจะไปบำเพ็ญธรรมภาวนากับท่านก็ไป วัดจึงเป็นหัวใจของคนไทยเราไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ถ้าไม่มีวัด คำว่าวัดนี้หมายถึงผู้ครองศีลครองธรรม ไม่ใช่วัดแบบส้วมแบบถานอย่างวัดปัจจุบันนี้ พูดให้ชัด ปัจจุบันนี้วัดมันกลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดแล้ว ไม่ว่าวัดเขาวัดเราที่ไหน แล้วตัวพระตัวเณรที่อยู่ในวัดในวานั้น ปฏิบัติตนเป็นมูตรเป็นคูถ สกปรกรกรุงรังดูไม่ได้

เวลาอยู่ในวัดนั้น วัดนั้นก็กลายเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรที่เลอะๆ เทอะๆ อยู่ในวัดนั้นก็เป็นมูตรเป็นคูถเต็มส้วนเต็มถาน แต่ละแห่งแทบจะไม่มีวัดนะ มันมีแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมืองแทนวัดแทนวาแทนครูแทนอาจารย์ แทนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไปแล้วนะ ท่านทั้งหลายดูให้ดี การพูดนี้ไม่ได้อุตริ พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะนำมาพูด ไม่โกหกโลก ไม่เหยียบย่ำทำลายใคร ภาษาธรรมพูดตามความเป็นจริงเวลานี้ เหล่านี้เป็นเพราะอะไร เพราะคนทำให้เสีย สร้างวัดสร้างวาขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนก็คือคนที่จิตใจสะอาดสร้างขึ้นมา พระมาอยู่ก็จิตใจสะอาดมุ่งอรรถมุ่งธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน

ทีนี้เวลากิเลสมันรุมเข้าๆ พระก็กลายเป็นแพะไปแล้ว วัดก็กลายเป็นส้วมเป็นถาน พระจริงๆ ก็กลายเป็นมูตรเป็นคูถไปหมดแล้ว มองดูพระเท่าไรเลยกลายเป็นเสนียดจัญไรต่อบ้านต่อเมืองต่อชาติทั้งชาติ ซึ่งชาติไทยนี้เป็นชาติถือพุทธศาสนา แล้วกลายเป็นเสนียดจัญไรต่อกัน พระตกลงจะมองดูหน้ากันไม่ได้ ก็เพราะไม่น่ากราบไหว้ ไม่น่าบูชา ดูสัตว์ดูบุคคลทั่วๆ ไป ดูเด็กเล็กเด็กน้อย ดูหมูดูหมา เช่น ไอ้ดำหางกุดสองตัวนี้ก็พอดู เล่นกับมันหยอกกับมันได้สบาย เห็นเด็กเล่นกับเด็กได้สะดวกสบาย เห็นผู้เห็นคนก็ความเมตตาเป็นลำดับลำดาติดแนบๆ ไปเลย ด้วยความเมตตาสงสาร ด้วยความสนิทใจต่อสัตว์ประเภทนั้นๆ แต่เวลามามองเห็นพระประเภทมูตรประเภทคูถเต็มวัดเต็มวาเต็มส้วมเต็มถานนี้แล้วมันสะดุดใจ ดูไม่ได้ สะดุดใจมากทีเดียว ยิ่งพระต่อพระดูกันยิ่งดูได้ละเอียดลออ

พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระที่สะอาดทางกายวาจาใจ สะอาดจนกระทั่งถึงใจบริสุทธิ์อีกด้วยแล้วยิ่งดูได้ชัดมาก เหมือนเรามองดูมูตรดูคูถนั่นแหละ เป็นยังไง นี่ละพระพุทธเจ้าดูพวกเราเหมือนมองดูมูตรดูคูถนั่นเองจะผิดอะไร เรายังมาเย่อหยิ่งจองหองอยู่เหรอว่ามูตรคูถเป็นของดิบของดี ไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้าบ้างเหรอ เวลานี้ศาสนาเข้ามากึ่งกลางของศาสนา ๒๕๐๐ กว่าปี เวลานี้เสี้ยนหนามข้าศึกกำลังเกิดในวงพุทธศาสนา มีทุกแบบทุกฉบับ ส่วนมากต่อมากมีแต่แบบที่จะทำลายๆ แบบที่จะส่งเสริมให้เป็นที่อนุโมทนาไม่เห็นมี

เอาคัมภีร์ซิมากางกัน พระพุทธเจ้าอยู่ในคัมภีร์นั้นน่ะ ธรรมหนึ่ง วินัยหนึ่ง นั้นคือศาสดาองค์เอก เป็นศาสดาของพวกพุทธบริษัท คือของพวกเราทั้งหลายแทนพระพุทธเจ้าองค์ปรินิพพานไปแล้ว เอานั้นละมาดู ดูศาสนา ดูคัมภีร์ ดูธรรมดูวินัย กับความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนวของชาวพุทธเราเป็นยังไง ทั้งฝ่ายพระฝ่ายฆราวาส จนดูไม่ได้นะเวลานี้ โลกแคบที่สุดก็คือศาสนา จนหาที่ซุกซ่อนไม่ได้ มีแต่ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แล้วทีนี้ผลของของปลอมเหล่านี้เป็นยังไง มันก่อความเดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย ยุนั้นแหย่นี้ ก่อกวนนั้นก่อกวนนี้ ยกทัพใส่กัน เป็นอย่างนั้นนะ

พระเราไม่เคยได้ยิน นี่เราก็ได้ยินเมื่อสองสามวันนี้ เราพูดตามความจริง ผู้เป็นเป็นได้ ผู้แสดงออกแสดงได้ไม่อายบาปเลย นี่พูดตามหลักความจริงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ยังไง ก็เพราะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรแก่พระ พระออกเดินขบวน ฟังซิพระเป็นมหาโจร ออกเดินขบวนประกาศตนเป็นผู้วิเศษวิโสในนามมหาโจรโดยหลักธรรมชาติ หรือในนามมหาโจรของผ้าเหลือง กลายเป็นโจรเป็นมารเหล่านี้ เราเคยมีที่ไหน เมืองไทยเรามีแล้วนะเวลานี้ ออกเดินขบวนคัดค้านเรื่องนั้นคัดค้านเรื่องนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของประชาชนเขาจะพิจารณากันเองว่าผิดถูกดีชั่วประการใด พระเราเป็นหน้าที่ที่จะรักษาธรรมวินัยให้ถูกต้องดีงามโดยลำดับเป็นสำคัญ นี้ไปเป็นอย่างนั้นมันก็ยิ่งเสียมากละซิ นี่ก็เห็นแล้วเป็นแล้วเวลานี้ หรือว่าไม่เป็น ฟังซิน่ะ

นี้เราก็นำธรรมที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงนี้ออกมาพูดจะผิดไปไหน ผู้ที่ทำมันทำได้แบบไม่อาย แล้วพูดเพื่อให้คนดีทั้งหลายได้ถือเป็นคติเครื่องเตือนใจ อย่าทำแบบนั้น แบบนี้ไม่ใช่แบบพระ มันแบบเปรตแบบผีแบบโจรผู้ร้ายในผ้าเหลืองต่างหาก อย่าถือมาเป็นกฎเป็นเกณฑ์ อย่าถือมาเป็นที่ยึดที่เกาะ เป็นภัยมหาภัย เราเทศน์สอนอย่างนี้ต่างหาก นี่เวลานี้ก็เป็นแล้วเห็นไหมล่ะ ของดิบของดีมีอยู่ ศาสดาองค์เอกคือหลักธรรมหลักวินัย พระไตรปิฎกก็ไม่เคยบกพร่อง สอนไว้หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานมา ดูว่าสังคายนาครั้งที่สามหรือที่สี่ท่านจดจารึกนี้ออกมา แต่ก่อนสังคายนาร้อยกรองธรรมวินัยก็แสดงกันด้วยปากเปล่า ไม่ได้จดจารึก แสดงออกตามหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วในพระไตรปิฎกใน

พระไตรปิฎกในคือพระทัยของพระพุทธเจ้าเต็มพระยศพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก อยู่ในพระทัยพระพุทธเจ้าทั้งหมด และในพระสงฆ์สาวกสมบูรณ์บริบูรณ์ นั่นพระไตรปิฎกใน เวลาแยกออกมาก็เป็นพระไตรปิฎกนอก เราได้นำพระไตรปิฎกนั้นมาแสดงไว้ให้ได้อ่านได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ พระไตรปิฎกนี้ยังมีอยู่มันก็ไม่เคยมองดูพระไตรปิฎก ยิ่งกว่ามองดูความโลภ ความเป็นบ้ายศบ้าลาภ ไม่มีใครเกินพระสมัยปัจจุบัน พระสมัยปัจจุบันนี้กำลังเป็นบ้ายศ บ้าลาภ บ้าเยินยอสรรเสริญ ยกยอปอปั้นกันขึ้นจะให้เลยท้าวมหาพรหมไปจะว่าไง ทั้งที่ปฏิบัติตัวเหมือนหมาขี้เรื้อน มองดูแล้วเหมือนหมาขี้เรื้อน กิริยาความเคลื่อนไหวออกมาใจ กาย วาจา ความประพฤติ ความเคลื่อนไหวไปมามีแต่เรื่องเปรตเรื่องผี ไม่ใช่เรื่องอรรถเรื่องธรรม ความมักใหญ่ใฝ่สูง

พระท่านมีอะไรเรื่องมักใหญ่ใฝ่สูง ตามหลักธรรมหลักวินัย สละออกหมดจึงเรียกว่าพระ พระแปลว่าผู้ประเสริฐ แปลออกแล้วนะ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา กษัตริย์ออกบวชตามพระพุทธเจ้านั้นมีน้อยเมื่อไร ในคัมภีร์เอามายืนยัน องค์ใดเสด็จออกจากพระราชวังเข้ามาบวช เข้าป่าเงียบๆ ไม่สนใจในพระราชวัง ในการบ้านการเมือง การได้การเสีย ยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านปลดเปลื้องออกหมด ท่านจะเอายศเลิศเลอคือธรรม ความได้ก็ได้มรรคผลนิพพาน มีแต่ความเลิศเลอ ท่านหวังเอาธรรมที่เลิศเลอเหล่านี้มาประดับเป็นยศของท่าน เป็นรายได้ของท่าน เป็นที่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจของท่านต่างหาก เราหาเอามูตรเอาคูถ คือความเยินยอสรรเสริญมาประดับตัวเอง ตัวเองนั้นก็เป็นมูตรเป็นคูถ เอาอะไรมาประดับก็คือประดับมูตรคูถเราดีๆ นี่เองจะเกิดประโยชน์อะไร

ตั้งขึ้นไปชั้นนั้นชั้นนี้ องค์นั้นได้ชั้นนั้นๆ ชั้นขี้หมาอะไรประสาลมปาก ความดีไม่มี เท่ากับหมาขี้เรื้อนมันดีอะไร มันดีตั้งแต่ยกยอปอปั้นกันขึ้น แล้วสร้างเสี้ยนสร้างหนามสร้างฟืนสร้างไฟให้แก่ผู้น้อยจะเป็นจะตาย เป็นผู้ใหญ่ต้องเป็นความร่มเย็นเป็นสุข ยิ่งพระด้วยแล้วเป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นคติตัวอย่าง ตลอดความเคลื่อนไหว ดังองค์ศาสดาของเรา พระอาการทุกอย่างเป็นศาสดาสอนโลก เป็นครูสอนโลกได้ทั้งนั้น พระอาการความเคลื่อนไหวของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าการยืนการเดินการนั่งการนอนของศาสดาองค์เอก ไม่เคยลดราวาศอกในลวดลายของศาสดาเลย เป็นศาสดามาตลอด นี่ศาสดาเป็นคติตัวอย่างอันเลิศเลอแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย

อันนี้เราถ่ายภาพจากพระพุทธเจ้ามาเป็นยศเป็นศักดิ์ ก็ควรจะตั้งตัวให้เป็นคนดีเป็นคติตัวอย่างแก่ผู้น้อยได้เคารพนับถือ มีอากัปกิริยาการแสดงออกที่ดีงามที่เป็นมงคล ที่น่ากราบไหว้บูชาบ้าง นี้มันมีตั้งแต่ลมปาก ตั้งชื่อตั้งเสียงขึ้นมา โถ ของง่ายเหรอ พอบวชตกออกมายัดพระครูให้แล้ว นี่ความมันทะเยอทะยานนะ เวลานี้ตั้งแล้วยังก็ยังไม่ทราบ แต่หลวงตาบัวคิดถึงเรื่องความโลภ มันจะสุกก่อนห่ามไปเลย ยังไม่ได้บวชเลยตั้งพระครูไว้ให้แล้ว ออกมาก็เป็นพระครู ก้าวออกจากสีมาก็เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ขึ้นไปกุฏิก็เป็นสมเด็จไปแล้ว มีแต่สมเด็จขี้หมูขี้หมา พระครูพระคันขี้หมูขี้หมามีแต่ลมปากทั้งนั้น หาความดีติดตัวไม่มี นี้พูดตามธรรม

ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมท่านไม่ได้สนใจกับลาภกับยศ สรรเสริญเยินยอ สมณศักดิ์สมณะแสกอะไร ท่านไม่มี พระพุทธเจ้าไม่เคยนิยมอะไรเป็นยศที่เลิศเลอยิ่งกว่ายศของธรรมภายในจิตใจ ผู้มีธรรมในใจยศเต็มตัวยศเต็มองค์ ไปไหนเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมกราบไหว้บูชาราบ ไอ้ยศของพวกเราไปที่ไหนคนแตกฮือๆ เพราะมันเหม็นคลุ้งไปหมด กลัวจะไปโดนจมูกเขาหักละซิ เขาไม่อยากพบอยากเห็นไม่อยากได้ยิน ไม่อยากดมกลิ่นของพวกชื่อเสียงมากๆ สมณศักดิ์สูงๆ อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้

เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรนะ ที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้เป็นพระดีเป็นคติแก่บรรดาประชาชนนี้แทบไม่มีในวัด ในวัดในส้วมในถานมันมีแต่มูตรแต่คูถ แสดงออกไปอะไรเหม็นคลุ้งๆ ไปหมด แล้วจะให้เขาเคารพอะไร นี่ละกิเลสเข้าไปเหยียบธรรมเหยียบได้ วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานก็ได้ พระเณรเหยียบให้เป็นมูตรเป็นคูถก็ได้ นี่กิเลสความเลวร้ายของมัน มันเหยียบแหลกไปได้หมด ขอให้พากันพิจารณาพี่น้องทั้งหลาย เราพูดอย่างอาจหาญชาญชัยตามหลักความจริง เราไม่ได้หาเรื่องใส่ผู้หนึ่งผู้ใดมาพูด ถ้าไม่ผิดไม่พูด พระพุทธเจ้าเหมือนกัน นี้ไม่ผิดก็จะไปว่าผิดได้ยังไง เมื่อถูกต้องชมเชยว่าถูก ถึงเป็นความถูกต้อง

นี้ตำตาตำใจกันอยู่ตลอดเวลา ไปที่ไหนเจอตั้งแต่เสี้ยนแต่หนามแต่ฟืนแต่ไฟ จากกิริยาอาการของพระของเณรเราที่หาความสำรวมไม่ได้ หาศีลหาธรรมภายในใจไม่ได้ มีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาความทะเยอทะยานเต็มหัวใจตลอดเวลา แล้วจะให้เขากราบที่ไหน ตัวเขาก็มีความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาหัวใจทุกคนมีด้วยกัน จะให้เขากราบอะไรในเมื่อเราเหมือนเขา เขาเหมือนเรา จะให้เขากราบอะไรได้ลงคอ พระพุทธเจ้าไม่มี พระอรหันต์ไม่มี เรื่องอย่างนี้ไม่มี เลิศเลอเพราะปราศจากสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว เขากราบนั้นต่างหาก

เรายิ่งดีดยิ่งดิ้นทะเยอทะยานหาลาภหายศหาสมณศักดิ์ จะเป็นนั้นเป็นนี้ อรรถธรรมไม่สนใจ เวลานี้ไม่สนใจแล้วนะพระเรา สนใจแต่เรื่องบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ เรื่องของกิเลส เรื่องสกปรกที่จะมาเผาบ้านเผาเมืองสนใจมาก เรื่องยศก็อย่างที่ว่าละ พอบวชออกมาจากโบสถ์ๆ ตั้งพระครูให้กันแล้ว จะเป็นนะต่อไปนี้ ลงขนาดนั้นแล้วมันจะเลยเถิดได้ พอออกมาจากโบสถ์ก็ตั้งพระครูให้ ตีตราพระครูไว้ให้แล้ว คนนั้นยังไม่บวช พอบวชออกมาก็เอาพระครูยัดให้เลย พอก้าวออกจากเขตกำแพงหรือสีมาก็ตั้งเจ้าคุณให้แล้ว เดินยังไม่ถึงกุฏิตั้งสมเด็จให้แล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ต้องสนใจละเรื่องศีลเรื่องธรรม เอาแค่นี้ก็พอ นี่กิเลสมันชอบอย่างนี้เอง

เวลานี้กำลังระบาดสาดกระจายพวกบ้ายศทั้งหลายนี่ โอ๋ย ดูแล้วน่าสลดสังเวชนะ หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ เป็นบ้ายศกับประชาชนนี้มันน่าทุเรศไหม เอ้าถ้าว่าหลวงตาบัวว่าผิดเอ้าว่ามา หลวงตาบัวพูดอย่างจังๆ ตามีหูมีเรียนมาด้วยกัน เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรียนมาด้วยกันมาโกหกกันได้หรือ ผิดถูกเห็นอยู่ตำตา ทำไมพูดตามความผิดถูกชั่วดีจะไม่เป็นธรรม ต้องเป็นธรรมแน่นอน นี่เรานำนี้มาพูด เวลานี้ศาสนาเข้ามาย่านกลางนี้กำลังหัวเลี้ยวหัวต่อมาก

ขอให้พี่น้องทั้งหลายย้อนจิตเข้ามาสู่ตัวเอง มีสติปัญญาให้พิจารณา ดีชั่วที่เต็มอยู่ในโลกให้คัดเลือกให้ดี เขาชั่วขนาดไหนก็ตามขอให้เราดีเสมอ แก้ไขดัดแปลงตัวของเราให้ดี เขาร้อนเราก็เย็น ถ้าเราก็ร้อนไปตามเขา วิ่งตามเขา เขาเป็นไฟฉันใดเราก็เป็นไฟฉันนั้น ไม่มีของดีเลย เพื่อให้มีของดีเป็นที่ยึด เอ้า ใครจะร้อนขนาดไหนเราเป็นผู้ดีเราเย็น เท่านี้ก็พอ เอาละนะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ พอ

 

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก