ธรรมไม่ล้าสมัย
วันที่ 26 เมษายน 2548 เวลา 18:45 น.
สถานที่ : กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กทม.
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส

  กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม

เมื่อค่ำวันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ธรรมไม่ล้าสมัย

 

 (เวลาแสดงธรรม ๕๔ นาที)

 

          วิทยุของเรานี่ฟังว่าขัด ๆ ข้อง ๆ เขาก็มาหาตะกี้นี้ พยายามตรวจตราให้ดีนะ ขัด ๆ ข้อง ๆ ไม่สะดวกว่างั้น พากันพิจารณาเอาเถอะ เรื่องอย่างนี้เราไม่เคยละวิทยุทะแยะอะไรนี่ เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่เราก็ไม่เคยเกิดกับวิทยุทะแยะ จะให้รู้เรื่องได้ยังไง มันเกิดมาทีหลังมีมาทีหลังเราจะไปรู้เรื่องของมันได้ยังไง ก็มีแต่บอกรวม ๆ มันขัดข้องที่ตรงไหนก็ไปพากันพิจารณาซิ แก้ไขให้มันเรียบร้อย ก็ว่างั้น วันนี้มาพูดก็จะเกี่ยวกับเรื่องการเงินการทองนั้นแหละ ซ่อมทีไรทำทีไรจะต้องจ่าย ๆ ที่เขามาพูดวันนี้  เราก็เปิดอยู่แล้วเรื่องช่วยอันนี้ เช่นสวนแสงธรรมนี้เปิดเต็มที่อยู่แล้ว ขาดเท่าไร ๆ ก็ช่วยตลอด ทุกวันนี้มีเครื่องมือช่วยหลายด้านหลายทาง ไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ครั้งพุทธกาลไม่มีนะ เทศน์ปากเปล่าเราธรรมดา ๆ แต่นี้มีเครื่องขยายและมีหลายแบบหลายฉบับ ขยายออกไปทั่วโลกก็ได้ นั่น ที่เทศน์นี้ก็ออกหลายด้านหลายทาง ออกทางไหนบ้าง ทางวิทยุทางไหนบ้างเราก็จำไม่ได้

          บรรดาพี่น้องทางลพบุรี สระบุรี แก่งคอย อ่างทอง มาทั้งสี่จังหวัด มารวมกันที่นี่ได้ฟังธรรม พี่น้องทั้งหลายได้มาวันนี้มีทางแก่งคอย สระบุรี อ่างทอง เป็นสำคัญ วันนี้ตั้งหน้าตั้งตามาฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ขอให้ฟังเปิดหู เปิดใจ ปิดปาก อย่าพูดอย่าคุยกันซุบ ๆ ซิบ ๆ ในขณะฟังเทศน์ เสียงจะรบกวน ผู้เทศน์ไม่สะวก ผู้ฟังก็ไม่สนิทใจ ผลที่ได้ก็ขาด ๆ เขิน ๆ การฟังธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ในครั้งพุทธกาลผู้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากมายทีเดียว

          เพราะฉะนั้นการฟังจึงเป็นของสำคัญ บรรดาพี่น้องทั้งหลายมาจำนวนมากวันนี้ หลวงตาก็กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สะดวกสบายในธาตุในขันธ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะนำออกปฏิสันถารต้อนรับพี่น้องทั้งหลายได้โดยสมบูรณ์ มีเท่าไรก็ว่าไปตามธาตุตามขันธ์ที่เป็นไป ขอให้พี่น้องทั้งหลายตั้งอกตั้งใจ เราเกิดมาเป็นมนุษย์อย่าลืมตัวของเรา ตัวเรานี้คือตัวกรรมของภพของชาติ เกิดมาจากกรรมมาตั้งภพตั้งชาติเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเปรตเป็นผีนรกอเวจีเป็นได้หมด เพราะอำนาจแห่งกรรมที่ตนทำนั้นแหละพาให้เป็นไป หากเป็นสิ่งที่ตกแต่งด้วยแล้วใครจะไปตกนรกอเวจีเป็นเปรตเป็นผี เป็นสัตว์เดรัจฉานใครจะอยากเป็น ไม่มีใคร

          ที่กล่าวเหล่านี้ก็มีอยู่เต็มโลก ปฏิเสธไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อยากเป็นมันก็เป็นจนได้ เพราะอำนาจแห่งกรรมพาให้เป็นพาให้เกิดดีเกิดชั่ว สูงต่ำ อย่างนี้เป็นประจำมาตั้งแต่ต้น พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงเป็นเครื่องรับรองยืนยันไว้แล้วโดยถูกต้องว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นความประณีตเลวทรามต่างกัน ไม่มีประมาณ กรรมหมายความว่าการกระทำของเจ้าของนั้นแลทั้งดีและชั่ว แล้วก็มาเป็นวิบากดีวิบากชั่ว เป็นผลดีผลชั่วขึ้นมาภายในใจตัวเอง เพราะใจนี้เป็นที่รับรองความดีความชั่วอยู่ตลอดมา

          สำหรับธาตุขันธ์ของเราจะเกิดในภพใดชาติใด ธาตุขันธ์เหล่านั้นไม่ใช่เป็นผู้จะรับบาปรับบุญ เป็นผลของบาปของบุญที่ออกมาเป็นภพเป็นชาตินั้น ๆ ต่างหาก ส่วนสำคัญแท้ก็คือเรื่องของกรรม กรรมดี-กรรมชั่ว เราเป็นผู้สร้างกรรมดีความดีงาม เราเป็นผู้สร้างบาปกรรมคือความชั่วช้าลามก ทั้งสองอย่างนี้เราเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรมของเราด้วยกัน ท่านจึงกล่าวว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ  กมฺมปฏิสรโณ ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นผู้พาให้ดีให้ชั่ว เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบาปก็ดี เป็นบุญก็ดี เราจะได้รับผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วนั้น ๆ นี่ท่านแสดงไว้

          เพราะฉะนั้นหลักพุทธศาสนาจึงหยั่งลงที่กรรม กรรมออกมาจากจิต จึงต้องสอนจิตผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่วให้รู้จักวิธีสร้าง ถ้าไม่ได้รับการอบรมปล่อยให้กิเลสเสี้ยมสอนมันก็สอนให้แต่ทำความชั่วช้าลามกโดยถ่ายเดียว จะสอนให้ไปทำคุณงามความดี ไปวัดไปวาฟังธรรมจำศีล ให้บริจาคทาน อย่างนี้กิเลสไม่ยอม กิเลสไม่สอน สอนแต่ให้เป็นไปตรงกันข้ามกับเรื่องธรรม อันใดที่ขัดต่อธรรมนั้นแหละกิเลสชอบ เราก็ชอบตามกิเลสด้วย โลกจึงทำความชั่วได้มากเพราะอำนาจแห่งความเชื่อกิเลสนั้นเป็นสำคัญ เชื่อธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีน้อย เวลาปราฏผลขึ้นมาผลดีจึงมีน้อย ผลชั่วมีมาก มันเกิดขึ้นจากกรรม

          ท่านจึงหยั่งลงที่จิต จิตเป็นภาชนะสำหรับรับกรรมดีกรรมชั่ว เพราะจิตเป็นผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่วเสียเอง ท่านจึงสอนลงให้รู้จักวิธีการทำงาน ทำการ ทำกรรมประเภทต่าง ๆ ทั้งดีและชั่ว ให้จิตเป็นที่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วเคยอย่างไรก็จะทำตามความชอบใจของตน ซึ่งส่วนมากมักมีตั้งแต่บาปแต่กรรมอันไม่พึงปรารถนานั้นแหละที่เราอยากทำ เพราะกิเลสฉุดลากไปให้ทำ ทำด้วยความพออกพอใจ เวลาได้ผลมาเป็นความเดือดร้อนเสียใจไปเสีย นี่โลกจึงมักจะผิดหวัง ๆ ด้วยกัน

          ภพกำเนิดที่เกิดมาใครจะต้องการเป็นภพกำเนิดที่ต่ำช้าเลวทราม แต่สัตว์ทั้งหลายรับกันทั่วหน้าและทั่วโลกดินแดน ก็เพราะมันเลือกไม่ได้ เราเป็นผู้ทำลงด้วยความหลวมตัว เมื่อหลวมตัวทำลงไปแล้วส่วนมากมักผลิตตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ผลจึงได้จากความไม่ดีทั้งหลายปรากฏในหัวใจตัวเอง ท่านจึงสอนให้ใจได้รู้จักดีจักชั่ว แล้วจะได้คัดเลือกการประพฤติ การประกอบกระทำของตนในทางที่ถูกที่ดี อะไรที่ไม่ดีให้ละเว้น ถึงจะอยากทำสักเท่าไรก็ตาม การอยากทำก็คือการจะสังหารตนเองนั้นแล เพราะสิ่งนั้นไม่ดี เรางดเว้นเสีย จะไม่ได้สังหารตนเอง ทำลายตนเอง

          กรรมที่ดีท่านสอนให้ทำแต่กิเลสไม่อยากทำ เราให้ทำกรรมที่ดี เชื่อพระพุทธเจ้าไม่มีใครล่มจมแหละ ถ้าเชื่อกิเลสล่มจมกันทั้งนั้น ให้จำคำนี้ให้ดีนะ พระพุทธเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว สอนโลกก็สอนได้ถูกต้องแม่นยำ ดังที่พูดมาจนชินปากชินใจทุกวันนี้ออกมาจากความรู้ความแม่นยำของศาสดานั้นเอง ที่ประกาศไว้เป็นต้นมา ทุก ๆ องค์เป็นแบบเดียวกันหมด ท่านสอนว่าบาปมี นั่น บุญมี นรกมี สวรรค์มี พวกสัตว์ต่าง ๆ กี่ประเภทเต็มโลกเต็มสงสารในไตรภพนี้ มีพวกเปรตพวกผีเป็นต้น มี เกลื่อนอยู่ในโลกอันนี้ มี ท่านบอกว่ามี เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มี จนกระทั่งถึงนิพพาน สอนทางต่ำก็ลงไปทางนรกอเวจี

          นรกท่านแสดงไว้ถึง ๒๕ หลุมใหญ่ ๆ มี คำที่สอนเรานี้อย่าเข้าใจว่าเป็นของครึของล้าสมัย ในความชักจูงของกิเลสจะชักจูงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของครึของล้าสมัย เชื่อไม่ได้ สิ่งที่เชื่อไม่ได้ก็คือความอยากความทะเยอทะยาน วิ่งตามการเสี้ยมสอนของกิเลส นี้ไม่มีวันจืดจาง ใครไม่ยอมเข็ดหลาบเดือดร้อนทุกข์ยากขนาดไหน เพราะกิเลสดัดสันดานก็ไม่ยอมเข็ดหลาบ นี่ละที่สัตว์โลกทั้งหลายจึงจำต้องได้รับความทุกข์ความทรมานเรื่อยมา เพราะความเชื่อกิเลส

          ถ้าเชื่อธรรมแล้วพระพุทธเจ้าสอนอย่างไรให้พากันบึกบึน เดินตามนั้นแล้วทุกรายจะไม่ผิดหวัง ถ้าเดินตามกิเลสแล้วทุกรายผิดหวังทั้งนั้น กิเลสไม่ได้สอนโลกให้ได้ถึงความสมหวัง ไม่มีเลยกิเลส สอนลงไปเป็นสิ่งหลอกลวง หวาน อร่อย ทุกสิ่งทุกอย่าง กินให้อิ่มไปด้วยความเพลิน ๆ นั่นคือเหยื่อล่อของกิเลส เวลามันล่อแล้วมันก็กลืนเข้าไป มันเป็นยาพิษ ถ้าเป็นเบ็ดก็เหยื่อล่อ เป็นเครื่องลือ เบ็ดอยู่ข้างใน พอกลืนเข้าไปเบ็ดเกาะปากเลือดสาด นั่นน่ะกิเลสมันมียาพิษแฝงอยู่ ๆ ทั้งนั้น

          ส่วนธรรมแล้วไม่มี เป็นความดิบความดีล้วนๆ ตรงไปตรงมา เรื่องของธรรมเรื่องของกิเลส ถ้าใครเชื่อกิเลสแล้วก็ย่อมเสียท่าด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเชื่อธรรมแล้วจะไม่มีเสีย จะได้ไปเรื่อย ๆ มากน้อยได้ไปเรื่อย ๆ จนเป็นความเจริญรุ่งเรืองเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นไปได้ เพราะความเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้แจงแสดงบอกไว้ทุกแง่ทุกมุม ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ให้เรายึดอันนี้

          พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว แต่พระวาจาที่รับสั่งออกมาคำใดเป็นความถูกต้องแม่นยำทั้งนั้น ไม่มีคำว่าปลอม เรื่องกิเลสมันเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มหัวใจสัตว์โลก เวลามันแสดงออกมาเท่าไรมีแต่พวกโกหกหลอกลวง ต้มตุ๋นสัตว์โลกให้ล่มจมไปตาม ๆ มันทั้งนั้น ให้พากันจำเอานะ เรามีศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เอกสุดยอด พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสงก็ว่าไม่มีศาสนาใดจะเสมอเหมือนได้เลย เพราะศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส

          จิตใจสว่างกระจ่างแจ้งเห็นทั่วแดนโลกธาตุ ครอบไปหมดเลย ว่าโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง คือความรู้ของพระพุทธเจ้า ส่วนกิเลสมันไม่มีญาณอย่างนั้น มันไม่มีความรู้ที่จะดึงคนให้พ้นจากทุกข์ มีแต่ความรู้ที่จะหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลกให้ล่มจมไปตามมันเท่านั้น ให้พากันจดจำคำนี้ให้ดี แล้วนำไปปฏิบัติ  ศาสนาเวลานี้รู้สึกว่าเหลวแหลกมากทีเดียว ไม่ว่าท่านว่าเรา ไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส มองไปตรงไหนจนดูกันไม่ได้ สำหรับผู้ที่มีความรักใคร่ใกล้ชิดติดพันกับธรรมกับวินัย กับศาสนา ดูผู้ที่เหลิงเจิ้งนั้นซึ่งมีทั่วโลกจนดูไม่ได้ นั่นน่ะมันเป็นอย่างนั้น

          เรื่องของความชั่วช้าลามกมันเกลื่อนโลกอยู่ เรื่องของคนดีมีน้อย แม้จะมีน้อยก็ตาม จะมีร้อยคน คนดีมีเพียงคนเดียวก็ขอให้เราเป็นคนดีหนึ่งคนก็พอแล้วละ ไอ้ ๙๙ คนเป็นคนชั่วเป็นเรื่องของเขาไป เราเป็นคนดีเพียงคนเดียวเราก็พอใจ เพราะเรารับผิดชอบเราในทางที่ถูกที่ดี ไปสวรรค์-พรหมโลกตลอดนิพพานเราไปด้วยอำนาจแห่งความดีของเรา ไม่ไปด้วยอำนาจแห่งความพรรคพวกมากมีมากลากกันไปอย่างนั้นไม่มี  เรื่องของกิเลสมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ชอบพรรคชอบพวกนั่นแหละ หลอกกันต้มตุ๋นกันทั่วโลกดินแดน

          เวลานี้กำลังห่างเหินมากพวกเราทั้งหลายห่างเหินศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส คือพระพุทธเจ้าของเรานี้เป็นผู้สิ้นกิเลส ตรัสรู้ธรรมโดยชอบ เป็นศาสนาที่สะอาดสุดยอด สอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำคือพุทธศาสนา การกล่าวทั้งนี้เราไม่ได้ยกศาสนาใดมาเป็นคู่แข่ง เอาอันเดียวเท่านี้พอแล้ว พุทธศาสนาเท่านี้พอ ไม่จำเป็นจะต้องไปหาเงา งมเงาเอามาแข่งพุทธศาสนาแหละ พุทธศาสนาเป็นต้นลำอันเดียวเท่านี้พอ พากันยึดให้ดี ให้เป็นผู้เชื่อกรรมนะ กรรมดีกรรมชั่วให้เชื่อตรงนี้นะ แล้วให้พยายามทำตามพระพุทธเจ้า

          เราเชื่อกรรม คือบาปมี บุญมี นรก สวรรค์ พรหมโลก และนิพพาน มี เพียงเท่านั้นจะกระเทือนในหัวใจตลอดเวลา เพราะคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่สด ๆ ร้อน ๆ บอกว่าผิดผิดจริง ๆ พระองค์นิพพานไปแล้วก็ตาม คำสอนนั้นคือองค์ศาสดา สอนว่าผิดเป็นผิด สอนว่าถูกเป็นถูก ดำเนินตามพระพุทธเจ้าไม่ว่าทางถูกทางผิดเป็นผลเท่าเดิม ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ให้พากันยึดหลักนี้ไว้ ท่านทั้งหลายอยากมีศาสดาครองหัวใจอย่าลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่าลืมการบำเพ็ญคุณงามความดี

          การให้ทานเมื่อสมบัติเงินทองมีอยู่ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่เราหมุนไปได้หลายด้านหลายทาง เราหมุนไปได้เพื่อเอาสมบัติเหล่านี้ไปทำลายตัวเอง ด้วยการสร้างความชั่วช้าลามกด้วยสมบัติเหล่านี้ก็ได้ เราจะนำสมบัติเหล่านี้ไปทำประโยชน์ทั้งส่วนทางโลก ทางธาตุทางขันธ์ก็ได้ เราไปทำเพื่อคุณงามความดี การสละเพื่อเป็นทาน ก็เรียกว่าทานบารมีไปได้ ให้พากันแบ่งสันปันส่วน อย่าให้แต่กิเลสเอาไปถลุงเสียหมด ได้มาห้ามาสิบกิเลสเอาไปกินทั้งหมด ได้มาร้อยมาพันหมื่นแสนเป็นล้าน ๆ ให้กิเลสเอาไปถลุงทั้งหมด นำไปใช้ในสิ่งที่กิเลสต้องการ แต่เป็นการทำลายตนเองไปในตัว ๆ นี่เรียกว่ากิเลสเอาไปถลุงทั้งหมด

          เราแยกเอามาทำประโยชน์ในโลกเราก็ทำ อะไรเป็นความชอบธรรมเรานำสมบัติเหล่านี้ไปทำประโยชน์ได้ เราจะนำมาทำบุญให้ทานก็ได้ ให้แยกแยะไว้ การที่ให้เรามีเสียก่อนเราจึงจะให้ทานนั้น ถึงวันตายมันก็ไม่ได้ทาน เพราะกิเลสไม่เคยมีเมืองพอ ได้ทีไร ๆ มันจะกว้านเอาหมด กว้านเอาหมด  จะมาทำทานแม้บาทเดียวก็หลุดมือมาไม่ได้ เพราะกิเลสมันหวงสุดยอด ถึงหนึ่งสตางค์มันก็ไม่ยอมให้ นี่คือเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วเอ้ามีมากมีน้อยก็เพื่อผลประโยชน์แก่ตน เราทำอย่างไรจะเป็นประโยชน์แก่เรา

          ทางครอบครัวเย้าเรือนการเป็นอยู่ปูวายทั้งหลายก็เป็นความจำเป็นสำหรับเราที่จะต้องเสาะแสวงหามาเยียวยารักษา นี่เป็นส่วนธาตุส่วนขันธ์ที่อยู่ด้วยกัน แล้วเอาทางบุญทางกุศล จิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือเราตลอดเวลา เพราะจิตใจไม่ได้รับอาหารที่โอชาถูกต้องกับความเป็นจริงของใจอย่างแท้จริง ใจก็เรียกร้องหาความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลคุณงามความดีให้แก่จิตใจ นี่การให้ทานรักษาศีลภาวนา นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามความมุ่งหวังและความขอร้องของกิเลส กิเลสขอร้องให้สั่งสมคุณงามความดีเหล่านี้เข้าสู่ใจ ใจจะได้มีความเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะได้อาหารโอชารสเข้ามาบำรุงรักษาตน ส่วนธาตุส่วนขันธ์มีมากมีน้อยก็แบ่งแยกออกไปทำประโยชน์ให้ตนเองและส่วนรวมนั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง นี่เรียกว่าการให้ทาน

          อย่าพากันอยู่จนตรอกจนมุม ทั้ง ๆ ที่สมบัติเงินทองมีอยู่ ให้กิเลสมาบีบบังคับ อยู่ในความจนตรอกจนมุม ถ้าจะนำไปสร้างคุณงามความดีกิเลสจะปิดกั้น ๆ ไม่ยอมให้เปิดออกมาเลย นี่กิเลสมันมีอำนาจอย่างนั้นละ เชื่อง่ายเสียด้วยนะเชื่อกิเลส ถ้าจะนำไปทำตามกิเลสต้องการมีเท่าไรทุ่มลงหมด หมดกระเป๋าก็ยอม นี่เห็นไหมละเราเชื่อกิเลสมานาน ผลที่ได้ก็มีแต่ความล่มจมไม่เกิดประโยชน์อะไร ส่วนผลที่ได้จากการบำเพ็ญคุณงามความดี เอ้าให้เท่าไรเอาหมดไป การให้นี้เป็นการสร้างกุศลเข้าสู่ใจเต็มเหนี่ยวแล้ว วัตถุเงินทองข้าวของจะตกไปไหนเมื่อได้สละให้แล้ว นั้นเป็นวัตถุหยาบ ๆ ตกไปแล้ว ให้ไปแล้ว ให้ไปแล้วท่านจะไปทำอะไร ๆ ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ส่วนบุญส่วนกุศลอันสมบูรณ์ได้แล้วจากความเสียสละของเรามากน้อยนี่เป็นของเราโดยแท้

          เช่น เราก่อร่างสร้างศาลา กุฏิวิหารอย่างนี้ กุฏิวิหารศาลานั่นมันไม่ได้ไปสวรรค์-นิพพานนะ ก็อยู่อย่างที่เราเห็น เช่นกุฏิหลังนี้สร้างแล้วก็เป็นกุฏิ ผู้สร้างต่างหากที่จะไปสวรรค์-นิพพาน อันนี้เราสร้างอะไร ๆ ก็เราต่างหากที่จะไปสวรรค์นิพพาน สิ่งก่อสร้างมันก็ทิ้งอยู่ตามโลกตามสงสารนั้นแหละ ให้เข้าใจอย่างนี้ การให้ทาน คนมีการทำบุญให้ทานไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน จิตใจเบิกกว้างไปตลอด สงสารเพื่อนมนุษย์ คนที่มีจิตใจเป็นธรรมย่อมสนิทกันได้ง่าย เพราะจิตใจมีความกว้างขวางเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แล้วเฉลี่ยเผื่อแผ่กันได้ ไม่จำเป็นต้องถามชาติชั้นวรรณะ ฐานะสูงต่ำ ว่าอยู่ในสถานที่ใด ภาคใด ภูมิใด ไม่ต้องถาม ความดีแสดงออกต่อกันเท่านั้นสนิทกันทันที นี่ท่านเรียกว่าธรรม ท่านผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่ต้องรู้ชื่อรู้นามกันมันก็เป็นความสนิทใจกันได้เลย

          ดังพระที่ท่านมาบวชจากที่ต่างๆ  ด้วยความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่พระสุ่มสี่สุ่มห้า พระจอมปลอม พระทิฐิมานะ พระประเภทนั้นพระปลอม พระที่แท้จริงคือศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้าแล้วนั้น มาจากชาติชั้นวรรณะ ฐานะสูงต่ำใด ท่านไม่คำนึง จะถามหรือไม่ถามท่านไม่สนใจ แต่การปฏิบัติธรรมมีความสม่ำเสมอสมานกันได้หมด ไม่ว่าจะมาจากแห่งหนตำบลใด ประเทศใด เมืองใด เข้ากันแล้วธรรมเป็นเครื่องสมาน ประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะเดียวกัน สนิทสนมกันได้

          ธรรมเข้าที่ไหนมีความสนิทสนมกันได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วแยกแยะออกมาเป็นชาติชั้นวรรณะ ฐานะสูงต่ำ แล้วก็ดูถูกเหยียดหยามกัน เย่อหยิ่งจองหอง นี่เรียกว่ากิเลส ไปที่ไหนคอยแต่เหยียบย่ำทำลายผู้อื่นด้วยความเย่อหยิ่งจองหองพองตัวของตนเองทั้ง ๆ ที่ตัวเท่าอึ่ง แต่สำคัญตนยิ่งกว่าราชสีห์ นี่คือเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วไม่คำนึงคำนวณสิ่งเหล่านั้น มีแต่จิตใจที่ประสานกันด้วยความจงรักภักดี  ความเห็นอกเห็ใจซึ่งกันและกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกันได้ทั้งนั้น นี่เรียกว่าธรรม ผู้มีธรรมไปที่ไหนสนิทกันได้หมด ไม่ว่าใกล้ว่าไกล ว่าเมืองในเมืองนอก ขอให้มีธรรมประสานเถอะ มีธรรมในใจแล้วจิตใจกว้างขวางเบิกบาน จิตใจมีความเมตตาสงสารทั่วหน้ากัน นี่เรียกว่าธรรม

          การทำบุญให้ทานก็มีหลายประเภท ทำบุญให้ทานด้วยการเคารพเลื่อมใสก็มี  ทำบุญให้ทานลงไปด้วยการสงเคราะห์สงหา หรือสนองบุญสนองคุณผู้มีคุณก็มี ทำลงไปด้วยความเมตตาสงสารก็มี เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นบุญเป็นกุศลเข้ามาสู่ใจของเราทั้งนั้นแหละ ท่านจึงสอนให้มีการทำบุญให้ทาน อย่าได้ตระหนี่ถี่เหนียว เวลายังมีชีวิตอยู่นี้อะไรก็ไม่พอ กว้านเข้ามา กว้านเข้ามาให้พอ คำว่ากิเลสแล้วอย่าหวังเลยที่ว่าจะตั้งเมืองพอให้หัวใจสัตว์โลก นอกจากตั้งความหิวโหยหนักเข้า ๆ เท่านั้น ได้มาเท่าไร ๆ ยิ่งเป็นเหมือนกับเชื้อไฟ ไสเข้าไปเท่าไรแสดงเปลวจรดเมฆ ให้ไฟดับด้วยเชื้อไม่มี ต้องถอยเชื้อออก

          การถอยเชื้อออกคืออะไรเราก็รู้แล้ว ความได้เท่าไรไม่พอ นี่เรื่องของกิเลส เวลาตายไปแล้วก็ทิ้งอยู่อย่างนั้นแหละ ใครเห็นเอาอะไรติดตัวไปไหมละ ในโลกนี้ไม่เคยมี จะเป็นเศรษฐีกุฎุมพี คนทุกข์คนจน ตายแล้วแม้แต่ร่างกายก็ถูกเผาถูกฝังไปด้วยกันทั้งนั้นแหละ ส่วนจิตนั้นซิที่จะไปรับเคราะห์รับกรรม ถ้าคนมีความดีงาม ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้คนนี้ไม่ต้องสงสัย หายห่วงได้เลย ไปสุคโต โลกเบื้องหน้าเป็นโลกแห่งความสุขของผู้มีบุญ ถ้าไม่มีบุญมีกุศลแล้วตายที่ไหน เศรษฐีตายก็จมได้ ตกนรกได้นะ เราอย่าเข้าใจเอาเศรษฐีมาเป็นกำแพงกั้นกลาง ไม่ให้ตกนรกหมกไหม้เพราะความเป็นเศรษฐีอย่างนี้ไม่มี

          มีอยู่ที่ว่าบุญกรรมนี้แหละเป็นที่เปิดกำแพงปิดกำแพงก็อยู่ที่บุญกรรม ถ้าใครทำความชั่วช้าลามกมาก ๆ แล้ว อันนี้เป็นกำแพงกั้นที่จะไปสู่สถานที่ดี คติที่เหมาะสม จะเปิดทางความชั่วช้าลามกให้จมลงเป็นลำดับ อย่างน้อยเป็นสัตว์เดรัจฉาน มากกว่านั้นเป็นเปรตเป็นผี ลึกเข้าไปกว่านั้นตกนรกอเวจีตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตนด้วยกันทั้งนั้นแหละ ผู้มีคุณงามความดีจิตใจมีความผ่องใสด้วยการบุญการทาน อยู่ที่ไหนตายแล้วไปสุขได้ทั้งนั้น ให้พากันจำเอานะ

          โลกนี้เราหวังพึ่งมันเวลามามีชีวิตอยู่ เพราะธาตุขันธ์นี้เป็นธาตุขันธ์ที่จำต้องอาศัยสิ่งเยียวยาทั้งหลายที่มีอยู่รอบตัวนี้แล เวลาตายไปแล้วสิ่งรอบตัวก็หมดปัญหา ธาตุขันธ์ของเราก็หมดความหมาย ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่มีใครเอาไปได้แหละ ที่เอาไปได้ก็แต่บุญแต่บาป บุญบาปติดกับใจไปเลย ให้พากันคัดเลือกใหดี สร้างคุณงามความดีนี้จอมปราชญ์ทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าพระองค์ใดว่า การทำบุญให้ทานนี้เฟ้อไป ผู้ทำบุญให้ทานมาก ๆ เป็นคนเฟ้อไม่มี มีตั้งแต่คนที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวมาก มีมากเท่าไรยิ่งเฟ้อมาก เป็นคนรกโลกคับไปหมด ไปที่ไหนตีบตันอั้นตู้คนตระหนี่ถี่เหนียว คบค้าสมาคมกับใครใครก็ไม่อยากคบค้าสมาคม เดี๋ยวกลัวจะคว้าเอาตับเอาปอดเอามากินด้วยกลมายาต่างๆ ของคนเห็นแก่ได้นั้นแหละ ให้พากันระมัดระวัง

          การให้ทานอย่าให้เสียวันเสียคืน วันหนึ่ง ๆ เราเป็นลูกชาวพุทธ อันนี้เป็นเชื้อของความดีทั้งหลายจะติดแนบกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ด้วยการให้ทานมากน้อยตามแต่กำลังศรัทธาของเรา หรือสมบัติของเรามีมากน้อย การรักษาศีลก็ขอให้พากันตั้งใจรักษาศีล  นี่เป็นสมบัติอันล้นค่าด้วยกันทั้งนั้น ศีลก็ไม่มากอะไรฆราวาส ก็มีศีล ๕ ใครก็จำได้ทุกข้อ ๆ แล้ว ไม่ควรจะได้อธิบายให้มากนัก ที่ทำความกระเทือนต่อกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างไกลเลย ใกล้ชิดติดพันกับตัวของเราทุกคนนี้ตัวกาเมสุมิจฉาจาร ตัวคึกตัวคะนอง ตัวได้ไม่พอ

          นี่แหละตัวก่อฟืนก่อไฟเผาหัวอกซึ่งกันและกัน ผู้หญิงก็มีหัวใจ ผู้ชายก็มีหัวใจ สิ่งใดที่ฝ่ายหนึ่งไม่ชอบแล้วอย่าไปทำ ศีลข้อที่ ๓ พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูจิตใจของสัตว์โลกว่ามีเป็นอันเดียวกัน เป็นคนที่รักสงวนสมบัติของตนด้วยกัน เป็นสามีก็เป็นที่รักของภรรยา เป็นสมบัติที่รักสงวนของภรรยา เป็นภรรยาก็เป็นที่รักสงวนของสามี อันนี้รักสงวนมากทีเดียว กาเมสุมิจฉาจารเข้าไปแทรกนี้แตกกระจายกันไปเลย เสียหมด พระพุทธเจ้าทรงเห็นใจของโลก ว่าจุดที่เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายถึงอกจะแตกตายในปัจจุบันนี้ก็คือศีลข้อที่ ๓ รักษาไม่ได้แล้วเข้าไปทำลายหัวใจซึ่งกันและกัน

          อย่ามีนะ อย่าให้มี เราเป็นลูกชาวพุทธเมียเราก็มีแล้วทุกคน ๆ ผู้ที่มาเป็นเมียก็ครบสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่มีผู้หญิงคนใดขาดตกบกพร่อง แล้วผู้ชายก็มีครบสมบูรณ์ สมควรแก่ความเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นให้ฝากเป็นฝากตายกับความสมบูรณ์ของกันและกัน อย่าไปเห็นว่าคนนั้นดี คนนี้สวย คนนั้นงาม ไม่ว่าหญิงว่าชาย ทั้งฝ่ายสามี-ภรรยาอย่าไปสนใจ นี่เป็นสมบัติของเราแล้ว เมียคนนี้ปลงใจแล้ว ผัวคนนี้ปลงใจแล้ว ให้เป็นเหมือนอวัยวะที่เกิดกับตัวของเราเอง ขี้ริ้วขี้เหร่ก็เป็นร่างกายของเรา เราต้องรักต้องสงวนเลี้ยงดูตลอดจนกระทั่งวันตาย

          อันนี้สามี-ภรรยาก็เหมือนกันก็เป็นสมบัติของเราแล้ว จงพากันรักษาน้ำใจกัน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน อย่ามีเล่ห์มีเหลี่ยมร้อยสันพันคมอันเป็นเรื่องกลมายาของกิเลสจะมาทำลายหัวอกซึ่งกันและกัน และการเป็นบาปท่านแสดงไว้ในธรรมว่า บาปอันนี้หนักมากทีเดียวนะ กาเมสุมิจฉาจาร เพราะทำลายจิตใจกันอย่างหนัก บางรายถึงขั้นสลบไสลไปก็มี เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ทำลายได้มาก ท่านจึงห้ามไม่ให้ทำ เป็นบาปเป็นกรรม เป็นบาปมากทีเดียว เราทั้งหลายจำไว้

          ให้รักษาหัวใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าสามีภรรยาถ้าต่างคนต่างมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันแล้วจะทุกข์จนหนโลกขนาดไหน หรือมั่งมีศรีสุขก็ตามจะเย็นเสมอกันไปหมดนะ ถ้าอันนี้ด่างพร้อยเสียหายไปนี้ตำแหน่งเศรษฐีก็ไม่มีความหมายนะ เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาตัวเองทั้งหมด ความเป็นเศรษฐีไม่มีความหมายเลย ถ้าขาดศีลธรรมข้อนี้เสียอย่างเดียวเป็นไฟเผากัน ให้พากันระมัดระวังให้ดี บรรดาพี่น้องชาวพุทธเรา เวลานี้ก็เป็นเวลาที่กิเลสตัวนี้ละตัวมันคึกมันคะนองเอามากมาย ไม่มีฝั่งมีฝา มีเขตมีแดน จับได้จับใส่ไปเลย ยิ่งกว่าหมูกว่าหมาก็คือตัวนี้เองทำคนให้เป็นหมูเป็นหมา เลวกว่าหมาได้คือตัวนี้เอง ถ้ารักษาได้แล้วทำคนให้เป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ถึงพระนิพพานไปได้ไม่ต้องสงสัย จงพากันจำเอาไว้นะที่เทศน์วันนี้ เทศน์ให้ท่านทั้งหลายได้จดจำนำไปประพฤติปฏิบัติ

          นี่ละศีลข้อนี้เป็นสำคัญ เรารักษาข้อใดไม่ได้แต่ขอให้รักษาข้อนี้ให้มั่นคงด้วยกัน ถ้าอยากจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นต่อกัน เป็นตายด้วยกันแล้วให้รักษาศีลข้อนี้ไว้ ทั้งสามีและภรรยามีน้ำหนักเท่ากัน อยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุข ให้จำเอานะ นี่ศีลข้อที่ ๓ ข้อเหล่านั้นก็ไม่ได้ใกล้ชิดติดพันกับตัวเราเหมือนกาเมฯ ศีลข้อที่ ๓ นี้เป็นภัยเอามากมายทีเดียว ให้พากันรักษา ไม่ได้มากให้ได้เท่านี้ก็ยังดีเสียก่อน แล้วเขยิบขึ้นไป ยิ่งได้ศีลทั้งห้าข้อแล้วเป็นความดีงามมากทีเดียว จากนั้นก็ให้พากันอบรมภาวนาบ้างนะ ได้ยินแต่ท่านภาวนา

          ศาสนาพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ แล้วให้มีหลักภาวนาประจำใจของชาวพุทธเราทุกคนนั้นแหละดีนะ ภาวนานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นด้วยการภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยการภาวนา ธรรมปรากฏขึ้นในโลกนี้ด้วยการภาวนาของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคำว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ที่เรากล่าวถึงกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ ฝากเป็นฝากตายก็เพราะธรรมปรากฏขึ้นจากการภาวนาของพระพุทธเจ้า ให้เรานำเอานี้เข้ามาภาวนา ให้เป็นสรณะที่พึ่งของตนเอง

          พุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี คำใดที่ถูกจริตนิสัยของเรา หรือบทอื่น ๆ เช่น   อานาปานสติก็ดี ตามแต่จริตนิสัยชอบ ให้นำมาบริกรรม ให้จิตอยู่กับคำบริกรรมคำนั้น เช่นพุทโธ ๆ ให้มีสติครอบอยู่กับคำว่าพุทโธ พุทโธนี้ให้ทำงานอยู่กับตัวผู้รู้คือใจ ครอบผู้รู้ไว้ไม่ให้มันคิดมันปรุงไปทางไหน เอาสติบีบบังคับเอาไว้ เมื่อกิเลสออกมาเพ่นพ่านไม่ได้แล้ว ใจจะมีความสงบเย็น เมื่อใจมีความสงบเย็นแล้วเราจะเห็นผลจากการภาวนา ใจสงบเย็นแล้วจะมีความสง่างาม ดีไม่ดีอัศจรรย์ตนขึ้นในขณะนั้นไม่อาจสงสัยนะ นี่การภาวนา

          พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านภาวนาทั้งนั้นถึงมาเป็นสรณะของพวกเรา การภาวนาจึงเป็นรากเหง้าของพระพุทธศาสนา มีตั้งแต่การให้ทาน รักษาศีล นี้เป็นกิ่งก้านสาขาไป ไม่ใช่หลักใช่เกณฑ์ต้นลำอย่างแท้จริงเหมือนการภาวนา ล้มง่าย สลายง่าย ถ้าคนมีหลักภาวนา มีธรรมประจำใจด้วยความสงบเยือกเย็นคนนั้นมีความแน่นหนามั่นคง การให้ทานรักษาศีลจะกลืมกลืนกันไปแน่นหนามั่นคงเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นหลักภาวนาจึงเป็นหลักสำคัญมากทีเดียว

          ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมากระทั่งปัจจุบันนี้ ศาสนาพุทธถ้าให้มีอยู่ในโลกก็ต้องให้มีหลักภาวนาด้วย อย่ามีแต่ลูบ ๆ คลำ ๆ มีแต่ชื่อให้ทานรักษาศีลเพียงเท่านั้น พุทโธการภาวนาไม่ปรากฏ ไม่เหมาะสำหรับชาวพุทธเรา ท่านทั้งหลายอยากเห็นของอัศจรรย์ให้เอาภาวนาเข้าไปบังคับจิต ลองดูซิน่ะ พระพุทธเจ้าทำไมเลิศเลอด้วยการภาวนา เรามันเป็นอะไรเอาธรรมเลิศเลอนี้มาบังคับใจเรา ภาวนาลงไปใจจะแสดงขึ้นมาอย่างเดียวกันนั้นแหละ ไม่มากก็น้อยขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นใจแปลกประหลาดอัศจรรย์มาเป็นลำดับลำดา ถึงความพ้นทุกข์ได้ เพราะอำนาจแห่งการภาวนา

          จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ สนใจภาวนาบ้างนะ ชาวพุทธเรานี้คำภาวนาแทบไม่ปรากฏนะ แม้แต่พระที่เป็นนักบวช ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่มรรค ผล นิพพานด้วยการบวชเพื่อออกจากทุกข์ก็ไม่สนใจภาวนานะ อย่าว่าแต่ประชาชนทีเดียวไม่ถูก ต้องพูดทั้งฝ่ายพระฝ่ายฆราวาสด้วย มันขี้เกียจภาวนา ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายแหลกหมด ถ้าอะไรเป็นงานของโลกของสงสารแม้เป็นพระก็ลืมตัว คว้าใส่อะไรมีแต่คว้าเป็นงานของ โลกของกิเลสตัณหาเสียหาด คว้าลงไปเพื่อนำเครื่องมือคือธรรมเข้ามาชำระจิตใจให้สะอาดผ่องใสขึ้นนี้ไม่ค่อยมีในพระของเราหัวโล้น ๆ นี่แหละ ตัวนี้ตัวหยาบโลนมาก เวลานี้กำลังแสดงฤทธิ์แสดงเดชแห่งความหยาบโลนของตนทั่วประเทศไทยของเรา

          ให้ดูทั้งท่านทั้งเรา อย่าไปว่าคนนั้นผิดคนนี้ถูก ให้ดูหัวใจนี้มันแสดงฤทธิ์ได้ทุกแบบทั้งฆราวาสทั้งพระเจ้าพระสงฆ์เป็นได้ด้วยกัน กิเลสไม่กลัวใคร บวชมากี่สิบอุปัชฌาย์ก็ตามกิเลสไม่ได้กลัว ถ้าไม่ใช่ธรรม ถ้าลงธรรมจับเข้าไปนี้กิเลสจะถอย ๆ ทีเดียว ธรรมจับลงไป หิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม นี่เรียกว่าธรรม ศีลรักษาให้ดี มีความแน่นหนามั่นคงตามเพศของพระให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็เป็นผู้ครองศีลสมบูรณ์ในตัวของเรา จิตใจก็อบอุ่น

          ทีนี้บำเพ็ญภาวนาจิตใจก็ยิ่งหนุนขึ้นไป หนุนขึ้นไป เข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง เป็นสมาธิ เป็นปัญญา แล้วเป็นวิชชาวิมุตติหลุดพ้นขึ้นมาจากใจด้วยการภาวนาเช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาล ธรรมะเหล่านี้เป็นธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ ไม่ใช่ครึล้าสมัยดังกิเลสเสกสรรปั้นยอหลอกชาวพุทธของเรานี้ไม่ให้สนใจภาวนา อันนี้มีมากเวลานี้ ให้พากันสนใจ รื้อฟื้นขึ้นมาซิ ธรรมพระพุทธเจ้าเคยให้คุณต่อโลก เป็นมหาคุณไม่มีอะไรเสมอการอบรมจิตใจด้วยจิตตภาวนาตามทางของศาสดาที่สอนไว้ เราจะเห็นความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจของเราด้วยกันนั้นแหละ ไม่มากก็น้อย

          ขอให้พากันไปทำ เรื่องภาวนาเป็นเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ เกิดในหัวใจของทุกคน ได้ทีเดียวจากการภาวนาด้วยความตั้งอกตั้งใจ ขอให้ดำเนินตามนะ แม้ที่สุดดังที่พูดอยู่เวลานี้ได้สอนท่านทั้งหลายอยู่เวลานี้ก็ภาวนามาแล้ว รอดเป็นรอดตาย อีตาบัวนี้น่ะ ฟังซิอีตาบัว เรียกอะไรก็เรียกได้ภาษาชื่อ ตั้งก็ได้ ไก่มันก็มีชื่อ หมูหมามันก็มีชื่อ อีตาบัวทำไมจะตั้งชื่อตัวเองไม่ได้ นี่ก็ได้ภาวนามาแล้วเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ประจักษ์ขึ้นมาตั้งแต่ต้นมาเลย ได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์จากจิตตภาวนา ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่เราก็ภาวนา จิตใจเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมาจากการภาวนา สามครั้งเราไม่ลืมนะ                                                                               

          เรียนหนังสืออยู่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ๗ ปี แต่การภาวนาไม่ละ เวลาว่างหยุดจากการเรียนแล้วก็มาภาวนา ๆ จิตได้แสดงความอัศจรรย์ขึ้นมา รวมอย่างเหมือนว่าฟ้าดินนี้ขาดจากกันไปเลย จิตที่ดวงประเสริฐในเวลานั้น นั้นเป็นเกาะอยู่ตรงกลางท่ามกลางมหาสมุทรทะเลหลวง เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา นี้เป็นครั้งแรก ในชีวิตของเราที่เกิดมาหาความสุขไม่เคยเจอ แต่มาเจอเอาในวันนั้นเป็นความสุขความอัศจรรย์เกินคาดเกิดขึ้นภายในจิตใจ ฝังลึกทีเดียว ถึงวันหลังจะทำไม่ได้ก็ตามแต่ความเชื่อในความเป็นของตนที่ผ่านมาแล้วนั้นไม่มีถอน ประหนึ่งว่าอจลศรัทธา ความเชื่อมั่นหยั่งลึก

          จากนั้นเอาอีก จนกระทั่งหยุดจากการเรียน ได้ธรรมแปลกประหลาดอัศจรรย์ เพียงสามหนเท่านั้นเราก็พอ พอใจแล้ว เป็นเชื้อแห่งการฝังลึกของศรัทธาหนักเข้าไป เมื่อหยุดจากการศึกษาเล่าเรียนแล้วทุ่มใหญ่เลยทีนี้ คราวนี้ไม่ถอย จะเอาธรรมดวงนี้ให้ได้ ๆ ๆ สุดท้ายก็ได้พ้นไป ก็เลยได้คว้าติดมือ ๆ ไม่เสื่อม ไม่หาย ติด ๆ ไปเรื่อย จิตเพิ่มกำลังขึ้นไปเรื่อย ๆ เรื่องสมาธิหรือเรื่องอะไรนี้แสดงอยู่ในนี้หมด นี่ละผลแห่งการภาวนา ไม่ว่าสมัยนั้นสมัยนี้หัวใจไม่มีสมัยนะ ความรู้นี้ไม่มีกาลนั้นสมัยนี้ ไม่มีเพศนั้นเพศนี้ เป็นหัวใจนักรู้ด้วยกันหมด แล้วก็สัมผัสได้กับกิเลสกับธรรมในหัวใจนี้

          เราจึงต้องคัดเลือกไม่ให้สัมผัสกิเลสมากกว่าธรรม แล้วสัมผัสธรรมมากเข้าไป ๆ ธรรมเมื่อได้สัมผัสจิตใจมากเข้าจะเป็นการพยุงจิตใจให้สูงขึ้น ๆ แล้วใจนี้จะยิ่งสงบร่มเย็นแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นเป็นลำดับลำดา เห็นอยู่ในตัวของเราที่นักภาวนา พูดให้ชัด ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเสีย อีตาบัวได้ภาวนามาอย่างนี้ ก่อนที่จะนำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายมาด้วยความเดนตาย รอดตาย เดนตายมาจากการภาวนานะ รู้ขึ้นทีแรกนี้ก็เป็นความอัศจรรย์พักหนึ่ง ถึงสามครั้งในเวลาเรียนหนังสือ จากนั้นก็ฟัดกันใหญ่ ไม่ถอย แล้วก็ได้ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตมีความแน่นหนามั่นคง เจริญรุ่งเรือง สูงขึ้น เด่นขึ้น ๆ

          ทางสติทางปัญญาออกทุกแง่ทุกมุม ปัญญาก็เป็นธรรมดาก็มี ปัญญาเมื่อเริ่มออกเป็นปัญญาธรรมดา เมื่อออกด้วยความคล่องตัวแล้วเป็นปัญญาเพื่อวิชชาวิมุตติ หมุนติ้ว ๆ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตัวไปเอง ฆ่ากิเลสทั้งวันทั้งคืน ยืนเดินนั่งนอนโดยอัตโนมัติของตนเอง โดยไม่ต้องมีความเพียร นี่ละจิตเวลามีกำลังแล้วฆ่ากิเลสโดยลำพังตัวเอง เหมือนกิเลสมีกำลังฆ่าจิตใจของคน ทรมานจิตใจของคนโดยอัตโนมัติของมันให้สัตว์ทั้งหลายในโลกได้รับความทุกข์ความทรมานทั่วหน้ากัน

          นี่เวลาธรรมมีกำลังแล้วถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วนี่เรียกว่ามีกำลัง จะไม่ถอย แน่ใจเลยว่าไม่ถอย ถ้าลงขั้นสติปัญญานี้พุ่ง ๆ ต่อนิพพาน ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมมือ ๆ จับผิดจับถูก ๆ ยิ่งขยับหนักเข้าไป ลืมหลับลืมนอน ความเพียรอัตโนมัติ เพลินตัว ๆ จากนี้แล้วเรียกว่าความหวังพ้นทุกข์นี้อยู่ชั่วเอื้อมมือ ๆ ทีเดียว หมุนติ้ว ๆ  ฟังนะท่านทั้งหลายให้ฟัง นี่นำเอาความสด ๆ ร้อน ๆ จากการผ่านมาของตนเอง ให้พี่น้องทั้งหลายฟังว่าศาสนานี้ครึล้าสมัยเหรอ พิจารณาซิ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติ  แต่ผู้ไม่ปฏิบัติมันล้าสมัยตลอดเวลานั้นแหละ ผู้ปฏิบัตินั้นคือเป็นผู้ที่ทันสมัยทันยุคทันสมัย ให้นำไปปฏิบัติ

          เวลาจิตมันถึงขั้นนี้แล้วเราจะพูดให้ฟังชัดเจน เวลาธรรมไม่มีกำลัง กิเลสมีกำลังเหยียบหัวใจเราเป็นอัตโนมัติตลอด ไม่ว่าตาหูจมูกลิ้นกายอะไร สัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นกิเลสทั้งนั้น ๆ ๆ เวลาสติ-ปัญญาอัตโนมัติมีกำลังกล้าแล้ว ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสกับอะไรเป็นธรรมทั้งนั้น ๆ แก้กิเลสได้ทั้งนั้น ๆ นั่น เป็นอย่างนั้นะ เห็นไม่เห็นก็ตามมันแก้ได้อยู่ภายในจิตใจ เมื่อสติปัญญาอัตโนมัติมันมีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าหนักเข้า ๆ ก็เชื่อมเข้าไปถึงมหาสติ-มหาปัญญา ทีนี้ซึมซาบไปเลย ฆ่ากิเลสไม่ว่าประเภทใดจะเหนือมหาสติ-มหาปัญญาไปไม่ได้ ซึมซาบ ๆ ปรากฏแย็บขาดสะบั้น ๆ เผาแหลก ๆ ไปเลย           สุดท้ายกิเลสมีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงอวสานมันจะหนาขนาดไหนพังทั้งนั้น ถ้าลงธรรมได้เข้าเผาไหม้ที่ตรงไหนจะไม่มีกิเลสตัวใดทนเหลืออยู่ได้เลย ต้องถูกเผาแหลกไปเช่นเดียวกัน ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้

          นี่ธรรมะปัจจุบันที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกวันนี้ ไม่ได้สอนแบบครึแบบล้าสมัย เป็นนิทานนะ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องมรรคเรื่องผลก็เป็นนิทานไปเสีย ปัจจุบันมีแต่กิเลสเต็มหัวใจที่ทันยุคทันสมัย ไฟจึงเผาไหม้โลกไม่มีจืดจาง จำให้ดีนะ นี่ละธรรมเมื่อถึงขั้นนี้แล้วกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด เมื่อกิเลสขาดสะบั้นหมด ไม่มีภายในจิตใจแล้ว นั้นแลเรื่องความทุกข์ทั้งมวลที่จิตใจเคยแบกหามมาขาดสะบั้นไปตาม ๆ กันไม่มี จิตใจของพระอรหันต์ไม่มีทุกข์ แม้เม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่เคยมี หากเป็นหลักธรรมชาติ เพราะกองทุกข์นี้เกิดขึ้นจากกิเลสเป็นผู้สร้างทุกข์ เมื่อกิเลสพังลงไปแล้วทุกข์ไม่มี ดับสนิท

          ท่านว่านิพพาน ๆ คืออะไร ดับสนิท สมมุติไม่มีเลย นี่ให้จำเอานะ เรียกว่านิพพาน แล้วก็ดับสนิทเที่ยงไปเลยทีเดียว อย่างว่าพระพุทธเจ้านิพพาน คือดับสนิทในส่วนสมมุติ แม้แต่พระสรีระของพระองค์ก็ดับไปพร้อม ๆ กัน ในเวลาลมหายใจขาดลงไปเท่านั้นดับหมดโดยสิ้นเชิง ในเบื้องต้นดับเฉพาะในจิต สมมุติไม่มีในจิต ธาตุขันธ์ครองกันไปแต่ไม่ยึดไม่ถือ เวลาถึงขั้นสุดท้ายแล้วลมหายใจขาดสะบั้นลงไป สมมุติทั้งมวลมีขันธ์เป็นต้นขาดไปพร้อมกันหมด นั่นละปรินิพพาน ดับสนิทรอบตัวเลย เป็นธรรมธาตุขึ้นมาภายในจิตใจ

          ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ให้ท่านทั้งหลายจำไว้ จากพุทธศาสนาของเรา อย่าเห็นว่าครึว่าล้าสมัย ให้ทันสมัยแต่กิเลสแล้วจะตายด้วยกัน กองกันอยู่นี้ไม่มีประมาณนะ ถ้ามีธรรมเข้าไปแยกไปแยะแล้วจะค่อยตัดทอนภพชาติเข้ามาให้สั้นเข้ามา น้อยเข้ามา ๆ สุดท้ายสร้างคุณงามความดีไม่หยุดไม่ถอย บารมีพอแล้วดีดผึงเลยถึงนิพพาน นี่ได้พูดให้ฟัง ผลแห่งการประพฤติปฏิบัติให้ท่านทั้งหลายฟัง ที่ได้มาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง ที่ได้มาเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายนี่สอนจากการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ผลได้ปรากฏขึ้นมาที่ใจด้วย สนฺทิฏฺฐิโก ๆ จนกระทั่ง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหีติ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน ผู้ไม่ปฏิบัติไม่มีทางรู้ได้ สนฺทิฏฺฐิโก ก็เป็นความรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง ผู้ไม่ปฏิบัติก็ไม่มีทางรู้ได้เช่นเดียวกัน

           ธรรมเหล่านี้ไม่ได้ครึไม่ได้ล้าสมัย ขอจงดำเนินเหตุให้ดีผลจะปรากฏเป็นคู่เคียงกันไป ๆ ความสุขความเจริญจากธรรมนี้จะไม่ครึไม่ล้าสมัย เรามีธรรมในใจแล้วจะเป็นคนมีความสงบร่มเย็น มีฝั่งมีฝา มีที่เกาะที่ยึดนะ เราอาศัยสิ่งภายนอกหาความแน่นอนไม่ได้ แม้เป็นเศรษฐีก็ไม่มีความแน่นอน ถ้าใจไม่มีหลักเกณฑ์แล้วไม่มีอะไรแน่นอนในโลก พอลมหายใจขาดเมื่อไรขาดไปหมด ที่พึ่งที่เกาะที่เคยเป็นอารมณ์ของใจขาดไปหมด แม้ที่สุดขันธ์นี่ก็ขาดไปตาม ๆ กัน หมดที่พึ่ง ถ้าไม่มีบุญกุศลตายแล้วจมได้เลย เศรษฐีก็จมได้ ถ้าเศรษฐีมีตั้งแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ได้เห็นแก่ร่ำแก่รวย เศรษฐีคนนี้จมได้ อย่างน้อยตายแล้วก็มาเป็นเปรตเฝ้ากองสมบัติอยู่นั้น ไม่ได้อะไรนะเฝ้าอยู่อย่างนั้นแหละ นี่คนมีบุญมีกุศลเศรษฐีก็ตามมีบุญมีกุศลแล้วพ้นทุกข์ได้เช่นเดียวกัน นั่น พากันเข้าใจ

          วันนี้เทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายที่มาหลายจังหวัด วันนี้หลายจังหวัดทีเดียวมารวมอยู่ที่นี่ ให้ได้นำไปพินิจพิจารณา เป็นขวัญตาขวัญใจให้สมกับว่าหลวงตานี้ตั้งหน้าตั้งตาสอนพี่น้องทั้งหลายมาอย่างออกหน้าออกตามาเป็นเวลา ๗ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่เป็นผู้นำชาติทั้งหลายมาจนกระทั่งบัดนี้ ได้เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย การเทศน์นี้เราก็ไม่ได้สงสัย การเทศน์ทุกบททุกบาทในธรรมทั้งหลายในธรรมทุกขั้นเราก็ไม่สงสัย สำเร็จรูปด้วยความถูกต้อง ๆ ตลอดมาทุกขั้นแห่งธรรม จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น สอนได้ตลอดเลย เพราะเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ถอดออกจากหัวใจมาสอนมันจะผิดไปไหน

          พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวไปถามใคร สอนโลกได้สามโลกธาตุ เราตัวเท่าหนูนี่มันเป็นอยู่ในหัวใจมันจะพูดไม่ได้ยังไง สอนไม่ได้ยังไง ภูมิของเรามียังไงก็สอนเต็มภูมิของหนูละซิ อย่างสาวกทั้งหลายท่านก็สอนเต็มภูมิของท่าน เราก็ตัวเท่าหนูเราก็สอนเต็มภูมิของหนูมาตลอดอย่างนี้ เราก็หวังใจว่าธรรมที่สอนนี้จะไม่เป็นโมฆะโดยถ่ายเดียว เพราะเราปฏิบัติมาด้วยความมั่นใจ มีรสมีชาติตลอดในการปฏิบัติ ตลอดถึงผลที่ปรากฏขึ้นภายในใจไม่เคยจืดจางอยู่ตลอดเวลา รสชาติของธรรมอันเลิศเลอนี้ไม่เคยจืดจางเลย การสอนโลกจึงไม่เคยจืดเคยจาง ไม่เคยครึเคยล้าสมัย เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ เต็มอยู่ที่หัวใจเหมือนกัน

          จึงขอให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังแล้วนำไปประพฤติปฏิบัตินะ อย่าอยู่แบบสัตว์เดรัจฉาน อยู่ไปหาไปกินไปวันหนึ่งๆ พอถึงเวลาแล้วก็นอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็หาอยู่หากิน หาใส่ปากใส่ท้อง หาเพื่อความโลภ หาเพื่อกิเลสตัณหา ไม่ได้หาเพื่อศีลเพื่อธรรม  เพื่อบุญเพื่อกุศลเข้าสู่ใจ นี้ตายแล้วจมนะ ชาตินี้เราก็เกิดมาเป็นมนุษย์ ทราบแล้วว่าเป็นมนุษย์ แล้วเราสร้างความดี พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ สาวกทั้งหลายเป็นมนุษย์ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เป็นมนุษย์ทั้งนั้น สร้างความดีไปเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ถึงนิพพานได้ เราทำไมหัวใจดวงเดียวกันสร้างความดีอย่างเดียวกัน เราจะไปลงนรกอเวจีที่ไหน แหวกแนวไปไหน ไม่เคยมีธรรมแหวกแนว ให้ปฏิบัติตามนี้ผลที่พึงใจจะเป็นของเราทั้งหลายโดยทั่วกันนะ

          วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ (สาธุ)

                                            

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                  

 

 

         


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก