เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อเช้าวันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
อำนาจความว่างของจิต
ก่อนจังหัน
เราทำทุกอย่างเราทำด้วยความเป็นธรรมล้วน ๆ ทำลงไปแล้วตรงไหนให้ตำหนิเจ้าของอันนี้ผิดไปพลาดไปไม่มี เราพิจารณาเต็มเหนี่ยว ๆ แล้วออก ๆ ๆ อย่างนี้ตลอด ไม่ว่าจะสั่งการสั่งงานอะไร หรือโต้ตอบ หรือแก้ไขดัดแปลงต้านทานสิ่งใดที่เห็นว่าเป็นภัยต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรานี้เอาธรรมออกกางเลย ถ้าเรายังเป็นมนุษย์ถือพุทธศาสนาซึ่งเป็นความถูกต้องดีงามอยู่แล้วให้ฟังเสียงธรรม ถ้าไม่ฟังเสียงธรรมมันก็เลวกว่าหมา หมาไม่มีศาสนานะหมา คนมีศาสนาควรฟังบ้าง อย่าให้เลวกว่าหมาไป
นี่ละธรรมที่นำออกมาเป็นของเล่นเมื่อไร พระพุทธเจ้าสลบสามหนได้ธรรมมาสอนโลก เราเองก็เคยพูดให้ฟังแล้ว กว่าจะได้นำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายเต็มกำลังความสามารถเรียกว่าเดนตายมาเลย เพราะงั้นผู้ฟังจึงไม่ควรจะฟังเอาแบบสุกเอาเผากิน ใช้ไม่ได้นะ เข้ากันไม่ได้กับธรรม ธรรมไม่ใช่ประเภทแบบสุกเอาเผากิน นั้นเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ให้พากันพิจารณานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เท่าที่ดำเนินมานี้เราขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย ที่อุตส่าห์พยายามดำเนินตามครูตามอาจารย์เรื่อยมา ก็เป็นความราบรื่นเรื่อยมาอย่างนี้ ไม่เห็นขัดข้องตรงไหน ไม่ว่าวัตถุ ไม่ว่านามธรรม
วัตถุเห็นประจักษ์ชัดเจนแล้ว ส่วนนามธรรมก็กำลังออกกระจายเวลานี้ทั้งทางด้านวิทยุทุกแบบทุกฉบับ นี่เราตั้งใจเสียสละทั้งนั้นนะ เรียกว่าให้ธรรมเป็นทาน แต่เราไม่ได้มีเจตนาหรืออะไรให้ธรรมเป็นทงเป็นทาน มีแต่ความเมตตาครอบไว้เลย ออกด้วยความเมตตา ๆ ทั้งนั้นละ
หลังจังหัน
อย่าพากันขลังตั้งแต่ภายนอกนักนะ นี่เป็นเครื่องพยุงเราต่างหาก หลักใหญ่อยู่ที่ใจของเรา ใจก็ตั้งหน้าทำงานเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อตัวเอง เราจะพึ่งตั้งแต่ภายนอก ตื่นแต่เงา ตัวจริงไม่สนใจไม่ถูกนะ ตัวจริงคือใจของเรา เงาอาศัยอยู่ภายนอก พูดอย่างนี้ก็ไปสัมผัสไอ้เรื่องของขลัง บ้านตาดนั้นเอง พอทราบว่าเขาขายนามีเงินก้อน แล้วมาปล้นกลางคืน ฤกษ์งามยามดีมาตลอด ของขลังเขาเต็ม เขาจึงไปปล้นเขา ของขลังมีแต่ของดี ๆ แต่เจ้าของไปทำชั่ว ของดีจะไปอำนวยให้ทำชั่วได้ยังไง มาก็ไปปล้นบ้านเขา ฟังเสียงเอะอะคืนนั้น ได้ยินชัดเจน
ลูกชายคว้าปืนแล้วก็วิ่งไปซิ ไปเห็นกำลังค่อมพ่ออยู่ พวกโจรน่ะ ลูกชายก็เอาปืนแหย่เข้าไปยิง ไปตายข้างหน้า เอาไปเผาศพดูว่าเตาถ่าน ไม่ให้ใครเห็นศพเลย เขายิง ของขลังมันตกอยู่ให้เขาเห็น ของขลังมีแต่ของดี ๆ แต่ไปทำชั่ว มันหึกเหิมไปในทางชั่ว ได้ของดีมากลายเป็นหึกเหิมไปในทางชั่ว ใช้ไม่ได้เลย บ้านตาดนั่นเองจะเป็นใครไป
พอทราบว่าเขาขายนาได้เงิน เขามาปล้นกลางคืน ดูฤกษ์ดูยามเรียบร้อยมา มาปล้น เจอลูกกระสุนเลยตาย พยุงกันออกไปข้างนอก เอาไปเผาในเตาถ่าน ไม่ให้ใครเห็นศพเลย เขาก็รู้อย่างเงียบ ๆ เขาไม่พูด เขาก็เฉย ผู้ที่เขายิงผู้เขาได้ทรัพย์แล้วเขาก็เฉยเขาก็รู้เต็มตาเต็มใจ มาจากที่ไหน ๆ เขาสืบทราบหมด แต่เจ้าของมันก็ตายแล้วจะว่าไง ก็เลยเงียบไปเลย ได้ของดีมาแล้วควรจะมีแก่ใจทำแต่ความดี รักษาแต่ความดี ปัดสิ่งชั่วช้าลามกออกมันถึงจะถูก นี่หาของขลังได้มาแล้วไปทำความชั่ว ผิดความมุ่งหมาย ผิดหลักเหตุผลของของดี ของขลังของดี ได้มาแล้วไปทำความชั่วมันเป็นอย่างนั้นละ
วันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากละมันเหนื่อย เมื่อวานไม่ทราบเป็นยังไง ไปฉันอะไรมานะเมื่อวาน กลับมาจากวัดอโศการามเข้านอนทั้งวันไม่หลับ ธรรมดาสงบแล้วขันธ์มันก็หลับ นี่ไม่หลับ จนกระทั่งบ่ายสามสี่โมงถึงออกจากที่มา แล้วกลับไปอีกยังเพลียอยู่ตลอด นอนไม่หลับ เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกัน มันจะเป็นยาอะไรไม่รู้นะ นี่ละธาตุขันธ์ มันตายใจไม่ได้ละเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ดีอยู่ขนาดไหนก็อย่างว่าละ นั่งนี้ก็ดูเอาซิพี่น้องทั้งหลาย ท่านั่งท่านอนเป็นอย่างนี้ละดูเอา เราทนมาเฉย ๆ นะ ธรรมดาเราไม่ยุ่งกับใครเลย เราก็ทนเอาเพื่อหัวใจของพี่น้องชาวพุทธเรา
ลำพังเราอยู่ที่ไหนสบายหมด ไม่เห็นมีอะไร เราพูดจริงๆ ชำระสิ่งที่ก่อกวน หมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไร มีแต่ธาตุแต่ขันธ์มันดุ๊กดิ๊ก ๆ ของมันเท่านั้น เจ็บนั้นปวดนี้มันก็เจ็บอยู่นอก ๆ มันไม่ได้ไปเข้าถึงใจ เพียงรับทราบ ๆ กันเท่านั้น ใจไม่มีกังวล ป่วยใจนี้หนักมากนะ ป่วยทางร่างกายไม่หนัก ถ้าป่วยใจนี้หนักมาก ยิ่งเพิ่มทางใจเข้าไปแล้วทั้งป่วยใจทั้งป่วยกายนี้หนักมากนะ เพราะงั้นจงพยายามพยุงธรรมเข้าสู่ใจ เมื่อธรรมเข้าสู่ใจแล้วร่างกายจะมีโอสถรักษาตัวเอง ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษากันไป ใจก็ไม่วุ่นวาย นั่น มีหลักอยู่อย่างนั้นนะ ธรรมะประจักษ์กับใจนะ เราอย่าไปหาโฆษณาที่นั่นที่นี่ มีแต่หนังสือมีแต่ลมปากไม่เกิดประโยชน์อะไร เราดูที่ไหน อ่านไปที่ไหน ฟังไม่ได้ มันมีแต่ลม มันไม่มีเนื้อมีน้ำอะไรเลย มีแต่ลม
เราจี้ลงตลอดนะเรื่องจิตใจ เพราะเห็นคุณค่ามหาศาลจากจิตใจนะ ศาสนาพุทธของเรานี้ชั้นเอก ยกให้เยี่ยมยอดตลอดมา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ธรรมแบบเดียวกันหมด รู้ตามสิ่งที่มีที่เป็นทั้งหลายหมดด้วยกัน แล้วมาสอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว สอนให้ละให้บำเพ็ญเหมือนกันหมด รวมพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ลงในธรรมสามบท ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑ กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลผลบุญให้ถึงพร้อม ๑ สจิตฺตปริโยทปนํ พยายามอบรมจิตใจของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ ๑ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ บอกแบบเดียวกันหมด
ท่านสอนจึงสอนอย่างตรงแน่ว ๆ โลกมายานี้มาโจมตีแต่ธรรม โลกมายานี้โจมตีธรรมตลอด ธรรมตรงไปตรงมา โลกมายานี้โจมตีทางนั้นโจมตีทางนี้ ล้มเหลวไปแล้วก็ตั้งขึ้นมาใหม่ โจมตีกันมาอย่างนั้น เราดูหัวใจเราซิ หัวใจเราเมื่อยังไม่มีธรรมมีแต่กิเลสละเข้าโจมตี ให้ล้มเหลว ๆ ไปเรื่อย ๆ นี่ละมันอยู่ภายใน ทีนี้เวลาเราอบรมจิตใจเข้า จิตใจค่อยมีหลักมีเกณฑ์เข้ามา สิ่งที่รบกวนก็ค่อยลดน้อยลง ๆ สิ่งรบกวนก็กวนให้เป็นทุกข์นั่นแหละจะเป็นอะไรไป
เมื่อสิ่งรบกวนน้อยลง ๆ แล้วความสุขกับใจไม่ต้องบอก มีขึ้น ๆ โดยลำดับ จนกระทั่งสิ่งรบกวนทุกประเภทดับลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย นั่นแหละที่เรียกว่าเลิศเลออยู่ตรงนั้น อยู่ตรงใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว ถ้าเป็นใจของคนที่มีชีวิตอยู่ก็เรียกว่าใจของพระอรหันต์ ถ้าท่านละขันธ์ไปแล้วใจดวงนั้นก็เป็นธรรมธาตุ นี่ละที่เลิศเลอ เมื่อได้ชำระแล้วจิตของเราสามารถที่จะเป็นธรรมธาตุด้วยกัน อยู่ที่กิเลสมันครอบงำเท่านั้น ใจใครก็ตาม ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าเณร หญิง-ชาย กิเลสไม่ได้กลัวนะ กลัวแต่ธรรมอย่างเดียว ถ้าเรามีธรรมในใจเพศไหนก็ดีมีเครื่องป้องกันตัวเสมอ
ถ้าใจไม่มีธรรมแล้ว อย่างพระเรานี้ครองผ้าหมดตลาดมาห่มก็มีแต่ครองผ้าเหลือง หัวโล้นโกนเข้าไปจนกระทั่งถึงกะโหลกศีรษะมันก็หัวโล้นครอบกะโหลกศีรษะอยู่นั้น ไม่เกิดประโยชน์ มันสำคัญอยู่ที่ใจกับธรรมติดพันกัน อันนี้เครื่องป้องกันตัวอยู่ที่นี่นะ เราชำระไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นผลของการชำระ นี่ละเรียกว่าธรรม การชำระความชั่วของตนเรียกว่าธรรม ความชั่วนั้นสิ่งเป็นภัยแก่เราชำระออกไป ชำระออกไปจนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์
พระอรหันต์ท่านไม่มีเป็นอารมณ์ สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ อยู่ตลอดเวลา โลกธาตุเป็นของสูญเปล่าอยู่ตลอดไปเลย เพราะความว่างของจิตนั้นน่ะมีอำนาจมาก ครอบวัตถุทั้งหลายที่เต็มทั่วโลกธาตุ ที่หนาแน่นไปด้วยวัตถุเต็มโลกธาตุนี้หมดโดยสิ้นเชิง มีแต่ความว่างเปล่าครอบไปหมด มองไปไหนมีแต่ความว่างของจิตมีอำนาจครอบโลกธาตุ นั่นละท่านว่าจิตว่างเปล่า ให้เห็นอยู่ในหัวใจของเรา
ใครเจอเข้าเท่านั้นละไม่ต้องถามใคร รู้เลย ไม่ต้องหาสักขีพยานมาเป็นเครื่องยืนยันกัน ท่านแสดงไว้แล้วว่าสนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลแห่งการปฏิบัติของตนไปโดยลำดับ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหีติ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน คนอื่นที่ไม่ปฏิบัติไม่มีทางรู้ได้ นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้าที่ว่าลึกลับ ที่ลึกลึบก็คือกิเลสปกคลุมไว้ไม่ให้เปิดตัวออกมานั่นเอง เมื่อเราพยายามแก้ไขดัดแปลงชำระซักฟอกก็เรียกว่าเปิดตัวออก ๆ ชำระซักฟอกสิ่งที่มัวหมองมลทินทั้งหลายออก ใจก็ค่อยสว่างไสวขึ้นมา ขึ้นมาถึงขั้นโลกนี้ว่างหมดเลย ว่างตามธรรมชาติของจิต
อำนาจแห่งความว่างนี้ครอบหมด วัตถุทั้งหลายอยู่ในแดนโลกธาตุนี้ ที่โลกทั้งหลายชมกันอยู่ทุกวันนี้ไม่มีในจิตของพระอรหันต์ท่าน ท่านว่างขนาดนั้นละ ว่างหมดเลย ที่ไม่ว่างก็คือกิเลสตัวเดียวนั้นละมันปิดให้มืดไปหมด พอกิเลสตัวมืดนี้ออกเท่านั้นละจ้าขึ้นมาเลย ท่านว่า อาโลโก อุทปาทิ จิตใจสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลาอกาลิโก นี่คุณค่าแห่งการอบรมใจ ท่านทั้งหลายอย่ามองข้ามใจนะ เทศน์ไปไหนเราพูดจริง ๆ เราไม่ได้สนิทใจ เทศน์ไปนู้นไปนี้ก็ว่าไป เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบ แต่หลักใหญ่คือจิตตภาวนาอบรมจิตใจรักษาจิตใจของตนให้ดี นี่เป็นความมุ่งหมายของศาสนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ท่านสอนลงในจิตนะ
โลกทั้งหลายนี้วุ่นกันอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีใครทราบสาเหตุแห่งความวุ่นวายนี้มาจากไหน พระพุทธเจ้าทราบว่ามาจากใจ ใจเป็นมหาเหตุก่อแต่เรื่องแต่ราว เผาผลาญตนเองและผู้อื่นให้กระทบกระเทือนทั่วโลกดินแดน มีแต่กิเลสนี้แหละตัวเผาผลาญเกิดขึ้นภายในจิตใจ เวลาดับนี้ลงได้แล้วมันถึงไม่มีอะไรผ่านหัวใจท่านเลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติมากน้อยไม่มี เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่า ความว่างเปล่ามีอำนาจครอบหมด วัตถุจะมีมากมีน้อยเพียงไรความว่างเปล่านี้อำนาจเหนือครอบหมด เป็นว่างไปตลอดเวลา นี่ละความว่างของจิตมีอำนาจครอบวัตถุทั้งหลายที่หนาแน่นอยู่ในโลกนี้จนปรากฏว่าไม่มีในใจท่าน ใจท่านที่ว่าว่างเปล่าว่างอย่างนี้เอง ให้มันเห็นอยู่หัวใจแล้วไม่ต้องไปถามใคร ใครจะพูดว่ายังไง ยอมรับหรือปฏิเสธท่านไม่สนใจ ความจริงเหนืออยู่ทุกอย่าง
นี่ปฏิบัติทำตามพระพุทธเจ้าสอน ให้ฟังพระพุทธเจ้านะ อย่าดูตั้งแต่หน้าแบบหน้ากิเลสนั่นนะโดยถ่ายเดียว โลกมันดูแต่หน้ากิเลสทั้งนั้นละ ไม่ได้ดูหน้าอรรถหน้าธรรม หน้าพระพุทธเจ้าว่าท่านสอนว่ายังไง ไม่นำไปประพฤติปฏิบัติ แก้ไขตนเอง ดูแต่หน้ากิเลส หน้าไหนก็มีแต่หน้าโลภ หน้าโกรธ หน้าหลง หน้าราคะตัณหา ซึ่งเป็นหน้าฟืนหน้าไฟ หัวใจเป็นนรกอเวจีทั้งนั้น แล้วมาคละเคล้ากันมันจะเอาแดนสวรรค์นิพพานมาจากไหน มันก็มีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กัน
โลกนี้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่ามันกว้างที่ไหน มันไม่ได้กว้างนะ มันแคบอยู่ที่ใจ ถ้าใจได้ตีบตันอั้นตู้เกิดความเดือดร้อนแล้วโลกไม่มีความหมาย ความทุกข์มากองอยู่ที่หัวใจทั้งหมดนะ เวลากิเลสมันมีอำนาจมากก่อไฟเผาเรา โลกกว้างแสนกว้างไม่มีความหมาย มาทุกข์อยู่ที่ใจของเราคนเดียว แต่เวลาชำระซักฟอกไปโดยลำดับ ๆ ไม่ท้อถอยน้อยใจแล้วก็พยายามแก้เรื่อย ชำระล้างเรื่อย ต่อไปก็สว่างขึ้นมาครอบหมดทีนี้ นั่นเห็นไหมละ ความสว่างเลยครอบความมืดบอดนี้ไว้หมด
คิดดูซิโลกอันนี้ปฏิเสธได้เมื่อไร ใครอยู่ที่ไหนก็เห็นวัตถุเต็มโลกเต็มสงสาร ทั่วแดนโลกธาตุมีแต่วัตถุทั้งนั้น ใครปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งที่โลกไม่ยอมรับและไม่เชื่อก็คือว่า ความว่าง โลกเป็นของว่างเปล่า คือว่างที่จิตของท่านนะ จิตของท่านว่าง ความว่างนี้มีอำนาจครอบหมดในสามโลกธาตุ ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านใจท่านเลยว่าเป็นความไม่ว่าง แม้เท่าเส้นผมก็ไม่มี เป็นความว่างตลอดเวลา นี่เรียกว่านิพพานเที่ยง ถ้าลงว่างนี้แล้วหมด ไม่ได้มีอดีต อนาคต ปัจจุบันอะไรเลย อดีตผ่านมาแล้วก็ผ่านมาแล้ว อนาคตยังไม่มาถึง ก็เป็นเรื่องข้างหน้า ปัจจุบันก็จ้าอยู่นี้แล้ว แล้วจะไปหลงอะไรตื่นอะไร ไปยึดไปเกาะอะไร ไปไขว่คว้าหาอะไร หลักธรรมชาตินี้เต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว นั่นเรียกว่าพอ อยู่ที่ไหนพอหมด ขอให้พยายามทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ศาสนานี้สด ๆ ร้อน ๆ ที่จะยังผลให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติอยู่ตลอดมานะและจะตลอดไปด้วย ถ้ายังมีผู้สนใจ ถ้ามีแต่ความรักใคร่ใฝ่ใจในกิเลสตัณหาแล้ว เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา เป็นป่าช้าเผาคนเป็นตายในหัวใจนั้นแหละ ความทุกข์นั้นแหละเผา หาความสุขความสบายพอจะบรรเทาบ้างไม่มีในหัวใจดวงหนึ่ง ๆ นี่ก็เพราะกิเลสมันเผาเอา ๆ เพราะงั้นจึงสร้างธรรมคือน้ำดับไฟขึ้นมาให้มีความสงบเย็นใจภายในใจของเรา
การพูดทั้งนี้ เขาว่าหลวงตาบัวนี้อวดอุตริมนุสธรรม เขาฟ้องว่าเป็นปาราชิก หลวงตาบัวนี่เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากภิกษุ เพราะอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมอันเลิศเลอของมนุษย์ แต่ไม่มีในใจ ยกมาอวดว่าตัวมีตัวเป็น ตัวรู้ตัวฉลาด ตัวหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงด้วยความอุตริ ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่มีในหัวใจ นี่ท่านเรียกว่าอวด คือไม่มีในหัวใจแต่เอามาอวดลม ๆ แล้ง ๆ ท่านเรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่เราที่นำมาแสดงโลกอยู่เวลานี้ เราไม่ได้เอาสิ่งที่ไม่มีมาแสดง สิ่งที่เราแสดงทั่วโลกดินแดนเวลานี้จนกระทั่งทั่วโลก เราออกจากความบริสุทธิ์ใจของเราที่มีเต็มหัวใจอยู่แล้วไม่ใช่ไม่มีนำมาโอ้อวดเฉย ๆ
การแสดงเราจึงไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใด ซึ่งเป็นเหมือนเห่าช้าง เห่าว้อก ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ธรรมไม่เคยหวั่นกับอะไรละ ท่านทั้งหลายถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อธรรมแล้วให้ปฏิบัติตามนี้ อย่าไปหลงกลอุบายของปากอมขี้ อมมูตรอมคูถ เหม็นคลุ้งไปหมด เห่าไปไหนเหม็นไปทั่วดินแดน ปากอมธรรมแสดงไปที่ไหนเป็นความสงบร่มเย็นเป็นสุข นี่ละปากอมธรรม ปากพระพุทธเจ้าอมธรรม ปากพระสาวกทั้งหลายท่านอมธรรมนำมาสอนโลก จนกระทั่งครูบาอาจารย์ทุกวันนี้ ปากอมธรรม
ธรรมประเภทเดียวกัน สอนแบบเดียวกัน เป็นความถูกต้องแบบเดียวกัน ผู้ปฏิบัติตามได้ผลประโยชน์เต็มกำลังของตนเช่นเดียวกันหมด ไม่มีกาลหน้ากาลหลัง คือธรรมเป็นปัจจุบันสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ตลอดเวลา จึงควรนำไปปฏิบัตินะ อย่าพากันหลงตลอดเวลา เพลินตลอดเวลาจะตายทิ้งเปล่า ๆ นะ เห็นไหมเวลาตาย เมรุนั่นแหละเป็นจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตของร่างกายแต่ละร่างกาย เฉพาะมนุษย์เราก็มีเมรุเป็นเครื่องรับรองสมัยปัจจุบันนี้ แต่ก่อนเขามีป่าช้าเผากันบ้างฝังกันบ้าง เดี๋ยวนี้มักจะมีเมรุสำหรับเผาศพ
เวลาตายแล้วเข้าเมรุ มีอะไรติดตัวไปด้วยไหม พิจารณาซิ ดูเจ้าของอย่าไปดูผู้อื่นผู้ใด ยกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้ไม่ถูก เราเป็นผู้รับผิดชอบเราเราต้องดูตัวของเรา เราบกพร่องตรงไหนให้ดู เวลานี้เราบกพร่องทางศีลธรรม คติความเป็นไปของเราจะไม่แน่นอนถ้าเราบกพร่องทางศีลธรรม ก็มีแต่ความหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหา แน่นอนที่จะลงจมโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นอื่น ขอจงนำไปพิจารณาตัวเอง ถึงเวลาแล้วใครก็เข้าเมรุนั่นแหละ ตายแล้วไปช่วยในงานเผาศพกัน นั่งมืดแปดทิศแปดด้านอยู่ในบริเวณนั้นก็ไม่เห็นมีความหมาย ลมๆ แล้ง ๆ
ผู้ตายนั้นก็มีตั้งแต่บุญกุศลกับบาปเท่านั้นละ ใจนี้มีบาปก็เป็นผู้ต้องหา ถูกกิเลสกับบาปกรรมของเจ้าของที่สร้างขึ้นมาด้วยความลืมเนื้อลืมตัวนั้นแหละ เผาผลาญเจ้าของ จมลงในนรกอีก ถ้าเป็นบุญกุศลตายแล้วก็ดีดขึ้นเลย ไปเลย ไปสวรรค์ถึงนิพพาน ศพให้เขาเผาไปประสากระดูก ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ เผากันไป ธรรมชาติที่เลิศเลอแล้วด้วยความดีทั้งหลายที่เราสร้างมานั้นไม่ได้มีถูกเผาแหละ ไปเลย ดีดเลย
ให้พากันดูตัวเองตั้งแต่บัดนี้นะ อย่าไปดูคนอื่นคนใด ให้ดูตัวเอง เพราะเรารับผิดชอบในตัวของเราทั้งปัจจุบันและอนาคตเป็นผู้รับผิดชอบตัวเองตลอดมา และจะตลอดไปด้วย จงพากันพินิจพิจารณา สอนอรรถสอนธรรมหลวงตาก็สอนด้วยความแม่นยำในหัวใจ ไม่เคยสงสัย ธรรมของพระพุทธเจ้ามียังไงสอนอย่างนั้น เฉพาะอย่างยิ่งถอดออกจากหัวใจที่บรรจุธรรมเต็มเหนี่ยวแล้วนี้ออก จึงไม่มีความสงสัยว่าจะผิดไปในการสอนพี่น้องทั้งหลาย กลายเป็นเรื่องต้มตุ๋นไปอย่างนั้นไม่มีในหัวใจเรา
ขอให้พากันยึดไปปฏิบัติตัวเอง อย่าลืมเนือลืมตัวจนเกินไป เวลานี้อำนาจคลื่นของกิเลสตัณหานี้คลื่นมหาสมุทรสู้ไม่ได้นะ คลื่นกิเลสตัณหามันอยู่ในหัวใจสัตว์ สังคมคลื่นกิเลสทั้งนั้นแหละ ออกไปไหนก็ยุ่งไปหมด สังคมธรรมเราไม่ค่อยได้ยิน ที่ไหนที่เด่นขึ้นมาเด่นมามีแต่เรื่องของกิเลสแสดงตัวออกมา เรื่องของธรรมที่จะแสดงตัวออกมานี้มีน้อยมาก แม้แสดงออกมานิดหน่อยตามที่ปฏิบัติ ได้รู้ได้เห็นอันเป็นผลดีงามของตนเอง ซึ่งเกิดจากปฏิบัติมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ถูกโจมตี เขาไม่ยอมรับ พวกมูตรพวกคูถไม่ยอมรับ แต่คนดียอมรับ
ธรรมแสดงออกมาไม่ได้ เจ้าของอุตส่าห์ขวนขวายหามาแทบเป็นแทบตาย พระพุทธเจ้าถึงขั้นสลบไสล สัตว์โลกประเภทปทปรมะมันไม่เห็นมีความหมายอะไร ผู้ที่อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู ยอมรับทันที ๆ ผ่านได้ทั้งนั้น เห็นไหมละ ท่านปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ท่านมาสอนเปล่า ๆ ได้เหรอ ก่อนที่มาสอนโลกท่านแทบเป็นแทบตาย อันนี้ก็พยายามสอนโลกแบบเดียวกัน เต็มกำลังของตัวเอง ขอให้ยึดไปเป็นหลักปฏิบัติประจำครอบครัวเย้าเรือน ประจำตน หน้าที่การงานขอให้มีธรรมแทรกไปอยู่เสมอ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว ถ้าไม่มีธรรมตรงไหนนั้นละความว่างมันมา และกิเลสจะเข้าแทรกตรงนั้น ไฟเผาเข้าตรงนั้น ความบกพร่องทั้งหลายจะเข้าในจุดนั้น ให้พากันระวังให้ดีนะ
เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|