เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
พระวาจาพระพุทธเจ้าลบไม่สูญ
หนังสือวิธีเดินจงกรมที่คัดออกมาจากปฏิปทา บอกวิธีเดินภาวนา ถ้าใครยังไม่ตายก็เอาไปก็ได้ ที่หนูเล็กพิมพ์ ถอดออกจากปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน ซึ่งเราเป็นผู้เขียนเองเหมือนกัน เราอ่านอยู่ ก็อันเก่านี่แล้วก็เราเป็นผู้เขียน มาอ่านก็อันเก่า ไม่ใช่อันใหม่มาจากไหน เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง ไม่ว่าเขียนไม่ว่าเทศน์เราแน่ตลอด คือออกมาจากความแน่นี้แล้วออกไปก็แน่ไปตลอด
ที่เราอ่านตามปริยัติอะไร ๆ มันไม่ค่อยแน่ใจนะ เราไม่ได้ดูถูกปริยัติ เราเรียนปริยัติมา ปริยัติส่วนมากมักจะเอามาจากความจดความจำ และเรียกว่าผิดบ้างถูกบ้างไปด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ว่าเป็นแนวทาง แต่ปลีกย่อยมันมีผิดมีพลาดของมันไป ย้อนอ่านทีหลังรู้ชัดเจนว่าใครจดจารึกปริยัติมา เช่นอย่างพระไตรปิฎก สุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ทั้งสามนี้เรียกว่าปิฎก ภาชนะสำหรับธรรมทางพระสูตร พระวินัย ทางพระปรมัตถ์ เราจะเอาความจริง แยกไปตรงไหน ผิดไปตรงไหน คือมันอ่านด้วยความแน่ใจตัวเองทุกอย่างแล้ว พูดตรง ๆ นะ
เพราะฉะนั้นควรติควรชมจึงไม่ได้มายกโทษตนเอง หรือว่าตัวเองผิด เพราะเราพิจารณาทางภาคปฏิบัตินี้ พูดตรง ๆ ละเอียดลออมากกว่ากันทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เราก็เคยปริยัติมาเท่าไร จบเปรียญสามประโยคสี่ประโยคห้าประโยคอะไร มันหลายปีมาแล้วมันจะได้สิบกว่าประโยคละมั้ง ทีนี้เอามาแยก ผลของการปฏิบัติเป็นยังไง ๆ เรามาเทียบ ที่ไหนผิดถูกมันก็รู้ทันที ๆ ไปเลย แต่หลักใหญ่ของท่านทางปริยัติเป็นสายทาง ส่วนปลีกย่อยที่มีผิดมีพลาดบ้างก็เป็นกิ่งก้านไป นี่ก็รู้ รู้ไปโดยลำดับ
เรื่องปฏิบัตินี้จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนมาก ขอให้ปฏิบัติให้รู้จริง ๆ จากคำสอนของพระพุทธเจ้า จะหมอบราบ ๆ ไปตลอด ไม่มีที่ทะนงตัวได้ตรงไหนเลย รู้ตรงไหน ๆ คือมันแม่นยำในจิต แน่ในจิต เทียบกับที่ท่านสอนไว้หมอบราบ ๆ นี่ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติจึงผิดกันมากทีเดียว เราก็ปฏิบัติเต็มความสามารถของเราตั้งแต่เริ่มต้นแล้วที่ออกปฏิบัติ ท่านพูดถึงเรื่องมรรค ผล นิพพาน โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ท่านเรียงเป็นหลักใหญ่เอาไว้ มันอ่านเข้าไปมันก็ยังสงสัย ๆ ในเวลาเรียนปริยัติ
แม้ที่สุดอ่านถึงพระนิพพานก็ไปตั้งเวทีต่อยกับพระนิพพาน ด้วยความสงสัยของคนมีกิเลส มันไม่ถอยนะ มันไปเที่ยวขัดเที่ยวแย้งสงสัยนั้นนี้ตลอด คือมันไม่เห็นด้วยตนเอง มันไม่ชัด ท่านเขียนไว้ในตำราเขียนมาโดยถูกต้องแล้ว แต่จิตใจเรามันผิดอยู่ตลอด เพราะกิเลสพาให้ผิด มันก็มีสงสัยตลอดเวลา ๆ ทีนี้พอมาภาคปฏิบัติ นี่ละที่เอาจริงเอาจังภาคปฏิบัติ ที่จะตักตวงเอามรรคเอาผลจนกระทั่งถึงพระนิพพานขึ้นมาได้จากภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติเป็นแบบแปลนแผนผัง เรียนมาจำได้มากน้อยก็เท่ากับแบบแปลนปลูกบ้านสร้างเรือนขนาดไหน ๆ เขียนไว้ในแบบแปลนนั้นเสร็จ
ผู้ต้องการจะปลูกบ้านสร้างเรือนก็ไปจับแปลนมา จะเอาขนาดไหน ๆ ก็ปลูกสร้างตามแปลนที่เขารับรองมาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาจนสำเร็จโดยสมบูรณ์ ถ้ามีตั้งแต่แปลนเฉย ๆ เต็มห้องมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ถ้ามีแต่ปริยัติเรียนจบพระไตรปิฎกก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะความจำ ได้แต่ชื่อ ๆ ตัวจริงไม่ได้ เพราะไม่ได้ปฏิบัติหาตัวจริง ตัวจริงอยู่ที่ภาคปฏิบัติ ทีนี้เวลาเรามาปฏิบัติภาคปริยัติแผนผังท่านก็บอกไว้แล้ว ทีนี้ภาคปฏิบัติเราก็ปฏิบัติผลจะวิ่งเข้าหากัน ผิดถูกประการใดมันจะรับกัน ๆ ควรค้านหรือสงสัยข้อไหนมันก็สงสัย มันก็ค้านกัน ควรปฏิเสธมันก็ปฏิเสธในภาคปฏิบัติด้วยความแน่ใจของตน นั่นภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น
นี่เราได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ จึงได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะเรียนเราก็เรียนเต็มกำลังความสามารถมาแล้ว เหล่านั้นกิเลสไม่ได้หาย ไม่ได้เบาบางลง จำไปได้เท่าไร ความสงสัยก็ตามตีกันไปเรื่อยอย่างนั้น เรียนไปถึงพระนิพพานมันก็จะไปตั้งเวทีตีกับพระนิพพาน ว่ายังไงพระนิพพาน พระนิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเอาแล้วนะนั่นไปต่อยนิพพาน ทีนี้เวลามาภาคปฏิบัติ พื้นฐานของธรรมจากพระพุทธเจ้านี้ตรงแน่ว มันก็เดินตามนั้น ๆ เวลารู้ขึ้นจากภาคปฏิบัติมันแน่ใจทันที ๆ นะ ไม่ใช่ลูบ ๆ คลำ ๆ นะ รู้ขึ้นตรงไหน อ๋อ ๆ ไปเรื่อยเลย นี่มันยอมรับและแน่ใจไปเป็นลำดับในธรรมทุกขั้นที่ตนปฏิบัติได้รู้เห็นขึ้นมา ได้ปรากฏขึ้นมา ๆ
อย่างที่ท่านแสดงไว้ว่าพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต์ ท่านแสดงไว้ยังไง ๆ เวลาปฏิบัติไปมันจะเข้าใจทันที ๆ ไปเลย อะไรมันขัด ทางปริยัติมันขัดกับภาคปฏิบัติมันก็รู้ รู้ทันที รู้ไปโดยลำดับ และแน่ใจไปโดยลำดับจากผลงานของตัวเอง ที่ท่านเรียงไว้แล้วนั้นไม่ผิดเลยนะ มันผิดอยู่ที่หัวใจเราที่มีกิเลส คอยขัดคอยแย้งอยู่นั้นละ ธรรมแท้ท่านถูกต้อง แต่กิเลสของเรามันผิดอยู่ในหัวใจ มันจึงขัดจึงข้องไปเรื่อย ๆ ขัดกันเรื่อยไป พอไปลงถึงความจริงจากภาคปฏิบัติคือเป็นผลขึ้นมาแล้วลบไป ๆ ความสงสัยเหล่านั้นมันจะตกไปเองนะ เรื่อย ๆ
ที่ว่าโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ไม่ได้สงสัยเลย เห็นไหม ที่เรียนมาแต่ก่อนหอบแต่ความสงสัยมาเต็มหัวใจ มีแต่ความจำกับความสงสัยเต็มหัวใจมา เวลาภาคปฏิบัติลบออก ๆ สิ่งที่สงสัยทั้งหลายในธรรมสามสี่ขั้นนี้หายสงสัยไปตลอด ๆ เข้าใจ ๆ อย่างแยบคายเข้าไปอีกยิ่งกว่าที่ท่านเขียนไว้ในปริยัติ ปริยัติท่านจะออกมาเฉพาะ ถ้าหากว่าไม้ก็ไม้ทั้งท่อน ให้ไปเจียระไนเอง ไปเลื่อย ไปไสกบลบเหลี่ยมเอาเอง ไปเจียระไนออก ภาคปฏิบัติไปเป็นอย่างนั้น ไปเจียระไนออกด้วยภาคปฏิบัติของตัวเอง ก็ค่อยรู้เห็นชัดเจนเข้าไป กระจ่างแจ้งขึ้นมา
ทีนี้เมื่อปรากฏขึ้นมาในใจเมื่อไร ธรรมของพระพุทธเจ้านี่สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดในหัวใจนะ ไม่ได้คำว่าครึว่าล้าสมัย กาลนั้นสมัยนี้ ฌานนั้นจะเสื่อมอันนี้จะเสื่อม มันเสื่อมกับบุคคลต่างหาก คนไม่ปฏิบัติตาม ไปนั่งต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ามันก็เป็นโมฆะอยู่นั้นแหละ เป็นพระก็โมฆะ เป็นฆราวาสก็โมฆะ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ถ้าลงตั้งใจปฏิบัติแล้ว เอาศาสดาคือธรรมวินัยเป็นผู้พาเสด็จ ตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยหลักธรรมหลักวินัย แล้วก็ค่อยแจ้งขาวมา แจ้งขาวขึ้นมา
ไม่สงสัยเลย พูดตรง ๆ อย่างนี้ละในธรรมที่ว่านี้ มันกระจ่างอยู่ในนี้หมดแล้ว สงสัยหาอะไร คิดดูเราเคยคิดเคยคาดมาแต่ก่อนว่าพระพุทธเจ้า ขึ้นเบื้องต้นมีหรือไม่มีน่า จากนั้น ๆ ปฏิบัติไป ๆ พอจ้าขึ้นเต็มส่วนแล้วพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง หมอบราบเลย พอจิตอันนี้ผางเข้าไปสู่จุดนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมด มันจะไม่ถึงกันได้ยังไง แล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้าว่ามีหรือไม่มี มีมากมีน้อยได้ยังไง ก็มันจ้าอยู่นี้เป็นพยานกันเต็มเหนี่ยวแล้ว
นี่ละที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ค่อยเห็นไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่ง เห็นธรรม สุดยอดของธรรมแล้วเรียกว่าเห็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มากน้อยเหมือนเรามองดูน้ำในมหาสมุทรทะเล กว้างแคบขนาดไหนบอกได้คำเดียวว่าแม่น้ำมหาสมุทร จะไปแยกเม็ดน้ำออกจากมหาสมุทร ใครจะไปสามารถแยกได้ รวมเป็นความเชื่อทีเดียว มองดูจากฝั่งนี้ถึงฝั่งนู้นเป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด นี้ก็เหมือนกันธรรม พอจ้าขึ้นนี้แล้วมันถึงกันหมดเลย พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ๆ แล้วก็ตัวเองก็เป็นยังไงแล้ว มันก็เป็นมหาสมุทร มหาสมมุติ มหานิยม อันนี้ผ่านไปหมดแล้วเป็นมหาวิมุตติ-มหานิพพาน จ้าไปหมดแล้ว
หายสงสัยที่ว่าธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ ขอให้มีผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติก็กอดคัมภีร์เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่ตลอดไป ดีไม่ดีเอาคัมภีร์มาเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เรียนมามากมาน้อยอวดรู้อวดฉลาดทะนงตัวว่าดีว่าเด่นแล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าเป็นลำดับลำดาไป ผู้ที่ปฏิบัติตามรู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้วจะมีแต่หมอบเรื่อยไปนะ ผู้ที่มีแต่ความจำมานี้จะเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปตลอด ไม่ได้มีคำว่าจะหมอบกับพระพุทธเจ้า ไม่มี มีแต่ความทะนงของกิเลสตัณหา ความสำคัญตนว่าเรียนรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม เลยพระพุทธเจ้าแล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปเลย นี่มีแต่ภาคความจำ มันสั่งสมกิเลสทิฐิมานะ ความทะนงตนขึ้นมา เป็นอย่างนี้ด้วยกัน
พอภาคปฏิบัติ ปฏิบัติไปเท่าไร รู้เท่าไร ๆ เรื่องกิเลสที่แทรกเหล่านี้มันจะลดลงๆ ลดลงจนกระทั่งหมด คำว่าทิฐิมานะอะไรไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นั่นละที่ว่าธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่ที่ไหน ที่สถิตของธรรมอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ที่เกิดที่อยู่ของกิเลสในหัวใจเรา กิเลสอยู่ในหัวใจเรามากี่กัปกี่กัลป์ มันไม่ครึไม่ล้าสมัยไปเหรอ มันไม่เห็นมันครึมันล้าสมัย มันยิ่งสั่งสมตัวเองขึ้น พอกพูนขึ้นเอาไฟเผาโลกจนหาที่อยู่ที่หลบซ่อนไม่ได้นะเวลานี้ เพราะกิเลสมันพองตัว ต่างคนต่างส่งเสริมมันว่าอันนั้นดีอันนี้ดี ข้าดีทั้งนั้น เลวก็ยิ่งกว่าหมาก็ยังว่าดีอีก ๆ เลวยิ่งกว่าหมา
แต่วันนี้เราน่าตำหนิไอ้หมาหางกุดสองตัว เราตำหนิมันสักหน่อย ทุกวันมันปวดเยี่ยวมันวิ่งเข้าป่า ถ้ามันปวดเยี่ยววิ่งออกมา มันอยู่ห้องที่เขาถอดเทป มันมักจะไปนอนแอบอยู่นั้นน่ะ หน่อยเป็นเสี่ยวกัน หมานี้จะไปติดอยู่นั้นนอนอยู่นั้น ครั้นเวลาไปเที่ยวที่ไหนมามานั้นมันจะไปตะกุย ๆ ประตู ก๊อก ๆ ๆ ทางนั้นเปิดประตูรับเข้าปุ๊บเลย นอนสบาย วันนี้มันปวดเยี่ยวออกมาพอดีเป็นจังหวะเราไปที่นั่น พอเห็นเราไปข้างนอก เขามองเห็นเราเขาเปิดประตูปั๊บ หมาสองตัวนั้นก็ออกมา ปุ๊บปั๊บออกมา ออกมาตัวนี้ก็ไปเยี่ยวที่เขาปูเสื่อเรียบร้อยแล้ว ไปเยี่ยวใส่ตรงนั้นเลย ตัวนี้ก็ปุ๊บปั๊บออกมาด้วยกัน ออกไปที่นั่นก็ไปเยี่ยวใส่เสื่อตรงนั้นอีก โธ่ มันทำไมเป็นอย่างนี้ไอ้หมาสองตัวนี้ ทุกวันมันเป็นอย่างนี้เหรอ ไม่เป็น มันทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ละ คือแต่ก่อน พอมันปวดเยี่ยวมันจะออกไปเยี่ยว พอเปิดปั๊บวิ่งเข้าป่า ไปเยี่ยวป่า แล้ววันนี้ฟาดเยี่ยวบนเสื่อเลย เห็นต่อหน้าต่อตา มันเป็นยังไงมันขายหน้าเอานักหนา เจ้าของเป็นเสี่ยวกันมาทำไมไม่สอนกัน เยี่ยวราด ไอ้หมาหางกุดสองตัวนั่น หมาน้อย อันนี้น่าตำหนิก็ตำหนิ
แต่ที่น่าชมก็คือว่า คนเรานี้ปูพรมไว้อย่างเต็มเหนี่ยว ให้เป็นความสะดวกเพิ่มเกียรติยศชื่อเสียง ให้เป็นศักดิ์ศรีดีงามของมนุษย์เรา ปูเสื่อแล้วยังไม่แล้ว เอาพรมมาปูอีก แล้วใส่รองเท้าอ่วด ๆ เดินเหยียบพรมเข้าไป เราเห็นแล้วเราสะดุดใจจนไม่ลืม ไม่ใช่ผู้น้อยนะ ผู้ใหญ่เสียด้วย นี่ทำตัวที่เลวต่ำทรามที่สุด นี่มันยังไง ตั้งแต่หมาเขาก็ไม่เคยใส่รองเท้ามาเหยียบพรม อันนี้คนใส่รองเท้ามาเหยียบพรมที่มีราคาสูงส่ง มันยังไงเป็นอย่างนี้ อย่างนี้หรือจะเป็นผู้นำชาติบ้านเมือง มันคิดไปเลยทันที เพราะผู้นี้เป็น ข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร มันลืมตัวอย่างนั้นคนเรา
ใส่รองเท้าไปเหยียบพรมที่เขาปูไว้อย่างเรียบ ก็ถอดเสียซิถอดรองเท้า แต่หมามันยังไม่ใส่รองเท้าไปเหยียบพรม เราเป็นคนทั้งคนและเป็นผู้ปกครองชาติบ้านเมืองทำไมจึงทำตัวเลวอย่างนี้ ลืมตัวขนาดนี้เชียวเหรอ นั่นมันอดคิดไม่ได้นะ ตั้งแต่นั้นมามันจับติดในหัวใจ ใครอย่าไปเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าควรถอดรองเท้าให้ถอด ถ้าไม่ถอดอย่าเข้า ดีกว่าที่จะไปขายตัวอย่างนั้นนะ เลว เลวมากทีเดียว กิเลสตัวพองตัวนี้ใส่รองเท้าอ่วดอ่าด ๆ เข้าไป ว่าตัวนี่ยศใหญ่ ยศใหญ่อะไรมันต่ำกว่าหมาขนาดไหนยศ หมาเขาไม่ได้ใส่ร้องเท้าไปเหยียบพรม ไอ้นี้คนแท้ ๆ เป็นผู้ใหญ่ปกครองบ้านเมือง แล้วใส่รองเท้าอ่วด ๆ ไปเหยียบพรมให้คนทั้งสังคมนั้นดูอยู่ต่อหน้าต่อตา
เราเห็นเองเราเกิดความสลดสังเวช เลยไม่ลืมเหตุการณ์อันนี้ที่เห็นประจักษ์ใจ เพราะฉะนั้นพี่น้องอย่าทำกันนะ อย่าลืมเนื้อลืมตัวถึงขนาดนั้น เสีย บ้านเมืองเราเสียแท้ ๆ ที่สูงมีที่ต่ำมี ให้พากันระมัดระวังรักษา นี้เป็นที่สงบร่มเย็น ไอ้ที่แบบนั้นไม่สงบ มีแต่ทิฐิมานะทะนงตัว อยากให้เขาอัศจรรย์ เหยียบรองเท้าอ่วด ๆ เข้าไป ไปเหยียบพรม มันดูได้เมื่อไร เลวที่สุดว่างั้นเลย วงราชการเราขออย่าทำ ถ้าหากว่าไม่กล้าจะถอดรองเท้าอย่าเข้าไป มันจะไม่ได้ขายความเลวทรามของตน ความต่ำช้าในจิตใจของตน ให้ผู้น้อยเขาเห็น เขาจะได้หัวเรานะนั่น ใครจะอยากหัวเราแบบนี้ หัวเราะแบบสลดสังเวชต่อผู้ใหญ่ที่ยศถาบรรดาศักดิ์นั้นสูง แต่จิตใจต่ำทราม หมาสู้ไม่ได้
เพราะเหตุไรถึงหมาสู้ไม่ได้ หมาไม่ได้ใส่รองเท้าเข้าไปเหยียบพรมที่ปูไว้อย่างดิบอย่างดีต้อนรับผู้มียศสูงคนนั้นแหละ แล้วแสดงตัวเป็นความต่ำทรามเลวยิ่งกว่าหมา อย่าทำกันนะ มันไม่น่าดู ดูไม่ได้เลย ขนบธรรมเนียมอันดีงามมี สูงต่ำมี ให้เคารพตามฐานะ เราอยู่ในวงสมมุติ ต้องนำสมมุติที่ดีงามออกมาใช้ต่อกัน อย่าไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า โดยถือกิเลสตัณหาเป็นใหญ่เป็นโตมันจะพาจมกันทั้งชาติบ้านเมืองศาสนานะ จะไม่มีอะไรเหลือนะ เราคิดดูซิ อย่างพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์เข้าสถานที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม ทั้งหมอบทั้งคลานเข้าไปประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ตรงนั้น นี่ตำรับตำรามี
ท่านเคารพขนาดไหน พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วสถานที่พระองค์ประทับที่ตรงไหนๆ พระอานนท์จะทำความเคารพเหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ตรงนั้น ๆ นี่ควรเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม ไม่ควรอาจเอื้อมแบบหน้าด้านอย่างนี้นะ มันดูไม่ได้นะ นี่ละกิเลสถ้ามันหนาขึ้น ๆ มันลืมเนื้อลืมตัว สูงขนาดไหนมันเอามาเหยียบหมด ๆ กิเลสมันพองตัวทั้ง ๆ ที่มันเลวนะ แต่มันชอบพองตัว อย่างนั้นกิเลส ถ้าเป็นธรรมไม่พอง รู้ทันทีที่ควรไม่ควร จึงได้เตือนให้พี่น้องทั้งหลาย
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เลิศเลอในหัวใจของชาวพุทธเรา ขออย่ามาเหยียบย่ำทำลายโดยวิธีการอย่างนี้ให้เห็น มันดูไม่ได้นะ เรียกว่าเลวที่สุด ผู้ใหญ่ทั้งหลายนั่นแหละยิ่งจะเป็นผู้รักนวลสงวนตัวให้มาก ให้เป็นคติตัวอย่างอันดีงามแก่ผู้น้อยเขาจะได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ รักด้วย เขามีความรักเคารพด้วย ถ้าไปทำอย่างนั้นไม่มีใครเคารพ หมามันก็ไม่เคารพนะ ไปทำอย่างนั้น เพราะหมาเขาไม่ได้ทำอย่างนี้ และมาทำอวดเพราะอะไรของเลว ๆ เขาไม่ทำหมา เราให้พากันระมัดระวัง
เรื่องพุทธศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ อย่าเอาลงมาขยี้ขยำด้วยอำนาจของกิเลสที่ยกตัวสูง ๆ แล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงไป สถานที่ใดควรเคารพให้เคารพ ถ้าสมมุติว่าไม่ควรใส่รองเท้าในสถานที่ควรถอดรองเท้า ถ้าเข้าไม่ได้มันสู้กิเลสตัวสงวนรองเท้ามากกว่าธรรมแล้วให้ออกมาเสีย อย่าเอารองเท้าเข้าไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบหัวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วิเศษจะเสียเราคนเดียว แล้วยังเป็นตัวอย่างอันเลวร้ายให้คนอื่นได้เห็นสลดสังเวชไปไม่มีวันหยุด ดังที่เห็นมานี้เอง เราเห็นด้วยตาของเราเอง ถ้าอะไรมันได้ปักจิตปั๊บมันไม่ลืมนะ คือมันสะดุดอย่างแรง เรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะมาทำได้ เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้มาทำได้ทำไม ทำได้ลงคอเหรอ ถ้าไม่ใช่ตัวทิฐิมานะเย่อหยิ่งจองหองว่าตัวเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็มาอวดความเป็นผู้ใหญ่แล้วเลวยิ่งกว่าเด็ก เลวยิ่งกว่าหมาไปอีก อย่าพากันนำมาใช้
เรื่องศาสนายกตัวอย่างเช่นพระอานนท์ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ที่ไหน ๆ พระอานนท์เข้าไปสถานที่นั่น จะทำเหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่นสด ๆ ร้อน ๆ นะความเคารพ นี่ละเป็นอย่างนั้น ให้จำเอา พระอานนท์เป็นตัวอย่างอันดีของพวกเรา สถานที่ควรเคารพให้เคารพ มันมีสูงมีต่ำโลกสมมุติ ยอมรับกันไม่ยอมรับกันก็ด้วยความสมมุติมันขัดกันนั่นเอง ถ้าสมมุติขัดกันคนหนึ่งว่าดีคนหนึ่งว่าชั่วแล้วขัดกัน ถ้าเห็นไปตามทำนองครองธรรมแล้วไม่ขัด เช่นอย่างสถานที่ที่ว่าไม่ควรจะใส่รองเท้าอันต่ำทรามขึ้นไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าในสถานที่ปูพรมไว้ที่จะกราบพระพุทธเจ้า ไม่ควรอย่างยิ่ง อย่าทำนะ ให้พากันระมัดระวัง
ธรรมอยู่กับเรา ไม่ได้อยู่กับยศนะ ยศมันทำลายคนมามากต่อมากแล้ว คนมีธรรมจะไม่ทำ นั่นเรียกว่าเทิดทูนธรรม คนทำอย่างนั้นเหยียบธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปด้วย ทั้ง ๆ ที่เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าแต่ไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักสูงต่ำ ด้วยอำนาจทิฐิมานะมันสูงมันเด่นเกินกว่าที่จะรู้ตัว ในโลกนี้อะไรจะละเอียดลออยิ่งกว่าธรรม สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรละเอียดลออสูงสุดยิ่งกว่าธรรม โลกทั้งสามจึงยอมกราบไหว้ธรรม
เราอย่าไปเย่อหยิ่งจองหองไปเหยียบหัวพระพุทเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นความเลวร้ายสำหรับเราอย่างยิ่ง เราเป็นชาวพุทธด้วยอย่าให้เป็นอย่างนั้น มันทุเรศนะดูไม่ได้เลย ศาสนาใดก็ตามเมื่อเขาเป็นที่เคารพในศาสนาเขา เราเป็นผู้ใหญ่เป็นหัวหน้างานที่จะเข้าไปปฏิบัติงานต่อสถานที่เคารพนั้นก็ให้ทำตามขนบประเพณีของศาสนานั้น ๆ ที่เขาเคารพกันยังไงให้เราเคารพอย่างนั้น อย่าไปทำความเย่อหยิ่งจองหอง เอาศาสนาตนไปเหยียบเขาอย่างนี้ไม่ถูก ศาสนาใดของใคร ๆ เขาก็ถือเป็นพ่อเป็นแม่ของเขา
เหมือนอย่างคนทุกข์คนจนเต็มบ้านเต็มเมือง เขาไม่ได้ลืมพ่อแม่ว่าเป็นผู้อื่นผู้ใดนะ เขาถือสนิทติดหัวใจของเขา นี่คือพ่อเขาแม่เขา จนขนาดไหนก็คือพ่อคือแม่เขา จับติดไม่มีถอนเลย นี่คือความระลึกถึงบุญถึงคุณ ความรักทุกอย่างอยู่กับพ่อกับแม่ เป็นหัวใจของเด็ก เด็กมีกี่คนเคารพพ่อแม่ทั้งนั้น เรื่องธรรมสุดยอดเราอย่าไปอาจเอื้อมนะ คนทุกข์คนจนมีพ่อมีแม่รู้บุญรู้คุณ เคารพนับถือพ่อแม่ของตน ไม่ได้เอาพ่อแม่คนอื่นที่เป็นเศรษฐีกุฎุมพีนั้นมาเหยียบย่ำทำลายพ่อแม่ของตน จนก็ยอมรับว่าจน พ่อก็คือพ่อ แม่คือแม่อยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกันกับหัวใจของลูกทุกคน เขาไม่ได้เอาตำแหน่งเศรษฐีกุฎุมพีมาเหยียบหัวพ่อหัวแม่ว่าเป็นคนทุกข์คนนะ ไม่มี ลูกคนใดก็ไม่มี มีเคารพพ่อแม่เป็นหนึ่ง ๆ ตลอดเวลาเลย
เรื่องพุทธศาสนานี้เรื่องความเคารพสำคัญมากทีเดียว ท่านถือกันมาก เพราะธรรมยอดแล้ว การเคารพอันนี้เพื่อธรรม ที่ทำทั้งหลายนี่เราทำเพื่อธรรม ๆ ที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พวกชาวพุทธของเราก็ให้พากันรู้เนื้อรู้ตัว อย่าพากันสวมรองเท้าคือความอวดดีอวดเด่นเข้าไปเหยียบศาสนา เหยียบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพนับถือ จะเป็นศาสนาใดก็ตามเขานับถือศาสนานั้น ๆ อย่าไปดูถูกเหยียดหยามศาสนาเขา นั้นคือพ่อคือแม่ของเขา เขาเคารพนับถือ เขาไปสถานที่ควรเคารพตามขนบประเพณีของเขาเคารพกัน เราก็ทำความเคารพอย่างนั้น
ถ้าเรากระด้างกระเดื่องหรือไม่อยากทำความเคารพอย่าเข้าไปเสีย จะไม่ขายตัว ถ้าเข้าไปด้วยความกระด้างกระเดื่องอวดทิฐิมานะนั้นจะไปขายตัว เขาเคารพกันยังไงเราไม่เคารพนี่เสียตรงนี้นะ เขาทำยังไงเราก็ต้องทำตามเขา ขนบประเพณีเป็นอย่างนั้น พ่อแม่ของใครใครก็เคารพนับถือ เวลาศาสนาใดของใครเขาก็เคารพนับถือศาสนาของเขา ก็เหมือนพ่อแม่ของเขา อย่าไปดูถูกเหยียดหยาม ไปทำที่ไม่ดีไม่งาม กระแทกแดกดันในหัวใจของเขา เสียหายมากนะ
เรื่องพุทธศาสนาของเรานี่ขนบประเพณีที่ดีงามก็ดีมาแล้ว ให้พากันรักษาให้ดี อย่าได้ลืมเนื้อลืมตัว ผู้อื่นผู้ใดก็ตามนั่นพ่อของเขาแม่ของเขา ศาสนาของเขา นี่พ่อแม่ของเรา ศาสนาของเรา เมื่อเราลงใจยอมรับกราบไหว้บูชาแล้ว เช่นพุทธศาสนาให้ทำความเคารพต่อพุทธศาสนาเต็มเหนี่ยว เต็มหัวใจของเรา ซึ่งเป็นการเคารพตนยกตนในตัวเอง พากันจดจำเอา ศาสนายิ่งเวลานี้ถูกเหยียบถูกทับทุกแบบทุกฉบับ เหยียบจนจะไม่มีเหลือแล้วพุทธศาสนา แม้ในเพศแห่งชาวพุทธเรา เพศนักบวชเพศของพระของเณรนี้ก็ไม่พ้นที่จะเข้าไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าจนได้ นี่ที่มันน่าสลดสังเวชมาก
ไม่มีความเคารพในธรรมในวินัยยิ่งกว่าความเคารพทิฐิมานะ กิเลสตัณหาเต็มหัวใจนี้เอาออกโชว์ ของต่ำ ๆ โชว์ไปที่ไหนมันก็เหมือนมูตรเหมือนคูถเหมือนขี้นั่นละ โยนขึ้นบนฟ้ามันก็ไปเหม็นอยู่บนฟ้า ตกมาที่ดินมันก็เหม็นอยู่ที่ดิน ของเลวยกไปไหนมันก็เป็นของเลวอยู่อย่างนั้น มันจะสูงไม่ได้ ถ้าของดีแล้วอยู่ที่ไหนอยู่ในตู้ในหีบก็สง่างามอยู่ในตู้ในหีบ ถ้าของไม่ถูกไม่ดีแล้วอยู่ที่ไหนมันก็เหม็นคลุ้ง รักษาตัวให้ดี
ศาสนาพุทธของเรานี้ค่อยเสื่อมลงทุกวัน ๆ นะ ก็พวกชาวพุทธของเรานี้เอง วิ่งตามเขา ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายก็มาเหยียบพ่อแม่ของตนคือพุทธศาสนาไปในตัว ๆ แล้วศาสนาพุทธจะไม่มีให้กราบไหว้บูชานะ จะมีตั้งแต่ลัทธิพวกเปรตพวกผีพวกไม่มีศาสนายกตนขึ้นเป็นของสูงส่งแล้วเหยียบศาสนาลงเราก็เลวไปหมด จะไม่มีอะไรสูงนะเรา ถ้าลงเหยียบพุทธศาสนานี้แล้วไม่มี ไม่มีทางที่จะสูง ใครมาดูถูกเหยียดหยามพุทธศาสนา หรือดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์ ยกโทษยกกรต่าง ๆ โดยหาเหตุผลไม่ได้ นั้นคือคนที่สร้างนรกอเวจีเผาหัวใจตนเอง ไม่เป็นอย่างอื่น
ถึงจะทำให้สมใจ ผลของการทำชั่วให้สมใจต่อครูต่ออาจารย์ก็ตาม นั่นละจะถึงใจในเวลานั้น ไม่มีใครจะตัดสินละ กรรมของตัวด้วยความคิดความประพฤติของตัวเอง ความดูถูกเหยียดหยามของตัวเองนั้นละจะกลับมาเป็นภัยต่อตัวเองทั้งหมด จะไม่ไปที่ไหน จะไปดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ ดูถูกออกจากปากเรา ความคิดก็ออกจากหัวใจเรา มันจะไปไหน ต้นเหตุคือความคิดนี่เกิดขึ้นจากใจ ดีชั่วเกิดขึ้นจากใจ ลงที่ใจ ไม่ไปที่อื่น ทำดีทำชั่วทำที่ใจ ท่านจึงสอนให้ระมัดระวังเรื่องจิตใจ
อย่างมาวัดมาวาก็เหมือนกัน มาวัดมาวาด้วยความเคารพนับถือ เพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อบุญเพื่อกุศลจริง ๆ ก็มี มีมาก แต่มาแบบที่เอางูเห่างูจงอางคล้องคอมา แผ่พังพานมาอยู่ในตัวของมันนั้นก็มีเยอะ เข้ามานี้ถ้าขัดข้องใจตนจากครูบาอาจารย์หรือจากผู้ใหญ่ซึ่งท่านทำดีอยู่แล้ว แล้วก็ถือว่าเป็นภัยต่อตน งูจงอางงูเห่านี้มันจะแผ่พังพานออกมา แล้วกลับมาเป็นข้าศึกต่อวัดต่อวา ต่อครูบาอาจารย์ได้มีเยอะนะ เวลานี้มีแผ่พังพานอยู่ ในวัดเรานี้ก็มี จะไม่มีได้ยังไง นี่งูเห่างูจงอางมันไม่ได้มาเพื่อศีลเพื่อธรรม มันเอางูเห่างูจงอางตัวพิษภัยมาด้วย ถ้าขัดใจมันตรงไหนงูเห่างูจงอางมันจะออกเป็นภัย อันนี้สำคัญมาก มันฝังอยู่ในจิตนะ
ออกจากนั้นไปแล้วก็ไปโจมตีครูบาอาจารย์ว่าท่านไม่ดีอย่างนั้น ๆ แล้วหาบริษัทบริวารที่เลว ๆ ร้าย ๆ เหมือนกัน เอาเป็นเพื่อนเป็นฝูงเป็นบริษัทบริวารโจมตี ๆ เพื่อเอามรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ในการโจมตีท่านผู้ดีทั้งหลายมีแต่จมทั้งนั้น บอกตรง ๆ อย่างพระเทวทัตท่านหยั่งรู้บุญรู้คุณ รู้ผิดรู้ถูก ทีแรกท่านก็แยกจากพระพุทธเจ้าด้วยทิฐิมานะสุดขีดของพระเทวทัตนั่นแหละ จนได้มาประกาศ สั่งพระอานนท์มาเลย ตั้งแต่บัดนี้ต่อไป บอกพระอานนท์
พระอานนท์ก็เกิดความสลดสังเวช ภาษาของเราก็เรียกว่าน้ำตาร่วงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มากราบทูลเรื่องเวลานี้พระเทวทัตท่านแยกตัวแล้วจากพระพุทธเจ้า นำพระสงฆ์สาวกไปประมาณสี่ห้าร้อยองค์ที่หลงกลอุบาย ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรก็ไปตามเขาไป แล้วพระสารีบุตร-พระโมคคัลลาน์ติดตามไปแนะนำสั่งสอนเอากลับคืนมา กลับคืนมาต่อไปพระทั้งหลายก็รู้โทษของพระเทวทัต ต่างคนต่างรู้โทษ ๆ แล้วก็เลยกลับมาจนไม่มีอะไรเหลือ มีพระโกกาลิกองค์เดียวติดมาด้วยกัน ทีนี้ไปเห็นโทษของตน ว่าโทษของเรานี้เสีย
ตอนประกาศตนให้พระอานนท์ทราบว่า เรากับพระพุทธเจ้าได้แตกแยกกันแล้วตั้งแต่บัดนี้ พระอานนท์มาทูลถามพระพุทธเจ้า น้ำพระเนตรพระกรรณหรือน้ำหูน้ำตาก็ไหลออก สลดสังเวช ว่าเวลานี้พระเทวทัตได้แยกทางจากพระองค์แล้ว เป็นศาสนาหนึ่งขึ้นมาแล้ว พอสดับแล้วพระองค์ก็สลดสังเวช เลยรับสั่งขึ้นมา คำรับสั่งขึ้นมานั้นว่า สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ. กรรมที่ไม่เป็นประโยชน์คือกรรมที่ไม่ดีด้วย ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย ทำได้ง่าย แต่กรรมใดที่เป็นประโยชน์ด้วยดีด้วยกรรมนั้นสัตว์ทั้งหลายทำได้ยาก
นี่พระอุทานของพระองค์ที่แสดงขึ้นในขณะที่พระเทวทัตแยกตัวออกไป แล้วพระเทวทัตก็ยังกลับรู้ตัว รู้ตัวขึ้นมามาขอขมาพระพุทธเจ้า เวลามาพระองค์ก็บอกมาก็ไม่ได้พบเรา จะมาถูกแผ่นดินสูบหน้าวัดเชตวันนั้นแหละ ถึงยังไงก็ต้องมา เพราะลงใจเรียบร้อยแล้ว ก็มาถูกแผ่นดินสูบอยู่หน้าวัดเชตวัน พอถูกแผ่นดินสูบลงไปยังเหลือ แต่คางกรรไกร สุดขีดแล้วทีนี้ เลยถวายคางกรรไกรนี้เป็นพุทธบูชา ด้วยความเห็นโทษลงโทษต่อพระองค์อย่างสนิท พระองค์ก็ทรงยิ้มพระโอษฐ์ออกมารับกัน ไม่เสียทีเทวทัตเราเวลาเป็นโทษสร้างโทษก็สร้างอย่างหนักอย่างหนา ทีนี้เห็นโทษแล้วก็มาสร้างบุญสร้างคุณ ไม่มีอะไรก็ได้คางกรรไกรถวายบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่อเราเท่านั้น
ต่อไปนี้เธอก็จะจมก็ยอมรับ เพราะกรรมชั่วของเธอที่ทำมา พอหลังจากนี้แล้วเธอจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ชื่ออัฐิสาระ เพราะถวายคางกรรไกร อัฐิกระดูกคางกรรไกร อัฐิสาระ พระเทวทัตก็ยังรู้โทษ เวลานี้ยังเสวยกรรมอยู่ในนรกก็จริง แต่ท่านมีจุดหมายปลายทาง มีที่ยุติ คืออัฐิสาระที่ท่านทูลถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา นี้จะยกท่านขึ้นให้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในเวลานั้น ๆ พระองค์ทรงรับสั่งไว้หมด ชื่ออัฐิสาระ พระปัจเจกพุทธเจ้า
นั่นเมื่อเห็นโทษ แก้โทษก็เป็นคุณขึ้นมา ถ้ายังไม่เห็นโทษมีแต่สร้างโทษขึ้นมาแล้วก็มีแต่จะจม เลยพระเทวทัตก็ได้ จะว่าไง พระเทวทัตก็ลงมหาอเวจี อันนี้จะเลยมหาอเวจี ขุดมหาอเวจีว่าไม่พออยู่ หรือตื้นเกินไปขุดลงลึกกว่านั้นก็อาจเป็นได้ เราไม่แน่ใจ พระวาจาของพระพุทธเจ้าคำใดนี้ขอให้ฟังให้ถึงใจนะพี่น้องทั้งหลาย เอกนามกึ พระญาณหยั่งทราบแล้วจึงรับสั่งออกมา พูดอะไรแล้วจะไม่มีที่สงสัย ถูกต้องตลอด ๆ นี่พระวาจาของพระพุทธเจ้านี้เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วที่จะยกสัตว์โลกขึ้นจากหล่มลึกเข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ด้วยสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบที่ตรัสไว้ถูกต้องแล้วทั้งนั้น
ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดจะเหลาะ ๆ แหละ ๆ มาพูดหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสาม สี่เป็นหนึ่งไป ไม่ได้ ตรงไปตรงมา นี่เรียกว่าพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า แล้วพระวาจาที่รับสั่งมายังไงแล้วเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทั้งนั้น ไม่ผิด นี่ก็พระญาณหยั่งทราบ พระวาจาที่สอนโลกธรรมที่สอนโลกนี้ไม่ผิด นี่คือองค์ศาสดา พากันจำไว้ ไม่เคยปรากฏว่าพระพุทธเจ้าไปสอนโลก แม้กิใดกาใดไม่เคยมี แต่กิเลสมันสอนโลก หลอกลวงโลกให้พากันจมมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่มีใครเข็ดหลาบ พวกเราพอจะเข็ดหลาบบ้างไหม ให้พิจารณา
เราเป็นลูกศิษย์มีครูคือศาสดา ศาสดาสอนยังไงเรายอมฟังเสียงพระพุทธเจ้าบ้างไหม หรือฟังเสียงแต่กิเลสตัณหาตัวเทวทัตฝังอยู่ในหัวใจโดยถ่ายเดียวนั่นเหรอ ให้เอาไปถามตัวซิ ถ้าถามตัวแล้วมันจะรู้สึกโทษของตน ผู้ทำโทษมากน้อยเพียงไรจะได้แก้ไขตัวเอง ผู้ทำคุณเท่าไรก็ให้หนุนขึ้นไป ให้เชื่อเถิดพระพุทธเจ้าไม่มีสอง หนึ่งเท่านั้น เอกนามกึ ไม่มีสอง พระวาจาที่รับสั่งอะไรลงไปนี้จะไม่มีสอง ใครจะมาท้าทายขนาดไหนลบไม่สูญ
ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าสุปปพุทธะก็เป็นพระเจ้าตาของพระพุทธเจ้าของเรา วงศ์สกุล ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์ แต่งกันเป็นครอบครัวเย้าเรือน เป็นวงศ์นั้นวงศ์นี้ พระเจ้าสุปปพุทธะที่ตำหนิติเตียนพระพุทธเจ้า ดูถูกพระพุทธเจ้า ส่วนลูกสาวคือพระนางพิมพาไม่มีคำว่าดูถูก เทิดทูนตลอดเวลา พระองค์เสด็จออกไปไม่บอกไม่ลาอะไรเลย ก็ไม่เห็นว่าพระสิทธัตถราชกุมารนี้เบื่อหน่ายอิ่มพอกับเรา ควรจะโกรธจะแค้นน้อยใจอย่างนี้ไม่มีพระนางพิมพา พระองค์เสด็จไปประทับอยู่ในสถานที่ใด ทิศทางใด พระนางพิมพาจะกราบไหว้ หมุนพระเศียรไปกราบไหว้เรียบร้อยในทิศนั้น ๆ ที่พระสิทธัตถราชกุมารแล้วค่อยนอน อย่างนี้
แต่พ่อของพระนางพิมพาคือพระเจ้าพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นกรรมเป็นเวร เป็นภัยอันหนักต่อพระพุทธเจ้า ตำหนิติเตียนตลอดเวลา เมื่อมันหนักเข้าๆ คงจะถึงกาลละมัง พระพุทธเจ้าก็ถ้าภาษาของเราก็ทรงทนไม่ได้ แย็บออกเสียบ้าง เออ พระเจ้าสุปปพุทธะ ของเรานี้ทำไมจึงร้ายแรงเอานักหนาน้า จะถูกแผ่นดินสูบแล้วนะนี่นะ มันถึงขั้นแล้ว พระองค์แย็บออกมาแล้ว จะถึงขั้นแผ่นดินสูบแล้วนะพระเจ้าตาของเรา พอทางนี้ทราบก็ไปทูลพระเจ้าสุปปพุทธะ
ท้าทายมาอีก โอ๋ย แผ่นดินจะสูบเราได้ยังไง ถึงเจ็ดวันแผ่นดินจะสูบว่างั้น ก่อนหน้านี้เราจะขึ้นไปอยู่หอปราสาทชั้นที่สุดนั้นเลย แล้วแผ่นดินจะมาสูบเราได้ยังไง พระเจ้าหลานนี้โกหก ว่างั้นนะ เขาก็มาทูลพระพุทธเจ้าอีก นี่พระองค์เอาหนักนะคราวนี้ เออ ที่ว่าเราโกหกนั้นน่ะ มันเป็นความจริงอะไร เรื่องที่พระเจ้าสุปปพุทธะจะถูกแผ่นดินสูบในวันคำรบ๗เป็นของแน่นอน เป็นอื่นไปไม่ได้ ที่เชิงบันได คำพูดตถาคตไม่เคยมีสอง บอกงั้นเลย
กลับไปก็ร้อนใหญ่ละ พอเรื่องราวกลับไปอีกก็ร้อนใหญ่ ทางนั้นท้าทายมา พระพุทธเจ้าทรงท้าทายแบบศาสดาตามหลักความจริง ว่าวันคำรบ ๗ ตอนเช้านั้นแหละเป็นวันที่พระเจ้าสุปปพุทธะของเราจะถูกแผ่นดินสูบที่เชิงบันได บอกเลยเชียว พอจวนถึงวันแล้วขนของขึ้นไปอยู่บนหอปราสาทชั้นเจ็ดแล้วนะ แล้วเผอิญอีกมันไม่เหนือกรรมละซิ ม้ามงคลของพระเจ้าสุปปพุทธะนี้วันนั้นเริ่มคึกคะนองมาก แต่ก่อนพอมีความคึกคะนองขึ้นมา ทางนี้รับสั่งลงไปปั๊บสงบทันที ๆ แต่วันนั้นไม่สงบ ดีดดิ้นถีบท้องพระโรงเสียงลั่นเหมือนฟ้าดินถล่ม ว่าลงไปยังไงก็ไม่หยุดไม่ฟัง มันเป็นยังไงวันนี้ ทุกวันม้าเราก็ฟังเสียงเจ้าของ แต่วันนี้ทำไมยิ่งคึกยิ่งคะนองมันเป็นอะไรนะ ภาษาเราก็เราทำให้เสียเส้นใจน่ะแหละ
พอมันคึกคะนองเต็มที่แล้ว ก็พอดีถึงกาลเวลาที่พระเจ้าสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบ ก็โผล่พระพักตร์ออกมาช่องพระแตรหรือหน้าต่าง พอโผล่ออกไปนี่ปึ๋งเดียวนี่ตกเลย โผล่ลงไปถึงม้า ม้านี่มันเป็นอะไรพิลึกพิลั่นนักหนาวันนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อนมาเลย พอโผล่ออกไปผึงเลย อำนาจแห่งกรรมปัดทีเดียว อำนาจแห่งกรรมปัดทีเดียว ตัวไหนมันจะทนกรรมได้ กรรมชั่วกรรมดีมีอำนาจมากที่สุด ท่านบอก นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอะไรจะมีอานุภาพยิ่งกว่ากรรมดีกรรมชั่วที่สัตว์โลกทำลงไปแล้ว อันนี้มีอานุภาพมากที่สุด พอถึงกาลเวลาแล้วกรรมอันนี้ก็มีอานุภาพมาก ก็ดลบันดาลให้พระเจ้าสุปปะพุทธะโผล่ออกมาหน้าต่างก็ตูมเลย จากนั้นถูกแผ่นสูบไปเลย
พระพุทธเจ้ารับสั่งผิดที่ตรงไหน พิจารณาซิ ทางนู้นท้าทายมาทางนี้ก็ภาษาเราก็เรียกว่าทนไม่ไหว พระเจ้าตาของเราจะต้องถูกแผ่นดินสูบในวันนั้น วันคำรบ ๗ บอกเวลาด้วย ตอนเช้าวันคำรบ ๗ ที่เชิงบันได แล้วก็ตูมลงตรงนั้น ผิดไปไหนบ้าง ทางฝ่ายชั่วก็เป็นอย่างนี้ ถ้าทางฝ่ายดีก็เอาอีกแหละ พระอานนท์ร้องห่มร้องไห้เวลาพระพุทธเจ้าประชวรหนัก เพราะพระองค์จะเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราหรืออะไร พระอานนท์ร้องห่มร้องไห้ รับสั่งถามพระอานนท์ไปไหน พระอานนท์ร้องไห้อยู่ที่ประตู
ไปเรียกพระอานนท์มา พอพระอานนท์มาถึง อานนท์จะร้องห่มร้องไห้ทำไม เราก็เรียนอรรถเรียธรรม ปฏิบัติอรรถธรรม ควรจะรู้คติธรรมดาของโลก กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา พอประมาณ อานนท์อย่าไปเสียอกเสียใจ ให้ความมั่นใจเอาไว้ เป็นความอบอุ่น หลังจากนี้ไปสามเดือนพระอานนท์จะเป็นผู้สิ้นกิเลสในวันพระท่านทำสังคยนา วันนั้นอานนท์จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วสังคายนาใครคิดเมื่อไร พระองค์รับสั่งไว้แล้วจะเป็นพระอรหันต์ในวันจะทำสังคยนา พระอานนท์ก็ดีอกดีใจ
ทีนี้พอถึงวันนั้นปั๊บ พระอานนท์ก็หมุนความเพียรอย่างใหญ่หลวง จนกระทั่ง สรุปเลยว่าจนกระทั่งจวนสว่างไม่เห็นสำเร็จ เอ๊ยังไงถึงไม่สำเร็จพระพุทธเจ้าทรงทำนาย จิตมันไปจ่อสัญญาอารมณ์ข้างนอกว่าจะได้สำเร็จ แต่งานไม่ทำ งานภาวนาเพื่อความสำเร็จพระอานนท์ไม่ทำ จะเอาสัญญาอารมณ์ที่จำได้จากพระพุทธเจ้าว่าจะบรรลุเวลานั้น ๆ เป็นมรรค ผล นิพพาน มันก็ไม่ได้ซิ ทีนี้พอถึงกาลเวลาแล้ว เอ๊ นี่จวนสว่างแล้วจะทำยังไง วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันทำสังคยนา เราก็ยังไม่สำเร็จจะทำยังไง เราก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพอแล้ว เราพักสักหน่อยเสียก่อน
พอว่างั้น ท่านเข้ามานั่ง นี่ละพระอานนท์ได้สำเร็จพระอรหันต์ขึ้นในอิริยาบถสี่ คือยืนก็ไม่ใช่ เดินก็ไม่ใช่ นั่งจริง ๆ นี้ก็ไม่ใช่ นอนจริงๆ ก็ไม่ใช่ คือท่านเอนลงนี้ พอศีรษะยังไม่ถึงหมอนบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นเวลานั้น เรียกว่าพระอานนท์สำเร็จอรหันต์ในอิริยาบถสี่ ตอนที่ท่านสำเร็จคืออะไร คือสัญญาอารมณ์ที่ท่านคิดไว้ กะไว้ ๆ ตามความด้นเดาของท่านมันเป็นข้าศึกต่อมรรค ผล นิพพาน เพราะท่านไม่ได้บำเพ็ญแก้กิเลสในเวลานั้น ท่านไปเอาความหมายต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเอาไว้นั้นว่าจะสำเร็จในวันนั้นว่าจะสำเร็จในวันนั้นมาเป็นมรรค ผล นิพพาน โดยไม่ประกอบความเพียร
พอหมดหวังแล้วก็เลยทอดธุระ สัญญาอารมณ์ทั้งหลายที่ไปเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อมรรค ผล นิพพาน ก็หดย่นเข้ามา พอทอดธุระ นี่ตอนทอดธุระนะสัญญาอารมณ์ก็หดเข้ามาสู่ปัจจุบัน พอจิตเข้าสู่ปัจจุบันไม่มีอารมณ์อะไรเลย บรรลุธรรมปึ๋ง แล้วเป็นพระอรหันต์ในวันทำสังคยนา ผิดไหมละพิจารณาซิ แล้วคำว่าสังคยนาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรในเวลานั้น หากบอกไว้เลยว่าเป็นวันทำสังคยนา
พอพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง ๗ วันก็มีสุภัททะพระแก่ ๆ นั่นน่ะ พระทั้งหลายร้องห่มร้องไห้เสียดายพระพุทธเจ้า ร้องห่มร้องไห้ พระแก่ ๆ องค์นี้ เอ้ยพวกสูเจ้าน่ะ จะไปหาร้องห่มร้องไห้อะไร เวลาพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ดุนั้นว่านี้ หาความสุขความสบายไม่ได้ ถูกดุถูกด่าตลอดเวลา นี่พระองค์นิพพานแล้วพวกเราสบาย พระกัสสปะได้รับคำนี้แหละ นี่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง ๗ วันเท่านั้น เสี้ยนหนามเกิดแล้ว ประชุมกันทันทีเลยพระสงฆ์ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ทำสังคยนาในวันที่ว่านั้นละ
นี่เหตุเกิดขึ้นพระพุทธเจ้าไม่รับสั่ง บอกแต่วันทำสังคยนา ท่านทราบครอบไปหมดแล้วใช่ไหมละ นี่ละคำพูดของพระพุทธเจ้า ขอให้เชื่อนะพี่น้องทั้งหลาย ศาสดาองค์เอกไม่เคยต้มตุ๋นสัตว์โลกแม้รายเดียว แต่กิเลสนี้ต้มตุ๋นมาตลอดเวลา ทั้งเขาทั้งเราแหลกไปตาม ๆ กัน แต่ไม่มีใครเข็ดหลาง วิ่งไปตามมันทั้งนั้น พวกนี้พวกหางขาดขาขาดวิ่งตามกิเลส ดูซิเหล่านี้มันมีแข้งมีขาไหม มันไม่ใช่ขาดหมดแล้วเหรอ ยังจะเหลือขาติดเดินไปบ้านได้ไหม หรือถ้าขาขาดรถยนต์ยังมีอีกเหรอ พิจารณาซิ มันวิ่งตามกิเลส มันไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรมอะไรมากนักละ
พระพุทธเจ้าประกาศป้างๆ อยู่ อย่างที่ว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิ เต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้สัตว์โลกผู้มืดบอดอยู่ตลอดมาอย่างนี้ ทำไมจึงไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง ยังมาหัวเราะกันอยู่เหรอ โก นุ หาโส แปลว่าการหัวเราะรื่นเริงอยู่เหรอ ยังมาหัวเราะกันรื่นเริงบันเทิงอีกเหรอ ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง นี่พระองค์กระตุกเอา สัตว์โลกมันมัวมันเมาเสียตนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เลยกระตุกเอาเสียบ้าง พระพุทธเจ้าประกาศมาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วนะโก นุ หาโส กิมานนฺโท เป็นยังไงพวกเราตื่นหรือยังเวลานี้ หรือยังขอหมอนลูกใหม่นะ ลูกนี้แตกแล้ว เอาหมอนนั้นมาใหม่ โก นุ หาโส ไม่ฟังเลย ไม่สนใจ สนใจแต่หมอนแตกหมอนขาด ไปหาหมอนใหม่มาเปลี่ยน ให้พากันจำเอา
วันนี้ก็ไปอยุธยา ไปกราบพระพุทธเจ้าใหญ่ อยู่ที่วัดมงคลบพิตร พอกราบลงมาแล้วก็ย้อนกลับมาหาช้าง ช้างอดอยากมาก ดูเหมือนสิบกว่าตัว อยุธยามันเคยแตกมาแล้วหนหนึ่ง คราวนี้จะเอาอยุธยาให้แตก เราบอก อีตาบัวเป็นหัวหน้าเอาอยุธยาให้แตก ของมีเท่าไรไปกว้านซื้อมาเอาเลี้ยงช้างให้พอ ความหมาย อยู่ที่ร้านไหนไปเอามา เอาอยุธยาแตก พูดขบขัน เลยอยุธยาแตกสองหน ช้างทั้งหมดพอเลย สิ่งของที่เขาเอามานั้นก็ยังมีเหลืออยู่ แต่ช้างพอแล้ว สิ่งของที่เขาเอามาขายเหลือ ถ้าไม่เหลือเอาให้หมด ไม่พอไปเอามาอีก เอาให้อยุธยาแตกบอกแล้ว แต่นี้อยุธยาก็ไม่แตก ช้างก็อิ่มท้อง เราก็พอใจกลับมา แสดงว่าเป็นมงคลด้วยกัน ไม่มีที่ไหนแตก
อย่างไปดูสวนสัตว์อะไร ๆ ไปดูด้วยความเมตตาต่างหาก แน่ะ ไม่ได้ไปแบบเพลิดเพลิน เราไปดูสวนสัตว์อะไร ๆ ไปดูด้วยความเมตตา ที่ควรจะช่วยเหลืออะไรเราก็ช่วย เช่นอย่างวันนี้ไปวัดมงคลบพิตร อยุธยา ไปกราบนั้นแล้วก็มาช่วยช้าง เอาให้เต็มเหนี่ยวแล้วก็มา มีเท่านั้นแหละ ต่อไปนี้จะให้พร
เมื่อวานนี้ไปเมืองชลฯก็ตั้งใจไปสงเคราะห์พระ ไม่มีครูมีอาจารย์ เราก็สงสาร เราคิดเห็นหัวใจเราวิ่งหาครูหาอาจารย์เหมือนหมาป่า นั่นละเอาเข้ามาใส่หัวใจเจ้าของเทียบ สงสารเลยไปแทบทุกครั้งที่มา เพราะไม่มีครูมีอาจารย์ ก็อยู่กันไปอย่างนั้น ๆ ไม่มีกำลังใจนะ ฟังอรรถฟังธรรมจากครูอาจารย์นี้ยังได้คุณในปัจจุบันด้วย จากนั้นเป็นกำลังใจเพื่อประกอบความเพียรอีกด้วย เราคิดวัดดูหัวเราเราก็ไป
เราคิดอ่านหมดการที่พาพี่น้องทั้งหลายเดิน เราไม่ได้พาเดินสุ่มสี่สุ่มห้านะ เราคิดทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศเราคิดเต็มหัวใจเรา พาก้าวเดินทางไหน ๆ เราก้าวเดินด้วยความคิดเต็มหัวใจแล้วค่อยออก ๆ ทางด้านวัตถุก็ดำเนินมาจนสมบูรณ์พูนผลตามความต้องการ ทางด้านธรรมะเวลานี้กำลังออก ออกทั่วโลก ไม่เพียงแต่ออกทั่วประเทศไทย อันนี้เราก็เคยได้พูดแล้วเรื่องการประกาศเป็นผู้นำทางด้านวัตถุช่วยชาตินี้โลกเราเมืองไทยเราทราบกันที แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมโลกไม่คิดนะ เราคิดเต็มหัวใจ
เราช่วยชาติคราวนี้ทางด้านนามธรรมได้แก่ศีลธรรม ชาวพุทธในเมืองไทยเราจะพอได้รับผลประโยชน์บ้าง ธรรมจะออกไปพร้อม ๆ กัน การไปที่ไหน ๆ ไปรับไทยทานที่ไหนก็ต้องเทศน์ ๆ เรื่อยมา เป็นธรรมเข้าสู่ใจ จากนั้นก็ได้ออกเป็นวิทยุแล้ว ก็เป็นประโยชน์ตามที่คิดไว้ไม่เคยผิด เราจึงเคยเตือนลูกศิษย์ลูกหาจะเป็นฝ่ายพระก็ดีเป็นฝ่ายฆราวาสก็ดี ที่เราพาดำเนินอะไร ๆ อย่าด่วนเข้ามาคัดค้าน เข้ามาต้านทาน ขอให้คิดเสียก่อน เพราะอันนี้เราคิดเต็มเหนี่ยวแล้วเราค่อยออก เรียกว่าเป็นที่แน่ใจ ๆ ออก ที่เขามาคัดค้านแง่นั้นแง่นี้อาจไม่คิดก็ได้ อาจคิดตามหัวใจของทิฐิมานะความสำคัญต่าง ๆ ก็ได้ แล้วมาเป็นขวากเป็นหนามขวางทางเดินที่เราพิจารณาเต็มกำลังแล้ว พาพี่น้องทั้งหลายออก
เพราะงั้นเราจึงได้เตือน จะทำอะไร ๆ ขอให้ปรึกษาเราเสียก่อน อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนี้พิจารณาเต็มเหนี่ยวๆ ทุกอย่าง เราไม่ได้ทำเล่น ๆ นะ ทำกับพี่น้องทั้งหลายคราวนี้เรียกว่าเป็นชีวิตที่หนักที่สุดของเราก็ได้ ที่ช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้ช่วยด้วยความคิดอ่านไตร่ตรองทุกแบบทุกฉบับแล้วนำออก ๆ เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ นี่ก็กำลังนำอีกทางด้านทองคำก็ให้เป็นประเภทซึมซาบ ให้พากันพิจารณาตามนี้อีกนะ นี่เราคิดแล้วนะ เราไม่ได้คิดน้อย ๆ คิดสุดกำลังแล้วค่อยออกมา ออกมาแง่ไหนถ้าดำเนินตามนั้นจะเป็นมงคลตลอดไป
จึงได้เตือน อะไรที่เราพาดำเนินแล้วบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอย่าด่วนมาขัดมาแย้ง ให้พิจารณาเสียก่อน หรืออย่างหนึ่งก็ต้องมาปรึกษาเราเสียก่อน ความคิดเห็นเช่นนั้น ๆ การแสดงอย่างนั้นจะถูกหรือผิดประการใดให้มาปรึกษาเราก่อน เพราะที่เราคิดนี้เราคิดเต็มหัวใจแล้วออก ๆ ๆ ๆ ตลอดนะ อะไรเข้ามาขัดมาแย้งนั่นละจะมาทำลายส่วนนี้ให้เสียไป เราถึงได้เตือนไปไว้เสมอ
เวลานี้กำลังถูกโจมตี หลวงตาบัวญาณเสื่อม ได้ยินไปทั่วประเทศแล้วนะเขาว่าหลวงตาบัวญาณเสื่อม อีตาบัวไม่รู้ญาณมาจากไหนเจริญ ๆ พอจะได้เสื่อม มันก็มีแต่กล้วยหอมกล้วยไข่เท่านั้นเต็มอยู่นี่ ตอนเช้าบิณฑบาต ๕๐ ๖๐ บาท มาทีแรกร้อยกว่าบาท มันเจริญทางนั้นต่างหากหลวงตาบัว ไอ้เรื่องญาณเรื่องเยินไม่เห็นมีเจริญอะไร มีอะไรก็สอนโลกเต็มกำลังของตัวเองเท่านั้นเอง
นี่เขาก็โฆษณากันแล้วว่าหลวงตาบัวญาณเสื่อม อย่าไปเชื่อง่าย ๆ นะ เวลานี้หลวงตาบัวกำลังญาณเสื่อม ความหมายก็ว่าคือให้เชื่อเขาผู้ที่กำลังญาณเจริญ (ลูกศิษย์หัวเราะ) ที่ออกมาคัดค้านญาณเสื่อมของหลวงตาบัวอยู่เวลานี้ ถ้าจะเชื่อก็ให้เชื่อกับเขา ความหมายเขาว่าอย่างนั้นนะ คือเขาบอกว่าหลวงตาบัวญาณเสื่อม อย่าไปเชื่อ ความหมายของเขาให้เชื่ออาตมาหรือข้าที่เป็นญาณที่เจริญสุดยอด พระพุทธเจ้าสู้ไม่ได้ ว่างั้นเลย ใครจะไปเชื่อเขาก็ไป ใครจะมาเชื่อหลวงตาบัวญาณเสื่อมก็หามาทองคำ (ลูกศิษย์หัวเราะ) ซึมซาบมาเท่าไรตูมมาลูกเห็บมาเอาเลยไม่ถอย อันนี้จะว่าเสื่อมหรือไม่เสื่อม เข้าใจไหม ไม่ถอยว่างั้น
ฟังเอานะ นี่เขาโจมตีมาอย่างนั้นแหละ แต่สำหรับหลวงตาเองเราพูดตรง ๆ เราหมดทุกอย่าง คำตำหนิติเตียนทั้งหลายจะไม่เข้ามาถึงเลย เป็นคนละฝั่งละแดนแล้ว ดังที่พูดแล้ว ไม่มีสอง อันนี้เป็นเรื่องโลก ๆ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังหวั่นไหวอยู่ คอยฟัง เดี๋ยวสิ่งที่กีดขวางดวงใจพวกก้างขวางคอมันจะเข้ามาแทรกมาทางนั้นทางนี้ก็เตือนไว้ให้ทราบเฉย ๆ เข้าใจไหมละ ที่บอกว่าให้เปิดทางไว้ตลอดนั้นก็คือว่าทองคำ เอามาไหลซึมมา เป็นลูกเห็บก็มา ไม่ถอยอันนี้ อันนี้ไมเสื่อม ให้ทราบกันด้วยนะ ที่ญาณเสื่อมหลวงตาบัวเสื่อมนั้น เสื่อมทางหนึ่ง ทางหนึ่งหลวงตาบัวไม่เสื่อม บอกงั้นนะ เรื่องที่ว่าเฉพาะทองคำนี้เอามาๆ อย่าว่าแต่เป็นน้ำไหลซึม เอาตูมลงมาเป็นลูกเห็บ ๆ เป็นท่อนๆ มา หลวงตาบัวจะฟาดมันหมดแหละ
พูดอย่างนี้เราก็อดนั่นไม่ได้นะ มันหากเป็นเองในหัวใจดวงนี้นะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่เสียงสะท้านหวั่นไหว มีแต่เรื่องเสียงดุเสียงด่า เรื่องเด็ดเรื่องเดี่ยว ดุด่า สะเทือนไปหมด เราได้ยินมาตั้งแต่เป็นเด็ก ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาตั้งแต่เป็นเด็ก จนกระทั่งจะเข้าไปหาท่าน พอพระสีนวลมาเล่าให้ฟังเรื่องพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น มาจากบ้านนามน จากท่านอาจารย์มั่น พอว่างั้น หูกางเลย เหอ ๆ เอาว่าอีกพูดอีก มาจากบ้านนามน สำนักท่านอาจารย์มั่น ท่านมาจากนั้นก็มานี่เหรอ มานี่ เวลานี้ท่านอาจารย์มั่นยังอยู่นั้นเหรอ ยังอยู่นั้น
ผมถามให้ชัดเจนหน่อย ได้ทราบทั่วดินแดนเลยว่าท่านอาจารย์มั่นท่านดุด่าเก่ง โอ๋ย อย่าว่าแต่ดุด่าว่ากล่าวเลย พอขับท่านขับเลย แทนที่จะเป็นผลลบไม่เป็นนะ นี้แหละอาจารย์ของเรา ขึ้นทันทีเลย เป็นในใจนะ มันรับกันเป็นผลบวกไปเลยเชียว ครูบาอาจารย์องค์นี้ชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก ท่านจะดุด่าว่ากล่าวขับหนีใครอย่างหาเหตุผลไม่ได้นี้เป็นไปไม่ได้ นี้แหละคือครูบาอาจารย์ เอาเราจะเป็นตัวประกันเอง ไปเลยนะ เป็นจริง ๆ นะเราก็ดี เป็นตัวประกันให้เห็นต่อหน้าต่อตา ท่านจะดุด่าว่ากล่าวประเภทใด หรือขับหนี เอาขับเราให้เราเป็นตัวอย่างให้ได้เห็นชัดเจน เอาไป
ทีแรกคิดว่า นาน ๆ กว่านั้นถึงจะไป ไม่กำหนดวัน แต่จะไป พอได้ทราบสามวัน เตรียมของไปเลย พอไปก็ไปโดนจริง ๆ มันเก่งมันก็ไปเดิน พอไปก็อย่างว่า มืด ๆ ด้อมนั้นด้อมนี้ ใครมานี่ ท่านเดินจงกรมอยู่มืด ๆ ใครมานี่ อยู่ข้าง ๆ กระผม ก็ว่างั้น นี่ละขึ้นแล้วนะ พอว่ากระผม ผม ๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผม เปลี่ยนทันที กระผมชื่อพระมหาบัว ก็ว่าอย่างนั้นซี นี่ผม ๆ ใครจะไปรู้ แม้ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ เรายิ่ง โอ๋ย เป็นผลบวกเลยนะ ปลื้มใจ ถึงใจที่เรามุ่งใส่นี่อาจารย์ของเรา เข้าแล้ว หาที่ค้านไม่ได้ ท่านว่า ถ้าคนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน แย้งซิแย้งตรงไหน แล้วจากนั้น ผม ๆ แม้แต่เด็กมันก็มี ไม่มีที่ค้าน ยอมเลย นี่ละเป็นผลบวกทันทีเลย
ทีนี้เวลาไปอยู่กับท่านทั้งกลัว กล้าด้วยเหตุผล กลัวด้วยกิเลส กลัวท่านดุกลัวท่านด่าด้วยกิเลส กล้าด้วยเหตุผล ดุด่าก็ต้องฟังให้ถึงใจทุกอย่าง อยู่กับท่านนานมา ๆ ฟังไปที่ไหน ๆ หาที่ต้องติไม่ได้เลย ดุด่าว่ากล่าวขนาดไหน ฟังเป็นธรรมล้วน ๆ ไม่มีผิดมีเพี้ยนจากธรรม ยิ่งเด็ดขาดเท่าไรธรรมะยิ่งออกอย่างเด็ดขาด ๆ เป็นธรรมทั้งหมด ๆ ฟังไป ๆ ลงใจ เมื่อลงใจแล้วมันก็เป็นอันหนึ่งละนะ เวลาพระเณรไปหาท่านนี่ โอ๋ย กลัวตัวสั่น เราอยู่กับท่านมีแต่ความชุ่มเย็น ท่านดุเท่าไรยิ่งชุ่มเย็น ถ้าได้ยินเสียงแวดว้าดขึ้นมาเอาละทีนี้ฟ้าร้องแล้ว ฝนจะตกแล้วนะ คือฟ้าร้องเปรี้ยงป้างน่ากลัวก็จริง แต่ฝนตกลงมามันเย็น เข้าใจไหมละ พอได้ยินเสียงท่านแผดขึ้นมานี้ใครอยู่ที่ไหนวิ่งมา นั่นละฟ้าร้องแล้วนั่น ฝนตกลงมาจะเย็นในเวลานั้น ถ้าเวลาท่านเด็ด ๆ นี้ธรรมะทั้งนั้นเด็ด ๆ
ครั้นอยู่มา ๆ จนกระทั่งได้พูดกระซิบเบา ๆ แต่ไม่ได้กระซิบด้วยความประมาทท่านนะ ด้วยความลงใจของเราเรียบร้อยแล้ว หมู่เพื่อนยังไม่เข้าใจท่าน ความหมายว่างั้นนะ เรามันเข้าใจหมดแล้ว พอได้ยินด่าองค์นั้นองค์นี้ เอ้ยก็ว่าไปอย่างนั้นแหละ เราว่าอย่างนั้นนะ ความจริงหัวใจท่านไม่มีอะไร หมายความว่าอย่างนั้น เป็นธรรมล้วนๆ ออกมา จะเด็ดขาดขนาดไหนเป็นธรรมล้วน ๆ ออกมา ทีนี้มันก็ติดละซิคน จะไม่ติดได้ยังไง ก็มีแต่ธรรมล้วนๆ เสียงแผดเป็นเสียงฟ้าร้อง แต่ฝนตกมามันเย็น พอแผดขึ้นมาเสียงเปรี้ยงป้าง เอาละฝนจะตก
ครั้นต่อมา ๆ หลวงตาบัวนี้เขาก็ร่ำลือเหมือนกันแต่ก่อน เฉพาะหมูภรรยาของชายปั๋มเรานี่ละ ไปหาท่านอาจารย์ฝั้น สำหรับเราเราก็อยู่ตามภาษาเรา แล้วตอนนั้นเคร่งครัดเสียด้วยนะ มีแต่พระแต่เณรล้วน ๆ ไม่มีใครเข้าไปเจือปนเลย ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดมันก็มีเป็นธรรมดาของมัน ท่านอาจารย์ฟั่นท่านก็เลยถาม แล้วท่านมหาบัวละเคยไปหาท่านไหม ท่านดุไม่กล้าไปหาท่าน เหอ ๆ ขึ้นเลย มหาบัวดุเหรอ ไปนะ ๆ หาพระที่ไหนดุอย่างนี้ ไปนะ ขนาบใหญ่เลย
พอท่านอาจารย์ฝั้นมรณภาพแล้ว ก็พอดีโอกาสทางนั้นก็มาหาเรา มาเราก็เฉย ก็เราไม่มีอะไรกับใคร จนกระทั่งท่านอาจารย์ฝั้นมรณภาพ พูดไปสัมผัสเรื่องอะไรไม่รู้แหละ ไปถึงคำว่าดุด่า ไหนหมู แต่ก่อนว่าหลวงตาบัวดุ นี้มาอยู่กับหลวงตาบัวกี่ปีแล้ว เป็นยังไงดุหรือไม่ดุ แฮ่ ๆ เป็นอย่างนั้นแหละ ราชสีห์หรือเสือโคร่งวาดภาพลวดลายออกทั่วดินแดน พอเขามาแล้วเขาขึ้นนั่งบนคอเสียโคร่ง เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นนะพวกนี้ ดุเท่าไรมันยิ่งคลานเข้ามา ราชสีห์ไปไหนหมดก็ไม่รู้ มีแต่คลานขึ้นมาอยู่บนคอราชสีห์แล้วเดี๋ยวนี้ ถูกเขาลบลายหมด มันเป็นยังไงเป็นอย่างนั้น พิจารณาซิ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเหตุไร ก็เราไม่มีอะไรกับใคร ถึงจะพูดหนักเบามากน้อยจะเป็นธรรมล้วน ๆ จะเด็ดจะขาดขนาดไหนก็ตาม เรื่องกิเลสจะมาแทรกหัวใจเราออกเป็นพิษต่อพี่น้องทั้งหลายไม่มี บอกตรง ๆ เลย จะมีแต่ธรรมล้วนๆ เด็ดก็เด็ดเป็นธรรม ผู้ที่ฟังเพื่ออรรถเพื่อธรรมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปด้วยกันนั่นละ เอาละจบ
(โยมนำปัจจัยมาถวายหลวงตามีรูปหลวงปู่ผางท่านติดมาด้วย) หลวงตาผางนะนี่ หลวงปู่ผางเกี่ยวกับพวกงูพวกจระเข้ พวกสัตว์พวกงูมันเลื้อยอยู่ตามวัดตามวา ใครไปก็ตื่นเต้นกลัว เอ้ย กลัวเขาอะไรก็ลูกศิษย์พระ ท่านกับงูนี้ถูกกันดีมาก จระเข้ท่านเลี้ยงไว้ตัวหนึ่งอยู่ในสระท่าน พอได้ยินเสียงท่านหมอบเลย บางทีมันงับเขา ไปสร้างกุฏิบนกลางน้ำ พอเผลอจระเข้มางับเอา เสียงร้องโว้ยว้าย เขาไปบอกท่าน พอท่านออกมา ไหนมันไปไหนจระเข้ เขามาปลูกกุฏิให้เรา มันปลูกกุฏิไม่เป็นมันมาหายุ่งอะไร ท่านว่านะ โอ๋ย จระเข้มุดดินไปเลย มันกลัวหลวงพ่อผาง แล้วงูทั้งหลายเป็นเพื่อนท่าน ท่านเด่นทางเหล่านี้
แล้วญาณของท่านก็ดี นี้เห็นประจักษ์เลย หลวงปู่ผางไปภาวนาอยู่ทางน้ำหนาวนะ พอไปที่นั่น หลวงตาองค์หนึ่งก็ไปด้วยกัน นี้ละพญานาคมา เห็นต่อหน้าต่อตาเลยนะ พญานาคแสดงตัวเป็นงูเท่าต้นเสา ใหญ่กว่านี้นี่ ท่านก็เดินจงกรมไปทางหนึ่ง กลางวันตอนบ่าย ๆ นะ แล้วหลวงตาองค์นั้นก็เดินอยู่นั้น แล้วพญานาคนั้นมาหาหลวงตาซิ โผล่ขึ้นมานี้โอ๋ยอ้าปากขึ้นเลย หลวงตานั้นก็ร้องว้าก ๆ หลวงพ่อผางก็มา ร้องอะไรวะ งูใหญ่มันอ้าปากมันจะกัดผม ไหน นี่ ๆ ท่านก็เดินเข้ามา ไหนตัวไหน มันกำลังเดินยกปากขึ้น ไหนตัวไหนจะกินพระเหรอ ถ้ามึงจะกินพระก็กินกู เดินผึงเข้าไปพึบหายเงียบเลย นี่เป็นสด ๆ ร้อน ๆ เป็นพญานาคหายเงียบเลย กับพญานาคกับพวกงูเข้ากันได้ ท่านเด่นไปทางพวกงู พวกพญานาค พวกเทวดาก็มี เท่านั้นละ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|