เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อเช้าวันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ทุกข์ด้วยธรรม
นักเรียนนายร้อยนะที่บวชวัดบวรฯที่พากันมา อนุศาสน์หัวหน้าเขามา คืออนุศาสน์นี้เป็นอาจารย์สำหรับสอนพวกทหารทั้งหลาย มีประจำทุกแห่ง พวกอนุศาสนาจารย์ ส่วนมากมีแต่พวกมหาเปรียญละเป็นอนุศาสน์ประจำกองๆ ไปที่ไหน พอเห็นเราไปนี้ แหม เหมือนว่าหิวโหยเต็มที่นะ พวกอนุศาสน์นำหน้ามาเอาไปเทศน์ จังหวัดไหนเหมือนกันถ้าเราผ่านไปที่มีทหาร เช่นนครสวรรค์ ฟาดทั้งเช้าทั้งเย็นไปเลย โธ่ มันจะตายนะนี่ เทศน์ทั้งนครสวรรค์ ค่ายวีรประวัติหรืออะไรนี่ เราไปที่นั่น ไปที่ไหนถ้าเกี่ยวกับทหารต้องเอาเราไปเทศน์เลย
อย่างเมื่อวานนี้อนุศาสน์เขานำหน้ามา กับพวกพระทั้งหลายรวม ๑๘๐ องค์เมื่อวาน เราก็เทศน์ไปกลางๆ ไปเลยละ ให้ได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน ไม่มีเฉพาะทหาร ทั่วไปหมด เพราะธรรมนี่เข้าได้ทั้งนั้น เมื่อวานนี้เทศน์สี่กัณฑ์ ฟังซิน่ะ ตอนเช้าพูดที่นี่เทศน์ที่นี่บ้างแล้วก็ไปเขาฉลาก ชลบุรี สองกัณฑ์แล้ว กัณฑ์ที่สามเทศน์อบรมพวกนักเรียนจปร. ที่สี่ก็ค่ำ เมื่อวานนี้สี่กัณฑ์ ฟังซิน่ะ ของเล่นเหรอ
พวกอนุศาสน์เราผ่านไปเถอะมาเลยละ มาติดต่อขอไปเทศน์อบรมพวกทหาร ไม่ว่าที่ไหนๆ ถ้าเป็นทหารเราผ่านไปแล้วไม่ได้ต้องมาเอาไปเทศน์ ไม่ทราบที่ไหนบ้างได้เกี่ยวกับเรื่องทหาร พวกอนุศาสน์เขาละเป็นหัวหน้ามานำไป ไปเทศน์ เพราะเขาเทศน์ก็เต็มที่แล้ว พอเห็นเราไปก็ได้แบ่งเบาบ้างคงว่างั้นละท่า หรือเพื่อจะได้ฟังธรรมอะไรบ้างก็อาจคิดของเขา เพราะฉะนั้นไปที่ไหนถ้าผ่านทหารแล้วต้องได้เข้าไปเทศน์ทุกแห่งไป
ค่ายวีรประวัตินี้ โอ๋ย ฟาดทั้งเช้าทั้งเย็น ทั้งเช้าทั้งเย็น เทศน์หลายกัณฑ์นะ เพราะไปที่หน่วยนี้แล้วไปหน่วยนั้น แล้วไปหน่วยนั้นหลายหน่วยนะ ไปเทศน์หลายแห่งค่ายวีรประวัติ เทศน์มากกว่าเพื่อนคือค่ายวีรประวัติ นครสวรรค์ ไปพักอยู่นั่นสองคืนสามคืนเทศน์ไม่หยุด ตอนเช้าไปเทศน์ที่นี่ ตอนบ่ายไปเทศน์ที่นั่น ตอนเช้าเทศน์พวกทหารก็มีหลายขั้นหลายภูมิ ตอนนั้นพวกนี้ ตอนนี้พวกจ่าพวกอะไร ขึ้นนายร้อยเป็นหัวหน้า เทศน์เป็นลำดับลำดาไปเลย
เรื่องธรรมนี่เราเห็นสำคัญมากทีเดียว ถอดหัวใจนี้ออก เทศน์เท่าไรจึงไม่เคยจืดเคยจาง เพราะธรรมนี้ไม่เคยจืดจาง อยู่ในหัวใจนี้รสชาติเต็มเปี่ยมสม่ำเสมอ ท่านว่านิพพานเที่ยงก็คือธรรมเที่ยงนั่นเอง จะเป็นอะไรไป ไปที่ไหนเทศน์ๆ เรื่องธรรมเข้าที่ไหนเหมือนน้ำดับไฟ คือไฟกิเลสตัณหามันลุกลามอยู่ตลอดเวลา แสดงเปลวมากน้อยทั่วโลกดินแดน นี่คือไฟของกิเลส ไฟของกิเลสไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา มีตลอด ไฟที่เผาไหม้จิตใจของสัตว์โลกให้เกิดความเดือดร้อน มีอยู่ทุกแห่งทุกหน แต่ธรรมนั้นมีเป็นบางกาลบางเวลา นี่ละมันไม่ทันกัน
ธรรมน้ำดับไฟมีน้อยแต่ไฟมีมาก มันก็ไม่ทันกัน เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงท่วมท้น ความสุขแทบไม่ปรากฏ ถ้าผู้ใดมีธรรมบ้างความสุขจะค่อยปรากฏในจิตใจ ถ้าไม่มีธรรมอย่าไปหวังเลยนะ ที่จะให้กิเลสพาไปเป็นความสุขความเจริญไม่มีทาง เพราะกิเลสมีแต่กดลงๆ แล้วเอาอะไรมาหลอกให้ดีดให้ดิ้นตามมัน เพลินไป เหมือนกับเหยื่อล่อปลานั่นแหละ เบ็ดอยู่ในนั้น เหยื่อล่อมันก็อยู่ในปลายเบ็ดนั่นแหละ เหยื่อล่อไปๆ เลือดสาดๆ
สัตว์โลกเท่ากับปลาตัวโง่ เหยื่อล่อของกิเลส อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี นั่นคือเหยื่อล่อของกิเลส อะไรๆ ก็ดีแล้วก็มาเกาะปากๆ เลือดสาดๆ ที่ว่าดีๆ แล้วมันเป็นภัยเสียมากต่อมาก เพราะกิเลสบอกว่าดี ไม่ใช่ธรรมบอกว่าดี ถ้าธรรมบอกว่าดีดีเลย บอกว่าดี ให้ทำตามนั้นดี ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์เพื่อสุข กิเลสนี้บอกว่าดี ทุกข์ก็ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ต่างกันนะ เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นมากทีเดียวในโลก ถ้าใครยังต้องการความสมหวัง มันก็มีทุกหัวใจนั่นแหละ พูดออกมาให้ชัดๆ เสียเลยว่า ถ้าใครยังต้องการความสมหวังอยู่แล้วอย่าหนีจากธรรม ถ้าวิ่งไปตามกิเลสมีแต่ความผิดหวังๆ ทั้งนั้นแหละ
ถ้าวิ่งตามธรรมมี สมหวัง ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดขอให้มีธรรมในใจจะเป็นความผาสุกร่มเย็น ถ้าไม่มีแล้วคว้าน้ำเหลวๆ กันทั้งนั้นละ เราพูดนี่พูดตามหลักความจริง กิเลสเขามีหน้าที่บีบบี้สีไฟสัตว์โลก เป็นความสุขเป็นอาหารอันโอชาของเขา ต้องเอาธรรมเข้าชะเข้าล้าง เลือกเฟ้นอาหารประเภทใดเป็นภัยเป็นคุณ ธรรมต้องเลือกเฟ้นๆ เลือกทำแต่สิ่งที่ดีที่เป็นคุณแก่ตัวเอง อะไรที่เป็นภัยแล้วให้คัดออกๆ ถึงจะต้องการ อยากเท่าไรก็ตามไม่เห็นด้วย ไม่เอาด้วย ถ้าเชื่อธรรมผ่านได้ๆ ถ้าเชื่อกิเลสนี้จมได้ๆ ตลอดไปเลยนะ
เราจึงได้สอนพี่น้องทั้งหลายเสมอ อย่าให้ห่างไกลจากธรรมนะ เวลานี้ธรรมแทบไม่ปรากฏในโลกนี้แล้ว มีแต่กิเลสออกหน้าออกตาท่วมท้น ไม่มีฝั่งมีฝากิเลส ไปที่ไหนมีแต่เรื่องของกิเลสเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกข์กับกิเลสมันไปด้วยกัน จะไม่มีทุกข์ได้ยังไงโลกเรา ทุกข์ไม่มีความหมายเสียด้วยนะ ทุกข์วิ่งตามกิเลส หาฝั่งหาฝา หาความหมายไม่ได้ ทุกข์ด้วยธรรมนี่ทุกข์เพื่อสุข มีหวังๆ เป็นลำดับ ทุกข์มากเท่าไรก็เรียกว่าความสุขจะมากขึ้นๆ นี่เรื่องของธรรมต่างกัน
เรื่องความทุกข์ที่วิ่งไปตามกิเลสวิ่งเท่าไรยิ่งทุกข์มากๆ สุดท้ายก็จมไปๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจมนี้เพราะเหตุผลกลไกอะไร มันไม่ให้รู้นะ กิเลสไม่มีเหตุผล เอาความอยากเป็นเกณฑ์ กิเลสนี้เอาความอยากเป็นเกณฑ์เลย ไม่มีเหตุผลเหมือนธรรม ถ้าธรรมแล้วมีเหตุผล เหมือนกับคนไข้ เราเท่ากับเป็นคนไข้คนหนึ่งๆ ถ้าเชื่อหมอแล้วมีวันหายจากโรคจากภัย หมอแนะยังไงๆ ให้ปฏิบัติตามหมอ หมอเอายามารักษาประเภทใดก็เชื่อหมอมีทางผ่านพ้นไปได้ ถ้าคนไข้คนใดมันดื้อคนนี้เรียกว่าคนไข้ไม่มีหมอไม่มียารักษา เรียกว่าสัตว์ไม่มีเจ้าของ ตายได้ง่าย
กิเลสเป็นภัยต่อสัตว์โลก สัตว์โลกไม่มีธรรมเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้นจึงเสียได้ง่าย จมได้ง่ายตลอดไป ถ้ามีธรรมแล้วมีที่ยึดที่เกาะ เราจึงต้องสอนเสมอ เรื่องธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เวลามันมีแต่กิเลสนี้กิเลสเป็นเรื่องใหญ่ทั้งหมด ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสสำคัญทั้งนั้น เชื่อได้ง่ายด้วย เชื่อกิเลสเชื่อง่ายนิดเดียวๆ ถ้าธรรมแล้วแทบเป็นแทบตายมันก็ไม่เชื่อง่ายๆ แต่เวลาได้เข้าเชื่อธรรมแล้วทีนี้มันดูดดื่มนะ มันต่างกัน รสของธรรมกับรสของกิเลสต่างกันมากทีเดียว
ท่านจึงว่ารสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสกิเลสขนาดไหนก็ตามสู้รสของธรรมไม่ได้ ถ้ารสของธรรมได้แทรกเข้าในหัวใจแล้วคนนั้นมีหวัง มีหวังจะเบิกกว้างๆ ออกไป เบิกทุกข์ออกไป กระจายความสุขให้กว้างขวางออกไป ถ้าผู้มีธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีธรรมแล้วก็อยู่อย่างสัตว์ตกน้ำ เราดูเอาซิสัตว์ตกน้ำ หรือคนตกมหาสมุทรทะเลหลวง ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ มองหาฝั่งหาฝาที่จะเกาะจะยึดเพื่อรอดตายหรือพ้นภัยไปไม่มี เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา นี่คือคนไม่มีฝั่งมีฝา สร้างแต่ความชั่วช้าลามก ไม่ได้สร้างความดิบความดีพอที่จะเป็นเกาะเป็นดอนให้ยึดให้เกาะบ้างนะ
ที่จมอยู่ในน้ำมหาสมุทรผู้มีบุญมีกุศลมี หากมีอะไรมารับไปจนได้ อยู่ในท่ามกลางที่เขาว่ายน้ำป๋อมแป๋มผู้มีบุญมีกุศลหากมีเรือมารับ หรือมีสิ่งต่างๆ มารับ แล้วขึ้นเกาะ มีเกาะอยู่ใกล้ฝั่งใกล้ฝาผ่านไปได้ๆ ต่างกันกับคนที่ไม่มีฝั่งมีฝาเลย การสร้างบุญสร้างกุศลคือสร้างฝั่งฝาที่ยึดที่เกาะไว้เพื่อความพ้นภัย ควรจะอุตส่าห์พยายามด้วยกัน พี่น้องทั้งหลายให้เชื่อพระพุทธเจ้านะ เชื่อกิเลสโลกทั้งหลายนี่เชื่อมานานแล้ว จมกันมาตลอด เชื่อพระพุทธเจ้าผ่านพ้นไปเรื่อยๆ ตลอดเหมือนกัน ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้า
ทรงทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาหนักแสนสาหัส คือพวกโพธิสัตว์ โพธิสัตว์นี้รองทุกอย่าง เรื่องความทุกข์ความลำบากลำบนเกี่ยวกับบริษัทบริวารรับหมด โพธิสัตว์เป็นหัวหน้ารับไปหมดเลย คือเจ้าของตายไม่ว่า ขอให้บริษัทบริวารผ่านพ้นไปได้เป็นที่พอใจของนิสัยโพธิสัตว์ ถ้านิสัยกิเลสตัณหาเราพ้นไปเหยียบเขาลงพอ เราพ้นไปได้เหยียบหัวเขาจมลงไปนี้พอๆ นี่เรื่องของกิเลส เหยียบคนอื่นลงเพื่อยกเจ้าของแล้วมันก็จมลงไปด้วยกันนั้นแหละ คนมองไม่เห็นเพราะไม่มีธรรมเครื่องสอดส่อง ถ้ามีธรรมแล้วมองเห็น จึงมีเหตุมีผลสำหรับผู้มีธรรม ทุกข์ยากลำบากก็ให้ทนเอา
ถ้าว่าเอาพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างเป็นที่ยึด ให้ดูพระอาการความเคลื่อนไหวของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ท่านปรารถนาเป็นโพธิสัตว์มา ตัวอย่างโพธิสัตว์นี้จะไม่มีใครเหมือนเลย สละทุกสิ่งทุกอย่างโพธิสัตว์ มีบริษัทบริวารมากน้อยชีวิตจิตใจรองไว้หมดเลย ชีวิตของโพธิสัตว์รองบริษัทบริวารไว้หมด ตายก็ตาย เราตายก่อนเลย ออกหน้าทัพๆ คือโพธิสัตว์ เรายกตัวอย่างได้เช่น พาบริษัทบริวารไปเที่ยวหากิน พวกนายพรานเขามาดักข้างหน้า นี่ยกตัวอย่าง มีในชาดกนะ นี่ละอัธยาศัยหรือจิตใจของพระโพธิสัตว์
พาบริษัทบริวารไปเที่ยวหากินมากต่อมาก ครั้นไปแล้วไปจนตรอก แน่ะเห็นไหมล่ะ เขาดักไว้หมดแล้ว พอเข้าไปจนตรอกเขาจะรุมจะฆ่า ทีนี้ตั้งปัญหาขึ้นให้เป็นของแปลกประหลาด เคยมีที่ไหนล่ะ พระโพธิสัตว์ประกาศบอกบริษัทบริวาร บริษัทบริวารให้วิ่งย้อนหลังกลับไปหมดเราจะเข้าสู่สงคราม คือเข้าหานายพรานที่เป็นแหล่งเพชฌฆาตฆ่าสัตว์นั้นแหละ บึ่งเข้าไปเลยเข้าไปหาเพชฌฆาต ไม่สะทกสะท้าน บอกบริษัทบริวารให้ถอยหลัง ท่านจะออกหน้าคนเดียว นั่นฟังซิ
บึ่งเข้าไปนี้พวกนายพรานทั้งหลายใครก็จะจ้อจะยิง จะฆ่าทำลาย โพธิสัตว์วิ่งเข้าหาจุดนี้ วิ่งเข้าหาจุดนั้น วิ่งเข้าหาพวกนายพรานด้วยกัน ไม่วิ่งไปที่อื่น วิ่งเข้าหานายพราน เขาจะยิงที่ไหนก็ยิงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ นายพรานมันก็คนนี่จะยิงพวกเดียวกันได้ยังไง ตกลงวิ่งผ่านไปหมด ตกลงโพธิสัตว์ก็ไม่ตาย ยิงโพธิสัตว์มันก็จะถูกพวกนายพรานด้วยกัน พวกลูกน้องกลับหมดเลย แล้วไปพบกันใหม่
อย่างนี้ละความเสียสละของโพธิสัตว์ ใครคิดได้ไหมล่ะ พาบริษัทบริวารไปนั้น ถูกเขาล้อมนี้จะพาบริษัทบริวารตายไปด้วยกันหมด จะวิ่งหนีเขาเขาก็ฆ่าตายหมด แต่โพธิสัตว์ ปั๊บเข้าไปหาตัวสำคัญมหาภัยเลย ให้ลูกน้องอยู่ข้างหลังให้หลบหนี นายพรานนี้เข้าหาตัวข้าศึก บึ่งใส่จุดนั้นบึ่งใส่จุดนี้ วิ่งสอดนั้นสอดนี้ ใครจะยิงที่ไหนก็ยิงไม่ทัน ยิงได้ยังไง พอชี้ปืนเข้าไปที่ไหนก็พวกเดียวกัน มันจะถูกพวกเดียวกัน ตกลงโพธิสัตว์ผ่านได้พ้นได้ บริษัทบริวารก็พ้นได้
นี่ละนิสัยของโพธิสัตว์ ชีวิตนี้ไปรองไว้กับริษัทบริวารหมดชีวิตของตัวเอง ไม่มีราค่ำราคา เป็นผู้ใหญ่ท่านเป็นคติตัวอย่างท่านเป็นอย่างดี..พระพุทธเจ้า อะไรๆ ก็ต้องท่านรองรับไว้หมดเลย จึงเป็นผู้ใหญ่เป็นโพธิสัตว์นำหน้าบริษัทบริวารได้ พอได้ตรัสรู้แล้วก็มานำพี่น้องทั้งหลายบรรดาสัตว์โลกทั่วๆ ไป บรรดาสามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ อยู่ในข่ายแห่งโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วก็ได้รับความสุขความเจริญ นี่ละคำว่าธรรมเป็นอย่างนั้น นำสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์จากภัยไป ทุกข์ขนาดไหนสละเป็นสละตายอย่างพระโพธิสัตว์ สละตายเพื่อเพื่อนฝูง พระองค์ก็พ้นเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ เพราะอานิสงส์แห่งความสละตายนั่นเอง
ถ้าใครเห็นแก่ตัวพวกนี้ตายง่ายนะ ท่านเฉลี่ยความสุขให้แก่โลก เป็นอย่างนั้น เราก็อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ได้แก่เอา เดี๋ยวรีดไถที่นั่นรีดไถที่นี่ มีอำนาจใหญ่โตรโหฐานเท่าไรอำนาจของยักษ์มันก็ไปตามๆ กัน กลืนได้หมด ประชาชนคนทั้งแผ่นดินเป็นอาหารว่างของพวกยักษ์บ้าอำนาจนี้ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้ามีธรรมเย็นไปหมด ผู้ใหญ่ทรงคุณธรรมอำนาจมีทั้งพระเดชพระคุณ พระเดชควรเด็ดขาดก็เด็ดขาด ควรปรับไหมใส่โทษก็เอาด้วยความเป็นธรรม พระคุณผู้ที่ได้ดียกย่องเรียกว่าพระคุณ เป็นบุญเป็นคุณต่อสัตว์โลกตลอดมา
นี่ละธรรมฟังซิท่านทั้งหลาย อยู่ด้วยกันมนุษย์เรานี้อาศัยกันทั้งนั้นแหละ ใครจะอยู่คนเดียวไม่ได้ จนพระพุทธเจ้าทรงกระตุกเอา คือมองไปหน้าไหนไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลมีแต่หวังพึ่งผู้อื่นทั้งนั้น สัตว์ก็พึ่งพ่อพึ่งแม่เพื่อนฝูง มนุษย์ก็พึ่งพ่อพึ่งแม่เพื่อนฝูง และทั่วประเทศพึ่งกันทั้งนั้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้นให้เห็นใจกัน อย่าเอาแต่ใจตัวใหญ่กว่าโลกทั้งๆ ที่อาศัยโลก ให้คิดหัวใจของโลกของเรา เฉลี่ยเผื่อแผ่ ใครมีมากมีน้อยที่จะสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
อย่าเอาความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวมาเป็นใหญ่ เอาความเป็นใหญ่ประเภทป่าๆ เถื่อนๆ นี้ไปเหยียบย่ำทำลายผู้กำลังจมอยู่แล้ว ให้จมลงไปอีก ผู้กำลังขอความช่วยเหลืออยู่ให้จมไม่สมควร ผู้มาขอความช่วยเหลือไม่ได้มากก็ให้ได้น้อยกลับไป เขามาขอความช่วยเหลือแล้วไปทำลายเขามันเข้ากันไม่ได้นะ ธรรมทำลายไม่ได้นะธรรม มีความจนตรอกจนมุมที่ไหนเอาช่วยกัน ใครมีมากมีน้อยให้ช่วยกัน
คำว่าช่วยกันๆ นี้คือช่วยเรานั่นเอง ช่วยเขาด้วย ความลึกลับคือบุญกุศลนี้จะหมุนเข้ามาช่วยเราๆ ไปที่ไหนเวลาจนตรอกจนมุมจะมีผู้มาช่วยเหลือเรา อานิสงส์นี่ตอบรับกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าจะผ่านไป ช่วยเขาแล้วผลประโยชน์ที่จะไม่มีแก่เราไม่มีเลย อย่างนี้ไม่ได้นะ ช่วยเขามากน้อยเพียงไรก็ย้อนเข้ามาช่วยเราอยู่นั้นแหละ เวลาจนตรอกจนมุมเข้ามาทีนี้อำนาจแห่งการช่วยเหลือคนอื่นนั่นแหละกลับมาช่วยเหลือตัวเอง หากมีผู้มาช่วยเหลือจนได้ กรรมสนองกรรม คือกรรมดีสนองกรรมดี-คนดี กรรมชั่วสนองคนชั่ว
ให้พากันเอาธรรมไประลึกบ้างนะ เวลานี้โลกนี้ แหม มองดูแล้วจนอิดหนาระอาใจ พูดจริงๆ เราไม่ได้พูดเหยียบย่ำทำลายผู้ใด เอาธรรมออกพูด รู้สึกว่าเป็นฟืนเป็นไฟทั่วหน้ากัน ก็เพราะมีกิเลสนั่นเองเป็นผู้ก่อไฟอยู่ตลอดเวลา น้ำดับไฟที่จะนำมาดับนี้ไม่ค่อยมีกัน เพราะฉะนั้นจึงเอาธรรมนี้ติดตัว ติดใจ และติดกิริยามารยาทการแสดงออก ให้เป็นกิริยาช่วยเหลือกัน เรียกว่าน้ำดับไฟ โลกนี้ก็มีความชุ่มเย็นเป็นสุข
เราอยู่ด้วยกันอย่าไปถือว่าใครสูงใครต่ำนะ ที่ว่าสูงนั้นต่ำนี้ ชั้นนั้นชั้นนี้ นี่เป็นสมมุติอันหนึ่งที่เรียกกัน ตั้งกันอย่างผิวเผินนะ ที่ลึกลับจริงๆ สัตว์โลกนี้เกิดมาเพราะอำนาจแห่งกรรมด้วยกัน เกิดมาแล้วถึงได้รู้เรามีกรรมได้เกิดมาฐานะเป็นอยางนี้ๆ เบื้องหลังของเรามีความดีความชั่วหนุนมาอยู่แล้ว ถ้ามีความชั่วหนุนมาเกิดที่ไหนก็เกิดในสถานที่ไม่พึงปรารถนานั่นแหละ หากได้เกิดในที่เช่นนั้น เพราะเจ้าของสร้างแต่ความผิดหวังๆ ให้ผู้อื่นมากมาย แล้วก็ย้อนมาหาเจ้าของให้เป็นความผิดหวังไปได้ ถ้าเราสร้างความสมหวังให้ผู้อื่นช่วยเหลือกันตามกำลังของเรา ใครมีมากมีน้อยช่วยเหลือ นี่กลับมาช่วยเรานะ ให้พากันจำไว้ วันนี้ไม่พูดอะไรมาก เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|