เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ฟอกจิตโดยหลักธรรมชาติ
เราไปดูเจดีย์วัดอโศการามวันนี้เข้าไม่ได้นะ ว่าจะเข้าไปดูข้างในดูซอกแซกให้ทั่วถึง หาทางเข้าไม่เห็น เลยกลับมา เรากะวันที่ ๒๔-๒๕ ไปคราวนี้ถึงจะตั้งหน้าเข้าไปดูจริงๆ เจดีย์นี้เรามีความศรัทธาเลื่อมใส เทิดทูนมากทีเดียว ก็เพราะสิ่งที่จะมาบรรจุในเจดีย์ใหญ่อันนี้ก็คือพระธาตุๆ ของครูบาอาจารย์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ พูดให้เต็มยศก็คือว่ามีแต่พระธาตุของพระอรหันต์ทั้งนั้น เจดีย์ที่วัดอโศการาม เป็นพระธาตุของพระอรหันต์ๆ ทั้งนั้นจะมารวมอยู่ที่นั่น ให้พี่น้องชาวไทยเราได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ
นี่ที่เราพอใจ และเทิดทูนช่วยเต็มกำลังของเราที่จะช่วยได้มากน้อยเพียงไร เพราะเจดีย์นี้จะได้เป็นที่กราบไหว้บูชาของพี่น้องลูกหลานของเราไปเป็นเวลานาน พระธาตุที่จะมานี้ไม่น้อยนะ ท่านจะไปหามาบรรจุในเจดีย์นี้ เป็นพระธาตุน้ำหนึ่งๆ เราจึงพอใจ แล้วก็ช่วยเต็มกำลังของเรา งานเจดีย์นี้ให้เราเป็นประธานเราก็พอใจ เพราะอะไร ผู้ที่จะให้เราไปเป็นประธานในงานนี้คือใคร ก็มีแต่เพชรน้ำหนึ่งอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของเรามาโดยลำดับแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์จะเข้ามาที่นั่นทั้งนั้น และครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน
เฉพาะปัจจุบันนี้ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่แสดงออกซึ่งผลอัศจรรย์เหมือนครั้งพุทธกาลมีจำนวนไม่น้อย คือครูบาอาจารย์ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือสายหลวงปู่มั่น ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ อยู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผาที่ไหน ท่านอุตส่าห์พยายามปฏิบัติตนตักตวงเอาคุณงามความดีเด่นขึ้นๆ จนกลายเป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพานขึ้นมาอยู่ในหัวใจของท่าน เวลาท่านล่วงไปแล้วฤทธาศักดานุภาพแห่งความดีทั้งหลายก็มาประกาศทางร่างกาย ร่างกายนั้นกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ที่เราทั้งหลายจะได้กราบไหว้บูชา
เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราทำอย่างท่านไม่ได้ก็ขอให้ได้ส่วนบุญส่วนกุศลจากท่านมาเป็นสมบัติของเรา นี่ก็เป็นมหามงคลแก่เราด้วยกัน นี่ละที่เราอุตส่าห์พยายามช่วย ช่วยวัดอโศการามเราก็ได้พยายามช่วยเต็มที่ ได้ประกาศก้องให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้พยายามช่วยเหลือด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน เจดีย์หลังนี้จะเป็นเจดีย์อยู่ในท่ามกลางแห่งประเทศไทยของเราที่สำคัญมากเจดีย์หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
เจดีย์อย่างพระธาตุพนม นครปฐม เป็นเจดีย์ของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเจดีย์ของบรรดาสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ซึ่งรวมกันจำนวนมากที่จะมาบรรจุอยู่ในที่นั่น อย่างเวลานี้ที่นับได้ เราพูดให้ชัดๆ นี่คือภาษาของธรรม เราหาความดี หาความดีด้วยกันทุกคน ได้มาเล็กมาน้อยก็ปลื้มอกปลื้มใจ อนุโมทนาด้วยกัน ผู้ที่ไม่มีก็ให้พยายามหา ผู้ที่มีมาแล้วก็ให้เทิดทูนรักษาสมบัตินั้นๆ ขึ้นไปด้วยความรู้จักประมาณ อันนี้ความดีทั้งหลายออกจากพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรานี้เอง มาประกาศก้องอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ในวงกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นเรานี้แหละเห็นอย่างชัดทีเดียว เพราะท่านเหล่านี้ปฏิบัติก็เห็นอย่างชัดเหมือนกัน
องค์ไหนองค์ปฏิบัตินี่ แหม พิลึกนะ พวกเราทำไม่ได้ เราดูแล้วกับท่านทำได้ ทีนี้พวกเราเป็นไม่ได้ ท่านเป็นได้ นั่นซิ ให้เห็นชัดเจน เวลานี้ที่ออกอย่างชัดเจนคืออัฐิกลายเป็นพระธาตุ อัฐิของลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่มั่นเรานี้ ที่เวลาล่วงลับไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุไม่น้อยนะ เอา ลองนับดูซิผู้กำกับ นับให้ชัดเจนออกทางนี้ นับเรื่อยมา เราจะคอยฟัง ไม่น้อยนะที่ท่านตักตวงเอามรรคผลนิพพานที่เลิศเลอ ประกาศออกมาทางร่างกายของท่าน คืออัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ธรรมที่ท่านสอนโลกก็สอนไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในส่วนหยาบก็คืออัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุมีจำนวนไม่น้อยนะ องค์ไหน เอาว่าไปซิ
(หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่ตื้อ อันนี้เชียงใหม่นะครับ หลวงปู่หล้า หลวงปู่คำดี ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านอาจารย์สุวัจน์ ท่านอาจารย์จวน หลวงปู่ตัน ฝ่ายผู้หญิงคุณแม่แก้ว) ฝ่ายผู้ชายยังไม่หมดน้า เอะอะไปคว้าผู้หญิงมาแล้ว ผู้หญิงเดี๋ยวนี้มันขี้เกียจภาวนาจะตาย อย่าด่วนเอามา ตีไว้ก่อน เอาทางนี้ขึ้นก่อน เอาว่าไป (หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุยไม่ทราบว่า...) ใช่ๆ แน่เลย แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย ท่านผางองค์หนึ่ง ท่านผางลูกหลานหลวงปู่พรหม ดงเย็น นี่เป็นพระธาตุเงียบๆ นะ องค์นี้เป็นพระธาตุ
กี่องค์แล้วล่ะ (๑๗ แล้วครับ) นี่ละที่เพชรน้ำหนึ่งแสดงในท่ามกลางแห่งกรุงสยามของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ ได้เห็นชัดเจน (หลวงปู่ฝั้น) เออ หลวงปู่ฝั้น (เร็วๆ นี้ก็อาจารย์เจี๊ยะรับรองไหมครับ) เอาไว้ก่อน ให้เห็นชัดเจนเสียก่อน ค่อนข้างแน่ละ แต่เราอยากเห็นร้อยเปอร์เซ็นต์เราถึงจะออกประกาศ เราโกหกใครไม่เป็น ภาษาธรรมว่ายังไงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นใครจะมาว่าอะไรให้เรา โจมตีเรา โจมตีไปว่างั้นเลย ของจริงเป็นของจริง ของปลอมเป็นของปลอม โจมตีมาเท่าไรก็ปลอมมาเท่านั้น เข้าใจไหมล่ะ ของจริงมีอันเดียวจริงตลอด ของปลอมมีกี่หมื่นกี่แสนกี่ร้อยพันจมไปหมด เพราะเป็นของปลอม
เพราะฉะนั้นเราจึงพูดได้เต็มปาก อาจารย์เจี๊ยะนี้เราก็ค่อนข้างเชื่ออยู่แล้วละ แต่ยังไม่ประกาศโจ่งแจ้ง ให้เห็นของท่านเสียก่อน เพราะท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว เราก็บอกเป็นพระสำคัญ แต่ยังไม่เห็นพยานนั้นออกมา เราจึงเรียกว่ารอๆ นิดหน่อย ที่ให้รอก็รอ ที่ไม่แน่ก็ให้รอ ที่แน่แล้วอย่างนี้ออกได้เลย (อาจารย์ชาครับ) เออ อาจารย์ชาองค์หนึ่ง นี่ละลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นนะ อาจารย์ชานี่ก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายพ่อแม่ครูจารย์มั่นทั้งนั้น
กี่องค์ล่ะ (๑๘ แล้วครับ) นั่นฟังซิ (รุ่นเก่าหลวงปู่สิงห์) หลวงปู่สิงห์ได้ทราบว่าเป็นพระธาตุแล้วนะ ก็สมชื่อสมนามที่ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่วัดสาลวัน โคราช ท่านเป็นลูกศิษย์เรียกว่าต้นปีละ (ถ้านับก็ ๑๙ ครับ ถ้านับหลวงปู่สิงห์ก็ ๑๙ หลวงปู่ปิ่นครับ) อันนี้ไม่ค่อยชัดนะ หลวงปู่สิงห์นี้ชัดแล้วเป็นพระธาตุ คือวัดส่วนหยาบต้องเอาพระธาตุวัดกันตามหลักเกณฑ์ของตำรับตำราบอกไว้อย่างชัดเจน อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้นั่นคืออัฐิของพระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น ชี้ขาดเลย เมื่อออกมาอย่างนี้ก็ประกาศป้างเลยชัดเจน ธรรมดาผู้ที่จะออกมานี้ท่านทราบก่อนแล้วแหละ ตั้งแต่ยังไม่ตาย ครูบาอาจารย์องค์ไหนองค์ใดเป็นยังไงในวงปฏิบัติลูกศิษย์ลูกหาท่านทราบมาชัดเจนตลอด
อันนี้มาประกาศตอนสุดท้ายของท่านที่ล่วงไปแล้วเท่านั้นเอง สำหรับภายในที่ท่านอยู่ด้วยกัน ศึกษาอบรมมาด้วยกัน ท่านทราบกันมาตลอดๆ เลย เพราะวิถีจิตวิถีธรรมอาจารย์กับลูกศิษย์ไม่พูดต่อกันจะพูดต่อใคร การเทศนาว่าการเรื่องจิตใจ การดำเนินก้าวเดินเป็นยังไงๆ เพื่อมรรคเพื่อผลขั้นใดภูมิใด ท่านจะชี้แจงแสดงเหตุผล ท่านไม่ได้บอกว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นนั้นๆ ก็ตาม แต่ธรรมชาติที่ท่านนำออกนี้คือธรรมล้วนๆๆ ออกเป็นขั้นเป็นภูมิไปเลย นั่น ใครจะไม่ยอมรับ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ใกล้ชิดติดพันท่านทราบกันหมด เป็นแต่ว่าท่านไม่พูดเฉยๆ เงียบๆ เท่านั้นเอง อันนี้ออกมาเปิดเผยแล้วจึงประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
เมื่อสองสามวันนี้เราก็ได้พูดนี่นะ อันนี้จะเป็นองค์ท่านเองรู้ชัดในธาตุขันธ์ของท่านเอง คนอื่นไม่รู้ เวลามีชีวิตอยู่จิตของท่านสง่างามจ้าครอบธาตุขันธ์อันนี้ ครอบธาตุขันธ์นี้แล้ว เราก็บอกชัดเจนแล้วว่าจิตตั้งแต่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้ว นี่ละที่ว่าฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์นั้น ฟอกมาโดยลำดับ กระแสของจิตที่บริสุทธิ์นี้กระจายออกทั่วสรรพางค์ร่างกาย เรียกว่าฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นส่วนหยาบเหมือนคนทั่วๆ ไปนี้ให้กลายเป็นส่วนละเอียดเข้าไปๆ ท่านรู้ของท่าน จิตของท่านผู้ที่หลุดพ้นแล้วท่านรู้
คือร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์ ทีนี้เวลาจิตบริสุทธิ์แล้วนั้นการฟอกจิตนี้ฟอกโดยหลักธรรมชาติตั้งแต่วันบรรลุมา ฟอกนี่เรียกว่าหลักธรรมชาติอย่างละเอียดลออเรื่อยๆ ที่เด่นที่สุดก็คือเวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนาของท่าน นั่นละกระแสของจิตเข้ามานี้หมด ทีนี้พอเข้ามานี้หมดกระจายฟอกธาตุขันธ์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ท่านมองดูธาตุขันธ์ของท่านถ้าพูดเทียบกับโลกนี้เรียกว่าเป็นทองทั้งแท่งๆ อยู่ในนี้ แต่สายตาของเราก็เป็นคนเหมือนท่านๆ เราๆ แต่สายตาของธรรมท่านเห็นของท่านเอง เป็นเหมือนทองคำทั้งแท่งๆ พากันเข้าใจเสียนะ พูดอย่างนี้เคยได้ยินไหมท่านทั้งหลาย
นี่ละเรื่องธรรมที่บริสุทธิ์ดูเรือนร่างของตัวเอง เป็นส่วนหยาบก็รู้ชัดๆ เป็นโดยลำดับอย่างนี้ละ เวลาท่านมรณภาพไปแล้วจะไม่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง ก็กระจ่างอยู่ภายในตั้งแต่ท่านยังไม่ตายอยู่แล้ว ธาตุขันธ์ถูกซักฟอกเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดลออจนกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์ แต่สายตาของโลกก็เป็นธาตุขันธ์ธรรมดาเหมือนเรา แต่สายตาของธรรมที่เป็นผู้รับผิดชอบคือจิตที่บริสุทธิ์ของท่านครองร่างอยู่นี้ ท่านดูกระจ่างของท่านอยู่ตลอดเวลา เห็นชัดเจนหมด
ท่านทั้งหลายไม่ได้ฟังให้ฟังเสียนะ เราจะเปิดให้เต็มเหนี่ยว เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งที่มันโจมตีนั้นนี้มีแต่มูตรแต่คูถ อย่าเอามาเป็นสรณํ คจฺฉามินะ ให้เอา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มากราบไหว้บูชาและปฏิบัติตามนั้น ท่านทั้งหลายจะค่อยไต่เต้าขึ้นไปๆ อย่างนี้นะ ถ้าเชื่อตามกองมูตรกองคูถนั้นก็มีแต่มันจะฟาดลงพวกนี้ให้เป็นกองมูตรกองคูถทั้งหมด ธรรมนี้ดึงออกจากกองมูตรกองคูถ ถ้าฟังเสียงธรรมไม่ได้หมดค่าหมดราคามนุษย์เรา ฟังให้ชัดเสียนะ วันนี้เกี่ยวกับเรื่องอัฐิของพระอรหันต์กลายเป็นพระธาตุ
(ขอนแก่นหลวงปู่ผาง) เออ หลวงปู่ผางองค์หนึ่ง (เจ้าคุณอริยเวทีเร็วๆ นี้ครับ) เออๆ เจ้าคุณอริยเวที มหาเขียน ๙ ประโยค ทีแรกเราสงสัย ท่านก็อยู่ของท่าน แต่มีที่สำคัญอยู่คือว่าท่านส่งพระท่านมาหาเราเรื่อย มาอยู่กับเรา ส่งองค์นั้นไปแล้วขอองค์นี้กลับคืนไปนู้น แล้วส่งของท่านออกมาเรื่อยหาเรา เราไม่ทราบว่าท่านสนใจธรรมะของเรามากน้อยเพียงไร เวลาพอทราบว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ เอ๊ ท่านเป็นยังไง ยังงงๆ อยู่ ท่านก็อยู่เงียบๆ ของท่าน บทเวลามาทราบจากพระทีหลังนี้เทปของเราอยู่กับท่านหมดเลย ท่านฟังอย่างเงียบๆ เพราะฉะนั้นเวลาส่งพระมา ท่านจึงส่งจากวัดท่านมาหาเรา มาขอฝาก บางทีก็เขียนจดหมายมา บางทีก็ฝากคำมาพร้อมกับผู้มา ท่านเขียนจดหมายมาเองมาฝากเราให้มาอยู่ด้วยๆ
เวลาย้อนหลังไปนี้เทปของเรานี้มีทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ท่านเก็บไว้หมดท่านฟังโดยตลอดผู้เดียวเงียบๆ เราจึง อ๋อ ยอมรับ และอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้วนะ เป็นแล้ว เป็นเงียบๆ อย่างนั้น เพราะท่านฟังท่านปฏิบัติเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าท่านเอาธรรมของเราไปเป็นแนวทางอย่างไรหรือไม่ ที่ชัดเจนออกมาก็คือว่าพระของท่านจะส่งมาเรื่อย ส่งมาวัดเรานะ เงียบๆ แล้วก็ขอกลับคืนไปแล้วส่งมาใหม่ แล้วขอกลับคืนไปเรื่อยอย่างนั้นละ
กี่องค์แล้วล่ะ (๒๑ แล้วครับ) นู่นน่ะเห็นไหม ปัจจุบันนี้อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ๒๑ องค์แล้ว นี้คือพระอรหันต์ ๒๑ องค์ ท่านทั้งหลายยังไม่เคยเห็นศาสนาของพระพุทธเจ้าให้ดูเสียบ้าง อย่าดูแต่กองมูตรกองคูถที่มันหลอกลวงโลกอยู่นั้น เหยียบนั้นเหยียบนี้ ถ้าผู้ใดสร้างความดิบความดีแล้วมันไปหาเหยียบย่ำทำลาย จุดเผาไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีความดีจะสร้าง มันมีตั้งแต่ความชั่วช้าลามก คอยทำลายทางนั้นคอยทำลายทางนี้ คอยโจมตีที่นั่นโจมตีที่นี่ นี้คือพวกนี้ไม่มีชิ้นดี ไม่มีความดีติดตัว จึงแสดงออกตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ทำลายความดีคนดีทั่วทุกหย่อมหญ้าไปแล้วเวลานี้ จิตใจมันต่ำเท่าไรมันขึ้นเหยียบธรรมให้แหลกเหลวไปหมด ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้
หลวงตานี้จวนจะตายแล้วนะ จึงพูดให้ชัดเจน เราไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุ ขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มีในหัวใจเรา ผ่านหมดแล้ว นี่อวดหรือไม่อวด ท่านทั้งหลายฟังซิ ถ้าว่าอวดธรรมที่เราสอนท่านทั้งหลายเวลานี้ตั้งแต่เริ่ม ๒๔๙๓ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้กี่กัณฑ์ ฟังซิน่ะ เทศน์ทั่วประเทศไทย แล้วเทปเหล่านี้ยังออกทั่วโลกอีกด้วย อินเตอร์หนกเตอร์เน็ตออกหมด นี้อวดอุตริหรือไม่อวด ที่กองมูตรกองคูถมันฟ้องร้องอยู่เวลานี้ว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม มันจะฟ้องว่าหลวงตาบัวนี้เป็นปาราชิก หลวงตาบัวนี้ก็อวดเรื่อยตลอด เดี๋ยวนี้ก็กำลังอวดอยู่ เห็นหรือไม่เห็น
นี่ละธรรมกับกองมูตรกองคูถ ปากเราอมธรรม ปากพระพุทธเจ้าอมธรรม หัวใจพระพุทธเจ้าอมธรรม นำธรรมมาสอนโลกร่มเย็นไปหมด นี้ปากสาวกทั้งหลายอมธรรมๆ เพราะใจของท่านเป็นธรรม แสดงออกมานี้เป็นธรรมทั้งนั้น เรียกว่าปากอมธรรม สอนโลกไปที่ไหนโลกได้รับความร่มเย็นเป็นสุขๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนั้น นี้เราก็ปฏิบัติแทบเป็นแทบตายก็เคยเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังแล้ว เดนตายที่ได้มาสอนท่านทั้งหลายเวลานี้ เป็นของเล่นเมื่อไรเรามาสอนท่านทั้งหลาย พอจะมาฟังเล่นๆ กับเราได้เหรอ
นี่ก็ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ก็เล่าให้ฟังตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ไปอยู่บนภูเขาจะสู้กับกิเลส น้ำตาร่วงร้องไห้อยู่บนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ หงายหมากลับมาๆ หาพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว คือจิตมันไม่ถอย มันจะเอาให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มันปักอยู่อย่างนั้นหนักแน่นมาก เรียนหนังสือก็เรียน แต่ภาวนาไม่ละ หากไม่พูดให้ใครฟัง บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นนักศึกษาด้วยกันนักเรียนด้วยกันนี้ เขาก็เป็นลิงเป็นค่างแบบพระนั่นแหละ ไอ้เราก็เป็นลิงเป็นค่างแบบพระแบบเราแบบเขาเหมือนกัน
เวลาพูดเรื่องมรรคเรื่องผลมานี้เดี๋ยวคนนั้นจะหัวเราะเยาะเย้ยเอาใช่ไหมล่ะ เราไม่พูด แต่ภายในทำไม่หยุด ภาวนาอยู่คนเดียวไม่ให้ใครรู้นะ ภาวนาอยู่คนเดียว เรียนหนังสือก็ภาวนาไม่หยุดไม่ถอยตลอด กับเพื่อนกับฝูงแบบลิงแบบค่าง แบบตลก เป็นในวงของพระนั่นแหละ ตลกก็ดีหรือหัวเราะก็ดีในวงของพระ ทำกับเขาได้สบาย แต่ภายในนี้ไม่เคยออก เรื่องจิตตภาวนาเราไม่เคยพูด พอออกแล้วก็ดีดผึงเลยทีเดียว พอถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านใส่เปรี้ยงๆ ถึงจิต
ตั้งแต่บัดนั้นเอาชีวิตเข้าแลกเลยเอาตายเลยคราวนี้ ได้ฟังธรรมะของท่านอย่างถึงใจ ไม่มีที่สงสัยแล้ว ทีนี้เราจะจริงหรือไม่จริง ต้องจริง ไม่จริงต้องตายเท่านั้น นั่นฟังซิพูดเจ้าของ ไม่จริงต้องตายเท่านั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะธรรมนี้ถึงใจเต็มเหนี่ยวแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาเราตะเกียกตะกายเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นเวลา ๙ ปีเต็ม ฟังให้ชัดพี่น้องทั้งหลาย นี่ละที่ว่าสมบุกสมบัน เฉียดสลบไสล แต่เราไม่เคยสลบไสลเราก็บอกไม่สลบ เฉียดไปเฉียดมาอยู่งั้นตลอด จนกระทั่งถึง ๒๔๙๓
นี่ละที่ฟัดกันไปฟัดกันมาตั้งแต่พื้นๆ นั่งร้องไห้อยู่บนภูเขา จนกระทั่งถึงว่ากิเลสตัวไหนเก่ง เอาๆ มาๆ นู่นเห็นไหมทีนี้ธรรมแก่กล้าแล้วนะ ทีนี้เวลาพิจารณาไปธรรมละเอียดเข้าไปๆ กิเลสมันก็ละเอียดของมัน ค้นคุ้ยเขี่ยหาที่ไหนก็ไม่เจอๆ ทีนี้มันก็ออกละซิ แต่นี้ไม่ได้สำคัญนะ มันออกตามเวลากิเลสมันไม่แสดงตัว เหอ นี่กิเลสมันไปไหนหมด มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ ว่าให้เจ้าของนะ มันไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ กิเลสไม่เห็นมีสักตัวเดียวมันไปไหน เป็นแต่เพียงว่าเราไม่สำคัญว่าเราเป็นนะ คือหาไม่เจอก็ว่าเฉยๆ นี่แหละ เราก็ไม่ลืมความคิดของเรา
ทีนี้เวลาฟัดกันไปฟัดกันมา ถึงขั้นละเอียดเข้าไปกิเลสเหมือนไม่มีนะ มันละเอียดสุดยอด มหาสติมหาปัญญาล้างไปหมดเลย มหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลย สติปัญญาอัตโนมัติยังเหมือนเขายำลาบนะ ปั๊กๆๆ สติปัญญาอัตโนมัติ พอก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาแล้วซึมไปเลย นี่ละมหาสติมหาปัญญาประเภทนี้มันซึมกับกิเลส กิเลสซึมไปไหนซึมตามกันไปเลยเป็นหลักธรรมชาติ เราไม่ต้องมีเจตนาว่าจะละกิเลสละ หลักธรรมชาติของธรรมที่มีกำลังแล้วเป็นอัตโนมัติ ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัตินี้ละฆ่ากิเลสแก้กิเลสไปโดยลำดับ ได้รั้งเอาไว้ เวลากิเลสหนาแน่นนี้มันเอาหัวฟัดหัวแฟง ล้มลุกคลุกคลานไปตลอดก็รู้ในหัวใจของเรา
แต่เวลาธรรมแก่กล้าขึ้นมาเพราะการบำเพ็ญนี้ กิเลสค่อยอ่อนลงๆ ทีนี้เวลากิเลสมันอ่อนลงเต็มที่แล้ว คุ้ยเขี่ยหาเท่าไรก็ไม่เห็น มันไปไหนก็ไม่เห็น เงียบเลย มีแต่ธรรมจ้า คอยตี คอยฟัด คอยเผา พอแพล็บมาขาดสะบั้นเลย นี่ละธรรมเวลามีกำลังกล้าท่านทั้งหลายฟังเอานะ ในหัวใจของเราที่กิเลสกล้าแข็งแต่ก่อนนั้นแหละ มันฟัดหัวเราลงหมอนตูม ตกจากหมอนลงกุฏิก็มี อย่างที่ว่าเณรผองฟัดกับกิเลส อยู่ในห้องนั่งภาวนามันง่วง มันเป็นยังไงมันถึงง่วงนัก จะออกไปข้างนอกไปอยู่เฉลียงข้างนอก นั่งหมิ่นๆ อย่างนี้ละ เอ้าถ้ามันง่วงคราวนี้ให้มันตกเลย พอไปนั่งฟังเสียงตูม ตกจริงๆ สู้กิเลสไม่ได้
อันนี้เวลามันเป็นของมันก็เป็นอย่างนั้น ถึงเวลาธรรมะมีความสามารถขึ้นมาแล้วนี้กิเลสจะหมอบๆ ถึงขนาดที่ว่าไม่แสดงเลย ถึงจะมีอยู่ในจิตก็ไม่แสดง จึงได้เป็นความคิดขึ้นมาว่า เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ กิเลสมันหายหน้าไปไหนหมดไม่เห็นมี มันใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ เป็นแต่เพียงว่าเราไม่สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์เท่านั้น คือว่าเอาตอนกิเลสไม่มี ทีนี้บทเวลาซัดกันไปซัดกันมา ขึ้นถึงฟ้าดินถล่ม ปรากฏว่าเหมือนสามแดนโลกธาตุหวั่นไปทั่ว หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร ทีนี้เลยไม่ถาม อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่เลยไม่ถาม
จากนั้นมาเพื่อนฝูงก็รุม แต่ก่อนก็รุมอยู่แล้วไอ้เรื่องรุม เราหากไม่เอา ปัดๆ หนีเหมือนขโมยโจรผู้ร้ายหนีเจ้าหน้าที่ เพื่อนฝูงรุมๆ เพราะพ่อแม่ครูจารย์เสียไปแล้วไม่มีที่เกาะ เราก็หลบนั้นหลบนี้ไปองค์เดียวๆๆ เพราะอยู่กับใครไม่ได้ ถึงวาระที่อยู่กับใครไม่ได้อยู่ไม่ได้นะ ต้องอยู่องค์เดียว หมุนติ้วตลอดเวลา กลางคืนกลางวันไม่หลับไม่นอน ต้องบังคับให้หลับ เรียกว่ารั้งเอาไว้ คำว่าความเพียรไม่มี ถ้าว่าเพียรก็เพียรเพื่อความพ้นทุกข์ไปนู่นเสีย แต่ความเพียรในประโยคพยายามไม่มี มีแต่ความเพียรกล้าๆๆ ผาดโผนโจนทะยาน
ถึงต้องบังคับให้หลับให้นอน บังคับด้วยพุทโธ บังคับเข้าสู่สมาธิด้วยพุทโธ เราไม่ลืมเราเป็นเอง เวลามันหมุนออกทางด้านปัญญาฆ่ากิเลสเป็นอย่างนั้น เอาจนกระทั่งถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา กิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว ทีนี้อรหันต์ใหญ่ก็ไม่ถามอรหันต์น้อยก็ไม่ถาม นั่นละเริ่มสอนโลกมาตั้งแต่พระเณรเข้าไปเกี่ยวข้องจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จำนวนมากขนาดไหนสอนโลก เอาฟังซิวันนี้น่ะ กี่ปีมาแล้วนี่สอนโลกจากหัวใจดวงนี้ซึ่งเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว ใครจะว่าเราอวดไม่อวดเอ้าว่ามา ไอ้พวกกองมูตรกองคูถให้มันว่ามา ธรรมเต็มปากจะพูดออกมาจากหัวใจเต็มหัวใจ พูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตายแล้วจะไม่มีใครพูดอย่างนี้นะ
ธรรมพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ขึ้นมา ทำโลกให้มีความสงบร่มเย็นจนกระทั่งพ้นทุกข์ไปจำนวนเท่าไร นี้ธรรมอันเดียวกันไปสอนโลกจะเป็นความเสนียดจัญไรต่อโลก ทำความฉิบหายต่อโลกได้ที่ตรงไหน เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูด ใครเก่งว่าเราอวดอุตริ อวดอุตริข้อไหนเอาว่ามา นั่น เราจะถาม ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงนิพพานเอาถามมา การที่เรามาพูดแสดงธรรมมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ เราพูดโกหกมายาสาไถหลอกลวงประชาชนทั้งหลายพอที่จะกล่าวว่าเราอวดอุตริ ผิดที่ตรงไหน ค้านมา
นี่เราก็บอกแล้วให้ค้านมา ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงนิพพานเลยให้ค้านมา เราจะตอบทันทีทีเดียว ก็ไม่เห็นใครค้าน มีแต่เห่าว้อๆ อยู่อย่างนั้น นี่ละกองมูตรกองคูถมันคอยโจมตีของดิบของดีอรรถธรรมที่โลกทั้งหลายบูชากันตลอดเวลา กองขี้กองมูตรกองคูถใครบูชามัน ใครชอบมัน มันก็ยังเอามาอวดธรรมอยู่โดยดีเห็นไหม นี่ละความหยาบโลนของจิตใจดวงเดียวนี้แหละ จิตใจพระพุทธเจ้า จิตใจพระอรหันต์ทรงธรรมอันเลิศเลอ จิตใจของมูตรของคูถนี้ทรงตั้งแต่มูตรแต่คูถ เข้าใจไหมล่ะ แล้วกระจายออกมาเหม็นคลุ้งไปหมดเลย ท่านทั้งหลายจะฟังทางไหนฟังเอานะ
เวลานี้กำลังหนาแน่นจิตใจที่ต่ำทราม เหยียบย่ำทำลายธรรมที่เป็นของเลิศเลอให้ล่มจมลงไป มันจะยกตัวกองมูตรกองคูถของมันเป็นผู้เลิศเลอครองโลก ผลของมันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผากันไปตลอดอย่างนี้ละ เราพูดให้ฟังเสียวันนี้ การเทศนาว่าการมากน้อยเพียงไร ตั้งแต่ ๒๔๙๓ จนกระทั่งป่านนี้ ๕๕-๕๖ ปีนี้แล้ว ธรรมท่านทั้งหลายก็ได้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอที่ได้เทศน์นี้ เทศน์มากี่ปีกี่เดือนออกสังคมที่ช่วยชาติบ้านเมืองนี้ทั่วประเทศไทยกี่กัณฑ์การเทศน์ ไปหามาจากไหนธรรมนั่นน่ะ ถ้าพูดถึงการเรียนจะเอาเรียนมาจากไหนจึงได้เอามาพูดได้ พูดให้เต็มยศออกจากใจทีเดียว ภาคปฏิบัติ
ธรรมเกิดจากพระทัยพระพุทธเจ้า กระจายออกไปเป็นพระไตรปิฎกจดจารึกออกไป นั้นเรียกว่าธรรมนอกไปแล้ว ธรรมภายในคือธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมแล้วบรรจุธรรมไว้เต็มเอี๊ยดในนั้น ออกนั้นมามันก็เข้านี้ เราเรียนมามากน้อยเราก็เรียน ฟังซิว่าทางปริยัติก็จนเป็นมหา แต่เวลาปฏิบัติเข้าไปๆ เรื่องนั้นมันค่อยจางไปๆ มันหมุนเข้ามาทางภาคปฏิบัติ ทีนี้พอรู้พอเห็นปฏิบัติ การถอดถอนกิเลสถอดถอนที่ใจๆ จากภาคปฏิบัติเรื่อยๆ มากระจ่างขึ้นๆ ทางปริยัติก็เป็นแบบแปลนแผนผังชี้บอกเข้ามาๆ เราก็นำแบบแปลนแผนผังของปริยัตินั้นเข้ามาปฏิบัติตัวของเรา ผลก็ปรากฏขึ้นมาๆ อย่างที่ท่านทั้งหลายเห็น
นี้ละผลแห่งการปฏิบัติ ไม่ว่าสมัยใดก็ตามขอให้มีปฏิบัติ ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน นั่นละแบบแปลนแผนผัง ปฏิบัติให้นำแบบแปลนแผนผังที่ศึกษาเล่าเรียนนั้นมาปฏิบัติตนเอง เหมือนเราเอาแบบแปลนออกมาปลูกบ้านปลูกเรือน ถ้ามีแต่แปลนเฉยๆ เต็มห้องก็เป็นแปลนเฉยๆ ไม่เป็นบ้านเป็นเรือนนะ ถ้านำออกมาปลูกสร้างเป็นภาคปฏิบัติก็ปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมา จนกระทั่งตึกรามบ้านช่องสมบูรณ์จากแบบแปลน อันนี้นำมาปฏิบัติ ธรรมะทั้งหลายก็เกิดขึ้นๆ
ศีลไม่ต้องพูดมั่นคงอยู่แล้ว สมาธิความสงบร่มเย็นของใจ ปัญญาทุกขั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติทั้งนั้น ความรู้ของจิตนี้เวลาได้รู้แล้วไม่มีขอบเขต พูดให้ฟังชัดเจน การศึกษาเล่าเรียน เรียนหนังสือเล่มเดียวถ้าเราอ่านไม่จบตรงไหนๆ ตรงนั้นเราก็ไม่รู้ จำไม่ได้ เราจะจำได้ที่เราอ่านผ่านไปๆ เท่านั้น แต่เรื่องหัวใจนี้เวลาได้ปรากฏธรรมขึ้นมา คือจิตกระจ่างแจ้งขึ้นมา เพราะกิเลสตัวมืดมิดปิดตามันจางออกๆ ธรรมกระจายออกๆ ความรู้ความเห็นที่เกิดจากธรรมล้วนๆ นี้จะแสดงตัวตลอดเวลา
ทีนี้เราเทียบให้อย่างชัดเจนก็คือว่า สภาวธรรมทั่วโลกธาตุนี้เป็นเหมือนเชื้อไฟ จิตใจที่เป็นนักรู้นักเห็นเป็นเหมือนไฟ สภาวธรรมทั้งหลายมีมากน้อยใจนี้จะตามรู้ตามเห็นสอดแทรกไปหมด เหมือนกับว่าไหม้ไปหมดๆ นี่ละภาคปฏิบัติเวลารู้รู้อย่างนั้น ใครจะมาเหยียบพระพุทธเจ้าได้เหรอ พระไตรปิฎกอันนี้ออกผิวเผินนะ พระไตรปิฎกอันแท้จริงที่เลิศเลอคือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม นั่นละธรรมเกิดที่นั่น อยู่ที่นั่น พระสาวกทั้งหลายเกิดที่นั่น อยู่ที่นั่น แสดงออกจากที่นั่น
นี้ธรรมอันเดียวกันผู้ปฏิบัติก็ปฏิบัติตามธรรมอันเดียวกัน ผู้รับรู้ธรรมทั้งหลายก็คือใจ ภาชนะรับธรรมก็คือใจอันเดียวกัน แล้วจะผิดแผกแปลกต่างไปไหนพอที่จะพูดไม่ได้ พูดออกมาแล้วว่าโกหกหลอกลวง ตัวหัวมันตั้งแต่โคตรแซ่ของมันมันก็ไม่เคยปฏิบัติ แล้วมาอวดตัวเฉยๆ ว่าเรารู้เราฉลาด กองขี้กองนั้นน่ะเข้าใจไหม ธรรมท่านไม่เป็นกองขี้ อวดเท่าไรขี้ก็เป็นขี้อยู่อย่างนั้นจะให้ว่าไง ทองคำก็เป็นทองคำทั้งแท่ง จะเข้ากันได้ยังไง นี่ธรรมเป็นธรรม มูตรคูถเป็นมูตรคูถ พากันจำเอานะพี่น้องทั้งหลาย
พูดถึงเรื่องธรรมะเป็นของเลิศเลอมาตลอด เป็นอกาลิโก ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา ขอให้ปฏิบัติเถอะน่ะ เหมือนการทำบาป ทำบาปก็เป็นอกาลิโก ทำเมื่อไรเป็นบาปเมื่อนั้น ไม่ว่าทำมากทำน้อยเป็นบาป ไม่มีที่แจ้งที่ลับเป็นอยู่กับเจ้าของผู้ทำ การทำความดีงามทั้งหลายก็ไม่มีที่แจ้งที่ลับ อยู่กับผู้ทำ จากนั้นแล้วถึงขนาดที่ท่านบรรลุธรรมดังที่กล่าวมานี้ เวลานี้พอนับได้ตั้ง ๒๐ กว่าองค์ (ขอเสนออีกสองชื่อครับ หลวงปู่กงมา กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร) เออๆ ใช่ นี่แน่แล้วทั้งนั้นนะ ผู้ที่ยังไม่ตายอยู่ในป่าในเขาว่าไม่มีหรือเวลานี้น่ะ ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านบำเพ็ญ ท่านตักตวงของท่านเงียบๆ มีน้อยเมื่อไร
มันมีแต่เป็นหลวงตาบัวปากเปราะนี้เท่านั้น โดดออกมายุ่งเป็นบ้ากับโลกกับสงสารนี้ตลอดเวลา นอกนั้นท่านก็ไม่มายุ่ง ท่านอยู่สงบเสงี่ยมงามตา มันไม่งามตั้งแต่หลวงตาบัววอกๆ นู้น วอกๆ นี้ เรานี่ละออก แต่ก่อนไม่ออก เทศน์ก็เทศน์อยู่ในเทปๆ มีแต่ธรรมะหม้อเล็กหม้อจิ๋วสอนพระนี้ดิ่งๆ เลยเชียว พอออกช่วยชาติบ้านเมืองแกงหม้อใหญ่ก็มา แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วมีน้อยมาก ถ้าสถานที่ใดมีพระเจ้าพระสงฆ์ตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรมแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งคือวงกรรมฐานธรรมะที่จะออกเป็นแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว แทรกกันไปกับแกงหม้อใหญ่นั่นแหละ ถ้าที่ไหนไม่มีทางภาคปฏิบัติก็เป็นแกงหม้อใหญ่เทศน์สาธารณะทั่วๆ ไป ก็เทศน์มาอย่างนี้จะให้ว่าไง
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าเราเปิดอยู่ในหัวอกของเรา เราไม่เคยสะทกสะท้านกับอะไรในสามแดนโลกธาตุ เราไม่มี เรื่องกิริยาอาการทุกอย่างนี้เอามาใช้ในวงสมมุติทั้งนั้นแหละ ธรรมชาตินั้นผ่านไปหมดแล้ว ไม่ได้มีอะไร ว่าโทษว่าบาปว่าบุญไม่มี พูดจริงๆ จิตที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าโทษว่าบาปว่าบุญเป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมชาติที่เป็นวิมุตติหลุดพ้นแล้วผ่านหมดแล้ว กิริยาที่มาใช้เหล่านี้ใช้อยู่ในวงสมมุติเท่านั้นเอง เขาว่าอะไรก็ว่าไปตามเขา ว่าดีก็เอ้าดีนะ เขาว่าชั่วก็ว่าไปตามเขา เป็นกิริยาท่าทาง รักษากิริยาท่าทางอันเป็นสมมุติเหมือนกันกับทั้งเขาทั้งเรานี้ให้อยู่ในความเหมาะสมสวยงาม สังคมยอมรับเท่านั้นเอง ธรรมชาตินั้นไม่มีอะไรคาดถึงแล้ว มีแต่ธาตุขันธ์ที่อยู่ในวงสมมุติก็ปฏิบัติให้เหมาะสมกับสมมุติที่สังคมยอมรับกันเท่านั้นละ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|