เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ธรรมทั้งหลายเป็นในใจจากภาคปฏิบัติ
(หลวงตาหมอดูเขาดูนะคะว่าบ้านเมืองเราจะตีกันใหญ่ เกิดโกลาหลกันใหญ่) เราอย่าให้ไปกันใหญ่เหมือนเขานะ เขาไปกันใหญ่เราอยู่คนเดียวเราไม่ไป สบาย เอ้าพูดจริง ๆ นี่จะไปไหนก็ไปเถอะไปกันใหญ่ เราไม่ไป บอกงั้นเลย อยู่เหนือหมดเลย พูดให้ชัด ๆ อย่างนี้ละ กิริยาท่าทางเหล่านี้เอามาใช้ในสมมุติต่างหาก ธรรมชาตินั้นเราไม่สนใจกับใครละ สุญฺญโต โลกํ โลกอันนี้มันเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไรตื่นมันหาอะไร แน่ะก็เท่านั้นเอง มันมีความสุขเมื่อไร ยุ่งเหยิงวุ่นวายมาตลอด ไม่มากก็น้อยมาเรื่อย ๆ ถ้ามีธรรมแทรกเข้าก็สงบลง ๆ
(โยมกราบถวายปัจจัยห้าหมื่นบาท) ก็พอดีละ มาเท่าไร ๆ หมดเลยนะ ไม่มีที่จะเข้ามาเราพูดได้จริง ๆ เลยนะ ไม่เห็นปรากฏว่าได้ซื้อนั้นนี้มาให้เรา มีเท่าไรก็ออกตลอด ๆ อยู่อย่างนี้ละ ไม่ได้หยุดแหละช่วยโลก ช่วยเต็มกำลังความสามารถ เพราะฉะนั้นมันจะยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้เป็น เราให้ด้วยความชุ่มเย็น ให้ด้วยความเมตตาเท่านั้น เราจึงไม่มีอะไรยุ่งกับใคร
(หลวงตาค่ะประเทศไทยจะเป็นยังไงค่ะ) จะเป็นยังไงก็เป็นไทยอยู่นี่แล้ว จะเป็นอะไรอีก หรืออยากเป็น เราพูดกระซิบกันนะ หรืออยากเป็นไอ้หางงอ ๆ นั่นเหรอ (หมาอีกแล้ว) ก็เรากระซิบกันอย่าพูดดังนักซี (คนดีก็ว่าหมา คนชั่วก็ว่าหมา) มันดีอยู่นะหมาเรา ครั้นเอะอะแล้วหมา โอ้ย เคียดแค้นจริง ๆ นะพอเขาว่าหมา แต่ทุกบ้านมันเลี้ยงหมาไว้หมด รักเจ้าของที่สุด ซื่อสัตย์สุจริตต่อเจ้าของใครจะเกินหมาวะ ว่าหมานี่มันอ่อนนุ่มดีนะหมา สุนัขยังแข็ง สุนัขแปลว่าสัตว์มีเล็บดี ไอ้หมานี่อ่อนนิ่มเลย (ทำบุญอะไรได้เป็นหมาหลวงตา เป็นหมาวัดป่าบ้านตาดนะคะ) มันเป็นตรงที่มันว่าตะกี้นี้แหละเข้าใจไหม ตรงได้ยุ่งหางหมาตัวนี้ละ
ฝนมันมาตกอยู่กรุงเทพฯ ทางนู้นแห้งแล้งมากนะ ฝนเทียมก็ไม่ค่อยตกเท่าไรนัก เล็ก ๆ น้อย ๆ ทางภาคอีสาน มันคงไม่มีเมฆประกอบหรือไง ฝนมันถึงไม่หนัก ว่ามีฝนเทียมไปทางภาคอีสาน แต่ฝนไม่ค่อยมีนัก หากมีผิดปรกติที่ว่ามีฝนเทียมตกเบา ๆ ไป (หลวงตาทำฝนเทียมเองซิค่ะ) ให้เราทำฝนเทียมด้วยเหรอ ตั้งแต่ทำคนให้เป็นคนมันก็ยากจะตายแล้วยังจะไปทำฝนเทียมอีก
เมื่อเช้านี้ดูไม่ได้พูดธรรมะอะไรนะ คือตามธรรมดาพอฉันเสร็จแล้วพูดธรรมะภาคเช้าแล้วออกทางวิทยุทุกวัน ๆ แต่เมื่อเช้าดูเหมือนไม่ได้พูดธรรมะนะเมื่อเช้านะ เพราะมันชุลมุนเกี่ยวกับเรื่องจะมา คนก็มาก เมื่อเช้านี้คนมาก เราก็ดูเหมือนไม่ค่อยได้พูดธรรมะอะไรพอเป็นชิ้นเป็นอัน (มีคำถามของพระนิดหน่อยครับผม) คำถามนิดหน่อยก็เท่านั้นละนะ ถ้าคำถามมันก็เป็นเรื่องภาวนาเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมก็ตอบไปแค่นั้น ถ้าเป็นอย่างอื่นเราไม่อยากถึงทุกวันนี้ ขนาดนั้นนะ มันอิดหนาระอาใจกับโลกสกปรก สกปรกจริง ๆ แล้วยิ่งมันสั่งสมกันมากขึ้น ๆ เพราะอำนาจของกิเลสนี่แหละ สร้างแต่ความสกปรกกับฟืนกับไฟมาพร้อมกัน ๆ เผาไหม้กันไปเรื่อย ๆ
แล้วความดิบดีนี่มันไม่สร้าง ผู้สร้างความดิบดีมันไปดูถูกเหยียดหยาม ไปทำลาย เวลานี้พวกนี้คอยหาทำลายคนดี คนชั่วมันสั่งสมตัวมันมากขึ้น ๆ ดูซิเราช่วยชาติบ้านเมืองเรา ตั้งแต่เริ่มต้นเรานำออกมา ข้าศึกนี้มันคอยโจมคอยตี คอยคัดคอยค้าน ต้านทาน คอยทำลายมาตลอดอย่างนี้ละ พวกนี้มันไม่เอาไหนละ เราพยายามทำเต็มกำลังความสามารถของเรา มันก็ทำอย่างนั้นละคนชั่ว แล้วจะไม่ให้โลกมันร้อนได้ยังไง ก็มันสร้างตั้งแต่ความร้อนเผาหัวมันทั้งโลก ถ้าสร้างความดีมันจะไม่เผานะ ความดีไม่เผา มีความดีเต็มหัวใจแล้วเท่านั้น ว่างั้นเลยนะ
ถ้าความดีเต็มหัวใจผ่านไปหมดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วไม่มี โลกจะเป็นไฟขนาดไหนก็ไฟเฉพาะโลก หัวใจที่เป็นธรรมทั้งดวงนั้นจ้าอยู่ตลอดเวลา นี่ท่านว่านิพพานเที่ยง อยู่ที่หัวใจที่ซักฟอกสิ่งสกปรกฟืนไฟทั้งหลายที่ออกหมดแล้วเหลือแต่ธรรมล้วน ๆ นี่จ้าตลอดเวลา ท่านจึงว่านิพพานเที่ยง คือธรรมชาติอันนี้ พอออกจากร่างนี้ไปแล้วก็เรียกว่าธรรมธาตุไป ถ้าอยู่ในร่างเช่นอย่างพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ พระสาวกเป็นพระอรหันต์ เรียกอรหันต์ ๆ ในระยะที่ท่านทรงธาตุทรงขันธ์
พอผ่านขันธ์ไปแล้วอันนี้หมดสมมุติไปเลย ความรับผิดชอบในสมมุติไม่มี เหลือแต่ธรรมชาติล้วน ๆ เป็นธรรมธาตุเรียกว่าธรรม เป็นธรรมธาตุ อันนี้อยู่ในร่างกายนี้ใจอันนี้ก็ไม่มีคำว่าร้อน ไม่มีเลย บรรดาพระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้วไม่มีทุกข์ แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่ปรากฏในจิตใจเลย เพราะสิ่งที่ปรากฏนั้นก็คือกิเลสมันสร้างทุกข์ขึ้นมามากน้อย เมื่อมันมีมากมีน้อยมันก็สร้างทุกข์ขึ้นมากวนใจอยู่นั้นแหละ พออันนี้หมดโดยสิ้นเชิงแล้วทุกข์ที่เป็นผลของกิเลสตัวสร้างทุกข์นั้นก็หมดไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย
ทีนี้จะว่านิพพานเที่ยงหรือไม่เที่ยงมันก็รู้อยู่ในหัวใจแล้ว จะไปถามหาอดีต-อนาคตอะไร อันนี้ไม่ใช่อดีต-อนาคต อันนั้นเป็นสมมุติ แน่ะผ่านหมดแล้ว ก็ไม่มีอดีต-อนาคต ตั้งชื่อสมมุติเข้าไปไว้ว่านิพพานเที่ยงเท่านั้นเอง นี่ชื่อว่านิพพานเที่ยง เป็นชื่อนะ ธรรมชาตินั้นเป็นอย่างนั้นตลอด นี่สำหรับผู้สร้างความดี มันไม่ไปไหนนะความดี สร้างลงไปมากน้อยไม่ต้องจดต้องจำ เป็นในนั้นเป็นหลักธรรมชาติ ๆ เหมือนกับสร้างความชั่ว
ใครจะอวดดีอวดเด่น เก่งกว่าศาสดาองค์เอกเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปก็ตาม พวกนี้พวกที่จะจมโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น จะเหยียบหัวพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ไปก็เหยียบไปเพื่อจม ๆ ๆ ไม่มีคำว่าฟื้น เพราะงั้นให้กลัวนะ คำว่าบาปว่าบุญนี่คือศาสดาองค์เอกสอนไว้ทุกองค์ ไม่ได้ผิดแปลกจากกันเลย พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนแบบเดียวกันหมด ไม่มีแยกแยะที่ไหนเลย บาปมี บุญมี มีดั้งเดิม พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ก็มาเจอเอาบาปเจอเอาบุญ นรก-สวรรค์ที่มีมาดั้งเดิมแล้ว
ท่านไม่ได้มาอุตริหามาพูดนะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีแต่ว่ามี เอามาหลอกโลก พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี พระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกโลก มันหลอกโลกตั้งแต่กิเลสนั่นนะ หลอกหัวใจตัวเอง แล้วก็หลอกคนนั้นหลอกคนนี้ สร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้ให้กันไปตลอดเวลา นี่คือกิเลส ที่เวลาโลกเรากำลังรุ่มร้อนนี่คือกิเลสกำลังได้รับการส่งเสริมมัน ให้มันรุนแรงขึ้นไฟก็ไหม้โลก โลกก็โลกหัวใจของคนมีกิเลสนั้นแหละ ท่านผู้ที่หัวใจสิ้นกิเลสแล้วทำยังไงก็ไม่มีทาง ให้พากันจำไว้นะ
เรื่องธรรมนี้เราจะอ่านตำรับตำราก็ตามอ่านอะไรก็ตาม สาธุยกไว้ไม่ได้ประมาท นั้นเป็นแนวทาง ว่าบาปว่าบุญในคัมภีร์ใบลานก็มีแต่ตัวหนังสือ ๆ นะ ตัวบาปตัวบุญ ตัวนรก-สวรรค์จริงๆ ตัวนี้เป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมทั้งดีทั้งชั่วจะอยู่ที่นี่หมด ท่าบอกเอาไว้ คือออกจากนี้มันก็ไปนั้นละ ไปตามที่ท่านบอก ท่านว่าลงนรกแล้วมันก็ลงอย่างว่า บุญนี้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก-นิพาพน ไปอย่างนั้น ไม่เป็นอื่นคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีคำว่าสองเลย ไม่มี
จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ทุกแง่ทุกมุมในธรรมทั้งหลายไม่มีคำว่าโกหกพกลมแม้นิดหนึ่งแทรกเข้าในคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มี นี่ละเป็นศาสดาองค์เอกที่สอนโลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์พ้นภัยไปโดยลำดับ พอลืมหูลืมตาได้อย่างพวกเราพวกท่านนี้ก็เพราะการเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ดำเนินตามท่าน เราก็ไปตามแถวแนวของเรา เขาไม่ฟังเขาก็ไปตามแถวของเขา มันมีทางไปเหมือนกัน ทางชั่วลงนรก ทางดีอย่างน้อยเป็นมนุษย์ สวรรค์ นิพพานไปเลย
นี่ละคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เหมือนใครนะ จึงเรียกว่าศาสดาองค์เอก คือหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีใครจะมาเสมอ ท่านจึงว่า เอกนามกึ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแต่ละครั้งเป็นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นคู่เคียงคู่แข่งกันเลยไม่มี พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ อุบัติขึ้นมาหนึ่งเท่านั้น หนึ่งไม่มีสองคือพระพุทธเจ้าอุบัติหนึ่ง สองพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า ทรงหยั่งทราบอย่างไรแล้วแน่ ไม่มีสองเลย สาม พระวาจาที่รับสั่งออกมาที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ไม่มีสอง ถูกต้องหมด
ใครฝืนไปก็เรียกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เท่ากับเหยียบหัวตัวเองไปโดยลำดับ ใครอุตส่าห์ปฏิบัติตามเทิดทูนพระพุทธเจ้าก็เท่ากับเทิดทูนตัวเองนั้นแหละ นี่คือไม่มีสอง ให้ยึดเอานะ เรื่องกิเลสปลิ้นปล้อนหลอกลวง เชื่อมันเท่าไรยิ่งหมุนเป็นไฟไปเลย เชื่อธรรมแล้วไม่หมุน ไม่หลงละ เชื่อธรรมแล้วไม่หลง ขอให้เชื่อธรรม นี่ก็ยิ่งจวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงนะห่วงโลก พูดจริง ๆ นะ สังขารร่างกายก็ดูเอาซิอย่างนี้ นี่ละเครื่องใช้ของจิต ก็คือธาตุขันธ์นี่เป็นเครื่องมือใช้ของจิต เมื่อเวลามันหมดสภาพมันก็สลายลง จิตนั่นก็ดีดออกเลย นั่น ทีนี้ไม่มีเครื่องมือใช้ ที่จะใช้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว
เวลามีเครื่องมืออยู่ก็สงสารสัตว์โลก อยากให้ดิบให้ดี เพราะคำว่าชั่วมันคือฟืนคือไฟนั่นแหละ คำว่าดีเป็นสิ่งที่ชุ่มเย็นเป็นสุข ภพนี้ภพหน้าภพไหนก็ตามคนมีความดีแล้วไม่ต้องวิตก ความดีจะพาไปเอง คนมีความชั่วก็เหมือนกัน จะไปลบล้างนรกอเวจีที่ไหน ลบล้างก็มีแต่ปากว่าเฉย ๆ ธรรมชาตินั้นใครลบล้างได้ ถ้าลบล้างพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จะลบล้างพวกนรกอเวจีนี้หมด ให้สัตว์อยู่ด้วยความเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงตลอด คำว่าบาปว่ากรรมไม่ให้มี พระพุทธเจ้าลบล้างได้หมด
นี่พระองค์ใดก็ตามลบล้างไม่ได้ จึงได้บอกเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ลบล้างไม่ได้นะ อย่าไปประมาท พระพุทธเจ้าทั้งหลายลบล้างไม่ได้ เราจะเก่งกว่าศาสดาไปไหนจะมาลบล้างนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรตผีประเภทต่าง ๆ จากบาปจากบุญของตนเองนี้จะลบล้างได้ยังไง ลบล้างไม่ได้นะ ท่านจึงสอนให้ไปในทางที่ดี ถ้าทำลายได้ท่านจะทำลายนรกก่อน เพราะนี้เป็นภัยต่อสัตว์มากทีเดียวนรก ยิ่งเป็นนรกอเวจีอันดับหนึ่งด้วยแล้วนั้นยิ่งร้ายที่สุดเลยเป็นอันดับหนึ่ง จะลบอันนี้ทำลายอันนี้ก่อน แล้วไม่ต้องมาสอนโลกละ ทำลายนรกหมดแล้วโลกทำอะไรก็ไม่เป็นบาปเป็นกรรม เพราะพุทธเจ้าทำลายหมดแล้ว สบายไม่ต้องสอน
อันนี้ก็ได้สอนวอก ๆ พอลงเมื่อไรเดี๋ยวมันดึงขึ้นมานี้มันก็บืนลง ลงหานรกอเวจี สิ่งที่มันพาให้ดึงลงก็คือกิเลส ความโลภก็ดึงลง ความโกรธ-ราคะตัณหามันดึงลง ๆ สอนให้ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลงราคะตัณหา ละโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรมากวนใจแสนสบาย นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้พากันจำเอา คำสอนของกิเลสมันมีอยู่กับทุกคน ไม่มีใครสอนใคร มันหากอุตริของมันไปเอง นิสัยคนชั่วไม่ได้ทำชั่วอยู่ไม่ได้
ศึกษาบ้างก็ไปศึกษาจากคนอื่นพอเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นิสัยสันดานเป็นคนชั่วอยู่แล้วมันสร้างแต่ความชั่วภายในใจนั้นแหละ กิริยาแสดงออกเป็นความชั่วทั้งหมด สร้างไปแล้วว่าจะไปไหนมันไม่มี ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่ใช่ภาชนะสำหรับที่จะรับดีรับชั่ว รับบุญรับบาปของสัตว์โลกนะ ใจต่างหากเป็นผู้สร้างขึ้นมา เป็นผู้รับ รับดีรับชั่วอยู่ที่ใจ เพราะงั้นจึงต้องระวังใจให้ดี ท่านสอนตัวนี้ตัวมันคึกมันคะนอง ชอบพาเจ้าของทำแต่บาปหาบแต่กรรม
ไปที่ไหนภพใดมันไม่สมหวัง ๆ เพราะสร้างแต่ความผิดหวังเอาไว้ ความสมหวังจะมาจากไหน จึงต้องสร้างความสมหวังคือความดีงามนี้เอาไว้ เมื่อสร้างอันนี้ไว้แล้วมันก็ภูมิใจตัวเอง พิจารณาย้อนหลังหรือทำอะไร ๆ มีแต่ความดี ๆ ความดีนั้นหนุนขึ้นมา หนุนขึ้นมา รู้เห็นอะไรมาจากความดีทั้งนั้นน่ะ นี่ละผู้สร้างความดี ผิดกันกับผู้สร้างความชั่วอยู่มากนะ เราอยากไปดีทุกคน ใครจะอยากไปชั่ว แต่ผู้ที่พาให้ทำชั่วมันดึงดูดมันอยากให้ทำมีอยู่ แล้วเราหลงกลแล้วก็ทำตามมันก็จมไปตามมัน ถ้าผู้เชื่อธรรมมันอยากทำเห็นว่าเป็นบาปเป็นกรรมถอยไม่ทำ นี่ก็เป็นไปตามธรรม คนนี้ก็ปลอดภัยไป ใครหลวมตัวแล้วตูมเข้าไป ๆ จมด้วยกันทั้งนั้นละ ให้พากันพิจารณานะ
เทศนาว่าการในประเทศไทยของเราทุกวันนี้มีใคร พูดให้มันชัดเจนก็มีแต่หลวงตาบัวเทศน์เวลานี้นะ ตั้งแต่เริ่มออกช่วยชาติบ้านเมืองการเทศนาว่าการกี่กัณฑ์เทศน์ทั่วประเทศไทยเรากี่จังหวัด วันละสามกัณฑ์สี่กัณฑ์ ฟังซิ นี่เราเทศน์ขนาดนี้ละ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะได้เทศน์อย่างนี้ จะได้เป็นครูเป็นอาจารย์สอนคนอย่างนี้เราไม่เคยคิด แต่การประพฤติปฏิบัติเป็นเรื่องของเราเอง เราทำมามากน้อยความได้ความมีมันก็ปรากฏ ก็แจกไปจ่ายไป มันมากขึ้น ๆ ก็แจกไปตามส่วนมากน้อยเรื่อย ๆ มา จนกระทั่งทุกวันนี้
จะพูดให้ฟังนะ ที่หลวงตาบัวทุกข์ที่สุด เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว บวชพรรษาแรก พรรษาแรกยังไม่ได้ดูภาษิตคาถาอะไร เรียนสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน สวดมนต์ในบ้านในเรือนเขา แล้วก็เรียนปาฏิโมกข์ ในพรรษานั้นจบสามอย่างนี้ พอออกพรรษาแล้วเขานิมนต์ไปทำบุญลานข้าวเขา เราก็พรรษาเดียว ทีนี้พระมีจำนวนมาก และถูกนิมนต์แยกไปทางนู้นแยกไปทางนี้ ท่านพระครูก็มาให้เราเป็นหัวหน้า หัวหน้าก็พรรษาเดียวมันจะได้อะไร
นี่ละที่มันจนตรอก ไม่ลืมนะ ไม่ลืมจนกระทั่งบัดนี้แหละ ได้หนังสือเล่มเล็ก ๆ พอไปที่ไหนเทศน์ให้เขาฟังเวลาไปงานเขา เขาก็ฟังเทศน์กัณฑ์เดียวเท่านั้นแหละ แต่วันนั้นพอตอนเช้าเทศน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกศรัทธาหลายหมู่บ้านรุมกันมา มาถวายทานจะมาขอฟังเทศน์อีก หมดแล้วเราเทศน์หมดแล้วจะทำยังไง นี่ชัดเจนขนาดนั้นนะ โอ้โห มันคับมันแค้นในหัวอก ไม่มีทุกข์ใดที่จะมีทุกข์มากในชีวิตของพระเราเหมือนทุกข์ในวันนั้นนะ แล้วฉันจังหันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นไม่หมด กลืนไม่ลง มันคับมันแค้นกลืนไม่ลง จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟัง ๆ อยู่อย่างนั้นได้แต่คำเดียว คิดหาภาษิตอะไรก็ยังไม่มี เพราะเรายังไม่เรียน เรียนแต่สวดมนต์สวดกลอนกับปาฏิโมกข์
ก็ไปได้ภาษิตอันหนึ่งว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา แปลว่าถ้าจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นที่หวังได้ บอกว่างั้น มันก็เทศน์ไม่ได้จะทำยังไง คับหัวอก พอถึงเวลาเขาก็ให้เทศน์ละซิ อู๊ยมันบืนตายนะ มันก็เทศน์ได้อยู่นะแปลกอยู่นะ คิดถึงอะไรไม่มีอะไร ก็เป็นหัวหน้านี่จะว่าไงเรื่องราวมันอยู่กับเราหมดเลยเทศน์ให้เขาฟัง เทศน์บืนไปได้ พอได้กินกล้วยหอมเขาก็เอาแหละ เขาเอากล้วยหอมกล้วยไข่มาถวายพอได้ติดกัณฑ์เทศน์กินเท่านั้นก็เอาแหละ แต่คับหัวอกนี่มันไม่จืดนะ มันไม่ได้สนใจกับกล้วยหอมกล้วยไข่นะ มันคับหัวอก นี่ละไม่ลืม
เราคิดเมื่อไรจะได้เทศน์สอนโลกขนาดนี้ พูดเปรียบเทียบ นั่นละเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น มีครั้งเดียวเท่านั้นละในชีวิตของพระที่เราทุกข์มากที่สุด คิดหาอะไรจะมาเทศน์ ก็มันไม่มีอะไรเทศน์ก็บวชพรรษาเดียว พอหลังจากนั้นไปแล้วผ่านไป ๆ เราก็ได้เรียนไป ๆ เวลาจำเป็นให้เทศน์เราก็เทศน์ตามปริยัติที่เราเรียนมาก็พอผ่านไปได้ จนกระทั่งออกปฏิบัติละทีนี้ เรียนจบตามความมุ่งหมายที่เราตั้งสัจจะเอาไว้ให้ได้จบเปรียญสามประโยค ถ้าลงจบนี้แล้วทางเดินมี ไม่จนตรอกจนมุม พอการปฏิบัติตัวของเราถ้าลงจบถึงเปรียบสามประโยคนี้แล้ว
เพราะฉะนั้นพอได้เปรียญสามประโยคปุ๊บออกเลย แน่ใจ ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นักธรรมตรีโทเอกมันก็ไปด้วยกัน สาม ๆ มีแต่สามนั่นละ แปลกอยู่นะเรา เวลาเรียนหนังสือทางโลกเขาก็ได้ประถมสาม คือแต่ก่อนไม่มีประถมสี่ มีประถมสาม มาเรียนทางธรรมก็ตรี โท เอก ก็สามเสีย แน่ะ ออกนั้นแล้วก็เป็นเปรียญก็สามเสีย จากนั้นก็ออกเลย ออกปฏิบัติ ทีนี้พูดให้มันชัดเจนนะ ที่มันตีบตันอั้นตู้อยู่ในหัวใจเทศน์ให้เขาฟังไม่ได้ ธรรมเกิดแล้วนะทีนี้ ถึงขั้นธรรมเกิด ออกปฏิบัตินี้ธรรมเกิดภายในใจ
เราเรียนมามากน้อยมันไม่ได้ออกในทางเรียน มันออกทางใจ ออกเรื่อย ๆ ๆ จนกระทั่งจิตใจนี้หมุนติ้วด้วยสติปัญญา แต่ไม่เคยสอนใครนะ ในระยะนั้นไม่สอนใครเลย อยู่ในป่าในเขาคนเดียว ๆ ตลอด ธรรมนี้เกิดเรื่อย ๆ เกิดเท่าไรหมุนเข้ามาแก้ตัวเอง เกิดขึ้นมาแก้ตัวเอง ไม่เกิดขึ้นมาไม่ไปเทศน์ใครนะ เทศน์ตัวเองแก้ตัวเอง จนกระทั่งสุดขีดแห่งความแก้ตัวเอง ธรรมะก็เต็มหัวใจ นั่นละทีนี้เห็นไหมละการเทศนาว่าการกับที่ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ มันต่างกันยังไงบ้างละ มาเทียบจิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐกับปัจจุบันนี่มันต่างกันไหม
นี่คือธรรมเกิด เวลาได้เกิดแล้วอยู่ที่ไหนเกิดตลอด เป็นตลอด ธรรมทั้งหลายเป็นในใจจากภาคปฏิบัติ เวลาจะเทศนาว่าการไม่ต้องคิดต้องอ่านว่าสังคม ใดเป็นชั้นสูงชั้นต่ำชั้นใด ๆ ไม่มี เหนือหมดเลย พูดให้มันชัดอย่างนี้ละนะ ว่าจะสงเคราะห์สังคมนี้ขนาดไหน ๆ มองปั๊บนี่มันรู้เอง พอมองปั๊บ เอาพูดให้มันเต็มยศ เหมือนว่าเรด้ามันจับปั๊บรู้ทันที นั่นเข้าใจหรือ เอาให้มันชัดเสียซี นี่ถึงเวลาธรรมเปิดนะ ถึงเวลาธรรมอั้นตู้ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นก็ไม่จบไม่หมด
ทีนี้เวลามันเปิด เปิดทีแรกเปิดเท่าไรก็แก้ตัวเอง ๆ ไม่ได้ไปสอนใครนะ เพราะเราอยู่ในป่าในเขาไม่เคยสอนใคร เรียกว่าบริสุทธิ์เต็มที่ละการสอนคนไม่มี มีแต่สอนเจ้าของอยู่ในป่าในเขา ๆ ตลอด ๙ ปีเต็ม นี่เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ทีนี้ถึงวาระที่ธรรมเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัตินี้เกิดจริงๆ นะ นี่ละภาคปฏิบัติธรรมเกิด พระพุทธเจ้าธรรมเกิด พระสาวกธรรมเกิด ท่านคัดในพระไตรปิฎกออกจากใจของท่านที่ธรรมเกิดต่างหากนะ เข้าใจไหม ทีนี้พอมันเกิดแล้วมันก็ไม่คิดละภายนอก มันเกิดอยู่ที่นี่ จ้าอยู่ที่นี่เลย ทีนี้มันโล่งไปหมด
ที่ว่าจะเทศน์อะไรให้เขาฟังไม่มี มันหากโล่งไปหมดอยู่ในใจเรื่อยมาเลยตั้งแต่พ.ศ.เท่าไรจนกระทั่งถึงได้ออกมาช่วยชาติบ้านเมือง นี่มันโล่งไปหมดแล้วนั่น จะไปเคยกลัวใครกล้าใครไม่เคยมี ท้าวมหาพรหมยังต้องกราบพระกราบธรรม เราจะไปกลัวไปกล้ากับมหาพรหมอะไร นั่น มหาพรหมต่ำกว่าธรรม ทีนี้มันก็ออก ออกเรื่อย ๆ เอ้าคิดทีนี้ ตั้งแต่นู่นละเอาตั้งแต่ ๒๔๙๓ มาจนกระทั่ง ๒๕๔๘ กี่ปี ธรรมเกิด เกิดแล้ว เต็มตัวแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องแล้ว นั่นละเริ่มสอนโลกมาตั้งแต่บัดนั้น สอนพระเรา เบื้องต้นสอนพระ
สอนพระที่สอนแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว ๆ พุ่ง ๆ เลย เห็นไหมละสงฺกิลิฏฺเฐ บทเวลาออกลาย มันไม่ได้เป็นสงฺกิลิฏฺเฐละซิ จากนั้นมาก็ช่วยโลกมาเป็นเวลา ๗ ปีนี้แล้ว ธรรมะจนตรอกจนมุมจนมุมไม่เคยมี สังคมนี้ใหญ่ สังคมนั้นเล็ก สังคมนั้นๆ เป็นยังไง ควรจะเกรงควรจะขาม ควรจะกล้าจะกลัวอะไรกับสังคมใด พูดตรง ๆ ไม่มีหมดโดยสิ้นเชิง เทวดา อินทร์ พรหม แล้วเราจะไป เหนือหมดทุกอย่างแล้ว สงเคราะห์ไปตามกำลังของคนที่มา เขามาควรจะได้รับผลประโยชน์มากน้อยเพียงไร ก็สงเคราะห์เขาไปตามเรื่อย ๆ เรื่องธรรมว่าจะอดจะอั้นไม่มี พูดตรง ๆ อย่างนี้ละ ให้มันชัดเจนซิน่ะ เรื่อยมาจนกระทั่งจะตายธรรมก็ยังไม่หมด จะให้ว่าไง นอกจากขี้เกียจพูด ถ้ามาถามนั้นถามนี้ก็ตีปากเท่านั้นเอง
(หลวงตาเริ่มดุเมื่อไรค่ะ) ดุมาตั้งแต่กองทัพใหญ่มาฟัดกับกิเลส ดุกับกิเลสนั้นต่างหาก ไอ้นี่มันขี้ปะติ๋วดุคน เข้าใจไหม ดุกับกิเลสในหัวใจเรานี้เอาหนักกว่านั้น หนักกว่านั้นหนักเรื่อยมา เพราะฉะนั้นทุกอย่างเวลาจริงมันถึงเล่นไม่เป็น พอว่าจริงเท่านั้นผึงเลยทันทีเลย กิเลสมันตัวแสบที่สุดเลยในโลก ธรรมเท่านั้นปราบมันได้ ธรรมที่ปราบจะอ่อนแอไม่ได้ ต้องเป็นธรรมที่เด็ดขาด ๆ กิริยาที่แสดงออกเพื่อปราบกิเลสต้องเป็นกิริยาที่เด็ดขาด ๆ กิเลสขาดสะบั้นไปจากความเด็ดขาดของธรรม
เรื่องเด็ดขาดมันเต็มเข้ามาในหัวใจ เต็มในหัวใจแล้วจึงเด็ดขาดตลอด ไม่มีคำว่าอ่อนแอท้อแท้ ไม่มี เด็ดขาดตลอด เป็นแต่เพียงว่าผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราเป็นคนประเภทใด สังคมใด ควรจะสงเคราะห์มากน้อยเพียงไรก็ออกตามขั้นตามภูมิเข้าใจไหม ถ้าควรจะพุ่งไปหมดเลยออกทันที หมดหรือไม่หมดธรรมฟังซิน่ะ นี่จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐกับมาปัจจุบันนี้เปิดได้ชัดเจนเลย บอกเราไม่เคยสนใจ ที่ว่าจะอัดจะอั้นเรื่องการเทศนาว่าการตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา นอกจากสงเคราะห์ได้แคบมากน้อยเพียงไรกับผู้มาเกี่ยวข้องที่ควรจะได้รับประโยชน์แค่ไหนก็ออกแค่นั้น ๆ ถ้าควรจะถึงเลยทีเดียวดีดผึงเดียวไปเลย นั่น นี่ธรรมพระพุทธเจ้า
ทีนี้คำว่า สงฺกิลิฏฺเฐ หายเงียบเลยกับจิตที่เป็นอยู่เวลานี้ เราเคยคิดเคยคาดไว้เมื่อไร มันก็เป็นขึ้นภายในใจตามธรรมของพระพุทธเจ้านั้นแหละ เวลามันได้เกิดเกิดจริง ๆ นะ เวลากิเลสเกิดอยู่ที่ไหนมีแต่กิเลสเกิด เกิดตลอดเวลา เหล่านี้พวกกิเลสเกิด เกิดตลอดเวลา ธรรมเกิดมีหรือไม่มีไม่รู้ ใครมาแสดงตัวหน่อยว่าธรรมเกิด เวลาธรรมเกิดออกแล้วนะทีนี้ออกเรื่อย ๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ใครจะว่าเราโอ้เราอวดก็ตาม ว่าอะไรก็ตามไม่เคยสนใจ เพราะมันเหนือหมด กับคำที่เขามาโจมตีท่านั้นท่านี้มันเหมือนหมาเห่าฟ้า ฟ้าอยู่ที่ไหนไม่ทราบมันก็เห่าวอก ๆ ไปอย่างนั้นละ เฉยเสีย
อันนี้ก็เหมือนกันธรรม ใครจะมาตำหนิติเตียนอะไรเฉย ไม่เคยสนใจ จะไปยินร้ายกับเขาที่เขามาตำหนิไม่มี จะไปยินดีกับเขาเป็นความให้กระเทือนใจกับเราที่เขามาชมเชยก็ไม่มี เป็นส่วนเกินด้วยกันหมด ทั้งตำหนิติชม ทั้งสรรเสริญเยินยอ เป็นส่วนเกิน ๆ ของธรรมชาติที่พอตัวแล้วด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่มีอะไรตกค้างอยู่ในจิตใจท่าน ไม่ว่าความสรรเสริญความนินทา พอแล้วทุกอย่าง ธรรมนี่เวลาพอพอในหัวใจนี้
นี่เราเคยคาดเคยคิดเมื่อไร เวลามันเป็นแล้วมันก็ประจักษ์อยู่นี้ พูดได้อย่างนี้ ใครจะว่าอะไรเราก็ไม่เคยสนใจกับใคร มีแต่ความเมตตา เมตตานี้เมตตาจริง ๆ ครอบโลกธาตุเลยนะ อ่อนนิ่มไปหมดเลย แม้กิริยาจะเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนจะเผาไหม้ทั้งเป็น ๆ ก็ตามกิริยาที่แสดงออก แต่เป็นพลังของธรรมต่างหาก มันไม่ใช่กิริยาเหมือนกิเลส กิเลสถ้าได้ออกอย่างแบบกิริยาผึงผังตึงตังนั้น เรียกเป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมดใช่ไหม ธรรมไม่เป็น เวลาออกผึงผังตึงตังอะไรนั่นละพลังของธรรมยิ่งออก ๆ เย็นฉ่ำไปเลย นั่นต่างกันนะ
กิริยาภายนอกนี้เวลาจิตเป็นธรรมล้วน ๆ แล้วกิริยาใด ๆ ก็ตามออกจากพลังของธรรม พลังของธรรมทั้งนั้นนะ มีเมตตาครอบอยู่ตลอด ถ้าเป็นกิเลสแล้วเป็นไฟไปพร้อม เคียดแค้นโกรธเคือง ผูกกกรรมผูกเวรต่อกัน ควรทำลายกันได้เมื่อไรทำ แต่สำหรับธรรมไม่มี จะพูดหนักพูดเบาขนาดไหนเวลาจบปั๊บหายเงียบไปพร้อมกัน ไม่ได้มีอารมณ์ว่าวันนี้เราได้พูดหนักไปเบาไป พูดดุคนนั้นดุคนนี้ไม่มี เพราะกิริยาทั้งหมดที่แสดงออกไปนั้นแสดงเพื่อชะล้างให้คนดีทั้งนั้น ไม่ว่าแสดงหนักเบามากน้อยเพียงไรก็แสดงออกไปเพื่อความเป็นคนดีเท่านั้นเอง เพื่อความเสียไม่มี พากันจำเอานะ
วันนี้เทศน์แล้วนี่ ไม่ได้เทศน์ที่วัดป่าบ้านตาดก็มาเทศน์ที่นี่แล้ว เราจึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายหันหน้าเข้าสู่อรรถสู่ธรรมบ้าง บ้านเมืองเราจะค่อยสงบร่มเย็น หัวใจเราที่เคยเป็นฟืนเป็นไฟจะค่อยสงบลง เราสงบเขาสงบ ต่างคนต่างสนใจธรรมที่เป็นน้ำดับไฟ มันจะค่อยสงบลง คนเราจะรู้บาปรู้บุญ รู้ดีรู้ชั่ว เห็นใจซึ่งกันและกันนะ มองดูกันอย่างนี้มองโดยธรรมนี้ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาอะไรก็ตามนะ ความประสานกันด้วยความเมตตาซึ่งกันและกันเห็นอกเห็นใจกันนี้จะเข้ากันทันที เป็นมิตรเป็นสหายพึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ด้วยกันทันทีนะ นี่ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ อยู่ด้วยกันจึงเป็นอรรถเป็นธรรมด้วยกัน สงบร่มเย็น ถ้าเป็นกิเลสแล้วมีแต่เอารัดเอาเปรียบทั้งนั้นละนะ เพราะฉะนั้นมันจึงขวางโลก กิเลส
(หลวงตาค่ะเด็กเขาถามว่าบุญคืออะไรบุญอยู่ไหน) บุญอยู่ไหน อยู่กับหัวใจเราที่แสดงออกมาคิดทางบุญทางกุศลอยู่ที่นั่น ออกจากนั้นแล้วเข้าที่นั่น บาปก็อยู่ที่นั่น ออกจากนั้นเข้าที่นั่น หัวใจเป็นที่หนึ่ง ต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ มหาสมุทรทะเลหลวงไม่ใช่ภาชนะรับบาปรับบุญ ภาชนะที่รับบาปรับบุญคือหัวใจนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นหัวใจทำอะไรในทางบาปจึงเป็นบาปทันที ทำทางดีเป็นบุญทันที นี่คือภาชนะของความดีความชั่วทั้งหลาย ขอบเขตจักรวาลนี้ไม่ใช่ภาชนะรับบาปรับบุญ คือใจดวงนี้ (เขาไม่เชื่อว่ามีบุญมีบาป) เขาไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเขา เราเชื่อหรือเปล่าก็ถามเราซิ แน่ะ (เด็กเขาไม่เชื่อทำยังไง) เขาไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเขา แน่ะจะไปทำอะไรเขา (ถ้าเขาเป็นลูกเราละคะ) ลูกเราก็สอนเขาซีลูกของตัวเอง จะไปให้คนอื่นสอนได้เหรอ ลูกของเราเราต้องสอนเอง เขาไม่เชื่อคราวนี้เขาก็เชื่อคราวหน้าเข้าใจไหมละ ก็เท่านั้นแหละ พูดไปพูดไปเดี๋ยวมันตีปากคนมันโมโห
เราไม่เคยไปอินเดีย ที่ว่าป่าว่าเขาแต่ก่อนคงจะหมดไป ๆ เหมือนทุกวันนี้ เหมือนเมืองไทยเราแต่ก่อนเป็นดงเป็นป่าก็หมด ทางนู้นก็เป็นดงเป็นป่าคงหมดเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขาพระทางเมืองอินเดียนะ ไปอยู่ในป่าเป็นเขา มันเป็นป่าเป็นเขาแต่ก่อน ปรากฏว่าเสือกินพระสองสามองค์นะ ในตำรามี องค์หนึ่งสำเร็จในปากเสือเลย นั่นธรรมะขั้นสูงแล้ว คือไม่มีกล้ามีกลัว ธรรมะขั้นนี้แล้วไม่มี พอเสืองับเข้าไปปั๊บพิจารณาปั๊บบรรลุปึ๋งเลย
ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องสภาวธรรม เสือมางับปั๊บนี่ก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่งในธรรมประเภทนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงบรรลุธรรมปึ๋งในเวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเธอสำเร็จในปากเสือ ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าองค์นี้สำเร็จในปากเสือ เดี๋ยวนี้คงหมดแล้ว ป่าก็คงหมดเสือคงหมดนะ ทางนู้นน่าจะไม่มีเสือ แต่ก่อนแสดงไว้พวกป่าพวกสัตว์พวกเสือนี้แสดงไว้ดาษดื่น ให้รู้ได้ชัดว่านี่เป็นดงเป็นป่า ที่อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ ในตำรานะ ทุกวันนี้คงไม่มีเหลือแล้ว หมด
ตั้งแต่เมืองไทยเรายังหมดวะ เมืองไทยเรานี้หมด แต่ก่อนไปที่ไหนออกไปตรงไหนมีป่าทั้งนั้น ป่าสัตว์ ป่าเนื้อ ป่าเสือ ป่าช้าง ป่าอะไรเต็มไปหมด แต่ก็ดีอยู่คือตอนที่เราเที่ยวนั้นป่ามีอยู่สมบูรณ์นะ สมบูรณ์เต็มที่เลย มีแต่ป่าช้าง ป่าเสือ ป่าสัตว์เต็มไปหมด พอมาสร้างวัดได้ตั้ง ๑๐ กว่าปีป่าก็ค่อยหมด เริ่มสัก ๑๐ กว่าปี เห็นคนทยอยเข้าไปในป่า เห็นเข้า ๆ ออก ๆ ต่อไปก็เบิกป่า และตั้งบ้านตั้งเรือน ฟาดเป็นอำเภอขึ้นมาแล้ว หมดป่า ไม่มีเหลือเลย ก็อย่างนั้นแหละที่ไหนก็แบบเดียวกัน
ไปภาวนาในป่าเป็นหลายขั้นของการภาวนานะ วิธีฝึกหัดใจ ขั้นต้นนี้มันกลัวมาก ขั้นเราเริ่มต้นฝึกหัดภาวนากลัวมาก ต้องยึดคำบริกรรมเป็นหลัก เช่นเรานึกพุทโธไม่ให้จิตเคลื่อนจากพุทโธ คือธรรมดามันกลัวอะไรมันกลัวเสือมันจะนึกไปออกหาเสือนะ กลัวผีมันจะนึกไปหาผี มันไม่ได้กลัวเวลามันนึกไปแต่เจ้าของตัวสั่น แต่ความนึกมันไม่ได้กลัว มันนึกไปหาเสือ หาเปรตหาผีไป ทีนี้บังคับไว้อยู่กับคำบริกรรมไม่ให้ออก มันอยากคิดออกไปเท่าไรไม่ให้คิด ให้คิดแต่กับคำบริกรรม เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น
ทีนี้เวลาจิตอยู่กับคำบริกรรมนี้ก็ธรรมก็เริ่มปรากฏขึ้น ๆ แล้ว จากนั้นมาก็ค่อยกล้าหาญขึ้นมา ๆ แล้วจิตใจมีความสงบแน่นหนามั่นคงขึ้นมา คิดไปหาเสือก็ไม่กลัว คิดหาอะไรก็ไม่กลัว นี่วิธีทรมาน ขั้นแรกเป็นอย่างนั้น ต้องอาศัยไม่ให้จิตคิดออกไปข้างนอกที่ว่ากลัว กลัวอะไรไม่คิดออกไป ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ ๆ แข็งแกร่งขึ้นมาและกล้าหาญ นั่น จากนั้นแล้วจิตเป็นสมาธิ จิตแน่นหนามั่นคง ไม่คิดออกไปข้างนอก ให้อยู่กับความแน่นหนามั่นคงของจิต อันนี้ก็สั่งสมกำลังขึ้นมา กล้าหาญชาญชัยเหมือนกัน เป็นขั้น ๆ การฝึกตน
พอก้าวเข้าสู่วิปัสสนาการแยกธาตุแยกขันธ์ ทีนี้มันจะแยกไปหมดเลยนะ เห็นสัตว์เห็นเสือเห็นอะไรนี้มันแยกธาตุแยกขันธ์นะ แทนที่จะไปกลัวนั้นกลัวนี้ไม่กลัวนะ วิปัสสนาพิจารณาออกทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ เสือ สมมุติว่าเสืออะไรเป็นเสือ นั่นมันไล่เข้าไป ไล่เข้าไปหมด ตั้งแต่ขนของมัน ตาของมัน เขี้ยวของมัน ไล่จนทันกัน มันไม่มีกลัว ถ้าว่ากลัว กลัวอะไรมันเสือน่ะ ถ้ากลัวขนมันขนเราก็มีไม่เห็นกลัว ถ้าว่ากลัวตา ตาเราก็มีเราไม่เห็นกลัว แน่ะไล่เข้าไป
เรายังขบขันอยู่มันมีทางออกจนได้นะ ไล่เข้าไปถึงเล็บถึงฟันมันอะไร ๆ เล็บ เล็บเราก็มีไม่เห็นกลัว กลัวอะไรเล็บเสือ ถ้าว่าฟันฟันเราก็มี กลัวอะไรฟันเสือมันอยู่ไกล ฟันอยู่กับเรา ถ้ากลัวก็กลัวฟันเราซิ มันก็ไล่เข้าไป นี่เรียกปัญญาใช้ทางวิปัสสนาแยกธาตุแยกขันธ์ ไม่ได้เป็นแต่ก่อน แต่ก่อนให้อยู่แต่คำบริกรรม ให้อยู่แต่สมาธิ พอออกทางด้านปัญญาให้อยู่กับการวิพากวิจารณ์ แยกแยะ พอถึงขั้นปัญญานี้ เอาละนะทีนี้ เห็นสัตว์เห็นเสือมันแยกธาตุไปมดเลย มันไม่ได้คิดว่ากล้าว่ากลัวอะไร มันแยกธาตุแยกขันธ์เทียบกับเขากับเรามันก็ไม่กลัว นี่เป็นขั้น ๆ ไป
พอวิปัสสนานี้แก่กล้าเข้าไปนี้จิตมันว่างนะทีนี้นะ พอถึงขั้นว่างรูปกายไม่มี หมด จิตว่างไปหมด ทีนี้พิจารณาเสือก็มาแย็บตั้งเป็นเสือแพล็บดับพร้อม แสดงว่าสังขารปรุงขึ้นเป็นเสือดับ ดับขึ้นจากจิตของเราเอง มันก็จะไปหลงอะไร พอปรุงขึ้นว่าเสือปั๊บดับพร้อมๆ มันว่างไปหมด นั่นว่างไปเรื่อย ๆ จิตตามขั้นตอนที่เราฝึกทรมานไปเป็นอย่างนั้นนะ ที่พูดมานี้ทำหมดแล้ว ไม่ใช่มาโม้เฉย ๆ นะ ทำมาแล้ว แล้วแก้ได้ทั้งนั้น แก้ได้ตามธรรมที่ว่าเสือ มันกลัวตรงไหนมาก็แยกธาตุแยกขันธ์มันก็เหมือนเรากลัวอะไร จากนั้นมาจิตหมดสภาพ หมดวัตถุนี้ไปก็เป็นนามธรรม ใจว่างไปหมด พอกำหนดว่าเสือปั๊บ พอว่าเสือปั๊บดับปุ๊บพร้อม นี่สังขารเป็นเสือต่างหาก เสือไม่มีที่ไหนตัวนี้หลอกต่างหาก เกิดพับดับพร้อม มันผ่านไป ๆ พอถึงขั้นว่างไม่มี ไม่มีรูปพิจารณา หมด เป็นขั้น ๆ ไป เอาละนะ เลิกกันละนะ
(มันแน่นหัวอก แน่นจุกอัดพุทโธ เหมือนกับมีอะไรมาทิ่มอยู่เรื่อย) กำหนดพุทโธลงไปที่จุดนั่นซี พุทโธกำหนดที่มันแน่น ให้พุทโธอยู่กับที่นั้น นึกพุทโธ ๆ เบา ๆ ไว้ที่นั่นแล้วมันจะจางออก ๆ นึกพุทโธเบา ๆ อย่าให้พุทโธหนัก อารมณ์ของจิตพลังของจิตหนัก หนักเบาต่างกัน ถ้าพิจารณาแผ่วเบาก็เบา ๆ พิจารณาให้หนักหนัก พิจารณาแบบสับแบบฟันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นขั้น ๆ กระแสของจิต เรากำหนดที่ว่ามันหนัก ๆ กำหนดพุทโธเข้าไปอยู่ตรงนั้นเบาๆ เดี๋ยวมันจะจางของมันออกไป
(มีอยู่วันหนึ่ง มันอัดมาที่คอ หนูบอกว่าตายก็เป็นตาย มันก็ตีลงใหม่ หนูมองไปเรื่อย ๆ มันว่างแล้วมันเหมือนกับทุกอณูในเซลล์ร่างกายค่อย ๆ หดเข้าตัว) จิตมันไม่ตายเอาตรงนั้นเลยก็แล้วกัน อะไรเป็นมันเป็นอาการของจิต มันไม่ตายละ อย่าไปกลัวตายนะ ความตายมีแต่สังขารสลายลงไปเท่านั้น จิตนี้ไม่เคยตาย ออกเรื่อย ที่ว่าแน่นละนะให้พุทโธหรือคำบริกรรมพิจารณาเบา ๆ อยู่นั่น เลิก ๆ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz