เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
โสดาโสเดา
เรื่องการตายนี้สำหรับพระอรหันต์ในตำราไม่มี พระอรหันต์ตายอย่างเงียบๆ ที่ปรากฏในตำราก็พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ พระอานนท์ พูดถึงเรื่องพระอรหันต์ท่านตาย แต่ในศัพท์พระอรหันต์เรียกว่านิพพาน ท่านนิพพานที่นั่นที่นี่ พระสารีบุตรนี้พระพุทธเจ้าทรงเมตตาเต็มที่เลย พระสารีบุตรมาทูลลาจะไปตายที่บ้านเกิด ไปนิพพาน พระสารีบุตรมีฤทธาศักดานุภาพมาก วันนั้นท่านเปิดโอกาสให้เลย ให้แสดงฤทธิ์เดชทุกแบบทุกฉบับ ตลอดการแนะนำสั่งสอน ท่านบอกว่า เออ นี่สารีบุตรเธอจะนิพพานแล้ว มีอะไรๆ ก็ฝากน้องๆ ไว้เป็นที่ระลึก พระองค์แย้มเท่านี้เอง ให้แสดงฤทธิ์เต็มเหนี่ยวเลย
คือท่านห้ามไว้ไม่ให้พระแสดงฤทธิ์อะไรต่ออะไร วันนั้นเปิดเลย พระสารีบุตรก็แสดงฤทธิ์เต็มเหนี่ยว พระโมคคัลลาน์เหมือนกัน เหาะขึ้นเหาะลงอะไร พอเสร็จแล้วก็บอกว่าวันนี้ประตูพระเชตวันเปิดหมดเลย บรรดาพระทั้งหลายที่อยู่ในวัดนี้ จะไปส่งพระสารีบุตรซึ่งเป็นพี่ของเธอทั้งหลายให้ไปได้ วัดนี้เปิดประตูเลย จะเอาไปทั้งหมดก็ได้ นั่นท่านเมตตามาก จะไปนิพพานที่ห้องประสูติ คือจะไปโปรดแม่ในวาระสุดท้าย แม่เป็นมิจฉาทิฐิ พระสารีบุตรก็ไปแสดงฤทธิ์ให้แม่เห็น
เริ่มแต่เทวดาชั้นต่างๆ ลงมาให้เห็นชัดเจน แสดงฤทธิ์ให้เทวดาลงมา พระสารีบุตรเปิดโอกาสให้ทั้งเทวดาทั้งแม่ได้เห็นกันชัดเจน เห็นกันและกันเหมือนเรามองเห็นกัน เทวดาชั้นนี้มาแล้วชั้นนี้มาๆ เรื่อยๆ แม่ก็ดู พอเทวดาชั้นนี้เคลื่อนออกไป ก็เข้ามาถามลูก ลูกก็บอกว่านี่เทวดาชั้นนั้น เดี๋ยวมาอีกๆ ฟังให้ดีนะ นี่ละศาสนาพระพุทธเจ้าของเราอุตริหลอกลวงโลกไหม บรรดาเทวดาทั้งหลายมาเป็นชั้นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างการแต่งเนื้อแต่งตัว รูปร่างลักษณะทุกอย่างๆ จะละเอียดลออขึ้นเรื่อยๆ แม่ดูอยู่ เพราะแม่เป็นมิจฉาทิฐิไม่ยอมฟังเสียงลูกเลย เวลาลูกจะมานิพพานยังบอกว่า เออ อุปดิสออกไปบวชแล้ว แก่จนขนาดนี้จะยังมาสึกอะไรกัน นึกว่าลูกจะมาสึก
พระสารีบุตรจึงอบรมสั่งสอนแม่ ท้าวมหาพรหมมาครั้งสุดท้าย เหลืองอร่ามไปหมด ครั้งสุดท้ายท้าวมหาพรหมเป็นหัวหน้าลงมา พระสารีบุตรก็เทศน์โปรดแม่ แม่ร้องไห้นะ โอ้โห ลูกเราเป็นอย่างนี้เชียวเหรอ นึกว่าจะมาสึกบั้นแก่ แล้วมาเป็นอย่างนี้ให้เราเห็น แม่เกิดความสลดสังเวชร้องห่มร้องไห้ เหล่านี้เหมือนกับสามเณรของอาตมา ฟังซิน่ะ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้เท่ากับสามเณรของอาตมานั้นแหละ ก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าลูกของเรานี้ใหญ่โตขนาดไหน ยิ่งอัศจรรย์ พอเสร็จจากนั้นท่านก็นิพพาน แม่ดูเหมือนสำเร็จเป็นอริยบุคคลโสดา จากนั้นมาแล้วเรื่องเชื่อบุญเชื่อกรรมไม่ต้องบอก พุ่งเลยเทียว ถ้าลงขั้นโสดาไม่มีถอยละ ไอ้ขั้นโสเดานี้มันเป็นพิษเป็นภัย งูเห่างูจงอางอยู่ในนั้นนะ เข้าใจไหมโสเดา โสดากับโสเดามันต่างกัน โสเดาพอดุด่าว่ากล่าวแล้วออกไปแสดงพิษเข้ามาต่อสู้ผู้แนะนำสั่งสอน นี่พวกโสเดา พอถูกดุด่าว่ากล่าวแล้ว ออกไปก็ไปตั้งพิษเป็นงูจงอางงูทำทานเข้ามา เป็นงูเห่าแผ่พังพานเข้ามา แสดงฤทธิ์เข้ามาต่อสู้ทำลายครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอน นี่พวกโสเดา พากันจำเอานะ
มาวัดมาวาก็มาอย่างนั้นละ งูเห่างูจงอางยังไม่แผ่ เอาไว้อย่างนั้นเสียก่อน พอขัดใจอะไรแล้วก็แผ่พังพานขึ้นมา กลับเป็นพิษเป็นภัยต่อครูต่ออาจารย์ไป มีเยอะนะ ดูเอา มันแฝงมาในตัวของมัน ตัวนี้เป็นพิษ เวลามาหาอรรถหาธรรมก็หมอบนิดหน่อยๆ พอไม่ถูกใจก็แผ่พังพานขึ้น นี่มีเยอะ แทนที่จะนำไปพินิจพิจารณา เห็นโทษเห็นกรรมของตนตามที่ท่านแนะนำสั่งสอน แล้วมากล่าวมาบอกขอขมาท่าน เรื่องดีก็จะดีขึ้นตรงนั้น ท่านก็จะพอใจแนะนำสั่งสอนต่อไป ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ นี่กลับแผ่พังพานขึ้นมาก็ยิ่งจมไปเลย นี่พวกโสเดา เข้าใจไหม
พวกเรามันโสไหน อยู่ศาลานี้โสไหน พอเห็นว่าหลวงตาดุบ้างอย่างนั้นอย่างนี้แล้วโดดออกไปตั้งทัพจะมาสู้หลวงตาด้วยฟืนด้วยไฟ แผ่พังพานมา ยกโทษยกกรณ์โกรธแค้นไปละ นี่พวกโสเดาให้ระวัง มันเห็นมาพอแล้วรู้มาพอแล้วไม่พูดเฉยๆ เมื่อมาสัมผัสเราก็พูดเฉยๆ เหมือนไม่มีนะ มันมีอยู่ในนี้หมดแล้ว นั่นละธรรม เหมือนไม่รู้ไม่เห็น เวลาไม่พูดเหมือนไม่รู้ไม่เห็น เมื่อสัมผัสเข้ามาควรจะพูด ทีนี้ออกละออกเรื่อยๆ ให้พากันเข้าใจเสีย พวกเรามันพวกโสเดาหรือโสไหนให้เอามาพิจารณานะ หรือโสเดาแล้วยิ่งจะเป็นเปรตไปอีก ว่าโสเดาแล้วก็ไปใหญ่เลย แผ่พังพานไปเลย
นี่มาสอนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มันพอจะเป็นประโยชน์บ้างไหม หรือมีตั้งแต่เรื่องโสเดาเต็มวัดเต็มวาเต็มศาลานี้เหรอเวลานี้น่ะ สอนไปเพื่อให้เป็นโสดา ให้มีทางมีร่องรอยเป็นช่องเป็นทางไป กระแสแห่งบุญแห่งกรรมแห่งกุศล มรรคผลนิพพานจะพาดพิงถึงไปเรื่อยๆ นี่โสดา แต่โสเดามีแต่มุดเรื่อยเดาเรื่อย ฟังถ้าถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจแล้วก็แผ่พังพานขึ้นมา เลยไม่เกิดประโยชน์อะไร หอบตั้งแต่กิเลสเข้ามาวัดมาวา เราได้ว่าเสมอ นี่ละธรรมไม่ได้มีสูงมีต่ำ ว่าไปตามความจริง
อย่างมาเพ่นๆ พ่านๆ ในวัดเรานี้มันดูไม่ได้ มาก็มาแบบเขาที่ว่าเป็นโสเดามา มาเก้งๆ ก้างๆ ดูนั้นดูนี้ไม่ได้หน้าได้หลังอะไร อะไรที่จะเป็นคติเครื่องเตือนใจบ้างไม่สนใจ มาด้วยความเพลิดความเพลินแบบโสเดา ไปก็ไม่ได้เรื่อง นี่เคยดุเรื่อย ถ้าออกมาเจอแล้วเอาละกับเรา หากไม่ค่อยออกมา ยั้วเยี้ย ๆ ทั้งวัน มาหาอะไรก็ไม่รู้ เราอยู่ข้างในมองออกมามันเห็น กลางวี่กลางวันออกมาไม่ได้นะถ้าอยู่ในวัด เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ค่อยอยู่ พอฉันเสร็จแล้วหลบตัวหนีไปอยู่ที่ไหนสบายๆ เท่านั้น ถ้ามาในวัดแล้วก็ต้องอยู่ในกุฏิ ออกจากกุฏิไปทางจงกรม ออกมาข้างนอกไม่ได้ยั้วเยี้ยๆ มีแต่พวกโสเดาทั้งนั้นเต็มอยู่ มาก็ดุเอาบ้าง เมื่อวานนี้ก็เอาบ้าง ค่ำแล้วยังยั้วเยี้ยๆ มาก็ดุเอาบ้าง นี้มาอะไรไม่ดูเวล่ำเวลา ดูลักษณะท่าทางที่มานี้มันมาเก้งๆ ก้างๆ นะ ไม่ได้มาหาสารประโยชน์อะไร เอาละนะ
เห็นเขามาก็มา เห็นเขาเพลินก็เพลินไปกับเขา วัดนี้ไม่ใช่สั่งสมความเพลิดความเพลินนะ สั่งสมอรรถสั่งสมธรรม ความสงบงามตาต่างหากนะ เราว่าอย่างนี้ ไล่กลับไปเมื่อวานนี้ อย่างนั้นละถ้าเรามาเจอแล้วเอาแหละ เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากมา ถ้ามาก็จะเจออย่างนี้ละ พวกโสเดาก็จะแผ่พังพานขึ้นมา ธรรมะออกมาไม่ได้ โสเดาแผ่พังพานขึ้นมาละ มันจึงสลดสังเวช พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ไม่ท้อได้ยังไงก็มันเป็นอย่างนั้น
เรื่องกิเลสความชั่วนี้ออกง่ายมากนะ เรามาอบรมศีลธรรมอยู่ทั้งวันๆ กิเลสแป๊บออกมาทีเดียวนี้แผ่พังพานครอบไปหมดเลย ฤทธิ์ของมันเป็นอย่างนั้น จึงลำบากในการแนะนำสั่งสอน พระองค์ท้อพระทัย ไม่ท้อยังไง มันน่าท้อก็ต้องท้อซิ ให้พากันระมัดระวังนะไอ้พวกโสเดานั่นน่ะ มันคอยแผ่พังพาน มาในวัดในวาได้ยินครูบาอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวก็แผ่พังพานออกมาๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้นะ ท่านดุด่าว่ากล่าวก็ฟังซิ ฟังเพื่ออรรถเพื่อธรรม ท่านดุด่าว่ากล่าวว่ายังไง มีเหตุผลกลไกอะไร ท่านสอนให้คนเสียหาย ให้คนฉิบหาย ให้คนล่มจม หรือสอนเพื่อให้เป็นคนดี ฟังซิ
เสียงเด็ดเท่าไรยิ่งต้องฟังตรงนั้นให้ดี พอพูดอย่างนี้แล้วเราระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ใครก็ว่าท่านดุท่านด่า ตั้งแต่เราเป็นเด็กก็ยังร่ำลือ จนกระทั่งได้ไปพบท่านแล้ว มีพระมาเล่าให้เราฟัง จำได้กระทั่งชื่อพระ มาจากบ้านโคกนามน สำนักท่านอาจารย์มั่น เราเหอๆ ขึ้นทันทีเลย ไหนว่าอีกทีน่ะ ว่ามาจากบ้านโคกนามน สำนักท่านอาจารย์มั่น มาจากท่านอาจารย์มั่นทีเดียวเลยหรือ ใช่ ว่างั้น เออ เอาละที่นี่จะถามให้ชัดเจน นี่เราเตรียมจะไปหาท่านอาจารย์มั่น มาทีแรกมาไม่ทันท่าน ท่านออกไปได้สองสามวันเราจึงมาถึง เราจึงเลยไปหนองคายเสียก่อน อย่างไรก็จะย้อนกลับไปหาท่านให้ได้
พอดีพระมาเล่าให้ฟัง เราก็เลยถาม ไหนทราบว่าท่านดุมากใช่ไหม โอ๋ย เรื่องดุไม่ต้องพูด ควรขับท่านขับเรื่อย นี่ละถึงใจมากนะ อย่าว่าแต่ดุเลย ควรขับไล่ท่านขับไล่เลย อันนี้ถึงใจ แทนที่จะเป็นผลลบไม่เป็นนะ เป็นผลบวก ขึ้นทันทีในจิต นี่ละอาจารย์ของเรา เป็นอย่างนั้นนะ เอ้า เราจะไปเป็นสักขีพยานเอง ท่านจะดุด่าว่ากล่าวด้วยเหตุผลกลไกอะไร เราจะเป็นผู้ฟังเอง หากว่าจะถูกขับไล่ ก็ให้ทราบว่าท่านขับไล่เพราะเหตุผลกลไกอะไร เราจะไป สามวันเตรียมของเสร็จแล้วไปเลย
ไปก็ถูกจริงๆ กลางคืนมืดๆ ไปคนเดียว เซ่อๆ ซ่าๆ ดูนั้นดูนี้ ไปกลางคืนเขาบอกทางให้ ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลา ใครมานี่ ท่านว่า กระผม ท่านขึ้นทันทีเลย อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอ้าค้านซิ คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน ฟังซิน่ะ ค้านได้ที่ไหน พอท่านว่าอย่างนั้นเราเปลี่ยนปุ๊บเลย กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่าอย่างนั้นซิ นี่ว่าผมๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ อู๊ย เราจับขนาดนั้นนะ ภูมิใจพอใจ ผลลบไม่มี มีแต่ผลบวก สมใจที่มาหาท่าน เอาละถูกต้องหาที่ค้านไม่ได้เลยพูดคำไหน ว่าหัวล้าน คนหัวล้านมันก็ยังมีผมตรงที่มันไม่ล้าน ฟังซิน่ะ จากนั้นเราก็ว่า กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่าอย่างนั้นซิ อันนี้ผมๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มี ท่านแหย่เอานะ ผมๆ ๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผมใช่ไหมล่ะ หาที่ค้านไม่ได้
เรื่องกลัวท่านน่ะกลัว แต่เหตุผลบังคับ เราไปด้วยเหตุผลนี่นะ กลัวท่านกลัวมากทีเดียว เสียงท่านนี่แผดๆๆ ปฏิบัติไปฟังไปๆ ท่านดุด่าว่ากล่าวด้วยเหตุผลกลไกอะไรฟัง ท่านเด็ดเท่าไรธรรมะนี้ออกล้วนๆ เลย ไม่มีพิษมีภัยแม้เม็ดหินเม็ดทราย นี่ฟังเอาความจริงนะ ท่านดุขนาดไหนเด็ดขนาดไหนนี้ มีตั้งแต่ธรรมล้วนๆ ออกเลยทีเดียว จนกระทั่งเข้าใจเต็มที่ ทีนี้พระเณรทั้งหลายก็แบบเดียวกัน พอได้ยินเสียงท่านเปรี้ยงปร้างเท่านั้น ใครอยู่ที่ไหนรุมมาเลยนะ นี่ฟ้าร้องแล้วฝนจะตก เข้าใจไหม ฝนตกมันเย็น ฝนตกมาน้ำมันเย็น เสียงเปรี้ยงปร้างๆ ใครอยู่ที่ไหนมาละ เอาละที่นี่จะได้ฟังยอดธรรม นั่นท่านดุท่านดุอย่างนั้นนะ
ท่านดุเท่าไรธรรมะยิ่งออก ไหลออกมาตั้งแต่เพชรน้ำหนึ่งๆ นั่นละ นี่เราไม่ลืมนะ นั่นละเสียงครูบาอาจารย์ หัวใจที่เป็นธรรมแล้วออกมาเป็นธรรม เด็ดเป็นธรรม อะไรเป็นธรรมไปหมด ไม่มีคำว่าเป็นพิษเป็นภัย นอกจากพวกโสเดามันไปหาเหมาเอาอย่างนั้น หาเหมาว่าท่านดุท่านด่าอย่างนั้นอย่างนี้ พากันเข้าใจนะ โสเดากับโสดาต่างกันอย่างนี้
นี่พูดถึงเรื่องพระอรหันต์ท่านนิพพาน ในตำราไม่ค่อยปรากฏ ปรากฏแต่องค์ที่สำคัญๆ เช่น พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ พระอานนท์ พระอัญญาโกณฑัญญะที่ลาไปนิพพานเท่านั้น พอไปนิพพานท่านไปเงียบๆ พระอรหันต์ตายไม่ได้เหมือนคนทั้งหลายตาย ท่านตายนอกสมมุติ เพราะฉะนั้นกิริยาอาการของท่านจึงไม่ได้ยินในวงสมมุติ ทุกวันนี้ตายที่ไหนแห่กันไปๆ ไม่ทราบแห่กันหาอะไร ไปเอาหน้าเอาตา ไปเชิดชูศักดิ์ศรีดีงามของกันและกันไปอย่างนั้น ไม่ได้ไปเพื่อปลงธรรมสังเวชนะ พระอรหันต์ท่านตายท่านตายง่ายๆ มากทีเดียว
อยู่ที่ไหนท่านอยู่ ถึงเวลาจะตาย อย่างพระอัญญาโกณฑัญญะอยู่ในฉันทันตสระ ๑๑ ปี ช้างอุปัฏฐาก ช้างนั้นเป็นช้างโพธิสัตว์อุปถัมภ์อุปัฏฐาก ถึงเวลาแล้วท่านก็มาทูลลาพระพุทธเจ้าไปปรินิพพาน สีผ้าท่านไม่ได้เป็นสีอย่างเรานี้ เพราะท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านเอาหินแดงดินแดงมาย้อมผ้า จึงเป็นผ้าสีดินแดงมา ออกมาทูลลาพระพุทธเจ้าไปปรินิพพาน พวกเณรตาใสๆ เหมือนตาแมวเห็นก็มองดู ไม่รู้ภาสีภาษาอะไรเณร มาลาพระพุทธเจ้า พอพระอัญญาโกณฑัญญะลงไปแล้ว พวกเณรตาแมวก็ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า นี่เป็นหลวงตามาจากไหน มองดูสีผ้าเหมือนสียักษ์ อู๊ย อย่าพูดอย่างนั้นๆ นี่พี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลายรู้ไหม
นี่พระอัญญาโกณฑัญญะ ปฐมสาวกของเราตถาคต เธอมานี้เธอมาลาไปนิพพาน ถึงกาลเวลาของเธอแล้วเธอจะลาไปนิพพาน พวกเณรเหล่านั้นหัวหดเลย มันไม่รู้เรื่อง มันว่าหลวงตานี้มาจากไหน สีผ้านี้เหมือนสียักษ์ ก็ท่านไม่มีแก่นขนุนย้อม ท่านก็ย้อมผ้าด้วยดินแดงออกมา จึงว่าสีผ้าเหมือนสียักษ์ พระพุทธเจ้าจึงว่า อย่าพูดอย่างนั้นๆ ถ้าเป็นเรานี้ตีปากปั๊วะ อย่าพูดอย่างนั้น เราจะว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น แต่หลวงตาเป็นอย่างนี้ หลวงตาแมวนี้ตบเร็ว นี่พูดถึงเรื่องพระอัญญาโกณฑัญญะกับเณร
ทีนี้พูดถึงเรื่องเณรอรหันต์นะ เณรเป็นอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ น่ารักเพราะเป็นเด็ก ทีนี้พระก็เป็นพระปุถุชน พอไปมองเห็นเณรน่ารักก็ไปจับหัวตบหัวเล่นซิ ในตำรามี ไม่อยากสึกหรืออีลุน(ลุน=ลูกที่เกิดทีหลัง) เณรนั้นก็บอกว่าไม่อยากสึกแหละ คือเณรเป็นอรหันต์ พระเป็นปุถุชนแต่อยากหยอกเณรเล่น เณรตัวเล็กๆ น่ารัก ไปตบหัวเณรเล่นแล้วว่า ไม่อยากสึกหรืออีลุน เณรก็บอกว่าไม่อยากสึก พอออกไปพระเพื่อนฝูงจึงมาเตือน โอ๋ เณรนี่เป็นเณรอรหันต์นะไม่ใช่เณรธรรมดา อุ๊ยตาย พระองค์นั้นก็ดีนะ เรียกว่าเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เวลาไปตบหัวเณรเล่นกับเณรว่าไม่อยากสึกหรืออีลุน เณรก็ตอบอย่างสุภาพว่าไม่อยากสึก ทีนี้ทางนี้พอเห็นโทษแล้วกลับมาขอโทษเณร เณรก็ไม่ว่าอะไร ก็เป็นธรรมใช่ไหมล่ะ ไม่ได้ถือทิฐิว่าตัวเป็นพระ ยอมรับว่าตัวโง่ไปหยอกเณรอรหันต์
เวลาท่านนิพพานที่ไหนไม่ปรากฏนะ พระอรหันต์มีมากขนาดไหน เพราะท่านนิพพานง่ายพระอรหันต์ ง่ายมากทีเดียว ถึงกาลเวลาจะไป ร่มไม้ชายคาที่ไหน ท่านจะไม่หาที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่ไหนสะดวกสบายในการปลงธาตุปลงขันธ์ภาระอันหนักนี้ทิ้ง ว่างั้นเถอะ เป็นวาระสุดท้าย ท่านจะเข้าไปปั๊บแล้วก็นิพพานดีดผึงเลย เงียบเลยๆ ธรรมดาๆ ไม่มีประกาศโฆษณาลั่นเหมือนอย่างทุกวันนี้ คนหนึ่งตายพระองค์หนึ่งตายเสียงลั่นทั่วประเทศ ของเล่นเมื่อไร
นี่เราก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน อีตาบัวตายจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ให้เป็นตามนิสัยอีตาบัวแล้วจะง่ายนิดเดียว พูดง่ายๆ พูดให้ฟังอย่างชัดเจน ตายง่ายมากบอกตรงๆ เลย เทศนาว่าการนี่ถึงเวลาแล้วเหรอ จะไปแล้วเหรอ ไปปุ๊บปั๊บเลย ก็ปลงขันธ์เฉยๆ ธาตุขันธ์นี้รับผิดชอบมันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ยึดได้ถือมัน เป็นเครื่องมือของใจที่บริสุทธิ์นั้น เวลาซ่อมแซมได้ก็ซ่อมแซมไปอย่างนี้ละ กินนั้นรักษาด้วยยานั้นยานี้บำรุงไป บำรุงเครื่องมือสำหรับใช้ทำประโยชน์ให้โลก ถึงกาลเวลาแล้ว รักษาไม่อยู่แล้วเหรอ สลัดปุ๊บเดียวไปเลย
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านนิพพานถึงไม่ได้ยินข่าว ก็มีเท่านี้แหละที่ได้ยิน กับพระกัสสปะ อันนั้นมี มีนิทานสำคัญ เราไม่เล่าให้ยืดยาว พระกัสสปะที่ท่านนิพพานไปแล้วมีแปลกอยู่ เพราะนิทานเกี่ยวโยงกัน เรื่องราวของท่าน ภพชาติท่านเกี่ยวโยงกัน เราไม่พูดอันนี้ นอกนั้นท่านนิพพานง่ายนิดเดียวๆ จะยากอะไร ก็ธาตุขันธ์รับผิดชอบเฉยๆ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นไม่มี มีแต่รับผิดชอบ รับทราบกันอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น พอถึงกาลเวลาแล้ว ใช้ไม่ได้แล้วเหรอ ปล่อยทีเดียวทิ้งปุ๊บเลย ยากอะไร นั่น
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ง่ายทุกอย่าง มันยุ่งยากแต่เรื่องของกิเลสนั่นละ ถ้าเรื่องธรรมแล้วไม่ยาก ไม่ยากโดยลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ยิ่งไม่ยาก ไปเลย เราพูดตรงๆ อย่างนี้ละ เอาอวดอุตริมนุสธรรมหรือนี่ นี่เราก็ตายง่ายเหมือนกันพูดให้มันชัดเสีย เวลานี้ได้ยินแต่ประวัติของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านนิพพานง่าย เรื่องของหลวงตาบัวนี้ก็เหมือนกัน จะยุ่งยากไหมหลวงตาบัวตาย ไม่ยากนะ ถึงกาลเวลาแล้วก็ดีดผึงเดียวเหมือนกัน
แต่เรื่องหลวงตาบัวตายมันจะยั้วเยี้ยๆ ทั้งประเทศก็อาจเป็นได้ ไม่แน่นักนะ ทำเมรุไว้นี้ว่าจะเผาศพหลวงตาบัว เราก็ไม่ได้แน่ใจนะ มันจะไปถูกเผาไหนก็ไม่รู้แหละ เพราะเรื่องเกี่ยวโยงกันให้เห็นอยู่นี่ กระเทือนกันทั่วโลกๆ อยู่ทุกเช้าๆ พูดเวลานี้ก็ออกทั่วโลกเรื่องหลวงตาบัว ทีนี้หลวงตาบัวตายนี้จะไม่ออกทั่วโลกได้ยังไง มันจะยุ่งก็คือหลวงตาบัวตาย เราคิดคาดไว้แล้ว ใครจะว่าอวดหรือไม่อวดก็แล้วแต่ ความจริงมันมีอยู่ในหัวใจอย่างนี้ รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้จะให้ว่าไง เราพูดตามความจริง สำหรับเราเองเราไม่ยาก ยากอะไร ดีดผึงเดียวเท่านั้น
เจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านี้มันเจ็บขนาดไหน มันก็เป็นอยู่ในวงขันธ์ไม่ได้อยู่ในจิต จิตไม่ได้ยุ่งอะไร จิตไม่มีสมมุติ หมดสมมุติแล้ว การเจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านี้เป็นสมมุติล้วนๆ จะเข้ากันได้ยังไง นั่นพูดให้มันชัดเจนอย่างนั้นซิ ถึงกาลเวลาแล้วเหรอ ปล่อยสมมุติเสีย ไปได้อย่างสบายๆ นี่ละการฝึกจิต มันเห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้ตั้งแต่ยังไม่ตาย อย่างที่พูดนี่รู้ประจักษ์ตั้งแต่ยังไม่ตาย ที่ว่าเราตายนี้เราพูดตามความจริงไม่ได้โอ้ได้อวด เราไม่ได้ตายยากนะเราพูดจริงๆ อย่างนี้
คิดดูซิเวลาเกิดอุบัติเหตุเกิดอะไร เขาเอาเข้าไปโรงพยาบาล เอา จะดูอะไรดูเอา เขามาฉายนั้นฉายนี้ว่ากระดูกแตก เออ แตกๆ ไป เขาเตรียมห้องเตรียมหับไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้เราอยู่นั้นสามเดือนสี่เดือน หรือ ๓ ปี ๔ ปีก็ไม่รู้กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลนะ ธรรมดาเป็นอย่างงั้น นี่ตรวจนั้นตรวจนี้ดูแล้วว่ากระดูกแตก เอ้าจะฉายเอกซเรย์ก็ฉายเสียก็บอกอย่างงั้นแหละ เขาก็มาฉาย ว่ากระดูกแตกตรงนี้ แล้วมีอะไรอีกล่ะ มีเท่านั้นละ เขาเตรียมไว้หมดแล้วห้องหับให้เราพัก พอเสร็จแล้วเตรียมไปแล้วนะที่นี่ เอ้าไปไหน ก็จะกลับวัดนั่นแล้ว เอ้าเตรียมไว้หมดแล้ว เตรียมก็เตรียมซิไม่ใช่วัดเรานี่นะ ไปเลย ก็อย่างงั้นแหละ แล้วเขาจะตามมาฉายเอกซเรย์ อย่ามายุ่ง เท่านั้นพอ จนกระทั่งป่านนี้เห็นไหมล่ะ ง่ายหรือยากฟังซิ อู๊ย รถวิทยุรถตำรวจทางหลวงนี่เป็นแถวเป็น ๑๐ คัน พอทราบว่ารถเราไปเกิดอุบัติเหตุ ที่เจริญศิลป์ พวกตำรวจทราบทางไหนวิทยุถึงกัน ตำรวจทางหลวงนี่แห่กันเป็นแถวเลยเป็น ๑๐ คัน แล้วไปโรงพยาบาลคนแน่นหมดเลย โรงพยาบาลทั้งหมอทั้งพยาบาล มาเต็มอยู่หน้าโรงพยาบาลหมด โฮ้ เพียงเท่านี้ก็เป็นแล้ว นึกแล้วนะ นี่ละบทเวลามันง่ายก็อย่างงั้นละ พอฉายนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วปุ๊บปั๊บลงไป เอ้า เตรียมของไว้แล้วเตรียมห้องอะไรเรียบร้อยแล้ว เตรียมก็เตรียมซิไม่ใช่วัดเรา ไปละไปเลย เขาจะมาฉายอะไรอีกไม่ต้องนั่นก็จนกระทั่งป่านนี้เห็นไหมล่ะ มันยากอะไรพูดให้เห็นชัดๆอย่างนี้มันไม่ยากนะ ถึงกาลเวลามันแล้วดีดผึงเดียวเท่านั้น
เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็เป็นอย่างโลกทั้งหลายไม่ผิดกัน กิริยาอาการอะไรเป็นก็เป็นแบบโลกๆ เหมือนกัน แต่แบบธรรมแบบจิตแท้ๆ เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่ที่ว่าพระอรหันต์ท่านตายท่านไม่ยุ่งยาก มันดูอยู่ในหัวใจนี่จะเอาอะไรมายุ่งยาก ก็เพียงว่าอันนี้มันหมดกำลังแล้วเหรอไปไม่รอดแล้วเหรอทิ้งปั๊วะดีดผึงเลย ก็มีเท่านั้นหาอะไรมายุ่งให้ใครมาช่วย นี่ละธรรมเมื่อได้เข้าถึงหัวใจแล้ว มันกระจ่างแจ้งไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรมาเป็นพยานไม่จำเป็น หาอะไรมาเป็นพยาน มันประจักษ์อยู่ในนี้หมดทุกอย่าง ครบสมบูรณ์บริบูรณ์แล้วจำเป็นจะต้องไปถามใคร นี่ละธรรมพระพุทธเจ้ากระจ่างแจ้งอยู่อย่างนี้
ขอให้ปฏิบัตินะพี่น้องทั้งหลาย เรื่องจิตนี้สำคัญมาก ถ้าได้รับการบำรุงรักษาแล้วจะค่อยดีขึ้นๆ ถ้ามีแต่ขยี้ขยำด้วยการทำชั่วช้าลามก แล้วลงเรื่อยจมเรื่อยๆ ตายก็จมไปเรื่อยเลย เพราะจิตนี้ไม่เคยตาย ต้องรับเคราะห์รับกรรมทั้งดีทั้งชั่วไปด้วยกันตลอดเวลา จนกระทั่งหมดกรรมดีกรรมชั่วแล้ว จิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้วดีดผึงเดียวไปเลย ไม่มีที่จะมายั้วเยี้ยๆ ยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้ไม่มี พากันจำเอานะ ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อย่าว่าทันสมัยล้ำยุคล้ำสมัยแต่กิเลสนะ ธรรมะนี้ล้ำยุคล้ำสมัยปราบกิเลสเรียบ บรรดาพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ปราบกิเลสเรียบแล้วค่อยนิพพาน ไปเลยไม่ต้องกลับมาอีก ให้ได้เผาศพอีกต่อไป นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น ขอให้กระจ่างขึ้นภายในใจเถอะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ พากันจำเอานะที่สอนเหล่านี้ สอนเล่นเมื่อไร
พอพูดเรื่องประวัติเราก็ยังไม่ลืมนะ พระท่านคงจะไปขโมยเขียนเอาเรื่องราวของเราไป แล้วพอเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาเรื่องราวมาให้เราอ่าน ให้เราตรวจทานประวัติให้ ประวัติอะไร ประวัติท่านอาจารย์นี้แหละ นี่ได้คัดลอกไปแล้ว จะให้ท่านอาจารย์ตรวจทานว่างั้นนะ ปาเข้าป่านู่น ใส่ทีเดียวเลย จนกระทั่งป่านนี้หายไปหมด แล้วมาโผล่ขึ้นทีหลังว่า หยดน้ำบนใบบัว ใช่ไหม ว่าเป็นประวัติหลวงตาบัวหรือนั่น เราไม่ได้ดูนะนั่น พระท่านลอกเอาต่างหาก เสร็จแล้วมาให้เราตรวจทานให้ เราบอกปาเข้าป่านู่นเราว่า เท่าเดี๋ยวนี้แหละ ไม่สนใจอีกเลย ประวัติอะไร ตัวเรามันตัวประวัติพอแล้ว สอนโลกก็ทั่วโลกดินแดน ใครจะยึดอะไรก็ยึดซิ มาหาอะไรประวัติประแหวดอะไร เราไม่ดูจริงๆ
แต่ประวัติพ่อแม่ครูจารย์มั่น โห เอาจริงเอาจังมากนะ คิดดูซิเราไปเรียนพิมพ์ดีดมา ประวัติพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไปเรียนพิมพ์ดีดมาเลย เรียนจนได้นาทีละ ๔๐ คำมั้ง เอาละทีนี้พอถูไถละ ก็พิมพ์ดีดนี่เท่านั้นเอง พอมาก็พิมพ์ดีด เสร็จเรียบร้อยแล้วไม่ต้องตรวจปรู๊ฟ เราตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้าพิมพ์เลย จากนั้นพอพิมพ์นี้เสร็จแล้วก็ไปพิมพ์ปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น สองเล่มนะ ที่เราเรียนพิมพ์ดีดมาแทบเป็นแทบตาย เรียนคนเดียวมันมีแบบเรียนอยู่ในนั้น พระท่านเอาแบบเรียนมาให้ เราก็ดูแบบเรียนแล้วก็พิมพ์ตามนั้น จนกระทั่งได้ ๔๐ คำต่อนาทีเห็นว่าพอถูไถได้ จากนั้นก็พิมพ์ พอจบประวัติพ่อแม่ครูจารย์มั่น และปฏิปทาพระกรรมฐานเสร็จแล้วทิ้งเลยจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยสนใจ แน่ะก็เรียนมาเพื่ออันนี้
เราสนใจจริงๆ ประวัติพ่อแม่ครูจารย์มั่น เทิดทูนสุดยอดทีเดียว จะต่อเติมอะไรอีกก็ไม่ได้ จะตัดออกก็ไม่ได้ สุดกำลังเราแล้ว เพราะเราทำด้วยความเคารพเลื่อมใสเทิดทูนสุดหัวใจ ประวัติพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราทำจริงๆ สำหรับเรื่องของเรา อย่างพระท่านเอามาให้ตรวจนี่ ปาเข้าป่าเราบอกมายุ่งหาอะไร เท่านั้นแหละ เราไม่ได้ตรวจได้ทานนะนั่น บอกปาเข้าป่าเลย เสร็จแล้วนะ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|