เรื่องของธรรมไม่บังคับใคร
วันที่ 5 เมษายน 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

เรื่องของธรรมไม่บังคับใคร

 

ก่อนจังหัน

ท่านทั้งหลายมาวัดนี้ให้สังเกต อย่ามาโลเลโลกเลก มาแบบเพลิดๆ เพลินๆ ตามนิสัยที่เคยเพลินมาดั้งเดิม ไปที่ไหนดูนั้นดูนี้ ไม่ได้ดูเพื่อสาระแก่ตัวเองนะ เราบอกตรงๆ สำหรับมาวัดนี้มาดูให้ดี ดูพระดูเณรก็ดูให้ดี ท่านดูท่านอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายจะดูท่านดู ดูแล้วเอาไปประกอบกับตัวเอง ไปดูตัวเองอีกทีหนึ่ง เทียบเคียงหาของดิบของดีต้องหาอย่างนั้นซิ มาวันหนึ่งๆ จนรำคาญนะเรา ยั้วเยี้ยๆ ในวัดไม่ได้หน้าได้หลังอะไร มองดูนี้มันขวางตาๆ เพราะไม่เคยได้อบรม จิตไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของตายง่ายนะ ถ้าสัตว์มีเจ้าของมีผู้รักษาอยู่ ไม่ค่อยเป็นอันตรายง่ายๆ  แต่สัตว์ที่ปล่อยเร่ๆ ร่อนๆ ไม่มีเจ้าของนี้ตายง่ายมาก

อันนี้จิตใจเราไม่มีเจ้าของ คือ สติธรรม ปัญญาธรรม มีอรรถมีธรรมเข้ารักษาจิตใจ เสียง่าย ตายง่าย ตายทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี้แหละ ตายจากความดีทั้งหลาย มีแต่ความชั่วเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา เรายิ่งจวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงโลก เวลานี้ห่วงมากนะ โลกชาวพุทธเรานี้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมทุกอย่าง มีตั้งแต่เรื่องดีดเรื่องดิ้น เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นๆ เราอยากพูดซ้ำอีกว่าทั้งนั้นอีกสักสามหน จนดูไม่ได้นะ

อย่างเข้ามาในวัดนี้มันบอกตลอดเวลา เข้ามาในวัดเพ่นๆ พ่านๆ ตาเถ่อตามองโน้นมองนี้ เพื่อจะหาสาระไม่มีละ บางทีเรารำคาญตาเราดุเอา ไล่หนีจากวัด บอกตรงๆ เลยนะ นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ท่านทั้งหลายอย่าคิดทีเดียวว่าหลวงตานี้ดุๆ ให้ดูตัวเอง มันดุร้ายต่อตัวเองเพื่อความชั่วทั้งหลายมีมากน้อยเพียงไร แทบเรียกว่าทุกคนไปเลย เราไม่อยากว่าแทบทุกคน มันเลอะเทอะขนาดนั้นนะ เอาธรรมจับจนดูไม่ได้เวลานี้ ท่านทั้งหลายยังโอ่อ่าฟู่ฟ่า ยังอวดว่าเก่งอยู่เหรอ เหนือธรรม เหยียบหัวธรรมเวลานี้ กิเลสเข้าเหยียบหัวธรรม ในวัดก็พระเณรเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ออกจากวัดไปก็ประชาชนเหยียบหัวพระพุทธเจ้าเหมือนกัน พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ถูกเหยียบตลอดเวลานะ

ตัวเองคือกิเลสมูตรคูถขึ้นเหยียบทองคำทั้งแท่ง ให้พากันระมัดระวัง มาวัดนี้เพ่นๆ พ่านๆ อยากไปดูวัดนั้นดูวัดนี้ ดูเพื่อความเพลิดความเพลิน ไม่ได้ดูเพื่อสารประโยชน์อะไรเลย เราจึงบอกว่าวัดนี้ถ้ามาเพ่นพ่านอย่างนั้น อย่าเข้ามานะ วัดนี้ไม่ต้องการอะไรยิ่งกว่าธรรม เพื่อทำคนให้ดีเท่านั้น เราไม่ได้มุ่งอะไร สมบัติเงินทองข้าวของเราไม่สนใจยิ่งกว่าหัวใจคน หัวใจคนนี่สำคัญมาก ร้ายก็ร้ายมาก ดีก็ดีมาก ให้ดูตรงนั้น ร้ายมากคือกิเลสอยู่ในใจ ดีมากคือธรรมอยู่ในใจ ให้เอาไปพิจารณาไตร่ตรองตนเอง

ดูที่ไหนไปที่ไหนดูไม่ได้ๆ ถ้าจะดูนะ นี่ก็แบบหูหนวกตาบอด คือธรรมดูโลกท่านไม่ได้หนักนะ ดูเหมือนไม่ดู รู้เหมือนไม่รู้ เฉยไป ถึงวาระที่พูดก็ดังที่พูดนี้แหละ ดูมาสักเท่าไรแล้ว เอามาพูดก็พูดสอนผู้ที่เป็นนั้นแหละไม่ได้สอนใครนะ ให้พากันพินิจพิจารณาบ้าง ชาวพุทธเรานี้เลอะเทอะมากที่สุด ชาวพุทธชาวพระแบบเดียวกัน พระท่านก็นิยมมาแต่ดั้งเดิมว่าวัดๆ พระอยู่ในวัดก็เหมือนทอง ทองคำอยู่ในวัดเป็นคลังหลวง คลังทอง คลังอรรถคลังธรรม เดี๋ยวนี้วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานแล้วนะ และพระเณรเป็นตัวมูตรตัวคูถบรรจุอยู่ในวัดนั้น บรรจุมูตรคูถไปหมดเลย วัดกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรเป็นมูตรเป็นคูถ มีไหม ไปเที่ยวหาดูเอา วัด

ให้ดูไปตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดนี่ออกไป เป็นยังไงพระเณรเหล่านี้เป็นมูตรเป็นคูถไหม ปฏิบัติตัวเลวทรามเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป เรียกว่าพวกมูตรพวกคูถ แล้ววัดเป็นที่อยู่ของพระก็เป็นส้วม เต็มอยู่ในนี้มีตั้งแต่มูตรแต่คูถ เต็มวัดนี่คือเต็มส้วม ส้วมกว้างขนาดไหน วัดนี้มัน ๓๐๐ ไร่ นี่ละส้วมกว้าง ๓๐๐ ไร่ ทีนี้มูตรคูถอยู่ในวัดนี้ ในครัวนี้มีเท่าไร ห้าร้อยหรือหกร้อยคน ทางพระมีกี่ร้อยองค์ มีแต่พวกมูตรพวกคูถเต็มอยู่นี้ หาผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมแทบจะไม่มีนะ ดูนะดูตั้งแต่ตัวเองออกไป ธรรมต้องดูกระจายให้ทั่วถึงซิ มองดูจนจะดูไม่ได้นะเวลานี้

ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าหลวงตานี้เป็นหมาบ้าเที่ยวกัดโน้นเห่านี้ ให้ดูตัวหมาบ้าในตัวเองนั่น มันกัดมันเห่าทำลายเจ้าของอยู่ตลอดเวลา ด้วยการได้เห็นได้ยิน ด้วยความประพฤติ กิริยาอาการทุกอย่างทำลายตนเองทั้งนั้นๆ พวกหมาบ้า เข้าใจไหมล่ะ จำให้ดีนะ หมาบ้าพระบ้าตัวนี้กำลังเที่ยวปราบหมาบ้าอยู่ในวัดนี้ มันเยอะเหลือเกินหมาบ้า มีทั้งพระมีทั้งประชาชน มีทั้งพวกอยู่ในครัว มันพวกบ้าด้วยกันนั่นละ เอาละพอ  อย่างนี้ละเวลาพูดเหมือนจะกัดจะฉีกแต่ความจริงไม่มีอะไร ตั้งขึ้นมาเฉยๆ ตั้งขึ้นมาตีโน้นตีนี้ ไม่งั้นมันไม่สะดุดใจคนเรา ต้องกระตุกบ้างซิ ให้พร

หลังจังหัน

หน้านี้ที่พระท่านเที่ยวกรรมฐานกัน ท่านจะเข้าที่พัก เช่นในถ้ำ หรือเขามาทำที่มุงให้บ้าง พวกหญ้าแหละ เขาเอาหญ้ามามุงพอได้อยู่ ที่ไปโดนฝนอยู่ตลอดก็คือตอนเดือนยี่เดือนสาม ตอนนั้นท่านไม่หาที่มุงที่บังที่ไหน ท่านชอบอยู่ตามร่มไม้ๆ อยู่ๆ ฝนกระหน่ำลงมา ถ้าเป็นกลางวันก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นกลางคืนนี้ โอ๋ย เหมือนปิดประตูตีหมาเลย เรานี้โดนแล้วนะที่ว่านี่ แทบทุกปีแหละ แต่ไม่เข็ด คือจิตมันมุ่งต่อธรรมไม่ได้สนใจกับอันนี้ ฝนกระหน่ำกลางคืน โอ๋ ฝนตกหน้าเดือนอ้ายเดือนยี่นี่ ระยะนี้แหละ ฝนตกนี้หนาวมากที่สุด ถ้ามันได้ตกกระหน่ำลงจน.. ไปไหนไม่ได้กลางคืน จึงเหมือนว่าปิดประตูตีหมา ไปไหนก็ไปไม่ได้ อยู่ในมุ้งอยู่ในกลด ฝนตกมาก็ไหลออกมุ้ง บริขารสำคัญๆ ที่จะเปียกฝน เช่นไม้ขีดไฟ แต่ก่อนมีแต่ไม้ขีดไฟ ผ้าสังฆาฯ เอาใส่ในบาตรปิดไว้เสีย นั่งกอดบาตรอยู่นั้นแหละ

ฝนหน้านี้หนาวมากนะ โดนแทบทุกปี คือเราไม่ได้สนใจกับมัน มันจะตกเมื่อไรมันก็ตก แต่พอเดือนมีนา เมษา ไปแล้วจะหาที่มุงแหละ พวกหญ้าพวกอะไร โยมเขาก็หาหญ้าอะไรมามุงให้สองสามตับก็พอแล้ว อยู่ภาวนา ตอนนี้ต้องมีที่มุงที่บังแหละพระกรรมฐานเรา นี่ไม่มีใครพูด ทั่วประเทศไทยพูดเรื่องกรรมฐานท่านปฏิบัติตัวของท่านอย่างไรไม่มีใครพูดนะ ไอ้หรูๆ ฟ่าๆ นี้กี่ชั้นๆ เต็มเกลื่อนไปหมด ท่านอยู่ท่านอยู่อย่างว่านี่แหละ เอาหญ้าไปมุงสี่ห้าตับถึงพออยู่ได้ ทีนี้เมื่อแสดงผลตามหลักความเป็นจริงไม่หลอกไม่ลวงไม่พลิกไม่แพลง ท่านเหล่านี้แหละเป็นผู้ทรงความสุข ทรงมรรคทรงผลรื่นเริงอยู่ภายในจิตตลอด

จิตรื่นเริง จิตเป็นสุขเสียอย่างเดียว โลกนี้กว้างขวางไปหมดเลยนะ ถ้าจิตคับแคบตีบตัน จิตเป็นทุกข์เสียอย่างเดียวนี้ โลกไหนก็เถอะมาแคบอยู่ที่จิต จิตนี่ถูกบีบถูกบังคับโลกกว้างแสนกว้างไม่ได้มีความหมาย มามีความหมายอยู่ที่จิตถูกบีบบังคับด้วยความทุกข์ประเภทต่างๆ จากอารมณ์ต่างๆ นั่นแหละ อันนี้ทุกข์มาก ท่านที่บำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา โลกมองข้ามนะ ท่านไปอยู่อย่างนั้นไม่เห็นเป็นของสำคัญอะไรเลย ท่านอยู่ในป่าในเขา เห็นสำคัญแต่ตึกหลายๆ ชั้น สำคัญมาก พวกบ้า เข้าใจไหม พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ ไอ้พวกบ้า ไปสำคัญตึกเท่านั้นชั้นเท่านี้ชั้น แหมสวยงาม เอาอย่างกันแหละ ปุ๊บปั๊บเอาอย่าง อยากปลูกอยากสร้าง เงินไม่มีก็หากู้หายืมเขามา ทีนี้นั่นละบีบบังคับละนั่น ติดหนี้ ไอ้เจ้าหนี้ก็เป็นทุกข์ ผู้ติดหนี้ก็เป็นทุกข์ ก่อกรรมก่อเวรกันยุ่งไปหมด ท่านอยู่ในกระต๊อบท่านติดหนี้ใคร ท่านไม่ได้ติดหนี้ ท่านไม่มีแต่ท่านไม่จน ท่านไม่ติดหนี้ใคร

หน้านี้ท่านมีกระต๊อบเล็กๆ อยู่ ควรอยู่ถ้ำท่านก็อยู่ตามถ้ำตามอะไร พระมักพึ่งถ้ำเดือนมีนา เมษา เข้าอยู่ในถ้ำ ฝนตกฟ้าลงก็อยู่สบายในถ้ำ ถ้าไม่อยู่ในถ้ำก็มีกระต๊อบๆ อยู่ นี่จะพูดถึงเรื่องกรรมฐาน ที่บ่อแห่งความสุขความเจริญและเลิศเลออยู่ที่จุดนั้นนะ พระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นแหละ ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า ตรัสรู้ขึ้นมานี่จ้าสอนโลก เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเข้าปุ๊บ แล้วอันดับสองเรื่อยๆ นี่ผู้ครองความสุขความเจริญครอบโลกธาตุนะ พอจิตผางขึ้นมาอย่างเดียวมันเปิดออกหมดเลย สิ่งที่มาปิดบังจิตใจบีบบี้สีไฟจิตใจมีแต่กิเลส พออันนี้จางออกๆ เปิดโล่งออกหมดมันโล่งไปหมดเลย มีกิเลสเท่านั้น นั่น ชี้นิ้วได้เลย ไม่ผิด

ทีนี้พวกเรามีแต่กิเลสทั้งนั้นๆ บีบหัวใจ อยู่ที่ไหนก็เหมือนนักโทษในเรือนจำ นักโทษในเรือนจำเป็นยังไงดูเอา พวกเรานี่นักโทษในวัฏจักร หมุนกันอยู่นี้แหละ ท่านผู้ที่นอกจากวัฏจักรนี้แล้วกับเราเป็นยังไง นี่ละที่อัศจรรย์เอามากมาย มันต่างกันขนาดนั้นละ โลกจึงไม่เหลือบมองกัน ไปได้แต่ผู้ที่อย่างว่านี่แหละ หลุดพ้นไปได้ๆ เมื่อถึงกาลเวลา นี่ก็เพราะบารมีนะ ธรรมดาก็อยู่ธรรมดาๆ เวลาบารมีที่สร้างมาไม่หยุดไม่ถอยด้วยการสร้างความดีต่างๆ รวมกันเข้าๆ มีกำลังมาก ค่อยหนุนจิตขึ้นๆ ทีนี้พอเต็มที่แล้วส่งผึงเลย อยู่ที่ไหนอยู่ไม่ได้ ถึงเวลาแล้ว

อย่างพระยสกุลบุตรนั่นแหละ อยู่ในท่ามกลางกองเงินกองทอง พ่อแม่มีลูกคนเดียว กองสมบัติมีมากขนาดไหนขนาดยืนท่วมหัวว่างั้น อดอยากอะไรจึงต้องว่าวุ่นวายๆ วุ่นอะไร คือลูกนี่ถึงเวลาแล้ว เหมือนผลไม้เราได้รับการบำรุงจากลำต้น ลำต้นก็ได้รับปุ๋ยหนุนกันเข้าไป มันก็เป็นดอกเป็นผลขึ้นมา แก่ขึ้นมาๆ ที่มันจะหลุดจากขั้วละซิมันอยู่ไม่ได้อยู่ในต้น คืออาศัยต้นนั้นแหละหนุนอาหารให้เป็นดอกเป็นผลขึ้นมา นี่ก็คือกุศลประเภทต่างๆ ค่อยหนุนขึ้นมาอย่างนี้ละ เมื่อหนุนขึ้นมาแก่กล้าแล้วจะอยู่ไม่ได้ละที่นี่ อยู่ในท่ามกลางกองเงินกองทองก็ว่า ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ยุ่งเหยิง ที่นี่ขัดข้อง อยู่อย่างนั้น อยู่ที่ไหนก็มีแต่ขัดข้องๆ

อ้าว มันขัดข้องอะไร พ่อแม่ว่า ไม่พูดมีแต่ขัดข้อง ก็พ่อแม่ไม่รู้ด้วยนี่นะ มันหากคับอยู่ในจิต มันจึงมีแต่จะเบิกออก จะไปแล้วนะ จะหลุดจากขั้วแล้วนั่น ผลไม้มันสุกกับต้นแล้วจะหลุดจากขั้วแล้วที่นี่ อยู่ที่ไหนวุ่นวายไปหมด พ่อแม่ก็ว่า เอ๊ ลูกของเราเป็นยังไงทำไมถึงว่าวุ่นวาย อยู่ที่ไหนมีแต่บ่นว่ายุ่งเหยิงวุ่นวาย ขัดข้องอยู่ตลอด อะไรๆ ก็ไม่อดไม่อยากท่วมท้นอยู่หมด แล้วขัดข้องอะไร ยุ่งเหยิงอะไรไม่พูด มีแต่ขัดข้อง สุดท้ายโดดหนีเลย นั่นเห็นไหมล่ะ

ไปก็บ่นไป ขัดข้องๆ ไปหาพระพุทธเจ้า ตอนนั้นพระองค์เดินจงกรมอยู่ ที่นี่ขัดข้องที่นี่วุ่นวาย พระองค์ก็ว่า มาๆ ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย พระองค์ก็แสดงธรรมปึ๋ง นี้ก็ผึงเลย นั่นเห็นไหม มันหลุดจากขั้วแล้วไม่อยู่กับต้นกับลำละที่นี่ โดดออกๆ เลย นี่คือบารมีแก่กล้า ต่างคนต่างสร้าง ต่างคนต่างทำหนุนกันเข้าๆ อย่างนี้ มันก็เป็นขึ้นมาจนได้นั่นแหละ นี่เรายกตัวอย่างผู้ที่เต็มที่แล้วอยู่ไม่ได้ อยู่ที่ไหนขัดข้องไปหมด แต่ก่อนก็อยู่กับอันนี้แหละ เพลิดเพลินรื่นเริงกันกับอันนี้ แต่เวลามันแก่ขึ้นมาๆ แล้วมันหลุดจากขั้วไปเลย โดดเลยถึงพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมปึ๋งเลย เป็นอย่างนั้นละอำนาจแห่งบารมีการสร้างกุศล

อย่าพากันประมาทนะ อย่าเห็นแต่กิเลสตัณหา ความโลภความโลเลไม่หยุดไม่ถอยไม่มีพอ แม่น้ำมหาสมุทรกว้างขนาดไหน ความโลภยิ่งกว้างกว่านั้น แม่น้ำมหาสมุทรยังมีฝั่งนะ ฝั่งโน้นฝั่งนี้ ความโลภ ความดิ้นรนของจิตใจนี้กว้างยิ่งกว่าน้ำมหาสมุทร ให้เท่าไรไม่พอๆ อำนาจของกิเลสตัณหาเป็นอย่างนั้น เมื่อพ้นไปแล้วก็รู้กันเอง พระพุทธเจ้าถึงออกอุทาน โถ จะสอนได้ยังไงสอนโลกเมื่อเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์ก็อยู่กับโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แต่เวลาผางขึ้นไปเท่านั้น โหย จะสอนได้ยังไง นั่นเป็นอย่างนั้น

นี่ก็พยายามสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ในธรรมทุกขั้นที่เรานำมาสอนบอกว่าเราไม่สงสัย พูดอันไหนไม่มีสงสัยเลย เผงออกมาไม่ว่าช่องแคบช่องกว้าง ออกหนักเบามากน้อยจะเป็นธรรมล้วนๆ ออก กิเลสไม่เข้าสิงได้เลย ใครจะว่าอะไรเราไม่สนใจ การเทศนาว่าการปัจจุบันนี้ก็รู้สึกจะเป็นหลวงตาบัวปากเปราะนี้แหละเสียงแว้ดๆ อยู่ทุกแห่งทุกหน ในบ้านในเมืองในศาสนา ตลอดถึงชาติบ้านเมือง ตลอดถึงศาสนา รวมอยู่ในหลวงตาบัวแว้ดๆ อยู่นี้ละ ก็มันดูไปหมด เห็นนี่ว่าไง แล้วพูดตรงไหนมันไม่ผิดนี่ เสนอออกตรงไหนถูกทั้งนั้น ส่วนเขาจะทำตามไม่ทำตามนั้นเป็นเรื่องของโลก เรื่องของธรรมไม่บังคับใคร

ความจริง ความผิดความถูกประการใด จะพูดไปตามหลักความจริงๆ ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็สุดวิสัย กรรมของสัตว์ นั่นละเรื่องธรรม อย่างที่เราพูดอยู่ทุกวันพูดให้ชัดๆ  เสียงแวดๆ อยู่ทุกวันนี้เหมือนกับว่าเป็นข้าศึกต่อชาติต่อศาสนา คนทั้งหลายเขาจะคิดอย่างนั้นทั้งนั้น แต่ธรรมแท้ไม่มี มีแต่ชะล้างๆ ตลอดไปเลย พูดออกไปแล้วถูกต้องแล้วๆ ใครจะทำก็ทำ ไม่ทำก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง นี่ก็พยายามช่วยชาติศาสนามาเต็มกำลังความสามารถของเราที่จะช่วยได้แค่ไหนก็แวดๆ อยู่อย่างนี้ ก็ฟังเอาซิ

เราไม่เอาอะไรในโลกอันนี้ เราบอกว่าเราพอทุกอย่างแล้ว มีแต่สอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ ความเมตตานี่มีน้ำหนักมากนะ เกินกว่าเรื่องใดที่จะมาทำลายได้เลย หนาแน่นมากทีเดียว ไม่สนใจ ใครจะตำหนิติเตียน ใครจะชมอะไรๆ ก็แล้วแต่ อันนั้นเป็นเรื่องของสมมุติๆ อันนี้วิมุตติผ่านหมดแล้ว ข้ามไปหมดแล้ว ไม่สนใจ มีแต่อะไรจะเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยก็ขวนขวายแนะนำสั่งสอนไปเท่านั้นเอง เราอยู่นี้ก็อยู่ด้วยลมหายใจเท่านั้นที่สอนโลกเวลานี้ อุตส่าห์พยายามสอน ใครจะว่าอะไร ปากใครมี จิตใจของใครห้ามไม่ได้ คิดไปพูดไป ดีชั่วอยู่กับผู้พูดนั่นแหละ ลงที่นั่น ดีเข้าที่นั่น ชั่วก็เข้าที่นั่น ไม่ได้เข้าที่ไหนจะไปตำหนิใคร ไปตำหนิคนนั้น ตัวตำหนินี้แหละตัวสร้างเหตุ ความทุกข์ความสุขจะอยู่ตรงนี้นะ ความชมเชยสรรเสริญก็ดี  ตำหนิก็ดี ออกจากนี้จะเข้าที่นี่ ท่านไม่รับ ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์แล้วไม่มีอะไรเข้าถึงได้เลย มีแต่เมตตาธรรมครอบโลกธาตุ สอนโลกสอนด้วยความเมตตา

เรื่องศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้า ถ้าอยากมีความสงบร่มเย็นมีฝั่งมีฝา ในครอบครัวเหย้าเรือนและตัวของเราเอง ขอให้มีธรรมแทรกอยู่ในนั้นเถอะ จะมีขอบมีเขตอยู่ในตัวของมันเอง กว้างแคบขนาดไหนธรรมจะประสานกันไปเพื่อความสงบร่มเย็น เป็นมงคลไปทั้งนั้นแหละถ้าธรรมไปไหน ถ้ากิเลสไปไหนเป็นไฟไปพร้อมนะ ไหม้เผาไปหมด ไม่ว่าไม้สดไม้แห้งเผาได้ทั้งนั้น เรื่องไฟมันเผาได้หมด ร้อนไปหมด ถ้าเรื่องธรรมแล้วเย็นไปหมด

มองเห็นหน้ากัน เคยเห็นกันเมื่อไร สนิทกันเพราะอะไร เพราะความตายใจต่อกัน เนื่องจากธรรมเป็นเครื่องประสานเอาไว้ ตายใจกันได้หมด ไม่ได้ว่าชาติชั้นวรรณะใด ไม่มี หัวใจเป็นอันเดียวเหมือนกันหมด นี่เอาตรงนี้นะ แม้แต่สัตว์ก็มีหัวใจ มีความรู้สึกรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันหมด เมื่อเป็นอย่างนั้นเห็นใจกันแล้วประสานกันได้ เฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกันได้ทั้งนั้น ไม่เย่อหยิ่งจองหองพองตัว มีธรรมมากเท่าไรยิ่งอ่อนนิ่ม เต็มไปด้วยเมตตา ไม่มีคำว่าถือสูงถือต่ำ มีแต่ความเมตตาครอบไปหมด นี่เรียกว่าธรรม

ขอให้บำเพ็ญให้เป็นขึ้นที่ใจ เป็นขึ้นที่ใจดวงใด ใจดวงนั้นความสง่างามจะขึ้นทันที ความร่มเย็นเป็นสุขจะออกจากใจดวงนั้น ให้โลกได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปทั่วถึงกัน นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น เรื่องกิเลสมีแต่จะกวาดเข้ามาๆ ที่จะเบิกออกไม่มี กิเลสกวาดเข้ามาทั้งนั้น แล้วก็มัดเจ้าของนั่นแหละกิเลสไม่มัดใคร มัดเจ้าของ ถ้าธรรมแล้วเปิดเจ้าของออก แก้เจ้าของออกเรื่อยๆ พากันจำเอานะ วันนี้เอาเท่านั้นละไม่พูดมาก พูดแต่อรรถแต่ธรรมล้วนๆ วันนี้ให้สบายใจสักหน่อยเถอะ วันไหนก็พูดแต่เรื่องสกปรกโสมม เราอยู่ในท่ามกลางโลกสกปรกมันก็ต้องได้พูดอยู่ตลอดนั่นแหละ วันนี้อยู่ท่ามกลางก็ตาม ธรรมก็อยู่ท่ามกลางของสกปรก พูดได้ทำไมจะพูดไม่ได้

(ลูกศิษย์ถวายปัจจัย) นี่หมื่นบาทนี่ไม่ไปไหน กระจายทั่วโลกเหล่านี้ ไม่เข้านี่มีแต่ออกตลอดเวลา เราบอกจริงๆ เราพอทุกอย่างแล้วเราไม่เอา ได้มาเท่าไรออกหมดเลย จนกระทั่งติดหนี้เขาก็มีบางที ครูบาอาจารย์ที่คนเคารพนับถือมากๆ อย่างนี้น่าจะเป็นมหาเศรษฐี อันนี้เป็นมหาเศรษฐีจน จนที่สุดคือหลวงตาองค์นี้ละ ไหลเข้ามาอย่างนี้ไหลออกกระจายทั่วไปหมดๆ ยิ่งไปหาโรงพยาบาล อันนั้นขาดอันนี้ขาด เดี๋ยวตีปากเอานะ คำอื่นไม่มีหรือมาพูดอย่างนี้ เห็นหน้าอันนี้ก็ขาดอันนั้นก็ขาด เดี๋ยวตีปากเอานะ เขารู้นิสัยเราเดี๋ยวนี้เขาไม่สนใจกับเราแล้ว

ไปทีแรกทั้งกลัวทั้งอะไร ครั้นนานๆ มาเหมือนหมาน้อยกับคน พันกันเลยๆ เรากับประชาชนเหมือนกัน ไปทีแรกก็น่ากลัว ครั้นไปนานๆ เข้าหมาน้อยก็มาพัน เป็นอย่างนั้นนะ นี่คือธรรม ถึงกิริยาจะเป็นยังไงก็ตาม ธรรมไม่ได้เป็นอย่างนี้ อ่อนนิ่มอยู่ตลอดเวลาภายใน เข้าใจไหม กิริยาจะขึงขังตึงตังก็ตาม แต่ภายในไม่ได้เป็น มันเป็นภายนอกต่างหาก นี่ละไปที่ไหนทีแรกเขาก็กลัว ครั้นต่อมาเขาจะมาเลียปากเอา ถ้าปากหลบไม่ทันหมาน้อยมันเลียปาก เข้าใจไหม อันนี้ก็เหมือนกัน ไปที่ไหนพูดที่ไหน ทีแรกเขากลัว ครั้นพูดไปพูดมามันจะมาเลียปาก ต้องหลบปากเรา  เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก