เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ออกอุตริมนุสธรรม
ขันธ์ ๕ รูปได้แก่ร่างกายนี้ เรียกว่ารูป เวทนา ความสุข ความทุกข์ เฉยๆ มีอยู่ในขันธ์ เรียกว่าเวทนาขันธ์ เวทนามีสองอย่าง อยู่ภายในจิตก็มี ในขันธ์ก็มี สัญญา ความจำได้หมายรู้ จำที่นั่นที่นี่ จำชื่อจำเสียง อย่างเราเรียนหนังสือจำได้ เรียกว่าสัญญา ผู้ที่ยังไม่เคยรู้ขันธ์ ๕ ก็ให้ทราบเสีย ที่อธิบายนี้พูดถึงเรื่องขันธ์ ๕ แจงเป็นหนึ่งเป็นสอง รูปขันธ์อันหนึ่ง เวทนาขันธ์ เป็นสอง สัญญาขันธ์ เป็นสาม จำนั้นจำนี้ สังขารขันธ์ เป็นสี่ ความคิดความปรุงอะไรๆ วิญญาณขันธ์ เป็นห้า ตากระทบรูป ความรู้เกิดขึ้นจากสิ่งสัมผัสนั้น นี่เรียกว่าวิญญาณ ทั้งหมดเรียกว่าขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ ปรกติเป็นสมบัติของกิเลสของวัฏจักร เป็นเครื่องมือของกิเลสมาร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เมื่อได้บำเพ็ญธรรมเข้า ธรรมก็อาศัยขันธ์ ๕ นี่ละบำเพ็ญความดีงาม ส่วนกิเลสมันเอาไปใช้เป็นประจำ ธรรมนี่ได้ใช้บ้างเมื่อยังไม่มีกำลังมาก สัญญาขันธ์ที่เราว่านี้มันจำอะไรไม่ค่อยได้นะ หลงลืมๆ แต่สังขารขันธ์ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนไปเลย เพราะใช้ความปรุงนั้นปรุงนี้ ไม่เห็นว่าสังขารปรุงผิดปรุงพลาดอะไร แต่สัญญาผิดพลาดตลอด สังขารนี่ก็เป็นเครื่องใช้เหมือนกันแต่ไม่คร่ำคร่านะ สังขารคิดได้ปรุงได้ตลอด นี่เรียกขันธ์ ๕ ขันธะท่านแปลไว้เป็นสองนัย ถ้าเป็นรูปเป็นร่างนี้เรียกว่ากอง ขันธะแปลว่ากอง ถ้าเป็นหนังแส่หนังสือ แปลว่า หมวด เป็นหมวดๆ ไป
เราพูดถึงเรื่องขันธ์ ๕ นี่บรรดาพี่น้องทั้งหลายอาจไม่เข้าใจ คำว่าขันธ์ ๕ ที่พูดนี้ รูปคือร่างกายของเรานี้เรียกว่ารูปขันธ์ ทุกข์ สุข เฉยๆ เกิดอยู่ภายในร่างกาย เรียกว่าเวทนาขันธ์ เวทนาขันธ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ นี่เรียกว่าเวทนา เวทนาขันธ์ไม่พูดถึงเรื่องจิต เวทนานี้เข้าได้ถึงจิต สัญญา ความจำได้หมายรู้ จำนั้นจำนี้ สังขาร ความคิดความปรุง วิญญาณ ตามองเห็นรูปรู้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส เข้ามาสัมผัสรู้ พอสิ่งนั้นผ่านไปก็ดับไปๆ เรียกว่าวิญญาณ ความรู้ รู้ชัดเวลาสิ่งที่มาสัมผัส นี่เรียกว่าขันธ์ ๕
ปรกติขันธ์ ๕ นี่เป็นสมบัติของกิเลส ธรรมมีแทรกแต่ไม่ค่อยปรากฏตัว เวลาเราจะทำความดีงามก็อาศัยขันธ์นี้ไปทำ ส่วนให้กิเลสไปทำนี้มันมากต่อมาก เอาไปทำงานเพื่อตัวมันเอง จึงเรียกว่าขันธ์นี้เป็นสมบัติของกิเลส ทีนี้เวลาบำเพ็ญธรรมไป ธรรมจะเริ่มมีขึ้นภายในใจ เช่นเดียวกับกิเลสมีอยู่ภายในใจ ธรรมก็มีอยู่เหมือนกันเป็นแต่เพียงว่ากำลังยังไม่มาก หากอยู่ด้วยกัน เวลาบำเพ็ญมากเข้าๆ ธรรมก็มีกำลังมากขึ้นๆ การสร้างคุณงามความดีทุกประเภทจะมีมากขึ้นหนักขึ้นๆ นี่เรียกว่าธรรม ถ้าเป็นฝ่ายกิเลสแล้วหนักไปทางฝ่ายกิเลส หมุนไปตามความโลภ หมุนไปตามความโกรธ หมุนไปตามราคะตัณหาเหล่านี้เป็นต้น นี่เรียกว่าหมุนไปตามกิเลส ผลจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา เรียกว่าขันธ์นี่กิเลสเอาไปใช้
ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญธรรมหนักขึ้นๆ ขันธ์นี่ธรรมจะนำไปใช้มากกว่ากิเลส แต่ก่อนมีแต่กิเลสใช้เป็นพื้นฐานเลยตลอด ทีนี้เวลาบำเพ็ญธรรม ธรรมมีความสามารถแก่กล้าขึ้นโดยลำดับ มันหากรู้ในตัวเองในจิตนั่นแหละ จิตหมุนไปในทางธรรม หมุนเรื่อยๆ กิเลสเอาไปใช้น้อยมาก แต่ก่อนมีแต่กิเลสใช้เป็นพื้นฐานเลย ต่อมาเป็นธรรม ธรรมก็ใช้แต่เหมือนว่าไปยืมเขา ไปหมอบไปขอเขาขอกิเลส ทีนี้บทเวลาธรรมสร้างตัวขึ้นมาจากเครื่องมือคือขันธ์นี้แหละ สร้างตัวขึ้นมาเป็นความดีงามแล้วหนักขึ้นๆ ต่อไปธรรมก็เป็นเจ้าของขึ้นมา เหมือนว่าเป็นเจ้าของขึ้นมาเรื่อยๆ
หนักเข้าๆ ธรรมก็เลยเป็นอำนาจอัตโนมัติในตัวเองที่จะบังคับขันธ์ทำงานอะไรทั้งนั้น เหมือนกับกิเลสบังคับขันธ์ทำงานของมันโดยอัตโนมัติ มันอยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นอยากดูอะไร กิเลสบงการๆ โดยเราไม่รู้สึกตัว นี่เป็นเรื่องของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน เวลาธรรมของเรายังไม่มีกำลังมากก็ต้องอาศัยแย่งชิงกับกิเลสมาใช้ๆ มาใช้หนักเข้าๆ ธรรมมีกำลังมากขึ้น ทีนี้ธรรมเริ่มเป็นอัตโนมัติขึ้นมา คือจะสร้างความคุณงามความดีโดยอัตโนมัติภายในขันธ์นี่แหละ ความคิดความปรุง ความจำได้หมายรู้อะไร หมุนไปทางธรรมๆ ไปหมด ธรรมนำไปใช้ ทีนี้ก็เข้าถึงจิตที่มีธรรมเป็นกำลังกล้าแข็งขึ้นมาแล้ว ความคิดที่ออกจากใจนี้จะเป็นธรรมไป เกือบจะว่าล้วนๆ เลย กิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ค่อยได้ เป็นธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นอัตโนมัติ
เมื่อก้าวถึงขั้นธรรมมีกำลังเต็มที่แล้ว ยังไงจะไม่อยู่ รอแต่วันเวลาที่จะก้าวเข้าถึงจุดหมายปลายทางเท่านั้น นี่เป็นธรรมอัตโนมัติ คือมันคิดมันปรุงแต่เรื่องแก้กิเลสสังหารกิเลสโดยถ่ายเดียว ที่จะสั่งสมกิเลสไม่มี ธรรมขั้นนี้ไม่มีที่จะสั่งสมกิเลส มีแต่สังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติๆ เรื่อยๆ นี่เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้เมื่อหนักเข้าๆ สติปัญญานี้กลายเป็นมหาสติมหาปัญญาที่แหลมคมละเอียดมากในจิตดวงนี้ ทีนี้ซึมไปเลย เรื่องสังหารกิเลสนี้ซึม ไม่ได้ยำต๊อบแต๊บๆ เหมือนสติปัญญาอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัตินี้แก้กิเลสโดยลำพังก็ตามแต่เหมือนเขายำลาบต๊อบแต๊บๆ พอถึงมหาสติมหาปัญญาแล้วซึมไปเลย
ดูให้ดีนะหัวใจนี้ พูดนี่เราไม่ได้มาอุตริ มีแต่เขาว่าเราต่างหากว่าเราอุตริ เราเอาความจริงมาพูด คำว่าอวดอุตริมนุสธรรม คืออวดอรรถธรรมที่เป็นของเลิศเลอที่ไม่มีในตน แล้วนำมาอวด ที่เขาว่าอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมนั้นไม่มีในตัวเองแต่นำมาอวดมาคุยโม้มาโกหกเขา พากันเข้าใจที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม บางคนจะไม่เข้าใจ ธรรมนี้เป็นธรรมสูงสุดของมนุษย์เราที่กราบไหว้บูชามาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว และธรรมนี้ไม่มีในตน แต่คนนั้นนำออกมาอวด ว่าเรารู้นั้นรู้นี้เรื่อย ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติหลุดพ้น เจ้าของไม่รู้บอกว่ารู้ว่าเห็น นี่เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องธรรมทั้งหลายจะเกิดหนักขึ้นๆ เกิดภายในใจ นี่ผู้ปฏิบัติ ผู้ขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลสประเภทต่างๆ เท่านั้น จะรู้แง่หนักเบาของกิเลส เช่นเดียวกับนักมวยเขาขึ้นต่อกรกัน ขึ้นต่อกรกันเพียงหนเดียวรู้ความแยบคายและน้ำหนักของคู่ต่อสู้ในเวลาเดียวกันเลย
อันนี้ก็เหมือนกันเรื่องของกิเลสกับธรรมฟัดกัน รู้น้ำหนักๆ ของกันและกันไปโดยลำดับ คำที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมที่หลวงตาเทศน์อยู่ทุกวันนี้กำลังจะถูกฟ้อง เขาจะฟ้องหลวงตาบัวว่าอวดอุตริมนุสธรรม แล้วจะปรับอาบัติปาราชิกหลวงตาบัว หลวงตาบัวเวลานี้กำลังอยู่ในระหว่างผู้ต้องหา เขาจะฟ้องหรือไม่ฟ้องเราก็รอฟัง แต่การอุตรินี้เราอุตริเรื่อย เทศน์ตลอดเวลา เขาว่าไม่มีในตน เรามีเต็มหัวใจ มันเข้ากันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เขาว่าไม่มีในตนที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมที่ไม่มีในตนแต่อวดขึ้นมา ว่าตนรู้ตนเห็นตนฉลาด แต่ธรรมที่เรานำมาแสดงนี้มีเต็มหัวใจเรา
เอา ฟังกันให้ดีนะ อยากให้ไอ้ตัวนั้นมาฟังด้วย โคตรพ่อโคตรแม่มึงมีไหมธรรมประเภทนี้อยากว่างั้น เรามีคนเดียวมันไม่มีน้ำหนัก คำว่าโคตรพ่อโคตรแม่เราไม่ได้หมายถึงจะสาปจะแช่งให้เป็นเหมือนโลกนะ คือยกเป็นน้ำหนัก คนเดียวมันไม่มีน้ำหนัก ให้ยกโคตรแซ่มามันมีน้ำหนัก นี่ก็บอกให้ยกโคตรยกแซ่มาฟัง หลวงตาบัวกำลังอวดอุตริมนุสธรรมอยู่เวลานี้ กระจายทั่วโลกแล้วนะเวลานี้ ถอดออกมาจากหัวใจ หลวงตาบัวมีพูดให้ชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เทศน์ออกมาสอนโลกนี้เต็มหัวใจ ถอดออกมาสอนเต็มหัวใจๆ สอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ เสียด้วย เต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง
ธรรมทุกขั้นที่เราสอนโลกเราไม่มีแง่สงสัย สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำทุกอย่าง เข้าใจหรือที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมไม่มีในตน เรามีเต็มหัวใจเรา เราสอนเต็มหัวใจ เราปฏิบัติมารอดเป็นรอดตาย ได้ธรรมมาเป็นขั้นๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่านี่ ทีนี้เปิดออกเลยเทียว เขาว่าไม่มีในตน มีไม่มีก็ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มึง มึงไม่เคยปฏิบัติ กูปฏิบัติ โคตรพ่อโคตรแม่กูไม่เคยปฏิบัติก็ตามแต่กูปฏิบัติกูรู้ เข้าใจไหม นี่ภาษาธรรม เข้าใจแล้วนะ คือเราปฏิบัติเรารู้ โลกเขาถือถ้าว่าโคตรนั้นโคตรนี้เขาถือเป็นเสนียดจัญไร เป็นความสาปความแช่ง ว่ากันอย่างเจ็บอย่างแสบนะ แต่ธรรมไม่มีอย่างนั้น เอาเป็นน้ำหนักเท่านั้นเอง ยกมาเป็นน้ำหนักๆ ที่จะไปพูดแบบโลก มีความรู้สึกแบบโลกเขา ธรรมไม่มี ผิดกันอยู่ตรงนี้
อย่างที่หลวงตาบัวยกโคตรพ่อโคตรแม่ มันเป็นเรื่องตลกไปด้วยนะ ทางธรรม คือไม่มีอะไรที่จะไปเป็นข้าศึกต่อโลก ถ้ายกก็เป็นน้ำหนักขึ้นมาเพื่อธรรมเท่านั้นเอง พากันเข้าใจเอานะ ไม่งั้นจะไม่เข้าใจ เรากำลังอยู่ระหว่างผู้ต้องหา เขาจะฟ้องเมื่อไรก็คอยฟังไปแหละ ถ้าฟ้องมาไม่เข้าท่าเราจะจับมันยัดใส่คุกใส่ตะรางหมดทั้งโคตรมันเลย มันคนเดียวมาฟ้องไม่พอ ผิดก็ต้องผิดไปทั้งโคตร ยกมาทั้งโคตรยัดใส่คุกใส่ตะราง แล้วเราจะโทรศัพท์ไปถึงนรกอเวจีเขาให้ยมบาลมารับไป ยมบาลจะรับได้ไหมคนประเภทนี้ ให้ถามเสียก่อน เราจะถามไปทางยมบาล นี่อวดอุตริไหมนี่ เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ ให้พากันทราบเสียว่าอุตริคืออะไร คือธรรมที่เลิศเลอของมนุษย์สูงสุด อุตริสูงสุด มนุษย์ทั้งหลายเทิดทูนสูงสุดเลย แต่ธรรมอันนี้ไม่มีในตน แล้วไปอวดว่ามีอย่างนั้นๆ นั่นเรียกว่าอวดอุตริ ถ้าพระปรับโทษเป็นปาราชิก นี่หมายถึงว่าไม่มีในตนนะ ถ้ามีในตนก็ไม่มีปัญหาอะไร อันนี้ไม่มีในตนไปอวดเฉยๆ ถ้ามีในตนจะว่าไง ก็แล้วแต่จะพิจารณาเถอะ
โยม พวกหนอนแทะกระดาษทั้งหลายถามว่า จะรู้ได้ยังไงว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์จริง
หลวงตา อยากรู้ก็ปฏิบัติเอาซิ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศให้ฟังอยู่ทุกคนๆ พระพุทธเจ้าประกาศว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะรู้ด้วยตนเอง ผู้ไม่ปฏิบัติเป็นหนอนแทะกระดาษตายไปตลอดกัปตลอดกัลป์ มันก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่งั้นแหละ บอกอย่างนั้นซิ
โยม สมัยพ่อแม่ครูจารย์ยังเรียนปริยัติอยู่ เวลาเห็นท่านอาจารย์มั่นทำไมรู้ว่าเป็นพระอรหันต์ พิจารณายังไงฮะ
หลวงตา ก็พวกนั้นเขาไม่ได้เห็น เราเป็นคนเห็นนี่ ความรู้ความเห็นคำพูดคำจาออกจากเราผู้เห็น เขาไม่รู้ไม่เห็นจะว่าไง หรือจะให้ยกน้ำหนักอีก หมดทั้งโคตรเขาไม่รู้ มันก็เหมือนกัน โอ๋ย เรื่องที่เราทราบนี้ คือบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ไปหาท่าน มีแต่พระปฏิบัติๆ ใครไม่ได้เข้าถึงท่านง่ายๆ แหละหลวงปู่มั่น เป็นนิสัยของท่านอย่างนั้นมาดั้งเดิม ท่านไม่ยุ่งกับใคร ประชาชนญาติโยมท่านไม่เล่นด้วย แม้แต่พระท่านก็ไม่เล่น ท่านเข้าไปอยู่ในป่าในเขา แต่พระผู้ตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรมอย่างแท้จริง อยู่ที่ไหนมันก็ขุดเข้าไปค้นเข้าไป ไปเจอท่านๆ อยู่กับท่าน ครั้นอยู่กับท่านแล้วก็ได้ยินได้ฟังเป็นธรรมดา ได้ยินได้ฟังในธรรมทุกขั้น
ธรรมดาอาจารย์กับลูกศิษย์เหมือนพ่อแม่กับลูก ลูกที่ไว้ใจได้พ่อแม่เอาเงินไว้ที่ไหนบอกกับลูก นอกจากลูกอันธพาลบอกมันไม่ได้นะ ถ้าพวกเราเป็นอันธพาลนี้ก็บอกไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ตั้งใจต่ออรรถต่อธรรมได้ ทีนี้เวลาพระทั้งหลายเข้าไปฟังอรรถฟังธรรมจากท่านๆ ออกมาๆ ไม่ใช่น้อยๆ นะบรรดาวงกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเข้าไปอยู่ในป่าในเขากับท่านๆ แล้วออกมาๆ องค์ไหนมาก็มาพูดเสียงเดียวกัน ว่าท่านพระอาจารย์มั่นไม่ใช่พระธรรมดา ไม่ใช่พระธรรมดาแล้วเป็นพระอะไร เป็นพระอริยะ คำว่าอริยะก็มีหลายขั้น อริยเจ้ามี ๔ จำพวก พระโสดาก็เป็นอริยะ สกิทาคาก็เป็นอริยะ อนาคาก็เป็นอริยะ อรหันต์ก็เป็นอริยะ ท่านอยู่ในอริยะขั้นใด ขั้นสุดยอด ใครก็มาลงจุดนี้ ไม่มีใครจะอยู่จุดอื่นละ ขึ้นขั้นสุดยอด บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายมาไปได้ยินได้ฟังจากท่าน นั่นละครั้นฟังเข้าๆ ถึงในตัวของเราไม่เป็นพระอรหันต์ก็เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ได้สบาย นี่ละเรื่องมัน
ฝังลึกมากนะเรา เราเชื่อท่านมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก ชื่อเสียงท่านโด่งดังอยู่ที่อำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ ที่ไปสร้างวัดอรัญญิกาวาสทุกวันนี้ ท่านเองเป็นคนสร้าง เป็นดงทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ก็อยู่กลางตลาดแล้วละ นั่นละชื่อเสียงท่านโด่งดังมาแต่โน้น จนกระทั่งไปเห็นท่านวันนั้นแล้ว แหม ซึ้งนะ จิตไม่ไปไหนเลยวันนั้น อยู่ด้วยความเอิบอิ่มทั้งวันเลยเทียว แปลกอยู่นะ เกิดมาไม่เสียชาติ มันเป็นในตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง เกิดมาไม่เสียชาติเป็นมนุษย์ วันนี้เราได้พบพระอรหันต์แล้วอย่างถึงใจๆ เพราะฟังมามากต่อมากเรื่องท่านเป็นพระอริยะเป็นอรหันต์นี่ นั่นละไปพบท่านครั้งแรก โห ความเอิบอิ่มในจิตใจ วันนั้นไม่ไปไหนนะจิต ป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับว่าท่านอาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์ พอใจกับท่าน
นี่พูดถึงเรื่องที่เชื่อท่านอาจารย์มั่น ไม่ได้เชื่อสุ่มสี่สุ่มห้านะ ผู้ไปศึกษาจากท่านมามีแต่ครูอาจารย์ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม มรรคผลนิพพานทั้งนั้น แล้วใครไปหาท่าน ท่านมีแต่ธรรมของจริงท่านก็เทศน์ให้ฟังๆ ได้ธรรมของจริงออกมาก็ฝังหัวใจซิ เวลามีคนมาถามหรือไม่ถามก็ตาม ว่าท่านอาจารย์มั่นไม่ใช่พระธรรมดา เป็นพระอริยะ ขั้นสุดยอด โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ นี่เป็นพระอริยะทั้งนั้น ว่าเป็นพระอริยะขั้นสุดยอด เอา ใครอยากจะรู้ภูมิของท่านว่าท่านมีธรรมะขนาดไหนๆ มีแต่เห่าว้อๆ อยู่ข้างนอกทั้งๆ ที่ธรรมไม่เคยเข้ามาสัมผัสตัวเองเลยอย่างนี้ มันโง่ที่สุดคนประเภทนั้น
ต้องให้รู้ในตัวเอง เช่นนักมวยเขาขึ้นต่อกรกัน ต่างคนต่างเก่ง นักมวยขึ้นต่อกรกันทั้งสองคนนั้นเขาจะไม่กลัวกัน นักมวยต่อยกันเขาไม่กลัวกันนะ ถ้ายังกลัวอยู่เขาไม่ต่อย คนไหนก็จะเอาแต่ชนะๆ นักมวย แชมเปี้ยนก็แชมเปี้ยนเถอะไม่มีกลัวกัน อันนี้ธรรมะเมื่อเข้าถึงใจๆ ด้วยกันแล้วจะไปกลัวกันอะไร นอกจากความปีติยินดี ไอ้เรื่องกลัวกันไม่มี เมื่อเข้าถึงใจแล้วอะไรก็ไม่เหนือธรรมไปได้ เราพูดจังๆ อย่างนี้เลย เรายังไม่ตาย ใครจะเอาคอเราไปตัดก็ตัดได้เลย ที่จะให้เราสะทกสะท้านในการพูดออกมานี้ไม่มีเลย เอ้า ขาดก็ขาดไปด้วยความจริงของธรรมที่เต็มในหัวใจ แน่ะก็เป็นอย่างนั้น
จะหาเรื่องหาราวฟ้องร้องมาแบบไหนมันก็ปากอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เราปากอมธรรม แน่ะ ธรรมกระจายไปไหนเป็นความสุขความเจริญสงบร่มเย็นแก่โลกผิดไปไหน พิจารณาซิ ก็เท่านั้นเอง คนที่จะหาเรื่องคนอื่นมันไม่ได้ดูหัวใจตัวเอง คนที่มองดูหัวใจตัวเองจะรู้ทั้งผิดทั้งถูกขึ้นไปโดยลำดับภายในหัวใจตัวเอง ส่วนกิเลสมันจะไม่ให้มองตัวเอง มันให้มองข้างนอก ว่าคนนั้นเป็นยังไง คนนี้เป็นยังไง มีแต่คอยจะยกโทษยกกรณ์ ถ้าดีก็ชมบ้าง ส่วนมากมักจะยกโทษตลอด ยกตัวขึ้นเป็นคนดีเหยียบคนอื่นไป นี่คือเรื่องกิเลสตัวร้ายกาจที่สุด เป็นมหาภัยต่อโลกต่อชาติ เป็นคนที่รกโลก คนที่หาความดีไม่ได้เลย พากันจำเอานะ ใจดวงนี้สำคัญนะ เวลาความชั่วได้ปิดหัวใจมันแล้ว มันเสกตัวเองขึ้นเป็นทองทั้งแท่งไปเลย เอาธรรมมาเป็นมูตรเป็นคูถไปอย่างนั้น ทั้งที่ไม่เป็นความจริงมันก็เอามาทำได้ ทองคำก็เป็นทองคำจะเป็นมูตรเป็นคูถได้ยังไง ความจริงเป็นอย่างนี้ ทีนี้มูตรคูถก็ต้องเป็นมูตรคูถจะเป็นทองคำได้ยังไง นี่ละความจริงมีฝักมีฝ่ายอย่างนั้น ความชั่วกับความดีเทียบกันได้อย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัตินะ
โลกเวลานี้มันกลายเป็นโลกจอมปลอม เมื่อวานนี้ก็ได้เทศน์ถึงเรื่องธนบัตรปลอม มันปลอมอยู่กับผู้ใด อยู่ในเมืองไทยก็ปลอมอยู่ในเมืองไทยเรานี้ คนปลอมคนจริง ความจริงที่รับรองกันทั่วโลกดินแดนให้เกิดความสงบร่มเย็นอยู่กันเป็นผาสุก นี้คือความจริงความดี ถ้าความจอมปลอมเข้ามามันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม กลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันไปได้หมด นี่ธนบัตรปลอม คนปลอมคนมหาภัย เป็นอย่างนี้นะ พากันจำเอา
มาเมื่อไรนี่ (เมื่อเช้านี้ค่ะ) เลยกำแพงไปแล้วยัง เราก็เห็นใจนะ ไม่ว่าใครละถ้าลงมันเป็นอยู่ในใจมันเป็นเองนะ มันเข้าใจ นี่ละธรรมเมื่อได้เข้าถึงใจ ถึงใจเต็มเหนี่ยวๆ แล้วมันจะหมุนตลอดเลย ออกตลอด ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมขั้นสูงไปเป็นลำดับลำดาแล้ว จิตนี้จะหมุนจี๋เลย จะไม่ลง หมุนเรื่อยๆ นั่นเรียกว่าธรรมเป็นอัตโนมัติ แก้กิเลส ฆ่ากิเลส เป็นอัตโนมัติในอิริยาบถทั้งสี่ เว้นแต่ขณะหลับ นอกนั้นเป็นเวลาที่ธรรมกับกิเลสฟัดกันโดยอัตโนมัติ คือธรรมนั้นละฆ่ากิเลส คุ้ยเขี่ยขุดค้นหามาฆ่า ฆ่าๆ ตลอด แต่ก่อนมีแต่กิเลสฆ่า พอธรรมเข้าถึงขั้นนี้แล้วกิเลสนี้หมอบ หมอบเท่าไรก็ไม่พ้น ไม่วาระนี้ก็วาระต่อไปต้องเจอกันจนได้ ขาดสะบั้นไปจนได้ เพราะทางนี้คุ้ยเขี่ยขุดค้นไม่หยุด นั่น
นี่ละธรรมอยู่ในใจ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ นี่อวดอุตริหรือไม่อวดที่พูดอยู่เวลานี้ ฟังซิ นี่ละเวลาธรรมมีในใจ ธรรมเป็นอัตโนมัติในการฆ่ากิเลส จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปโดยสิ้นเชิง ธรรมประเภทนี้จึงจะระงับตัวเองโดยไม่มีใครบอก ทีนี้เวลากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เพื่อทำลายทรมานสัตว์ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน สัตว์โลกนี้มีกิเลสครองใจเป็นอัตโนมัติ ทำงานเพื่อมันทั้งนั้นเป็นอัตโนมัติ ไม่มีใครทราบ เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครทราบ เราเองก็ไม่เคยทราบ แต่เวลาหัวใจนี้มันหมุนเข้าสู่ธรรมนี้ซิมันถึงได้เข้าใจ ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืนทั้งวันจนไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น
ทีแรกท่านเขกลงเขียง มันติดสมาธิ ไปเมื่อไร ท่านมหาสบายดีเหรอ ใจสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ ว่างี้เรา มันเป็นอย่างนั้นนี่นะ ครั้นนานเข้าๆ บทเวลาท่านจะเอาเราไม่รู้นะ ท่านเตรียมมีดอีโต้จับไว้ ท่านมหาจิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายเหรอ ขึ้นเลยทันที นี่เห็นไหมธรรมประเภทนี้ ฟังซิ หยาบเหรอ นี่ละธรรมประเภทที่จะซัดกับเราให้เราตกลงเขียง คือหมูขึ้นเขียงติดสมาธิ ฟันให้มันตกจากเขียงลงไปใช่ไหม ท่านต้องตีอย่างแรงซิ เวลาท่านพลิกนี้ โถ ฟ้าดินถล่ม เสียงอรรถเสียงธรรม ให้ฟังเอานะ กิริยาของธรรมแสดงตัวออกมา ถ้าเป็นกิเลสแล้วฆ่ากันขาดสะบั้นไปเลย ถ้าเป็นธรรมกิเลสขาดสะบั้นนะ
ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ ท่านรู้ไหมสมาธิเป็นหมูขึ้นเขียง ท่านรู้แล้วยัง ความสุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน มันมีความสุขไหมเหอเนื้อติดฟัน เหอๆ ๆ ขึ้นเรื่อยนะ นั่นละธรรมท่านออกเต็มที่นะ ท่านจะเอาเราลงจากเขียง คือติดสมาธิอยู่ ๕ ปี เต็มเหนี่ยวเลย สมาธิเต็มภูมิ บทเวลาท่านจะเอาเอาอย่างนั้น นี่ละฟังซิ กิริยาของธรรมให้ฟังเอา พี่น้องทั้งหลายไม่เคยฟัง
ที่เรานำมาแสดงทุกวันนี้เราไม่มีกิเลสออกมาแฝงเราพูดจริงๆ จะเปรี้ยงๆ เหมือนฟ้าดินถล่มก็ตาม ฝนตกมามันเย็น ฟ้าเปรี้ยงๆ โอ๋ย ฝนจะตกแล้วหาอะไรมารอง พวกนักธรรมะทั้งหลายพอได้ยินครูบาอาจารย์เวิ้กว้ากๆ เอาละนะธรรมจะออกแล้วนั่น พวกนั้นวิ่งเข้าป่า ทางนี้วิ่งเข้าหาท่าน ต่างกันนะ พวกอรรถพวกธรรมได้ยินเสียงแว้กว้าก เอาละนะธรรมจะออกแล้ว คือถ้าท่านเด็ดอย่างนั้นมีแต่ธรรมล้วนๆ นะอย่างอื่นไม่มี เด็ดเท่าไรธรรมยิ่งละเอียดลออ เพราะฉะนั้นพอได้ยินเปรี้ยงปร้างจึงวิ่งเข้าไป ไอ้พวกบ้าวิ่งหนี ว่าท่านดุท่านด่าท่านพูดกระแทกแดกดัน มันว่าไปตามภาษาบ้าของมันมันไม่เคยรู้ภาษาธรรม เวลาพูดภาษาธรรมอะไรๆ ฟังเสียงเห่าว้อแว้ๆ พวกบ้าเห่าไม่หยุด ให้ว่าเสียบ้างเถอะ
นี่เราพูดถึงเรื่องฟ้าดินถล่ม ท่านซัดกับเราธรรมประเภทนี้ ไล่ลงจากสมาธินี้ก็เอากันจนกระทั่งถึงว่า สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหมๆ เราก็มีแง่หนึ่งในมรรค ๘ สัมมาสมาธิว่าไง เราก็เอานี้ออกมา ถ้าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่งแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงเหมือนท่าน ซัดเราอีก นี่หมูขึ้นเขียงแล้วไม่ยอมลง ท่านซัดเราอีก มันก็หมอบละซิ พอออกจากนั้นไปแล้วยังต้องไปวินิจฉัยตัวอีกทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่เราไม่มีทิฐิมานะที่จะโต้ตอบเพื่อแพ้เพื่อชนะกับท่านนะ เราก็เข้าใจว่าเรามีความจริงอันหนึ่งเต็มเหนี่ยว ก็ซัดกันเต็มเหนี่ยวๆ มวยเด็กกับแชมเปี้ยนซัดกัน เวลาแชมเปี้ยนออกลวดลายเด็กร้องแงๆ มันร้องเมื่อไรไม่รู้
ลงมาแล้วนี้ เราไปถกเถียงท่านเท่าไร เราสรุปเอาเลย เราเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่านตั้งแต่มาถึงทีแรกแล้ว แล้ววันนี้ไปมีโวหารสำนวนแก่กล้าสามารถมาจากไหนถึงมาเถียงท่านเหมือนมวยแชมเปี้ยน ถ้าว่าเราเก่งเราทำไมมาอยู่อย่างนี้ เป็นยังไงภูมิของท่านภูมิของเราเอามาเทียบกันซิ ท่านว่ายังไงต้องฟังท่านซิเรามาศึกษาอบรมกับท่าน ท่านไล่ลงเขียงก็ต้องยอมลง ขาหนึ่งลงขาหนึ่งยังไม่อยากลงก็ดึงกันลงไป พอก้าวออกทางด้านปัญญาเท่านั้น ท่านไล่ใส่ปัญญา เรียกว่ามันพร้อมแล้วเครื่องทัพสัมภาระที่จะปรุงให้เป็นอาหารประเภทต่างๆ เป็นแต่เราไม่นำมาปรุงเท่านั้นมันก็ไม่สำเร็จพูดง่ายๆ นี่มันพร้อมแล้ว ท่านพูดถึงเรื่องปัญญา ไล่ออกทางด้านปัญญา เอา พิจารณาซิ ปัญญากับสมาธิต่างกันยังไงท่านจะรู้เอง เอา ลงจากเขียงไป นั่นเห็นไหมล่ะ พอไปนี้ โถ ไม่ใช่ของเล่นนะ นี่เราก็ไม่ลืม ก็มันพร้อมแล้วจริงๆ พอท่านว่าอย่างนั้นแล้ว ออกทีนี้มันก็ผางๆ พุ่งเลยทีเดียว เรียกว่าเร็วมากทางด้านปัญญา เพราะสมาธิมันพอแล้ว เป็นแต่เพียงไม่นำออกใช้ นอนจมอยู่นั้นเท่านั้นเอง
พอออกทางด้านปัญญา ทีนี้ฟัดกันไม่นอนทั้งวันทั้งคืน โถ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธินอนตายอยู่เหมือนหมูขึ้นเขียง ท่านว่าไม่ผิดอะไรเลย ปัญญาต่างหากแก้กิเลส ทีนี้ก็หมุนทางด้านปัญญาไม่รู้จักประมาณ ซัดกันทั้งคืนนอนไม่หลับเลย เวลามันหมุนของมันเป็นธรรมจักรเลย ทั้งวันกลางวันยังจะไม่หลับอีก มันจะตายแล้วนะเรา บางทีบังคับเอาใส่สมาธิ คือพุทโธๆ เป็นคำบริกรรมไม่ให้มันเดินทางด้านปัญญา คือมันพุ่งๆ หักเข้ามาในสมาธิพักเอากำลัง สมาธิมันก็เกรียงไกรพอแรงแล้วแต่ไม่ใช้เฉยๆ เห็นว่าสมาธิเป็นเหมือนหมูขึ้นเขียงไปแล้ว ทีนี้ก็นำมาใช้พักงาน พอออกจากนี้ผึงเลย โอ๋ย พุ่งๆ เลย
พอมันออกจากสมาธิแล้วกลับมาหาท่านอีกนะ นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญา มันออกแล้วนะเวลานี้ มันออกยังไงท่านก็ว่า ก็ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ก็บอกท่านตรงๆ กลางคืนมันก็นอนไม่หลับ กลางวันนอนไม่หลับ หมุนติ้วตลอดเวลา นั่นละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหม เราไม่รู้นะสังขารเป็นยังไง เถียงท่านอีก ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ขนาบเข้าอีก บ้าหลงสังขาร ท่านว่าเท่านั้น ท่านเอาไม้ทั้งท่อนมาให้เราเลื่อยเองเจียระไนเอง พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านจะไม่แจกแจงอะไรกับเรานัก ส่วนมากตัดไม้ก็เอามาทั้งท่อนให้มันเลื่อยเองเจียระไนเอง นั่นละมันหลงสังขาร คำว่าสังขารมันครอบหมดนะ
ทีนี้เวลาเราพิจารณาไปย้อนมามันรู้หมดอย่างที่ท่านว่า อ๋อ แน่ะ มันแจงเองแล้วนั่น คือเวลาเราใช้ปัญญาก็จริง แต่เวลามันเลยเถิดไปแล้ว สังขารที่เป็นส่วนสมุทัยมันแทรกเข้ามาเราไม่รู้ นั่นละมันหลงสังขารตรงนั้น เวลามันผ่านไปแล้วมันก็รู้เอง อ๋อ อย่างนี้เอง ยอมๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นว่าตรงไหนไม่มีผิดเลย เปรี้ยงๆ กับเราที่หนักที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาถามครูบาอาจารย์ทั้งหลายแล้วใครก็บอกว่า ไม่มีใครเกินเราที่เป็นนักสู้กับท่านอาจารย์มั่น เอาจริงๆ นะเรา มันออกมาก็แบบเดียวกันนี้ละ เห็นไหมล่ะ เวลาออกก็ออกแบบเดียวกัน ออกจากหัวใจนี่วะ มันได้พุ่งแล้วมันถอยใครวะ อันนี้ก็ยอมท่านตลอดเลยเชียวนะ นี่ละยกเป็นเบอร์หนึ่งเลย
ท่านบอกให้ตายเมื่อไรตายได้เลย มหานี่มันอยู่หนักแผ่นดิน มันโง่จะตายไปตายเสีย ให้คนผู้ฉลาดเขามาครองแผ่นดิน แผ่นดินจะได้เบาขึ้น จะเอาเมื่อไรเลยทันทีนะ ให้ตายเมื่อไรตายได้เลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ลงขนาดนั้นละ นี้จึงว่าลงโดยแท้ เอาละวันนี้พอ เอ๊ะไปไงเลยไปใหญ่เลยวันนี้นะ เอาให้ได้ฟังเสียบ้าง หลวงตาออกอุตริมนุสธรรมฟังเสียบ้างนะ เวลานี้อุตริมนุสธรรมทั่วโลกแล้วนะ ผู้ที่จะตามฟ้องมันจะตามไม่ทันแล้วนะ เพราะธรรมะมันออกมากต่อมาก ไม่ทราบจะจับตัวไหนคนไหนเรื่องใดเข้ามา ยัดใส่คุกใส่ตะรางมันออกอยู่ตลอดนี้ จับไม่ทันว่างั้นเถอะนะ เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |