ครูบาอาจารย์บนหัวใจ
วันที่ 28 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ครูบาอาจารย์บนหัวใจ

 

โอ๊ย ลำบากนะเราอยู่กุฏินี้ออกมาไม่ได้นะ เหมือนถูกขังไว้ในกุฏิ ออกจากกุฏิก็เข้าทางจงกรม ออกจากทางจงกรมมากุฏิ ออกมาข้างนอกไม่ได้ กลางวี่กลางวันเวลาไหนไม่เคยขาดคน ไหลไปๆ อยู่อย่างนี้ เวลาออกมานี้มันรุมเอาเลย เหมือนผู้ต้องหาแหละเราก็ดี พอออกมานี้รุมเลย เราก็เห็นใจที่เขาอยากกราบไหว้ด้วยความเคารพบูชา แต่คนจำนวนมากกับเรารับภาระคนเดียวนี่มันไม่สมดุลกัน ทักคนนั้นทักคนนี้เราเลยจะตาย ไม่คุ้มค่ากัน ที่คุ้มค่าก็เราไปคนเดียวๆ เป็นธรรมชาติคนเดียวๆ ไปคนเดียวไม่ยุ่งกับอะไรเลย นี่เป็นหลักธรรมชาติของใจนี้ ไม่ยุ่งกับใครเลย ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้น พูดเปิดออกอีก โลกนี้มันว่างไปหมด เพราะความว่างอันนี้มันครอบไปหมดเลย โลกเลยกลายเป็นสุญญากาศหรือเป็น สุญฺญโต โลกเลยสูญไปหมด เพราะความว่างในหัวใจครอบหมดเลย

เราได้ยินแต่ว่าโลกนี้สูญๆ คืออำนาจแห่งความว่างของจิตนี้ครอบสิ่งต่างๆ ของโลกไปหมด จึงว่าโลกสูญ ความจริงโลกมันจะสูญไปไหน มันมีอยู่นี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ไหนใช่ไหมล่ะ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ  โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ นี่สติฟังซิน่ะ จงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิที่มันขวางความสูญนั้นเสีย แล้วจะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชไปเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้

คำว่าสูญเปล่าๆ ท่านว่าในตำราเราก็อ่าน ตำราท่านบอกความสูญ แต่จิตใจเราเต็มไปด้วยนรกอเวจีมันไม่สูญ เข้าใจไหม ไปอ่านที่ท่านว่าสูญมันก็เข้ากันไม่ได้ซิ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า พระพุทธเจ้ารับสั่งกับพระโมฆราช ทีนี้เวลาจิตมันถอนหมดมันว่างเข้ามาหมด ธรรมชาตินี้ว่าง ความว่างเลยครอบสิ่งทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ เรียกว่าเหมือนไม่มี ทั้งๆ ที่เขามีอยู่แต่นี้มันว่างไปหมดครอบไปหมดเลย นี่พูดให้ฟังชัดๆ คือธรรมชาตินี้อะไรมันก็ว่างไปหมดเลย

ทั้งๆ ที่อะไรมันก็มีอยู่ตามเดิมของเขานั่นแหละ แต่ความว่างของจิตนี้มันครอบไปหมดเลย ท่านจึงว่าพิจารณาโลกให้เป็นของว่างเปล่า คือว่างเปล่าในหัวใจ ไม่ต้องไปลบล้างสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ให้ว่างไปนะ ลบล้างความสำคัญมั่นหมายที่มันปิดจิตใจของเราให้มืดอยู่ในนี้ เปิดออกแล้วก็ว่างไปหมดๆ เลย สิ่งเหล่านั้นเขาไม่มีความหมายอะไร มีหรือไม่มี ว่างไม่ว่าง เขาไม่มีความหมาย ตัวใจนี้ไปหมายเขา พอใจปรับปรุงตัวเองให้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วใจก็ว่าง เมื่อว่างแล้วก็ปล่อยอารมณ์กวนใจทั้งหลายเสียหมด ไม่มีอะไรกวน อยู่ด้วยความว่าง ไปด้วยความว่าง เป็นกับตายก็ว่างไปหมด แต่ยังมีชีวิตอยู่เรียกว่าว่าง พอตายไปแล้วว่างไม่ว่างมันก็รู้เองอีกแหละ เพราะจิตดวงนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน

อยู่ธรรมดาเป็นอย่างนั้น อยู่ที่ไหนอยู่คนเดียวๆ สะดวกสบายอยู่คนเดียว โผล่ออกมานี้คนนั้นรุมคนนี้รุม ออกมาไม่ได้นะ เราจะไปดูการดูงานอะไรนี้โผล่ออกมาต้องสังเกตเสียก่อน ส่วนมากมันออกไม่ได้มันมาอยู่ทุกเวลา กลางวี่กลางวัน เช้าสายบ่ายเย็น มาตลอดอยู่อย่างนั้น เรามีธุระจะไปดูอะไรไปไม่ได้นะ ไปนี้ต้องหลบออกๆ โผล่นู้น จะเดินตัดนี้เข้าไปไม่ได้ พูดให้มันสนุกๆ สักหน่อย พวกเทวทัตมันเต็มอยู่หน้าศาลา มาไม่ได้มันรุมเอา ต้องหลบต้องหลีก ไปนู้นไปนี้หลบ เวลาจะออกมาก็ต้องหลบๆ ออกนู่น เวลาจะออกออกไม่ได้ หลบนั้นหลบนี้ออก มันมีอยู่ทั้งวันอยู่อย่างนั้น เราเห็นใจที่เขาอยากกราบไหว้บูชา ในฐานะของจิตของเขาเป็นอย่างนั้น แต่เราที่รับภาระทั้งหลายที่มากมายก่ายกองนี้ เพียงคนเดียวเรารับไม่ได้ แล้วทำยังไง รับไม่ได้ก็ต้องหลบเท่านั้นเอง

เราก็มาคิดย้อนหลังอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น ที่เราอยู่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่นั่น ท่านลงมาจากเขาจะมาอุดร เพราะท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุปัชฌาย์เรานี่ไปนิมนต์ท่านเองถึงเชียงใหม่เลยเทียว เข้าไปถึงท่านในภูเขา ตกลงท่านก็รับปากรับคำ เมตตารับให้ นั่นละเรื่องราว ท่านออกมาเราก็ไปถึงเชียงใหม่พอดีในระยะเดียวกัน ตื่นเช้ามาท่านออกบิณฑบาต เราก็ไปของเรา มีเพื่อนฝูงมาเล่าให้ฟัง เมื่อเช้านี้ท่านบิณฑบาตผ่านมานี้ ท่านอาจารย์มั่น เราถามมาทางไหนๆ ว่ามาทางนั้นๆ ท่านผ่านมานี้ ฝังจิตแล้วนั่น วันพรุ่งนี้เช้าเราออกบิณฑบาตให้เช้ากว่าปรกติหน่อย เพื่อมาก่อนท่าน กว่าท่านจะมาถึงท่านบิณฑบาตจะสายๆ หน่อย ท่านมาทางนี้แหละ

เราบิณฑบาตแล้วก็เตรียมพร้อมคอยดูท่าน อุ๊ย ไม่ลืมนะมันถึงใจ วันนั้นจิตเอิบอิ่มปีติยินดีทั้งวันเลย เราไม่ลืมเราเป็นเอง ทีนี้พอท่านโผล่มาทางโน้นแล้ว หมู่เพื่อนก็บอก นั่นท่านมาแล้ว ไหนๆ พอใกล้เข้ามาเราก็เข้าห้อง ห้องมันมีช่องมีฝาเราก็คอยสังเกตดูท่าน ดูด้วยความปีติยินดีเอิบอิ่มทุกอย่าง พูดแล้วสาธุ เราพูดด้วยความเคารพและตามความจริง ตาท่านแหลมคม แพล็บๆๆ ท่านจะดูหรือไม่ดูเราก็ไม่ทราบ แต่เรานี้ดูท่านอย่างจังๆ ดูทุกอากัปกิริยาท่านมา วันนั้นปีติยินดีทั้งวันเลย มันออกอุทานในใจ วันนี้เราเกิดมาไม่เสียชาติเป็นมนุษย์ เราได้เห็นพระอรหันต์แล้ววันนี้ด้วยตาของเรา ประจักษ์ในใจ มันเอิบอิ่มอยู่ในใจนี่ละ วันนี้เราได้เห็นพระอรหันต์แล้ว ได้ยินแต่ชื่อแต่เสียงท่าน ไม่เคยเห็นเลย วันนี้ได้เห็นจังๆ แล้ว มีความปีติยินดี

เราไม่ลืมนะ วันนั้นทั้งวัน จิตมันเอิบอิ่มอยู่ภายในนี้ นี่ละเวลามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง เราเห็นได้ชัดๆ อย่างนั้น นั่นเป็นครั้งแรกที่พบเห็นท่านอาจารย์มั่น จากนั้นก็เรื่อยมาจนกระทั่งถึงท่าน ไปหาท่าน สืบเนื่องมาตั้งแต่โน้นแหละ จากนั้นแล้วท่านก็มาอุดร เราขึ้นมาก็มาจำพรรษาอำเภอจักราช เป็นวัดป่าล้วนๆ ป่าร้อยเปอร์เซ็นต์ พอออกพรรษาแล้วก็รีบมาหาท่าน พอดีท่านออกจากวัดโนนนิเวศน์ไปสกลฯ สองวัน เราก็มาถึง โห หวุดหวิดไม่ทัน เราเลยไปหนองคายเสียก่อนถึงย้อนกลับมา แล้วไปหาท่านทีหลัง เรื่องราวมัน เห็นท่านแล้วอัศจรรย์เห็นวันนั้น แหมทั้งวันเลยนะ จิตใจนี้อยู่ด้วยความเอิบอิ่ม เหมือนว่าใจนี้พองอยู่ตลอดเวลา

แล้วก็ยกนิ้วเลย บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ทั่วประเทศไทย เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์พระสงฆ์องคเจ้าองค์ใดแหละ แต่ที่เด่นที่สุดถึงขนาดร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือหลวงปู่มั่นเรานี้ ท่านนั่งอยู่บนหัวใจเราตลอดเวลาเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างท่านแนะตรงไหนๆ นี้ไปได้ๆ เราติดนี่เถียงท่าน โห ตาดำตาแดง ของง่ายเหรอ เรารู้อย่างนี้ๆ ท่านว่าอย่างนั้น เราเข้าใจว่าของเราถูก ทีนี้ก็ซัดกันละซี นิสัยอันนี้มันก็เป็นมาแต่โน้นละ ฟาดกับหลวงปู่มั่นจนกระทั่งพระแตกมาทั้งวัด เป็นนิสัยอย่างนั้นละ มันไม่เข้าใจมันไม่ถอย ถามจนเข้าใจ โต้กันจนเข้าใจ ถ้าเข้าใจ ลงหมอบปั๊บ ลงเลยนะ ลงที่สุดเลย ไม่มีฟื้นถ้าลงลง ถ้าไม่ลงไม่ลง นิสัยอันนี้เป็นอย่างนั้น ต้องเอาเหตุเอาผลกัน ควรลงหนักเบามากน้อยฟังไปๆ ถ้าลงเต็มที่แล้วเท่านั้นไม่มีฟื้น

อย่างหลวงปู่มั่นนี่ทุกครั้งลงเต็มที่เลย ก่อนจะลงเต็มที่ก็ซัดกันเต็มเหนี่ยว ถ้ามวยก็ไม่รู้กี่ยกว่างั้นเถอะกว่าจะลง เราจึงได้ยกนิ้ว เป็นพักๆ นะท่านเอาเราทีไรได้ทุกที หมอบทุกที เถียงท่านทุกที ตรงที่หมอบนั้นเถียงแล้วค่อยหมอบนะ สองพักสามพัก เบื้องต้นจิตเป็นสมาธิ มันเป็นจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นจึงกล้าหาญพูดทุกอย่าง ในภูมิสมาธินี้เรียกว่าเต็มภูมิเลย อยู่ที่ไหนอยู่ได้ทั้งวัน จิตนี้ไม่คิดยิบๆ แย็บๆ มันกวนใจ นี่ละจิตที่เป็นสมาธิเต็มที่แล้ว ความคิดความปรุงนี้กวนใจทั้งนั้น

แต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้ปรุงอยู่ไม่ได้ มันดีดมันดิ้นอยากคิดอยากปรุง พอสมาธิทับหัวมันเหมือนหินทับหญ้ามันก็ไม่คิด มันไม่อยากคิดแหละ แย็บออกมานี้เหมือนว่ากวนใจ อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดในป่าในเขา นั่งอยู่ร่มไม้ร่มไหนเหมือนหัวตอ นอนก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอด นี่จิตเป็นสมาธิ จนติด ว่างั้นเลย ติดสมาธิ จนกระทั่งชี้ลงในนี้แหละ นี่ละนิพพานอยู่ตรงนี้ละ คือจิตมันแน่วของมันไม่มีอะไรกวน เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ความรู้ล้วนๆ คือความรู้ที่มีกิเลสอยู่นะ เป็นความรู้ในขั้นสมาธิที่มันสงบตัวเต็มที่ ไม่อยากคิดอยากปรุงอะไรเลย คิดปรุงออกมานี้มันกวนใจ

ท่านก็ถามเรื่อยนะ พอจิตเราเป็นสมาธิ เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ เราก็กราบเรียนท่านว่า สงบดีอยู่ สงบดีอยู่เรื่อยๆ พอนานเข้าๆ บทเวลาท่านจะเอา มันถึงกาลเวลาแล้วที่นี่จะเอาละ ทางนี้ไม่รู้นะ เป็นยังไงท่านมหาจิตสบายดีเหรอ สบายดีอยู่ สงบดีอยู่ ท่านเปรี้ยงออกมาเลย ท่านจะนอนตายอยู่นั้นเหรอ ขึ้นเลย นั่นเห็นไหม ท่านรู้ไหมสมาธินี่สมาธิหมูขึ้นเขียง ขึ้นเปรี้ยงๆ เลย แต่ก่อนท่านไม่พูด เฉย เมื่อถึงกาลเวลาที่ควรจะเอา ทีนี้ซัดละ เปลี่ยนหมดนะกิริยาท่าทางทุกอย่าง สุ้มเสียงนี้เป็นฟ้าผ่าลงมาเลยเทียว เปรี้ยงๆ  ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั่นเหรอ สมาธิหมูขึ้นเขียง ท่านรู้ไหม นี่เวลาที่จะเถียงท่านนะ สมาธิทั้งแท่งคือสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม นี่ละที่มันเถียงท่านตรงนี้

ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน นั่นมันเอาอย่างนั้นนะ คือมันมีอยู่นี่ในมรรค ๘ สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน ถ้าสมาธิเป็นหมูขึ้นเขียงแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้ามีกาลมีเวล่ำเวลา มีสติมีปัญญาครอบ สมาธิอันนี้สมาธิหมูขึ้นเขียงใส่เข้าแล้ว เปรี้ยงๆ ซัดกันอยู่กับท่าน จนพระแตกวัดมา ซัดกัน อย่างนั้นละจะลงทีไรต้องฟัดกันเต็มเหนี่ยว อันนี้ไม่ใช่ทิฐิมานะจะถกจะเถียงท่านอย่างอื่นอย่างใดนะ คือหาความจริง ถ้ายังไม่ลงมันก็ไม่ลง อันนี้มันก็ซัดกัน จนกระทั่งลง ลงมาแล้วยังมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอีก เอ๊อ นี่เราก็มาหาท่านมามอบกายถวายตัวตั้งแต่วันมาถึงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านแนะนำสั่งสอน แต่เวลานี้เป็นมวยแชมเปี้ยนต่อสู้ท่านได้ยังไง เพราะเหตุไรมันถึงต่อสู้ ถ้าว่าเราดีเราเก่งแล้วมาหาท่านทำไม จะมาถือท่านเป็นอาจารย์ทำไม ซัดเจ้าของนะที่นี่

ท่านพูดเหล่านั้นเอาไปพิจารณาซิ เราจะเอาแต่ทิฐิมานะของเรามาขวางท่านนี้ ขวางวันยังค่ำจมไปเลยนะ มาศึกษากับครูอาจารย์ ความรู้ของท่านกับความรู้ของเราต่างกันยังไงที่นี่ซัดเจ้าของนะ ท่านว่าอย่างงั้นๆ ผิดตรงไหน เอ้าตามให้ทันซิ ตามท่านซิ ปล่อยสมาธิ ท่านว่าสมาธิหมูขึ้นเขียง สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ปลดออกหมดเลย ปล่อย ที่เถียงท่าน เอ้า ตามท่านท่านบอกให้ออกทางด้านปัญญา ยอม.มาเอาตัวเองแหลกนะ ว่าไปเถียงท่านเหมือนมวยแชมป้งแชมเปี้ยน มันไปยังไงนี่ เราก็หาความจริงนั้นแหละ แต่เวลาจะตีเราหากไม่ให้มีอย่างนั้น เอาตั้งแต่อันใดที่มันจะลงละตีเจ้าของ เข้าใจไหม มันก็ลง เอ้า ท่านว่าให้พิจารณาทางด้านปัญญา ออกซิ พิจารณาซิ

พอออกทางด้านปัญญา ก็มันพร้อมแล้วนี่สมาธิ เป็นอยู่ ๕ ปีเต็มๆ พอออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งเลยทีเดียว รวดเร็วนะเราทางด้านปัญญา เพราะสมาธิเต็มที่แล้ว พอท่านเปิดทางทางด้านปัญญา ไล่หมูลงจากเขียงแล้ว ไล่เข้าทางปัญญามันก็พุ่งๆ เลย พอออกนี่ โอ้ ชอบกลๆ เปิดออกเรื่อยชอบกลๆ ฟาดกันไม่มีวันมีคืน มันรวดเร็วนะปัญญาของเรา พอออกจากสมาธิตามที่ท่านไล่ลงเขียงแล้วนะพุ่งๆ เลย ไม่หลับไม่นอน เอาละที่นี่ กลางคืนตลอดรุ่งนอนไม่หลับ มันพุ่งๆ ของมันปัญญา กลางวันก็ไม่หลับอีก อ้าว มันจะตายจริงๆ แล้วกลับไปหาท่านอีก นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ “มันออกยังไง” ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนนั่นแล้ว กลางคืนก็นอนไม่หลับ มันพุ่งๆ ของมันตลอดเวลา กลางวันยังนอนไม่หลับอีก “นั่นละมันหลงสังขาร” นั่นเอาละนะ “มันหลงสังขาร” ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ “นั่นละบ้าหลงสังขาร” ซัดเข้าอีกตรงนี้

เห็นไหมล่ะ เรากับพ่อแม่ครูจารย์ไม่เคยพูดธรรมะนิ่มนวลนะ ต้องธรรมะฟ้าถล่มๆ ทั้งนั้นละ นั่นละตามนิสัยเห็นไหม คำพูดของท่านแข็งกร้าวไหม คำพูดของท่านดุด่าว่ากล่าวกระแทกแดกดันไหม ฟังซิน่ะ ท่านลงตามจุดๆ ที่ควรจะหนักท่านหนัก นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น ควรจะหนักท่านก็หนักอย่างที่ท่านฟาดเรานี้ก็ มันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม้รู้ “นั่นละบ้าหลงสังขาร” ซัดเข้าอีก ขึ้นบ้าหลงสังขารละที่นี่ มันก็หมุนของมันไปเรื่อยๆ เวลาจะตายแล้วก็ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ อันนี้เราพูดย่อๆ นะ มันจะตายจริงๆ ถึงเข้ามาสมาธิ สมาธิที่เก่งกล้าที่สุดนั้นไม่ความหมายนะ สู้ปัญญาไม่ได้ ปัญญานี้พุ่งๆ ตลอด จะเข้าสมาธิโอ๊ย สมาธินี่มันนอนตายอยู่เฉยๆ ไม่เห็นเกิดปัญญา แน่ะ ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส สมาธิไม่ได้ฆ่ากิเลส มันก็เลยหมุนไปทางด้านปัญญามันไม่พอดี ท่านจึงเรียกว่ามันหลงสังขาร

คือสังขารนี่ สังขารที่เป็นปัญญา สังขารเป็นมรรคแก้กิเลส ทีนี้เราไม่รู้จักประมาณ สังขารฝ่ายสมุทัยมันแทรกเข้าไปในนั้น ท่านว่ามันหลงสังขารคือสังขารสมุทัย ไม่รู้จักประมาณความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่ได้พูดมากนักกับเรา ให้เราไปตีเองทุกอย่าง ท่านจะจับไม้ก็ทั้งท่อนโยนให้เรา ให้ไปเลื่อยเอง อันนี้ก็แบบเดียวกัน นี่มันหลงสังขาร พอเราเถียงท่านว่า ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ “นั่นล่ะบ้าหลงสังขาร” เท่านั้นพอ แต่เวลามันไปแจงแล้ว โอ้โห ท่านพูดอย่างนี้ เวลามันจะตายจริงๆ มันเข้าสมาธิพิจารณาพุ่งๆๆ เป็นระยะๆๆ นี่ตรงนี้ก็ลงท่าน ท่านว่ามันหลงสังขาร คือมันพิจารณาเลยเถิดไม่อยู่ในความพอดี สังขารสมุทัยแทรกเข้าไปเราไม่รู้ แต่เวลาผ่านไปแล้วมันรู้หมดนั่นซิ เรื่อยเลย

นี่เราก็ไม่ลืม ไล่ออกจากสมาธิ จนเถียงกันก็ไม่ลืม ที่ออกทางด้านปัญญาได้รั้งเอาไว้ ท่านว่าขนาดถึงบ้าหลงสังขารนี่เราก็ไม่ลืม นี่ละมันลงท่านทุกอย่าง ที่ได้แล้วลงทั้งนั้นถูกหมดท่านพูด เราผิดทั้งเพ นี่ละถึงสังขาร ตอนถึงสังขารนี่ เวลาท่านป่วยอยู่นี้ กับเราเองท่านไม่เคยดุไม่เคยว่าอะไรเลย ขึ้นมาทำไม มาอะไร ไม่เคยมีนะ นอกจากนั้นไม่ได้นะ ไปหาท่านไม่ได้ กับเรานี่ไม่เคยมี ขึ้นเมื่อไรได้ทั้งนั้น ท่านนอนอยู่ก็ตามขึ้นปั๊บเลย พอขึ้นไปก็เป็นเรื่องทางด้านปัญญาละซิ ปัญญามันหมุนเป็นธรรมจักร สติปัญญาอัตโนมัติหมุนติ้วๆ พอแก้นี้แล้วปั๊บนี่มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ซัดกันกับกิเลสเกิดขึ้นอีกแล้วๆ ทีนี้ถ้าแก้ไม่ตกมันก็ติด เมื่อมันติดแล้วถ้าอยู่เราคนเดียว ซัดกันกว่าจะผ่านไปได้ก็นาน พอมันติดอยู่นี่ปั๊บเข้าไปหาท่าน ท่านผางมาทีเดียวตกไปเลย นี่ซิ

         เพราะฉะนั้นจึงต้องขึ้นหาท่านเรื่อย บางวันขึ้นถึงสองหนก็มี ท่านนอนอยู่ก็ตามนะ พอเราขึ้นไปกราบใกล้ๆ แล้วก็กราบเรียนท่าน เหมือนท่านหลับท่านไม่ได้หลับนะ พอขึ้นก็กราบเรียนท่าน เวลานี้พิจารณาเป็นอย่างนั้นๆๆ ท่านก็นอนฟัง เวลาท่านลุกนี้ดีดผึงเลยนะ เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนไม่มี นั่นละพลังเมตตา พอเราขึ้นไป “เอาพิจารณาอย่างนี้นะ ฟังนะ” ท่านจะพูดย่อๆ นะที่ว่า “ฟังนะ” “พิจารณาอย่างนั้นๆๆ เข้าใจหรือยัง” ท่านคอยฟังเราถ้าเรายังนิ่งอยู่ท่านย้ำอีกนะ เข้าใจหรือยัง ถ้าเรายังนิ่งอยู่นี้ ท่านย้ำอีกหนักเข้าไปๆ พอเข้าใจปั๊บเท่านี้แหละ เราก็กราบปั๊บๆ เลย ท่านก็ล้มนอนตูม ไปเลยเรา เป็นอย่างนั้นกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น

         นี้เราพูดอย่างเปิดหัวใจนะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านไม่เคยที่จะหวงห้ามเรา หรือดุด่าว่ากล่าวเราในเรื่องขึ้นหาท่านไม่มี ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนเราขึ้นไปได้ตลอด อย่างนี้แหละ พูดนี้เปรี้ยงๆ นี่ละธรรมะแก้กิเลสประเภทไหนๆ แก้ยังไง วิธีการยังไง ใช้กิริยายังไง ผ่านภาคปฏิบัติแล้วมันก็รู้เองเข้าใจไหม อย่างที่เรานำมาสอนโลกนี่เขาว่าหลวงตาบัวพูดหยาบพูดโลน พูดกระแทกแดกดัน พูดอะไรต่ออะไรเขาก็ว่าไป พวกกองขี้นั่นละมันพูด เราเอาธรรมมาชะล้างขี้ ขี้มันไม่ยอมมันต่อสู้น้ำเข้าใจไหม ว่าหลวงตาบัวอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เขาไม่เคยผ่าน เรามันผ่านมาแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านใส่กับเรานี้น้อยเมื่อไร ใส่เปรี้ยงๆ เหมือนฟ้าดินถล่ม นั่นละธรรมะที่เด็ดขาดกับกิเลสประเภทนี้จะเข้ากันได้สนิท ความหมายว่าอย่างนั้น

         ทีนี้เวลามันลงเต็มที่แล้ว เราสรุปเลยนะ กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีบิ่นเลย ถ้าสมมุติว่าท่านมหานี่มันโง่เง่าเต่าตุ่นนักหนาตายเสีย ให้คนที่เขาฉลาดมาอยู่จะได้เบาแผ่นดินบ้าง นี่มันหนักแผ่นดิน เอาเมื่อไรเลยนะ นู่นน่ะเห็นไหม ให้ตายเมื่อไรตายได้เลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงขนาดนั้นละ จนกระทั่งทุกวันนี้อยู่บนหัวใจเราตลอด เราจึงยกนิ้วเราเป็นผู้เป็นคนมา มีแต่ถูกจับถูกฟันอย่างแหลกทีเดียว นั่นละท่านฟันกิเลสให้เรา

         นี่ละที่ว่าฟ้าดินถล่ม ถ้าสมัยปัจจุบันนี้เขาก็ว่าพูดกระแทกแดกดัน พูดหยาบพูดโลนพูดอะไร หยาบโลนอะไรภาษาของธรรม น้ำหนักของธรรม ควรจะหนักขนาดไหนธรรมต้องออกให้หนักตามขนาดของกิเลสมันมีหนักเบามากน้อยเพียงไร ซัดกันลงๆ เรายกตัวอย่างเช่นท่านฟัดเรานี้เอง พ่อแม่ครูจารย์ซัดกับเรานี้ โถ ฟ้าดินถล่มทั้งนั้นละ ทีนี้เวลามันเป็นขึ้นจิตใจก็อันเดียวกัน ธรรมอันเดียวกัน ควรจะหนักมันก็หนัก ควรจะเบาก็เบา ควรจะดุด่าว่ากล่าวประเภทไหนเป็นประเภทหนักเบาของธรรมมันต้องออกๆ

         พูดชัดๆ อย่างที่เราเทศน์ทุกวันนี้ที่เขาปากอมขี้มันเห่าว้อแว้ๆ ว่าหลวงตาบัวนี่พูดดุด่าว่ากล่าว พูดกระแทกแดกดัน บางทียกโคตรยกแซ่ โคตรนั่นหมายถึงน้ำหนักเข้าใจไหม คนเดียวไม่พอให้เอาโคตรมา คือคนเดียวไม่พอทั้งโคตรมีน้ำหนักมากให้เอามา มาสู้ความหมายว่าอย่างนั้น เราไม่ได้พูดเพื่อกระแทกแดกดันให้เป็นความเสียหายแก่โคตรแซ่นะ เราเอาเป็นน้ำหนักมาต่างหากเข้าใจไหม ทีนี้เขาก็ยกเอาโคตรของเขาเป็นไปแบบนั้นเสีย ก็เลยมาต่อสู้กับเราเรื่อยเราก็เฉย

         ความจริงเราเอาน้ำหนักมา เราไม่ได้มีที่ว่าจะไปหยาบโลนเสียหายแก่ผู้ใด คำพูดจะเป็นฟ้าดินถล่มมาก็ตาม เป็นธรรมล้วนๆ เลยเราพูดสอนโลก เราจึงไม่มีอะไรที่จะเป็นภัยต่อโลก เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอน ดุด่าว่ากล่าวประเภทใดก็ตามเราแน่ในหัวใจเราทุกอย่างเราถึงสอนโลก เราจึงบอกว่าธรรมสอนโลก จะมาว่าเรายุ่งกับการบ้านการเมือง ยุ่งอะไรยุ่งมูตรยุ่งคูถ แน่ะ เราเอาน้ำมาชำระมูตรคูถที่มันสกปรกเหลือทนต่างหาก ธรรมะอยู่เหนือนี่แล้วชำระลงมาต่างหาก เราไม่ได้มาเกี่ยวกับการบ้านการเมือง เป็นธรรมสอนโลกต่างหาก โลกมันยุ่งเหยิงวุ่นวาย มันสกปรก เอาน้ำมาชะมันต่างหาก

         การสอนโลกเราจึงไม่สงสัยในการสอนของเราตลอดมาถึงทุกวันนี้ หรือจะตลอดไปก็แบบเดียวกัน เราไม่มีอะไรกับโลก เราสอนโลกเพื่อให้รู้เนื้อรู้ตัวต่างหาก ให้พากันเข้าใจเอานะ นี่ละธรรมมีบทมีบาท มีหนักมีเบา ให้พากันจำเอา การชำระสะสางกิเลสเป็นอย่างนี้ละ เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก