คนรกโลก
วันที่ 27 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

คนรกโลก

 

         เราได้พยายามสุดกำลังความสามารถด้วยความเมตตาล้วนๆ ที่ช่วยโลกเราช่วยจริงๆ ไม่มีคำว่าประจบประแจง เรื่องธรรมนี้ต้องตรงไปตรงมา อย่างที่เรานำภาษาธรรมมาใช้นี้ โลกพูดให้เต็มยศก็คือโลกสกปรก ธรรมเป็นของสะอาด ของสะอาดพูดอย่างตรงไปตรงมาเรียกว่าธรรม ส่วนกิเลสนั้นไปขโมยเขามาแล้วเขาจับยัดใส่คุก ไปติดคุกเป็นนักโทษ แล้วไปถามเป็นอะไรมาติดคุกอย่างนี้ “เขาหาว่า” “แล้วความจริงมันเป็นจริงๆ เหรอ” “เป็นจริงๆ นั่นละครับ” แน่ะ มันไม่ได้ตอบความจริงนะ โลกปลิ้นปล้อน โลกหลอกลวง ธรรมนี่พูดตรงไปตรงมา

         เพราะฉะนั้นเสียงธรรมเวลานี้ก็คือหลวงตาบัวละ ในประเทศไทยของเราที่ออกเสียงธรรมมากที่สุด เพราะฉะนั้นเสียงที่แปลกจากกิเลสจึงกระเทือนไปหมด ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องของกิเลสนั้นแหละที่ออกมาว่าพูดดุพูดด่า พูดกระแทกแดกดัน พูดหยาบโลน ตัวของมันแบกหามความหยาบโลนหยาบช้าลามกอยู่ในตัวของมันเต็มตัวมันไม่ได้ว่านะ  พูดอย่างนี้พูดชำระของสกปรกในตัวของมัน ที่มันกำลังอมขี้มาพูดอยู่นั้นแหละ มันไม่รู้ตัวนะ นี่ละเรื่องของกิเลส จะว่าดีเสมอๆ ธรรมไม่ว่านะ ตรงไปตรงมาเรียกว่าธรรม

         จะให้พูดแบบโลกเราก็พูดได้ ทำไมพูดไม่ได้เราเกิดมากับโลก แต่เวลาปฏิบัติธรรมเข้าไป ปฏิบัติเข้าไปพูดแบบธรรมเป็นขั้นๆ พอไปบวชเป็นพระพูดแบบพระ เป็นฆราวาสก็พูดแบบฆราวาส แล้วเป็นเด็กก็พูดแบบเด็กทำแบบเด็ก เช่น ไปขโมยอ้อยเขาอย่างนี้ก็ทำแบบเด็กเข้าใจไหม เวลามันโกหกเขามันเก่งนะอีตาบัวนี่ ตั้งแต่เป็นเด็ก เรายังไม่ลืมนะ มันจำได้นะ มันหากเป็นนิสัยของมันเองละท่า ไปขโมยอ้อยเขามาแล้ว เขาปิดประตูไว้เด็กมันลอดได้ อ้อยมันอยู่มุมรั้วนะ มุมสวนเขา

         ทีแรกไปก็ขโมยละซี ไปด้อมๆ พาพี่ชายไป พอไปเห็นลำนั้นใหญ่ลำนี้ใหญ่เสียงขึ้นแล้วนะ ลำนั้นใหญ่ลำนี้ใหญ่ เรื่องขโมยไม่มี ฟาดเสียงลั่นเลย เลยตัดอ้อยเขาลอดออกมา มาเจอเจ้าของ เรายังได้ชมเจ้าของ เจ้าของมีศักดิ์เป็นป้า ก็ญาติกันนั่นแหละ เรียกป้าฝ้ายคนสวยงามมากนะป้าฝ้าย สวยงามจริงๆ เรายังไม่ลืม พอลอดออกมาได้อ้อยคนละลำออกมา พอดีแกก็มานั้นพอดี แกก็มายืน กิริยาท่าทางของแกไม่มีหน้าบึ้งหน้าเบี้ยว เพราะก็รู้แล้วว่าเด็ก แล้วเด็กก็เป็นพวกญาติกันด้วย

         เรายังไม่ลืมนะมายืนยิ้มๆ “เด็กเหล่านี้ สูทำไมไปขโมยอ้อยกูล่ะ” ว่างั้นนะ เด็กเหล่านี้คือมีสองคน สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ เราก็ลอดรั้วออกมา ทางนี้ก็มาถึงพอดี มาพูดยิ้มๆ “เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ” อู๊ย มันแก้เก่งนะ นี่ละคำโกหกเราไม่ลืม เด็กๆ เราก็โกหกเก่งเหมือนกัน ไม่มีใครบอกนะ “ผมไม่ได้ขโมยนะป้า” ฟังซิน่ะ “ผมมานี้ผมหิวอ้อยมากผมเลยจะเข้าไปตัดอ้อยแล้วจึงจะแบกอ้อยนี้ไปหาป้า แล้วถึงจะไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย”  บอกนะ ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย “กูไม่เอาแหละ สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย” ยิ้มแต้มใหญ่เลย ไปก็ไปโม้ให้ตาฟังละซี

         ตาก็ดอดไปบ้านเขาไปเล่าเรื่องอะไรต่ออะไรให้เขาฟัง “เด็กเขาไปขโมยอ้อยสูเมื่อวาน สูรู้ไหม” ไม่รู้ยังไง เขาไม่ได้ขโมย เขาเอาคำพูดแก้ตัวของเรานั่นแหละ “เขาไม่ได้ขโมย เขาบอกเขาหิวอ้อย เขาตัดอ้อยแล้วจะแบกมาบอกที่บ้าน แล้วเขาถึงจะกลับบ้าน” “ตัวขโมยใหญ่มันมาเล่าให้กูฟังแล้ว” นั่นแหละที่นี่เอาใหญ่ ตาก็ดัดสันดานกลัวมันจะเป็นนิสัยเด็กขโมย “มาแล้วสูให้เตรียมข้าวเตรียมของให้เด็กสองตัวนี้น่ะ” “ตำรวจเขาจะมาจับไปมัดใส่คุก มันไปขโมยอ้อยเขา” โอ๊ย ร้องไห้วิ่งขึ้น เราไม่ลืมนะ โดดขึ้นไปบ้านไปอยู่ในห้อง ปิดประตูกึ๊กกั๊ก “นั้นละเขายิ่งจะจับเอาง่าย” เราโดดลงมาแล้ววิ่งลงทุ่งนา เราเลยไม่ลืม ตาดัดสันดาน

         นี่เวลาเป็นเด็กมันก็เป็นแบบนั้น อีตาบัวก็ขโมยอ้อยเก่งเหมือนกัน เป็นเด็กก็เป็นนิสัยของเด็ก แต่ความจริงนิสัยขโมยไม่มี มันหิวอ้อยมากอย่างว่ามันก็โกหกได้นะ นี่เราพูดตามภาษาที่ว่ามันเป็นไปตามขั้นตามตอนการพูดการจา เป็นเด็กก็เป็นเด็กอย่างนั้น โกหกก็โกหกแบบเด็ก ไม่มีใครถือสีถือสา ครั้นโตขึ้นมาเราก็เข้าเป็นพระก็เป็นแบบพระไปขั้นหนึ่งๆ ไปเรื่อยๆ แบบฆราวาสอะไรขัดข้องกับธรรมวินัยของพระไม่นำมาใช้ ใช้ในวงของพระคือตลกขบขันกัน หรือหัวเราะอะไรเหล่านี้ หยอกเล่นกันตามประสาพระในวงธรรมวินัยก็มีเหมือนกัน เป็นขั้นๆ มาโดยลำดับลำดา

         จนกระทั่งออกปฏิบัติ ออกปฏิบัติเข็มมันพุ่งใส่ธรรมแล้วที้นี่ เรื่องโลกจะมายุ่งไม่ค่อยได้ พุ่งเข้าใส่ธรรมฟาดให้มันชัดเจน ที่เขาหาว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม จะปรับอาบัติปาราชิกหลวงตาบัว จะฟ้องปรับอาบัติปาราชิกหลวงตาบัวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม นี่พูดถึงเขาหาว่าเราอวดอุตริเข้าใจไหม แล้วธรรมที่เขาว่าเราอวดอุตริเวลานี้ออกทั่วโลกแล้ว ใครจะมาฟ้องมาปรับสังฆาปาราชิกหลวงตาบัวยกโคตรมาเราก็บอกอย่างนี้เลย ถ้ามันมีโคตรยกโคตรมา ถ้าโคตรเรามีเราอยากฟังเราก็ฟังไม่อยากฟังเราก็เฉยไป เราบอก อย่ามาแต่เพียงคนเดียวให้ยกโคตรมาเลยมาฟ้องหลวงตาบัว

         เวลานี้สักขีพยานของหลวงตาบัวออกทั่วโลกแล้ว อุตริหรือไม่อุตริให้ฟังเอา ตัวมันเก่งๆ ที่มาฟ้องหลวงตาบัวมันเอาอะไรออกมาอวดโลกเขาบ้าง ก็มีแต่คำว่าหลวงตาบัวอุตริมนุสธรรม มันก็ว่าจะมาฟ้องก็ไม่เห็นมันฟ้องนะ อยู่อย่างนี้ เราบอกให้มาทั้งโคตรเลยก็ยังไม่เห็นตัวมันทั้งโคตรของมันนั่นแหละ เงียบ ทีนี้เราก็อวดเรื่อยไปอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็กำลังอวดอยู่นี่ นี่ละทีนี้พอเข้ามาถึงขั้นนี้แล้วธรรมะปฏิบัติภายในจิตใจ เรียนมาเป็นปากเป็นทางเข้ามา เป็นแบบแปลนแผนผังเข้ามา นำแบบแปลนแผนผังเข้ามา เหมือนว่าเรานำแปลนเข้ามาปลูกบ้านปลูกเรือน เรานำแบบแปลนแผนผังจากตำรับตำรามาปฏิบัติตัวของเรานี้เหมือนกับว่าปลูกบ้านสร้างเรือน ผลก็ปรากฏขึ้นมาๆ เรื่อยละที่นี่ นี่ผลเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ

         ทีนี้ต่อไปๆ มันก็เลยถึงขั้นหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรมแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่อวดยังไงมันทั่วโลกมานานแล้ว ดีไม่ดีมันออกมาตั้งแต่ไอ้นี้มันยังไม่เกิด ไอ้จะมาฟ้องเรานี้ อวดอุตริมนุสธรรมเราออกมาตั้งแต่ ดีไม่ดีมันยังไม่เกิด อายุมันเท่าไรไม่ทราบ เราไม่อยากถามถึงตัวมันโคตรของมันละ เข้าใจไหม คนแบบนี้น่ะ เรียกว่ารกโลกคนประเภทนี้ โลกเขายอมรับธรรมของพระพุทธเจ้า นี้มันขวางธรรมพระพุทธเจ้า เอาธรรมพระพุทธเจ้าออกพูดมันหาว่าโอ้อวดอุตริมนุสธรรม กองมูตรกองคูถของมันเต็มตัวอยู่นั้นมีอะไรบ้างไม่เห็นอวด ว่านั้นหรือเป็นของดีจึงไม่อวดเหรอ ธรรมะนี่เหรอเป็นของเลว นี่หรือมันว่าอวด ฟังซิ

         เดี๋ยวนี้มันถึงขั้นนั้นแล้วนะ หลวงตาบัวถึงขั้นเขาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่ธรรมที่ออกแสดงอยู่ทุกวันนี้ทั่วโลกแล้วนะ จริงหรือไม่จริง เท็จหรือไม่เท็จ ท่านทั้งหลายฟังเอา เราไม่เคยมีสะทกสะท้าน นี่พูดไปสัมผัสก็นำมาพูดเฉยๆ เราไม่ได้ก่อกรรมก่อเวร ไม่ได้เคียดแค้นให้มันละ ใครก็ตามมาพูดทั้งดีทั้งชั่ว ชมเชยสรรเสริญแบบเดียวกันหมด ตกไปหมดเลย เราไม่เอาทั้งนั้น มันเป็นเองของมัน เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ตกไปปั๊บกลิ้งปุ๊บไปเลยๆ ต่างอันต่างไม่สนใจกัน ใบบัวก็เป็นใบบัว น้ำเป็นน้ำตกแล้วไปเลย อันนี้เรื่องนินทาสรรเสริญมันก็แบบเดียวกัน ตกไปเลยๆ ไม่ซึมซาบ

         ใบบัวไม่ซึมซาบ ทำใจของตัวให้บริสุทธิ์แล้วเป็นแบบนั้น ไม่มีอะไรมาซึมซาบได้เลย เป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้แล้วที่สมมุติจะเข้าไปแทรก ไม่ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติกลิ้งตกไปเลย ไม่ว่าความนินทาความสรรเสริญ อย่างที่เขาว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม นี่มันก็กลิ้งตกไปแล้วตั้งแต่เขาว่านั่นแหละ พอทราบปั๊บกลิ้งตกไปแล้ว ตัวมันยังไม่ตกนะมันยังเคียดแค้นก็ได้เข้าใจไหม ให้มันเผาหัวใจมันนั่นแหละ ไม่ได้เผาเรา ของเรามันตกไปแล้วนี่เข้าใจไหม พูดชัดๆ อย่างนี้ละ พูดอย่างอาจหาญชาญชัย เอาธรรมนอกสมมุติมาพูดให้สมมุติฟัง

         กิริยาอย่างนี้เราก็ไม่เคยแสดงออกมา ท่านทั้งหลายก็ได้เห็นแล้ว คนๆ เดียวตั้งแต่ขโมยอ้อยเขามา ตั้งแต่เป็นเด็กขโมยอ้อยเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาบวชเป็นพระถึงขั้นนี้แล้วก็เป็นอย่างนี้ นี่ขั้นสุดท้าย จะไม่มีอะไรเลยนี้ไป ขั้นนี้ขั้นสุดจิตสุดคิด สุดทุกอย่างในหัวใจ ธรรมะก็เต็มหัวใจ ออกเต็มเหนี่ยวๆ จนกระทั่งถึงวันตาย สุดตรงนี้แหละการปฏิบัติธรรม ใครจะว่าอะไรเราไม่เคยสนใจ เพราะธรรมมันครอบโลกธาตุแล้ว จะมาว่าอะไรปากคนเพียงปากเดียวสองปาก

         ธรรมนี้ครอบโลกธาตุแล้ว คุณค่าของธรรมเหนือเท่าไรพูดออกนี้ปากอมธรรมทั้งนั้นออกมา ไม่ได้อมขี้มาพูด บ๊งๆ เบ๊งๆ หาเรื่องใส่คนนั้นหาเรื่องใส่คนนี้ ไม่หาใส่ใคร พูดตามความสัตย์ความจริง เพราะฉะนั้นเขาจึงว่าขวานผ่าซาก ว่าดุว่าด่า พูดกระแทกแดกดัน กระแทกตัวมันสกปรกนั้นละเข้าใจไหม ตรงไหนมันสกปรกมากน้ำสาดลงไปแรงๆ เขาก็ว่ากระแทกเข้าใจไหม เรื่องหลักธรรมชาติแล้วมันไม่มีอะไรกับโลกแล้ว พูดให้มันจริงอย่างนี้

         ท่านทั้งหลายให้ปฏิบัตินะธรรม ธรรมเป็นธรรมชาติสดๆ ร้อนๆ เหมือนกิเลสสดๆ ร้อนๆ โจมตีกันอยู่ตลอดเวลา นี่สดๆ ร้อนๆ มาตั้งกัปตั้งกัลป์ ธรรมที่หลุดพ้นจากนี้ ก็พระพุทธเจ้าปรินิพพานกี่พระองค์ จนกระทั่งถึงบัดนี้ สดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกัน ให้เลือกเอา เวลานี้ใครจะเลือกเอาทางดีทางชั่วขนาดไหนอยู่กับตัวของเราทุกคน เลือกดีได้ดี เลือกชั่วได้ชั่ว ออกมาปฏิบัติตัวเอง ให้เป็นคนดี ดีขึ้นได้จิตดวงนี้ไม่ใช่เล่น เรื่องร่างกายไม่สำคัญแหละ ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น

พอพูดเหล่านี้มันก็ไปสัมผัสนะ มันแปลก นี่เวลามันสัมผัสจะพูดให้ฟังเสียบ้าง เวลามันได้รู้มันรู้จนกระทั่งถึงเรื่องของสัตว์ เรากับสัตว์ตัวนี้เคยเป็นผัวเป็นเมียกัน ดูซิน่ะ ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม นี้ถอดออกมาจากนี้ มองเห็นปั๊บนี้มันวิ่งถึงกันแล้ว ปั๊บแล้ว เป็นแต่เพียงว่ารู้แล้วผ่านไปๆ นี่โลกไม่เคยพูดกัน แต่เรื่องของจริงมันมีอย่างนั้น ไปเห็นปั๊บนี่ โอ๊ย สัตว์ตัวนี้มันเคยเป็นเมียเรามานี่ นี่เห็นไหมล่ะ จะว่าอะไรแต่คนเคยเป็นผัวเป็นเมียกัน แม้แต่สัตว์ก็เคยเป็น มันผ่านภพผ่านชาติมากี่กัปกี่กัลป์ สลับซับซ้อน ทีนี้เวลานี้ ของเก่ามันมียังไง มันก็รู้ของมันเอง ไม่ต้องมีใครบอก ไม่สงสัยจะไปถามใครละ ปั๊บ มันรู้เลย

โอ๊ย สัตว์ตัวนี้เคยเป็นเมียเรามา ฟังซิท่านทั้งหลายเคยฟังไหม คำพูดหลวงตาบัว มาอวดท่านทั้งหลายเหรอ นี่ละเวลามันรู้ๆ เป็นแต่เพียงว่ารู้แล้วผ่านๆๆ ถ้าถึงเวลาที่สัมผัสที่จะนำมาพูดบ้างก็พูดๆ เพราะพูดไม่ได้มีความติดใจ พูดไม่ได้ติดไม่ได้พัน ไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรมอะไร พูดตามเรื่องราวที่เป็นมายังไง อย่างที่มันรู้มันเห็น ก็รู้ตามเรื่องราวที่เคยเป็นมา เวลาไปเจอสัตว์เข้าปั๊บนี้มันวิ่งถึงกันปึ๊งเลย ไม่ต้องไปถามใครมันรู้เองของมัน ไม่ต้องถามใคร ไม่แน่ยิ่งกว่าเจ้าของ รู้เองเห็นเอง นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ถึงว่า โอ๊ย มันเป็นได้ทุกแบบทุกฉบับ สับสนปนเปทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์ทุกประเภท เคยสับสนกันมาอย่างนี้ ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว จะมาว่าอะไรเพียงเท่านี้

นี่ละจิตถ้าลงได้รู้แล้ว แต่รู้เรื่องของธรรมทั้งหลายท่านไม่ได้เหมือนโลกรู้ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ผ่านไปๆ รู้ไป ผ่านไปเป็นธรรมดาๆ ถึงคราวที่จะพูด ซึ่งไม่มีใครพูดเลยประเภทนี้นะ สัตว์เดรัจฉานกับเราเคยเป็นผัวเป็นเมียกันยังไงหรือไม่ อย่าว่าแต่มนุษย์มนาเคยเป็นผัวเป็นเมียกัน แม้แต่สัตว์ก็เคยเป็น มันวิ่งถึงกันหมด ก็ความเป็นจริงมันมีอย่างนั้น มันก็ต้องรู้ไปตามความจริงเข้าใจไหมล่ะ จะลบล้างได้ยังไง จะว่าสูงว่าต่ำได้ยังไง ความเป็นมันเป็นมาอย่างนั้น นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า เวลาเปิดออกแล้วไม่ได้เหมือนอะไรนะ ที่นำมาสอนโก้กๆ อยู่นี้ ว่าอวดอุตริมนุสธรรมเหรอ แล้ว ใครพวกนี้พวกไม่อวด มีแต่พวกสุภาพดีทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ มีเป็นลิงอยู่ตั้งแต่หลวงตาบัวคนเดียว ไปหนีพวกนี้น่ะ ให้อยู่แต่ลิงคนเดียวตัวเดียวนี้ พวกสุภาพให้พากันไปให้หมด แต่มันไม่ยอมไป มันยิ่งหมอบฟังเข้าไปอีกพวกบ้านี่ เข้าใจไหม

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน คิดดูซิตั้งแต่เป็นเล็น เล็นตัวเล็กตัวใหญ่ขนาดไหน นี่ยกตัวอย่างมาย่อๆ พระติสสะ โยมอุปัฏฐากท่าน เอาผ้ามาบังสุกุลถวายท่าน ท่านก็เลยตัดจีวรเย็บจีวร ย้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วเอาผ้าตากไว้ พอกลางคืนมาเกิดอุบัติเหตุปัจจุบันทันด่วน ตายเสียกลางคืนนั่น ผ้าที่ย้อมไว้เรียบร้อยแล้วนี้ ตากไว้ยังไม่ได้ใช้เลย ตายแล้วแทนที่จะไปสวรรค์นิพพานไม่ยอมไป สวรรค์นิพพานสู้ผ้าจีวรผืนนี้ไม่ได้เลย พระติสสะมาห่วงผ้าจีวรผืนนี้ ที่ยังไม่ได้ใช้ ตายแล้วปั๊บมาเกิดเป็นเล็นอยู่ในจีวร นั่นเห็นไหมล่ะ แทนที่จะไปสวรรค์นิพพานไม่ยอมไป คุณค่าของสวรรค์นิพพานเวลานั้นสู้จีวรผืนเดียวนี้ไม่ได้ ตายแล้วต้องมาเป็นเล็น เกาะอยู่ในจีวรหึงหวงอยู่ในจีวร เพราะถือว่าจีวรนี้ยังไม่ได้ใช้ จีวรนี้เป็นของเราๆ ยังไม่ได้ใช้ ตาย เลยกลายเป็นเล็นไปเกาะอยู่ที่จีวร

ไม่มีใครเห็นนี่นะ พระพุทธเจ้าเสด็จมาเลยเทียว รับสั่งเลยทันที ใครอย่าไปแตะนะจีวรผืนนี้น่ะ เห็นไหมล่ะ นั่นล่ะเห็นไหมญาณของพระพุทธเจ้า คนทั้งโลกใครเห็นเมื่อไรเล็นตัวนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จมารับสั่งเลยว่า จีวรของพระติสสะตากไว้นี้ใครอย่าไปแตะนะ เวลานี้พระติสสะตายแล้วไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าจีวร มาเกาะอยู่จีวร เป็นเล็นเกาะอยู่จีวรใครอย่าไปแตะ เวลานี้พระติสสะเป็นเล็นกำลังหึงหวงในจีวร ตายแล้วมาอยู่จีวรก็มาหึงหวงอยู่นั้น ใครอย่าไปแตะ พระติสสะจะถือว่ามาแย่งกรรมสิทธิ์ของตน ไปฉุดไปลากไปเอาของตนมาจะโกรธจะแค้น ตายแล้วจะลงนรก พระติสสะตายแล้วจะลงนรก เมื่อมีพระมีใครไปจับเอามา เพราะหึงหวงมาก จึงบอกไว้ว่าใครอย่าไปแตะ ตากไว้นั้นก็ให้ทิ้งไว้อย่างนั้นเลย พอถึงเวลาท่านก็จะรับสั่งเอง

ทีนี้ได้ ๗ วันหรือไง เล็นตัวนั้นก็ตาย ตายแล้วก็ไปสวรรค์ละที่นี่ หายห่วงกับจีวรผืนนี้ ได้เกาะก็เอา ไม่ได้ใช้ได้เกาะก็เอาจีวรผืนนั้น ตายแล้วได้ไปสวรรค์ พระองค์เสด็จมารับสั่งเลย เอ้า ทีนี้จีวรผืนนี้ใครจะแจกจะจ่ายไปหาองค์ไหนที่มีจีวรชำรุดทรุดโทรม ก็แจกได้แล้ว พระติสสะตายแล้วไปสวรรค์แล้ว เป็นยังไงสวรรค์มีหรือไม่มีเอาอีกตอนนี้น่ะ แต่ก่อนห้ามไม่ให้ไปแตะตายแล้วจะตกนรก กลัวเล็นตัวนี้คือพระติสสะนี่ตายแล้วจะตกนรก ซึ่งกำลังหึงหวงอยู่เวลานั้น ทีนี้พอเล็นนี้ตายแล้วไปสวรรค์แล้ว ก็มารับสั่งบอก เอ้า ที่นี่จีวรนี้ให้แจกกันได้แล้ว พระติสสะตายจากเล็นนี้ไปสวรรค์แล้วเวลานี้ นั่นเห็นไหม นั่นละตาญาณของศาสดา เห็นไปหมด ใครเห็นที่ไหน

เรื่องจิตขอให้มันรู้เข้ามาซิ มันจะรู้ของมันไปหมดนั่นแหละ เรื่องความรู้ในธรรมทั้งหลายนี้ไม่เหมือนโลกนะ ผิดกัน โลกรู้เข้ามานี้มันอัดอั้นตันใจอยากพูดอยากจาอยากโม้อยากคุย แต่เรื่องธรรมรู้เป็นรู้ผ่านๆๆ ไม่มีอารมณ์ เมื่อเข้ามาสัมผัสจับปั๊บออกมาพูดเสียเท่านั้นๆ เอง ต่างกันอย่างนี้ละ พากันจำเอา นี่ละอำนาจของจิตขอให้ฝึกฝนเถอะน่ะ จะเป็นไปเต็มสุดหวี่ยงของตัวเอง นิสัยวาสนาของตัวเองมีขนาดไหน จะออกสุดเหวี่ยง รู้สุดเหวี่ยงของตัวเองนั่นแหละ ครั้งนั้นกับครั้งนี้สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ตลอดมา ปฏิบัติก็ต้องรู้เห็นตามนี้ สดๆ ร้อนๆ ตลอดมาเหมือนกันนั่นแหละ และตลอดไปด้วย ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าเห็นแต่กองมูตรกองคูถว่าเป็นของดิบของดี ขยี้ขยำมันอยู่ มีแต่ขยี้ขยำกองมูตรกองคูถ นึกว่าเป็นทองคำทั้งแท่งพวกนี้น่ะ เข้าใจ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละพอ

โยม : ทองวันนี้ได้ ๓ บาทครับผม

หลวงตา : ได้ทุกวันละทอง ซึมซาบเข้าทุกวันๆ เพราะเราหวังอยู่นี่ เราจึงได้รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย หวังจะได้ทองเพิ่มเข้าอีกเรื่อยๆ ไม่ไห้ขาดวรรคขาดตอนทีเดียว เพราะทองคำเราในคลังหลวงรู้สึกว่ามีน้อยมากอยู่ จึงต้องพยายามหาด้วยวิธีนั้นวิธีนี้ เพื่อจะเสริมทองเข้าไปสู่คลังหลวงของเราให้หนาแน่นมั่นคง เท่ากันกับชาติไทยของเราหนาแน่นมั่นคงนั่นเอง เราเป็นห่วงขนาดนั้นนะ ไม่ได้เป็นห่วงในปัจจุบันนี้เท่านั้น กับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่เทศน์ว้อกๆ อยู่นี่ ยังเป็นห่วงลูกหลานไทยของเรา ชาติไทยของเราต่อไปอีก จึงต้องหามาพยุงเอาไว้ๆ

เราพยายามทุกวิถีทาง อะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราจะพยายามเต็มเหนี่ยวๆ ทุกอย่าง ที่ว่าจะแตะต้องทำลายไม่มี เราบอกในหัวใจเราไม่มีเลย มีแต่พยุงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นใครเข้ามาแตะต้อง ๓ พระองค์นี้ จึงได้ฟัดกับเราตลอด ถ้าใครมาแตะนี้ไม่ได้ละฟัดกันเลยทันที เหมือนไอ้กี้นั่นละ เศษผ้ามันคาบอยู่นั้นใครไปแตะไม่ได้ มันจะซัดกันเลย ไอ้กี้น่ะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก