พระพุทธเจ้าต้องรับรองจึงเป็นอรหันต์ได้
วันที่ 25 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

พระพุทธเจ้าต้องรับรองจึงเป็นอรหันต์ได้

 

ก่อนจังหัน

พระเป็นนักปฏิบัติอาหารแต่ละชนิดๆ เพื่อร่างกายและอรรถธรรมภายในใจ ให้คัดเลือกตัวเอง ตัวเองคัดเลือกเอาอาหาร เห็นอะไรมาก็คว้ามับๆ ใช้ไม่ได้นะ อาหารสัปปายะ อาหารเป็นที่สบาย คำว่าสบายเป็นได้สองอย่าง อาหารเป็นที่สบายแก่ธาตุแก่ขันธ์ด้วย เป็นที่สะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรมด้วย ถ้าอาหารดีเฉพาะธาตุขันธ์ แต่เป็นภัยต่อจิตใจก็ไม่เหมาะ เรื่องจิตใจเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

ร่างกายของเรานี้มันชอบทั้งนั้นละ อะไรดีหมดๆ แต่เข้าไปเหยียบย่ำทำลายธรรมภายในจิตใจให้บำเพ็ญไม่สะดวกนั้นให้คิดกันนะ นักปฏิบัติต้องคิด เรื่องเหล่านี้ไม่คิดไม่ได้ อะไรเป็นที่สบาย ท่านว่าอาหารสัปปายะ นี่สำคัญมาก อาหารเป็นภัยต่อร่างกายก็มี เป็นคุณต่อร่างกายก็มี และเป็นภัยต่อจิตใจก็มีให้คัดเลือก อาหารที่ดิบๆ ดีๆ นั้นเหมาะสมกับร่างกายแต่เป็นภัยต่อจิตใจเป็นส่วนมาก ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอง ที่กล่าวมาเหล่านี้ท่านแสดงไว้แล้ว พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว นี่ก็ได้นำมาปฏิบัติ เห็นผลประจักษ์ๆ การคัดเลือกสิ่งเหล่านี้ ไม่คัดเลือกไม่ได้นะ สุ่มสี่สุ่มห้าอะไรๆ ฉันลงไป พอมันมาก็ไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับสิ่งใดบ้าง การภาวนาจึงสะดวกบ้างไม่สะดวกบ้าง หรือไม่สะดวก ให้คิดดีๆ เรื่องเหล่านี้ ไม่งั้นจะตั้งตัวไม่ได้นักปฏิบัติเรา อะไรมาส่มสี่สุ่มห้า

อะไรจะละเอียดลออยิ่งกว่าศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงมาทุกอย่าง ละเอียดลออสุดขีดเลย การปฏิบัติตามถึงจะได้เห็นความละเอียดลออของธรรมที่ท่านแสดงไว้ทุกแง่ทุกมุมไป ให้กิเลสพาดำเนินแล้วไม่เป็นท่าทั้งนั้นแหละ แหลกหมดๆ เหยียบธรรมๆ พากันพินิจพิจารณา ให้ต้งอกตั้งใจปฏิบัติ เคยพูดเสมอย้ำเสมอคือสติ การบำเพ็ญภาวนาสำหรับนักปฏิบัติ สติติดกับจิต ความคิดความปรุงออกไปเรื่องอะไรนี่ ถ้าเผลอสติมันคิดได้ทันทีๆ ถ้าสติจับอยู่ๆ เอา กิเลสมันจะล้นฟ้ามาก็ตาม สติต้านทานได้สบายๆ  เอาได้อยู่เลยนะ ถ้าไม่มีสติเสียอย่างเดียวหมดท่า ให้พากันตั้งสติ

ใครสติดีเท่าไรการภาวนาจะดีมากโดยลำดับนะ สติสำคัญมาก และให้สังเกตอาหารการขบฉันของตัวเอง ผู้ที่ฉันมากฉันน้อยเป็นผู้พิจารณาเรียบร้อยแล้วนั้นละเหมาะสม อย่าเห็นแต่ว่าอะไรมาคว้ามับๆ ใช้ไม่ได้นะ ต้องคิด เราคัดเลือกเราเองอีกทีหนึ่ง แล้วการภาวนา อดอาหาร ผ่อนอาหาร มีผลอย่างไรบ้างดูให้ดี ผ่อนอาหารดี อดอาหารดี ดีหนักกว่าผ่อนอาหารเป็นลำดับลำดาไป อิ่มหมีพีหมานี่เหมือนหมูขึ้นเขียง จำได้ไหมล่ะ ไอ้พวกอิ่มหมีพีหมามันเหมือนหมูขึ้นเขียง ขึ้นแล้วไม่ยอมลง เขียงคืออะไร คือหมอน ได้ขึ้นหมอนแล้วไม่ยอมลง นี่ละพวกกินมากๆ นอนมากๆ ขี้เกียจมากๆ พวกนี้พวกหมูขึ้นเขียง จำให้ดี ต้องใช้ความพินิจพิจารณาทุกอย่าง ที่สั่งอะไรๆ แล้วให้จับไปพิจารณานะ

การรับหมู่รับคณะมาไว้ที่วัดนี้ ผมรับด้วยเจตนาด้วยการพิจารณาทุกอย่างนะ เวลามาศึกษาอบรมอยู่ที่นี่แล้ว ให้พิจารณาตามคำที่สั่งหรือที่สอนไว้ให้ละเอียดลออ จะได้ประโยชน์ไปใช้ ถ้าสักแต่ว่ามา สักแต่ว่าอยู่ ไปก็แบบนั้นแล้วใช้ไม่ได้ ดีไม่ดีเอาชื่อของครูอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินก็ได้ มีเยอะนะ เวลานี้ศาสนาของเราเรียวแหลมลงเรื่อยๆ นะ มันเรียวแหลมลงกับผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าความพากความเพียรเรียวแหลมลงก็นั่นละศาสนาเรียวแหลม ยิ่งสติเรียวแหลมลงไปแล้วจะไม่เป็นท่านะ จำให้ดี ให้พร

 

หลังจังหัน

ระยะนี้วิทยุกำลังไปตั้งที่พังงาแห่งหนึ่ง ๑๐ กิโลวัตต์ ทางสะเดา ๑ กิโลวัตต์ ทางนี้ให้ไปเลย กำลังเริ่มตั้งเวลานี้ ทางโน้นไม่ค่อยมีวิทยุเสียงธรรมที่เราเทศน์นี่นะ นอกนั้นมันก็ออกไปหมดแล้วนี่ ทางภาคใต้เรายังไม่มีเลย พอดีท่านคลาดมาขอก็เลยให้ไป เพราะทางโน้นห่างไม่มีเราเลยให้ ท่านคลาดเป็นคนพังงาเป็นพระวัดนี้ ออกจากนี้ไปก็ไปอยู่พังงา แล้วท่านอยากได้วิทยุนี้เราก็เลยให้ เพราะเห็นว่าทางโน้นยังไม่ปรากฏมีเลยวิทยุเสียงธรรมที่เราแสดงนี้นะ นอกนั้นเขามีกันหมด เลยให้ไป มันขึ้นพร้อมๆ กันกับสะเดา ออกไปจากวัดนี้ทั้งสองเครื่อง ให้ไปเลยๆ เพราะห่างไกลธรรม ขนาดนั้นละเราสงสารโลก

คือเราไม่มีอะไรกับโลกเลย มีแต่ความเมตตาสงสารล้วนๆ ทางภาคใต้เราก็รู้สึกว่าห่างเหินธรรมะมาก ทางด้านธรรมะปฏิบัติ แล้วท่านคลาดก็เป็นคนพังงา เป็นพระวัดนี้ไปอยู่ที่นั่น แล้วอยากได้มาขอ เราให้ไปทันทีเลย เพื่อจะให้อรรถธรรมเข้าสู่จิตใจ จะได้ยิ้มแย้มแจ่มใสภายในจิตใจ โลกเวลานี้กำลังมืดกำลังบอด พูดให้ชัดเจนตามภาษาของธรรม พูดง่ายๆ มันจวนจะตายแล้วถึงได้พูดออกมาเรื่อยๆ ไม่นานก็จะตาย การเก็บไว้เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่โลกตั้งสามโลกธาตุ พระองค์เปิดออก โลกได้รับประโยชน์จากพระพุทธเจ้ามากขนาดไหน ไปนิพพานน้อยเมื่อไร

นี่ก็ธรรมเป็นประเภทเดียวกัน เราก็จวนจะตายแล้วด้วย ธรรมประเภทนี้เป็นธรรมที่ควรอย่างยิ่งที่จะนำสัตว์โลกให้มีความสงบร่มเย็น จากนั้นก็หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วที่ไหนห่างเหินธรรมที่ไหนนั้นเราวิตกวิจารณ์ อย่างพี่น้องทางภาคใต้เราไม่ค่อยได้มีอรรถธรรมอย่างนี้ เราจึงรีบให้ทันที เพราะท่านคลาดเป็นพระวัดป่าบ้านตาด ภาคใต้เราลูกศิษย์น้อยเมื่อไร พระมาอยู่ที่นี่นะ แต่นั่นไปตั้งรากฐาน นอกจากนั้นไม่ได้ตั้ง ส่วนท่านคลาดไปตั้งรากฐานที่นั่น แล้วมาขอวิทยุ เราจึงให้ไปทันที เมื่อมีวิทยุที่นั่นแล้วเสียงอรรถเสียงธรรมจะค่อยกระจายออกไป แล้วก็เป็นน้ำดับไฟๆ ไปโดยลำดับลำดา กว้างขวางออกไป เราคิดอย่างนี้ละที่เมตตาต่อโลก ตัวเท่าหนูแต่หัวใจไม่ได้เหมือนหนูนี่นะ มันครอบไปหมด

พูดคนทั้งโลกเขาจะฟังเป็นแบบโลกนั่นแหละ แต่เราพูดเป็นแบบธรรม พูดเปิดออกๆ จวนจะตายเท่าไรยิ่งรีบเปิดออก มันจะไม่ได้ยินได้ฟัง จะตายจมดินจมน้ำไปเปล่าๆ ดีไม่ดีจมลงในนรกอเวจีก็มี เราจึงรีบเปิดธรรมะให้ฟังๆ ให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธเราได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมทั่วถึงกัน จะได้เป็นประโยชน์แก่เมืองไทยเราซึ่งเป็นเมืองพุทธไม่น้อย ศาสนามีมานานแสนนาน แต่ไม่มีใครขุดค้นออกมา แล้วก็ไม่ค่อยได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เหมือนเสียงกิเลส เสียงกิเลสมันออกตลอดเวลา ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาอกาลิโก คือกิเลสสมัยปัจจุบันครอบหัวเมืองไทยเรา อกาลิโก ไม่มีสถานที่เวล่ำเวลา ที่ไหนๆ กิเลสครอบหมดๆ เป็นไฟเผากันไปทั้งนั้นแหละ ส่วนธรรมไม่ค่อยมี ทั้งๆ ที่ธรรมก็เป็นอกาลิโกเหมือนกัน ไม่มีผู้นำออกมาปฏิบัติก็ไม่ได้ผลปรากฏขึ้นมา ให้โลกได้รับความสงบร่มเย็น

นี่ก็เป็นโอกาสอันดีงามพอสมควร วิทยุเราจึงได้กระจายออกเรื่อย เวลานี้ออกเยอะนะวิทยุ ที่เขาทำโดยลำพังเขาขึ้นเลย นั้นไม่เกี่ยวกับเรา เราก็ไม่ว่าอะไร แต่ส่วนมากใครตั้งที่ไหนว่ามีเท่านั้นแล้ว แล้วขาดเท่านี้ ขาดก็ขาดมาหานี่ๆ ทุกแห่ง เป็นอย่างนั้นนะ นี่ก็ลพบุรีกำลังตั้ง ๑๐ กิโลวัตต์เลย เพราะห่างเหิน เงินไม่พอเราก็ให้ไปพิจารณาสถานที่ที่จะควรได้ยังไง ขาดเท่าไรเราจะให้ ไปไม่กี่วันเขากลับมาอีก ขาดเท่านั้นๆ ซื้อที่เพิ่มอีก เลยฟาดเป็นล้านๆ ไปเลย อย่างนั้นละ อย่างนี้แหละเพราะมันห่างไกล แถวลพบุรีควรจะมีบ้าง

โคราชก็แห่งหนึ่ง ขอนแก่นแห่งหนึ่ง ที่เขามาเกี่ยวข้องกับเรานะ ที่ไม่เข้ามาถึงตัวเราจริงๆ ก็มีเยอะ ที่ถึงตัวเราเราแยกให้ๆ ไปก็เยอะ มีที่ไหนบ้าง โคราชก็ได้ให้เงินไป ไม่พอ ขอนแก่น อู๊ย นับไม่ได้นะ ตั้งที่ไหนก็มานี่แหละๆ เงินมีเท่านั้นแล้วๆ ยังขาดเท่านั้นๆ ขาดเท่าไรก็มานี้ละๆ นั่นละเรื่องราว ทีนี้เราก็เห็นจิตใจมีคุณค่ามากที่สุดในโลกอันนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องส่งเสริมจิตใจของคนให้ดียิ่งขึ้น เราพอใจๆ จึงช่วย เอาหมดเป็นหมดว่างั้นเลย เพราะจิตใจเป็นของสำคัญ ถ้าจิตใจได้มีอรรถมีธรรมครองด้วยแล้วจะมีความสงบสุขร่มเย็นกัน นอกจากนี้แล้วบุญกุศลที่ผู้สร้างเหล่านี้นะ บุญกุศลน้อยเมื่อไร ให้ทานธรรมโลก เสียงกังวานไปถึงไหน ท่านบอกไว้ในหนังสือ ท้าวสักกเทวราชเสียงกังวานไปถึงไหน เพราะให้ทานธรรม เป็นอย่างนั้นนะ

เราจึงได้อุตส่าห์พยายาม ก็จวนจะตายแล้วนี่ เราไม่ได้เอาอะไรกับโลกนะ ทั้งที่ดีดดิ้นอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เราไม่ได้เอาอะไร มีแต่หวังประโยชน์ให้โลกเท่านั้นเองดีดดิ้น เป็นยังไงก็ทนเอาอย่างนั้นละ ทางภาคอีสานจะมากอยู่นะวิทยุ ออกทางสกลฯก็ไม่รู้กี่แห่ง กำลังกระจายวิทยุ เสียงธรรมก็คือเสียงเราเทศน์นั้นแหละ แล้วเอาออกวิทยุเป็นเครือข่ายของกันและกันมากแล้วเวลานี้ พอคนหนึ่งได้ยินๆ กระจายออกไปๆ ที่ได้ตั้งวิทยุเรื่อยๆ คือมันกระจายออกไป แต่เราเทศน์โดยลำพังก็ตั้ง ๖ ปี ๗ ปีช่วยชาติของเรา ทองคำที่ช่วยชาติคราวนี้ได้ทองคำ ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง ที่เข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้วเวลานี้ ที่ยังไม่เข้า ๗๕ กิโล อันนี้เป็นส่วนปลีกย่อย ทองคำประเภทซึมซาบ เรียกว่าน้ำไหลซึมให้ค่อยเป็นไปเรื่อยๆ เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ เพราะเราไปเห็นทองคำในคลังหลวง เราสะดุดใจกึ๊กตั้งแต่นั้นมา เพราะฉะนั้นเสียงมันถึงลั่นละซิ

เขาก็จับถูกจุดเหมือนกัน วันนั้นเป็นวันเราไปมอบทองคำเป็นครั้งแรก ทั้งทองคำทั้งดอลลาร์ไปมอบวันนั้น พอมอบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ หัวหน้าคลังหลวง มานิมนต์เราไปดูเอง นี่ซิสำคัญนะ ท่านคงจะหวังอะไรจากเราละ เพราะเราเป็นผู้ไปมอบทองคำ เขานิมนต์เข้าไปดูทองคำในคลังหลวง พอเข้าไปแล้วเขาก็บอกว่า ที่ได้เข้ามาเห็นนี้มีอยู่สองท่าน สมเด็จพระเทพฯ หนึ่ง กับหลวงตานี้หนึ่ง เราไปดูไปดูจริงๆ ดูอย่างละเอียดลออ พอออกมาแล้วก็ซักกันอย่างแหลกทีเดียว

เมืองไทยเรานี้พลเมืองเท่าไรๆ ทองคำมีอยู่นี้สำหรับประกันชาติไทยของเรามีเท่าไรๆ ถามเรียบร้อยแล้วออกมานี้มันสะดุดใจแรงนะ นั้นละทองคำมันถึงได้กระเทือนมาก ปากหลวงตานี่ประกาศหาทองคำจากพี่น้องทั้งหลาย แต่ผลก็ได้เป็นที่พอใจตั้ง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นี่เรียกว่าเข้าเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เป็นทองคำประเภทน้ำไหลซึมได้ ๗๐ กว่ากิโลแล้ว นี่ก็จะค่อยไหลเข้าไปๆ เราเป็นห่วงลูกหลานของเรา ไม่มีเครื่องประกันตัวได้ยังไงคนไทยทั้งชาติ จึงได้อุตส่าห์พยายาม

ส่วนดอลลาร์นั้นเราเอาเข้าเพียง ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่าเท่านั้น นอกจากนั้นเอนไปทางเงินไทยช่วยชาติ เพราะเงินไทยไม่พอ การช่วยชาติทางเงินไทยนี้แหม มากจริงๆ อันดับหนึ่งก็คือโรงพยาบาล อันนี้มากจริงๆ โรงพยาบาล แล้วโรงร่ำโรงเรียน ที่ราชการต่างๆ เป็นเงินไทยๆ เห็นว่าเงินไทยจะไม่พอ เลยต้องเอาดอลลาร์มาช่วยเงินไทยอีก เพราะฉะนั้นดอลลาร์จึงไม่ได้เข้าคลังหลวง เข้าเท่านั้นแหละ ๑๐ กว่าล้าน นอกจากนั้นแยกออกมาช่วยเงินไทย ผ่านไปที่ไหนเห็นแต่สิ่งก่อสร้างๆ ไปหมด ตามโรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล เราจะทำเวลาเรามีชีวิตอยู่นี้ ตายไปแล้วจะไม่ได้ทำ เวลานี้เป็นเวลาที่พอทำได้เราก็ทำเสีย ช่วยชาติบ้านเมืองของเรา

เราจวนตายเท่าไรก็ยิ่งมุ่งหวังอยากให้พี่น้องชาวไทยเรา หันหน้าเข้าใกล้ชิดติดพันกับธรรมเข้าไปๆ เวลานี้ห่างเหินธรรมมากทีเดียว ไม่สมชื่อสมนามว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธนะ เพราะถือพุทธศาสนานี้จำนวนมากตามเสียงปากคน แต่หัวใจจะถือไม่ถือไม่ค่อยเข้าใจ แต่เวลานี้มันออกชัดเจนว่า ถือพุทธก็จริงแต่ถือผีอย่างลึกลับนั้นมันมาออกหน้าออกตามากทีเดียว ถือพุทธถือผี ผีโลภ ผีโกรธ ผีหลง มันกัดเจ้าของเวลานี้ กัดทั้งเจ้าของ กัดทั้งคืนอื่นด้วย เฉพาะที่จะให้เห็นเด่นชัดเข้าจริงๆ ประมวลรวมกุศลทั้งหลายมาเด่นชัดในหัวใจของเราจริงๆ ก็คือจิตตภาวนา ให้มีความสนใจภาวนาให้มาก เท่ากับเราสร้างทำนบใหญ่ไว้ รวมกุศลทั้งหลายที่เราสร้างมามากน้อยมาลงในจิตตภาวนาซึ่งเป็นทำนบใหญ่

บุญกุศลทำไปให้หายไม่หาย ก็เหมือนกับสัตว์ของเราที่เลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่มีคอกให้มันอยู่มันก็ป้วนเปี้ยนอยู่ตามรอบบ้านรอบเรือนเรานั่นแหละสัตว์เลี้ยงของเรา พอมีบ้านให้อยู่มีคอกให้อยู่ก็ไล่เข้าคอก อันนี้บุญกุศลของเราก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับเจ้าของ พอสร้างจิตตภาวนาขึ้นซึ่งเป็นเหมือนทำนบใหญ่ ทีนี้มาละที่นี่ มาๆ บุญกุศลที่ไหนๆ มารวมจุดนั้นหมด เหมือนกับแม่น้ำสายต่างๆ ไหลลงในทำนบใหญ่นั้นแหละ นี่บุญกุศลก็เหมือนกัน ที่เป็นที่ประจักษ์จริงๆ คือจิตตภาวนา เรียกว่าทำนบใหญ่สำหรับรวมเป็นมหากุศลทั้งหลายลงในจุดนั้นหมดเลย พอลงจุดนี้แล้วส่งผึงเลยคราวนี้ รวมตัวแล้วผึงเลยเชียว จรวดดาวเทียมสู้ไม่ได้ เร็วกว่านั้นอีก

เราจึงอยากให้สร้างจิตตภาวนา เพราะจิตตภาวนานี้เป็นสิ่งที่ผิดคาดผิดหมาย ความคิดความอ่านยังไง เวลาไปเจอความจริงตามความมุ่งหมายแล้วนั้นไม่ได้เหมือนที่เราคาดเอาไว้นะ ผิดกันฟากฟ้าแดนดินว่างั้นเถอะ ผิดกันขนาดนั้น ปรากฏขึ้นที่ใจ เราไม่เคยคิดเคยอ่านอะไร เวลาปรากฏขึ้นมานี้จนอัศจรรย์ อดอัศจรรย์ไม่ได้ นั่นละที่นี่เรียกว่ากุศลมหากุศลรวมตัวแล้วส่งเข้าถึงจุดนั้นเลย บุญกุศลไม่ไปไหน ท่านจึงเรียกว่าสายธรรม สายทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ ก็คือกุศลผลทำบุญให้ทานของเรานี้แหละมารวมตัวๆ แล้วส่งเข้ามาๆ ลงสุดท้ายก็มาหาจิตตภาวนา มารวมที่นั่นก็ดีดผึงเลยเทียว

อย่างเมื่อเช้าก็สอนพระบ้างอะไรบ้าง เพราะพระมาจำนวนมาก เมื่อเช้าตั้ง ๔๐ มารวมอยู่ที่นี่ สำหรับวัดนี้พระไม่เคยน้อย ต้องบังคับเอาไว้ให้อยู่ในระดับพอดีๆ มาศึกษาอบรมเล็กน้อยแล้วออกไปๆ แล้วเข้ามาออกไป ถ่ายเทกันออกไปเรื่อยๆ  จะรับมากไม่มีที่รับแหละมันมากต่อมาก

เราอยากเห็นเมืองไทยเราเด่นพุทธศาสนาขึ้นในเมืองไทยเรา สมชื่อสมนามว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ นี่มันไม่มีชาวพุทธ มีแต่ชาวผี ผีโลภ ผีโกรธ ผีหลง ผีราคะตัณหา ผีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอยู่เต็มตัว มองดูคนๆ หนึ่งนี้มีแต่ผีเต็มตัวมองหาคนไม่เห็น มีแต่ผีเต็มตัวรอบหมดไม่เห็นคน คนทั้งคนไม่เห็น มองเห็นแต่ผีเหล่านี้แหละเต็มตัวเลย เราอยากให้กำจัดเหล่านี้ออกให้ธรรมได้สง่าขึ้นมา พอธรรมสง่าขึ้นมานี้จะจ้าออกเลย จิตดวงนี้คาดไม่ได้นะ ใครอย่าไปคาด

คิดดูซิพระพุทธเจ้าทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามากี่อสงไขยๆ นี่เป็นความคาดของท่าน ท่านยังไม่เห็นภูมิของศาสดาเต็มภูมิที่ท่านปรารถนา ท่านคาดเอาไว้ๆ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแสนทุกข์แสนลำบาก พอมาเป็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์ ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้มองดูโลกนี้จนท้อพระทัย นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละความจริงเป็นอย่างงั้น พอจ้าขึ้นมาเท่านี้มองดูสภาพเหล่านี้เป็นสภาพที่พระองค์เคยผ่านมาแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นคนธรรมดาเหมือนเราๆ ก็จมอยู่เหมือนโลกทั่วๆ ไป พอจิตดีดผึงขึ้นเท่านั้น มองลงไปสภาพตัวเองที่เคยผ่านมาแล้ว จนดูไม่ได้ ทั้งเขาทั้งเราดูไม่ได้ ท้อพระทัยไม่อยากสั่งสอนโลก คือธรรมชาตินี้เหมือนว่าเหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหมือนเลย อันนี้ไม่เคยเห็น เห็นเวลาตรัสรู้ขึ้นมา พอตรัสรู้ขึ้นมาอันนี้ละถึงว่าคาดไม่ได้นะ พอตรัสรู้ผึงขึ้นมานี้ มองดูสภาพที่เคยผ่านมา มันเป็นแดนนรกไปหมดเลย อันนั้นมันเลยแดนสวรรค์ ท่านให้ชื่อว่านิพพาน เป็นอย่างงั้นนะ

จิตดวงนี้คาดไม่ได้นะ อย่าไปคาด ให้เป็นขึ้นที่ใจซิน่ะ ที่ใจก็คือการสร้างคุณงามความดีรวมเข้าแล้ว เข้าในจิตตภาวนา จิตตภาวนารวมตัวแล้ว ทีนี้จ้าออกละ ออกเลย ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยเพียงไร จะรู้จะเห็นเต็มภูมิของตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร รู้อะไรเห็นอะไรแน่นอนๆๆ ไปเลย แม่นยำตลอดไปเลย นั่นมันต่างกันนะ จิตนี้คาดหมายไม่ได้นะขอให้รู้ความจริงเถอะ พอผางขึ้นมาเท่านั้น เจ้าของเองก็ไม่เคยคาดหมาย แต่เป็นขึ้นมาอย่างจังๆ ต่อหน้าต่อตา ไม่อัศจรรย์ได้ยังไงคนเรา

คิดดูพระพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามานานสักเท่าไร ว่าจะสั่งสอนสัตว์โลก อุตส่าห์พยายาม พอได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วกลับท้อพระทัย เพราะธรรมชาตินั้นเลิศเลอเหนือสิ่งอะไรเสียทั้งหมด กับมามองดูสภาพเหล่านี้มันเข้ากันไม่ได้ แล้วจะฉุดลากแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกตามความปรารถนา ก็เลยกลายเป็นท้อพระทัยไปไม่อยากสอนเสียแล้ว ต่างกันอย่างนั้นนะ จิตที่พ้นไปแล้วเป็นอย่างนั้น กับจิตที่จมอยู่ในกองมูตรกองคูถเหล่านี้มันต่างกันมาก

ให้ฟังเสียงศาสดานะ ให้ฟังเสียงธรรม อย่าฟังแต่เสียงกิเลส เสียงกิเลสจะขุดลงไปเรื่อย ต่ำเท่าไรยิ่งขุดลงไป ลงนรกอเวจีนี้ยังขุดนรกอเวจีลงไปอีกนะ นรกอเวจีก็ว่าลึกพอแล้วมันยังขุดลงไปอีกนะกิเลส มันพาขุดลงไปเรื่อยๆ ส่วนธรรมนี่มีแต่ดีดขึ้นๆ จนพ้นผึงเลย นั่นมันต่างกัน ให้พากันอุตส่าห์พยายาม ให้ฟังเสียงธรรมอย่าฟังแต่เสียงกิเลส มันหลอกโลกหลอกสงสารให้จมอยู่ทั่วโลกดินแดนนี้ มีแต่กิเลสหลอกทั้งนั้น ธรรมท่านไม่ได้หลอก มีแต่ฉุดลากขึ้นๆ กิเลสพาให้จม ธรรมพาให้ฟื้น จำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ แล้วมีอะไรว่ามาที่นี่

ผู้กำกับ : ปัญหาธรรมครับ

หลวงตา : ปัญหาธรรมอะไรถามมา ควรตอบก็จะตอบ

ผู้กำกับ : คนที่หนึ่งครับ ลูกใช้คำบริกรรมพุทโธมาตลอด และพิจารณาสังขารของตัวเอง และเริ่มพิจารณาสังขารของคนรอบข้าง จนจิตนั้นจับติดอยู่ที่สังขารของตัวเอง พิจารณาอย่างละเอียด ทั้งในยามทำสมาธิ และยามใช้ชีวิตตามปกติประจำวัน  การพิจารณาสังขารของตัวเองนั้น จิตได้สร้างให้ตัวเองได้เสียชีวิตในรูปแบบต่างๆ เช่น โดนรถชนบ้าง จมน้ำตายบ้าง ซึ่งแต่ละครั้งร่างกายจะได้รับทุกขเวทนา ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร พุทโธกับสตินั้นติดแน่นหนา พิจารณาถึงความเจ็บปวดไปตามๆ กัน 

         จนกระทั่งลูกได้เห็นตัวเอง ร่างกายว่างเปล่าอยู่ในกองเพลิง กายปวดแสบปวดร้อน นั่นเป็นสิ่งที่กายรู้สึก แต่ใจนั้นเย็นฉ่ำ มีภาษาธรรมให้ได้ยินเป็นระยะ จนร่างกายของตัวเองหายไป ธรรมชาติทั้งปวงกลายเป็นความว่างเปล่า คือไม่มี จิตใจลูกสงบมาก มีพลังพุ่งออกจากในอก และร่างกายรู้สึกเบาหวิว ลูกเป็นสุขมากกับตรงนั้นจนไม่อยากจะออกจากสมาธิ แต่ผู้รู้ได้เตือนว่าให้พอก่อน ถอนกำลังออกมาก่อน ต้องมีอะไรเรียนรู้มากกว่านี้

         แต่เมื่อลูกได้ออกจากสมาธิแล้ว กลับไปทำสมาธิรู้สึกกำลังถดถอย พิจารณาแล้วจิตใจสงบดีอยู่ แต่ผู้รู้กลับนิ่งเฉย ไม่แสดง ปล่อยให้ใจสงบอยู่ไปตามนั้น เป็นระยะเวลานานมากแล้วค่ะ สิ่งที่ต้องเรียนรู้กลับไม่มีให้รู้ แต่ตัวลูกรู้เองว่าผู้รู้ยังไม่อิ่ม เหมือนผู้รู้หนีไปซ่อนตัว ลูกจึงได้ใช้อุบายวิธีพิจารณาสังขารอีกครั้ง แต่การพิจารณาเหมือนตั้งคำถามปุ๊บก็ตอบกลับได้ทันควัน แล้วผู้รู้ก็บอกว่า รู้แล้วได้คำตอบมานานแล้ว ทำไมต้องถามหรือสงสัยอีก ทุกวันนี้หลังจากลูกปฎิบัติภาวนาทีไรสตินิ่งแน่วแน่ สงบร่มเย็น แต่ผู้รู้กลับไม่ทำงาน ไม่ทราบว่าลูกจะแก้ปัญหาอย่างไรเจ้าค่ะ (จาก มาม่าต้มยำ)

        หลวงตา : เท่าที่พูดมานี้ถูกต้องแล้ว มันไม่ทำงานก็ให้รู้อยู่นั้น มันทำงานอยู่งั้นละโดยหลักธรรมชาติของจิต จิตไม่ทำงานมีเหรอ จิตรู้นั่นละคืองานของจิต มีรู้อย่างเดียว กิริยาอาการแสดงออกไปอะไรเมื่อเข้าถึงที่แล้วเรียกว่าเป็นธรรมธาตุ งานไม่งานไม่ปรากฏแหละ ได้แต่พอเท่านั้น ถูกต้องแล้ว ให้ดำเนินไปอย่างนั้น ไม่มีที่ค้าน ไม่มีที่ต้องติ ให้พิจารณาไปตามนั้นละ จิตเป็นนักรู้มันจะสอดจะแทรกไปเที่ยวรู้เที่ยวเห็น เรียนตัวเอง แต่ก่อนมันเรียนไปข้างนอกลุกลามไปเรื่อย เพลิดเพลินเป็นบ้าไปเรื่อย ทีนี้เวลาเรียนเรื่องของตัวเองแล้วมันจะรู้ แล้วประมวลเข้ามาๆ เอ้าว่าไป

         ผู้กำกับ : คนที่ ๒ เวลาผมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการหมุนครับ แต่ร่างกายไม่ได้หมุนนะครับ เหมือนเป็นความรู้สึกครับ อยากจะทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อไปครับ

         หลวงตา : เขาภาวนายังไง จิตมันจะหมุนไปไหนก็ให้มันหมุนไปเถอะ แต่หลักของการภาวนาถืออะไรเป็นหลักนี่ซิ มาบกพร่องตรงนี้ ภาวนาให้จับหลักอันนี้ไว้ มันจะหมุนไปไหนก็หมุนไป หมุนก็เป็นอาการของจิต อาการของจิตสงบเข้าไปจิตก็ไม่หมุน ตัวจิตเองจริงๆ ไม่หมุน อาการของจิตมันหมุน เท่านั้นละ

        ผู้กำกับ : คนที่ ๓ ครับ ขณะที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในสังคมเมือง จิตกลับสงบเย็นอยู่ท่ามกลางอก มีความระแวดระวังในสติมากขึ้น คิดอ่านเรื่องใดจะรอบคอบในกรอบของธรรมมากขึ้น  ซึ่งต่างกับเมื่อก่อนที่อยู่แม้จะเป็นสถานที่สงบ แต่ใจฟุ้งซ่าน เมื่อได้เร่งพุทโธไม่ให้เผลอสติ แม้กายอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายแต่จิตกลับสงบเย็น อย่างนี้เรียกว่าจิตมีกำลังเนื่องจากความระวังไม่ให้เผลอสติหรือเปล่าเจ้าค่ะ (ผู้กำกับน้อย)

        หลวงตา : ใช่แล้ว ถูกต้อง ตั้งสติให้ดี สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว

         ผู้กำกับ : คนที่ ๔ ครับ เดิมหนูนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เห็นว่าจิตไม่ค่อยสงบและไม่ค่อยได้คำตอบที่ชัดเจนนักให้กับชีวิตตน จึงหันมาศึกษาพุทธเถรวาทอย่างจริงจังหลังจากนั้น รวมทั้งการฝึกนั่งสมาธิตามแนวสติปัฎฐาน 4 เนื่องจากนิกายนิชิเร็นโชชิวที่เคยนับถือนั้นให้มุ่งสวดมนต์มากๆ เป็นการทำตนแบบพระโพธิสัตว์บนพื้นโลก เพื่อมุ่งหวังการบรรลุพุทธภาวะในชาตินี้ เขาสอนว่าการทำตัวเช่นนี้เป็นหนทางใหญ่เป็นการช่วยคนอื่นอย่างกว้างขวาง เพราะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นอย่างกว้างขวางไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วได้เฉพาะตน

        ที่หนูสงสัยคือ ต่างกันระหว่างการมุ่งบรรลุพุทธภาวะในชาตินี้ของนิกายที่เคยนับถือ กับการมุ่งอรหันตผลเพื่อการหลุดพ้นที่กำลังดำเนินอยู่ในใจขณะนี้ สำหรับปุถุชนคนธรรมดาแล้วอย่างไหนจึงจะถูกต้องเพื่อดำเนินชีวิตคะ นิกายนิชิเร็นโชชิว ยึดพระสูตรสัทธรรมปุณฑริกสูตร ท่องซ้ำเป็นล้านๆ คำต่อวันจะได้บุญมาก เขาแนะนำไว้เช่นนั้นค่ะ กราบนมัสการหลวงตาเมตตาสัตว์โลกผู้ยังไม่สว่างอย่างหนูด้วยนะคะ (จาก วรรณาผู้ใฝ่ธรรม)

         หลวงตา : เอาภาวนาพุทโธนะ นิกายไหนก็ลงพุทโธนี้หมด พุทโธเป็นที่รวมนิกายทั้งหลาย นิกาย แปลว่า หมู่ว่าพวก หมู่มากพวกมากเรียกว่านิกาย เช่น ธรรมยุติกนิกาย มหานิกาย เอาพุทโธนะ อย่าไปหมายโน้นหมายนี้มากนัก ขอให้พุทโธนี้รวมตัวเข้าไปๆ แล้วพุทโธจะเบิกเอง อันนั้นเป็นวงคาดหมายของเรา คาดอย่างนั้นคาดอย่างนี้ เอาพุทโธจับกึ๊กลงไปนี้มันจะกระจายไปหมด

         ผู้กำกับ : คนที่ ๕ ครับ ขณะนี้ลูกหลานได้ยินทั้งพระทั้งฆราวาสกลุ่มที่คัดค้านหลวงตา ออกมาโจมตีด่าทอหลวงตาต่างๆ ลูกหลานยังมีกิเลส ระงับความโกรธที่มีใครมาด่าหลวงตาเราไม่ได้ ขอกราบเรียนขออนุญาตโต้ตอบกลับบ้างนะเจ้าคะ หรือหาเทศน์หลวงตาส่งกลับไปให้พวกนี้ได้สำนึกบ้าง หรือจะให้พระและคุณทองก้อนโต้ตอบกลับทางสถานีวิทยุเพื่อจะได้ยินไปถึงกลุ่มคนพวกนี้ พวกนี้จะได้รู้ความจริงไม่มากก็น้อย ขอเมตตาหลวงตาพิจารณาด้วยเจ้าค่ะ (จาก ศิษย์)

         หลวงตา : เราอยากจะถามว่าเป็นปากเขาหรือปากหลวงตาเป็นผู้โจมตี เป็นปากเขาเองก็ให้เขาโจมตีไปถ้าเขาไม่ขี้เกียจ จะโต้ตอบเขาหรือไม่ตอบก็ช่างเถอะ จะเฉยเหมือนหมาปล่อยหำก็ได้ หมาปล่อยหำเขาเฉย ใครจะว่าอะไร นั่นหำนะ เฉยหมา อันนี้เราก็เฉยแบบหมา พวกนี้มันมาเห่าหำหมา หมาเขาก็นอนเฉย พวกนี้ก็เห่าหำหมา ไปดูไอ้หมีเราซี ลองไปด่ามันซิ มึงปล่อยหำทำไมไอ้หมี เขาก็เฉย นี่เราก็เอาแบบเฉยนั่นละ เรื่องเทศน์ไม่ต้องส่งไป ส่งไปทำไม ส่งไปให้เจ้าของนั่นละ เตือนเจ้าของสอนเจ้าของ มันเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เขาอยากว่าอะไรให้เขาว่าไปปากเขามี หูเรามีไปได้ยินเขายังเสียดายจะไปโต้ตอบเขาอีก มันก็บ้าอีกแบบหนึ่ง เรื่องให้พระหรือคุณทองก้อนโต้ตอบทางสถานีวิทยุก็ไม่จำเป็น เขาอยากว่าให้เขาว่าไป ให้เขารวมหัวกันทั้งหมดมาว่าหลวงตาบัวคนเดียว เอ้าว่าได้เลย หลวงตาบัวจะอยู่เฉยเหมือนหมาปล่อยหำนั่นแหละ ถึงเราไม่ปล่อยก็ตาม หมามันปล่อยเราก็ปล่อยแบบนั้นเหมือนกัน เฉยเลย เอาเท่านั้นละ ที่จะให้เขารับรู้ความจริงนั้นเขาไม่รับรู้หรอก มีแต่หลงตลอด จะให้มันรับรู้ไม่มีทาง มีแต่หลงเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ จึงให้เฉยเสียเหมือนหมาปล่อยหำ เอาละพอ

ผู้กำกับ : มีอีกนิดหนึ่งครับ ลูกศิษย์เขากระซิบเมื่อคืนนี้ มีพระจากวัดสุทัศน์มาเทศน์ออกทีวี สรุปสั้นๆ นะฮะที่เกี่ยวกับหลวงตา เขาบอกว่าถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ต้องให้พระพุทธเจ้ารับรอง ถึงจะถูกต้องแท้จริง

หลวงตา : สันทิฏฐิโก ไปไหนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสเอาไว้น่ะ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วให้พระพุทธเจ้ารับรอง แล้ว สันทิฏฐิโก ที่รู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตน ใครเป็นคนตรัสออกมา เอ้าตอบกันเดี๋ยวนี้เลย เข้าใจไหม แก้ตกไหม มันมาหาเรื่องไอ้บ้านี่เราว่างั้น เราก็คันฟัน ไอ้บ้านี่มันมาหาว่าอะไร

ผู้กำกับ : เป็นเจ้าคุณชั้นราชเสียด้วย

หลวงตา : ชั้นไหนก็ช่างเถอะน่า มันไม่เลยชั้นพระพุทธเจ้าละ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า พระพุทธเจ้าต้องรับรอง ใครเป็นอรหันต์พระพุทธเจ้าต้องรับรอง ไม่มีในคัมภีร์เรียนมาเหมือนกันนี่นะ แต่สันทิฏฐิโกรับรองตลอดใช่ไหมล่ะ ผู้ปฏิบัติจะเป็นผู้รู้เองเห็นเองนั่น เข้าใจหรือ ก็มีเท่านั้นแหละ อย่าเป็นบ้ากับเขา เอ้อ เอาพระเอาอะไรมาอวด อย่ามาอวดถ้าเป็นธรรมพระพุทธเจ้ายอมทันทีเรา ไอ้เรื่องวัดนั้นวัดนี้ชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นหมาอะไรเราก็ไม่ทราบ สนใจกับหัวมันเข้าใจเหรอ เราจะฟังแต่เสียงธรรมเท่านั้นแหละ เอาละพอ

ผู้กำกับ : จากนสพ. พิมพ์ไทย คอลัมน์ของ ณ.หนูแก้ว

 

แถลงการณ์อำพรางของสำนักพุทธฯ (1)

 

ตามที่สำนักงานพระพุทธฯ ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวาระสำคัญเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยสำนักงานพระพุทธฯได้ชี้แจงต่อสาธารณชนถึง 8 ข้อด้วยกัน โดยวรรคสุดท้ายของแถลงการณ์ฉบับนี้ได้หยิบยกเอาบทลงโทษตามมาตรา 44 ตรี แห่งพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขโดยพรบ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้ผู้เขียนและผู้ที่มีความเห็นต่างในกรณีนี้ได้พึงสังวรระวัง

น่าจะหมายถึงใครที่เห็นต่างจากสำนักงานพระพุทธฯอาจถูกลงโทษ !

ครับ... ขอเรียนว่าผมเองก็เกรงต่ออาญาแผ่นดิน แต่หากผมจะปกป้องพระคุณเจ้ามิให้ตกเป็นเหยื่อของฆราวาสขี้ฉ้อแล้วจะต้องได้รับอาญา ผมคิดว่าก็น่าจะคุ้มกับการได้เกิดมาเป็นพสกนิกรของพระเจ้าแผ่นดิน คุ้มสุดคุ้มเชียวนะครับ

ผมมิได้แสดงความเห็นว่า “กรรมการมส.จอมปลอม” แต่ผมแสดงความเห็นว่า “มติมหาเถรจอมปลอม” จึงไม่น่าจะนำไปเกี่ยวโยงให้เข้าเป็นเรื่องของคณะบุคคล

คำชี้แจงข้อ 1. ที่ว่า การประชุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 ดำเนินไปตามระเบียบว่าด้วยการประชุมมหาเถรสมาคม โดยมีวาระการประชุมเป็นไปตามวันและเวลาปกติ (ตามที่ระบุไว้ในข้อ 2.) ซึ่งก็หมายถึงเป็น “การประชุมปกติ” ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2535) ว่าด้วยระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคม ข้อ 4. (1) ใช่ไหมครับ ??

เมื่อสำนักงานพระพุทธฯชี้แจงว่า การประชุมดำเนินไปตามระเบียบ ผมก็ต้องขอให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พิจารณาว่า การประชุมในครั้งนั้นสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมได้นัดประชุมโดยออกหนังสือนัดล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วันหรือไม่ (ระเบียบฯข้อ 2.) และได้ส่งระเบียบวาระการประชุมให้กรรมการมส.ทราบล่วงหน้าด้วยหรือไม่

กฎมส. ฉบับที่ 12 วางระเบียบเอาไว้ว่า ข้อ 5. การนัดประชุมมหาเถรสมาคม ต้องออกหนังสือนัดล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน หากเป็นการด่วนจะนัดเร็วกว่านี้ หรือนัดโดยวิธีอื่นก็ได้   ข้อ 6. การนัดประชุมมหาเถรสมาคม ให้ส่งระเบียบวาระการประชุมด้วย เว้นแต่เป็นการด่วน

ในเมื่อการประชุมนัดนี้เป็น “การประชุมปกติ”  ตามข้อ 5. (1) แต่สำนักงานพระพุทธฯโดยเลขาธิการมหาเถรสมาคมก็มิได้ออกหนังสือนัดล่วงหน้า และมิได้ส่งระเบียบวาระการประชุมตามกำหนด จึงน่าจะพิจารณาได้ว่าการประชุมในครั้งนั้นเป็นการปฏิบัติที่ผิด และไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม

ข้อชี้แจงของสำนักงานพระพุทธฯจึงฟังไม่ขึ้น !!

ผมมีหลักฐานครับ มีหลักฐานว่าการประชุมในครั้งนั้นมหาเถรสมาคมถูกกระบวนการทางการเมืองเข้าไปคุกคามและแทรกแซง จนเป็นเหตุให้ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เป็นมติมหาเถรจอมปลอม” ทั้งนี้ก็ต้องมาพิจารณากันว่าการประชุมในครั้งนั้นมีวาระสำคัญว่าด้วยเรื่องอะไร

ตามข้อชี้แจง ข้อ 3. ในแถลงการณ์ของสำนักงานพระพุทธฯ ที่ว่า “หลังจากวาระรับรองรายงานการประชุมแล้วได้มีการพิจารณาวาระสำคัญ เรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นวาระแรก” ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2547 “ในการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้....”

พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมีบัญญัติว่า มาตรา 2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 34 ก. วันที่ 17 กรกฎาคม 2547) ดังนั้นจึงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2547

วาระการประชุมจึงมิได้ส่งให้กรรมการมหาเถรสมาคมตามกำหนด !!

 

                                                            ณ. หนูแก้ว

         หลวงตา : เราไม่อยากวินิจฉัยละ เพราะฟังก็ฟังไม่ชัด ฟังเฉยๆ ไม่ตอบ เราตอบตั้งแต่ผู้ใดเป็นพระอรหันต์ ต้องพระพุทธเจ้ามารับรองจึงจะเป็นอรหันต์ได้ แล้วสันทิฏฐิโกใครเป็นคนรับรองมาแล้วนั่นน่า เท่านั้นพอ เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็นั่นน่ะสันทิฏฐิโก ยังจะไปหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนมารับรองอีก ถ้าไม่ใช่บ้าเป็นคนเทศน์ขึ้นมา ธรรมาสน์บ้านั่น เขาไม่มีกันละในเมืองไทย พุทธศาสนาก็ไม่มี ที่พระอรหันต์ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าต้องมารับรอง ไม่มี ที่มีก็คือว่าสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง นี้เป็นพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า เข้าใจไหมล่ะ เอ้า เอาไปเทียบกันซิกับคำพูดนี่ ใครถูกใครผิดก็แล้วแต่วินิจฉัยกันเถอะ เราก็จะแบบหมาปล่อยหำนั่นแหละ เฉยอยู่ เราว่าให้ฟังเฉยๆ เราไม่ได้สงสัย

ต้องหาพระพุทธเจ้ามารับรอง มันเป็นบ้ามาจากไหน คำพูดนี้ได้มาจากไหน ป่าๆ เถื่อนๆ มาสอนโลกชาวพุทธ จะให้เขานับถือได้ยังไง ไม่มีในคัมภีร์ สันทิฏฐิโกประกาศป้างไว้เรียบร้อยแล้ว ตรัสรู้ธรรมปึ๋งเท่านั้นพอ สันทิฏฐิโกรู้ด้วยตัวเองประจักษ์พอๆ นั่น ไหนที่พระพุทธเจ้าต้องไปเที่ยวหารับรองกันทุกทิศทุกทาง ถ้าไม่ใช่บ้าพูดออกมาเท่านั้น เข้าใจแล้วนะ ถ้าเข้าใจก็เลิกกันละพอ เอาละ เอ้า พระพุทธเจ้าต้องรับรองขายขี้เท่อเข้าอีก

(ลูกศิษย์จากหาดใหญ่ถวายปัจจัย ๕ แสนบาท) พอดีละกำลังยุ่งกับการเงินการทอง จนไม่มีเงินให้เขา ทางโน้นขอมาทางนี้ขอมา เราก็หมด ก็ต้องวิ่งหาลูกศิษย์ละซีมาช่วยไม่งั้นตายจริงๆ

หลวงตา : วันนี้พูดเรื่องอะไรบ้าง มีสาระบ้างไหม

ผู้กำกับ : มีครับ สันทิฏฐิโกครับ

หลวงตา : เอ้อๆๆ สันทิฏฐิโกนะ กับว่าเป็นพระอรหันต์ต้องให้พระพุทธเจ้าไปรับรองเสียก่อนนั่นน่ะ กับสันทิฏฐิโกตีปากมันเข้าไปหงายหมาเลย เข้าใจไหม ไม่ใช่หงายคนละหงายหมาเลย มันหาเรื่องมาอุตริ ขึ้นไปเทศน์หาอะไรเทศน์อย่างงั้น ขายขี้หน้าตัวเอง อย่างนั้นซิไปเทศน์สุ่มสี่สุ่มห้า ธรรมไม่ใช่ธรรมสุ่มสี่สุ่มห้าไปเทศน์อย่างงั้นไม่ได้ ขัดกับธรรมเป็นอย่างมากทีเดียว ลบล้างพระพุทธเจ้าลงหมดเลย แทนที่จะว่าให้พระพุทธเจ้ารับรอง กลายเป็นลบล้างพระพุทธเจ้าไป สันทิฏฐิโกนั่นเห็นไหมล่ะ นี่ใครเทศน์ไว้นี่น่ะ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก