รักษาตัวด้วยธรรม
วันที่ 24 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

รักษาตัวด้วยธรรม

 

ก่อนจังหัน

วัดนี้กลายเป็นวัดสามเพ็งไปแล้วนะ คนที่มาเที่ยว มาเที่ยวจุ้นจ้านๆ เป็นแบบหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ นะเวลานี้วัดป่าบ้านตาด มาจากทางไหนๆ ก็มาเที่ยวดูเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพ่นพ่านๆ ดูขวางหูขวางตามาตลอดนะ เรานี้เตือนให้ทราบ ใครที่มาเพ่นๆ พ่านๆ อย่ามาวัดนี้นะ มันพิลึกกึกกือเหลือเกิน มาจากไหนก็เพ่นพ่านๆ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย จึงได้เห็นมนุษย์เรานี้จิตใจหยาบมาก มีแต่ความเพ่นพ่านๆ  ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความดีดความดิ้น เข้ามาในวัดเห็นได้ชัดเจน

นี่เป็นยังไงโลกกับธรรมดูกัน ต่างกันยังไงบ้างพิจารณาซิ ยังภูมิใจอยู่เหรอ ไปที่ไหนเหมือนว่าไปให้คะแนนวัดนะ ไปให้คะแนนวัดนั้น ตัดคะแนนวัดนี้ เหมือนว่าตัววิเศษวิโสมาจากไหน มองดูแล้วมันเหมือนหมาเดือน ๙ เราเห็นเข้ามาในวัดป่าบ้านตาดนี่ เหมือนหมาเดือน ๙ เข้ามานั่นแหละ เพ่นพ่านๆ แล้วใหญ่เสียด้วยนะ มาด้วยแบบใหญ่ๆ หยิ่งๆ เสียด้วย ก็ยิ่งสนุกดู ดูหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ พิจารณาซิธรรมเป็นยังไง ธรรมท่านเฉยเหมือนไม่รู้ เมื่อขัดมากเข้าๆ เตือน ให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วประเทศไทย บอกตรงๆ อย่างนี้เลย

เวลานี้พี่น้องชาวพุทธเราเพ่นพ่านมากเรื่องกิเลสตัณหา แม้แต่เข้ามาในวัดก็หาบหามหมาเดือน ๙ มา แห่แหนกันมา รถนี้มาคันใหญ่ๆ มาเพ่นพ่านๆ ดูนั้นดูนี้เหมือนใหญ่โตเหลือประมาณ มองดูแล้วสลดสังเวชนะ เป็นยังไงดูเจ้าของบ้างหรือยังล่ะ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธแท้ๆ ทำไมจึงเป็นเมืองเพ่นพ่าน เป็นเมืองหมาเดือน ๙ ไปได้ มันไม่น่าดูนะ ไม่ว่าที่ไหนๆ มองดูแล้วดูไม่ได้นะ นี่คือนิสัยดั้งเดิมที่ไม่เคยอบรมอะไรๆ มาเลย มีแต่กิเลสพอกหัวมา เข้ามาในวัดท่านผู้ที่อบรมศีลธรรมอยู่ตลอดเวลา และรักษาศีลธรรมอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่มีหูมีตาเหรอ

ท่านมีหูมีตามีใจเหมือนกัน นี่ก็พูดออกมาจากมีหูมีตามีใจ ไม่ได้หาเรื่องหาราวใส่บรรดาพี่น้องทั้งหลายนะ เราพูดนี้เตือนให้พี่น้องทั้งหลายดีต่างหาก ไม่ได้พูดเพื่อซ้ำเติมให้เสื่อมเสียที่ไหนนะ ให้พากันคิดบ้าง อย่าหยิ่งจนเกินไป เลอะเทอะมากนะเมืองไทยเราเวลานี้ ยิ่งถนนหนทางไปมาสะดวกแล้ว โอ๋ย สุนัขเดือน ๙ เดือน ๑๒ นี้วิ่งเพ่นพ่านๆ ไปหมด ดูท้ายรถซิ ท้ายรถนี้จากจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ท้ายรถมันบอกจังหวัด ให้พากันพิจารณาบ้างนะ

ไปที่ไหนมีแต่ไปให้คะแนนพระไปตัดคะแนนพระ วัดนี้เป็นยังไง วัดนั้นเป็นยังไง ตัวเองเป็นยังไงไม่ดูตัวเอง กำลังเพ่นพ่านๆ อยู่นั้นมันเป็นยังไงให้ดูบ้างซิ นี่ออกมาจากพิจารณาแล้วทุกอย่าง จึงมาเตือนพี่น้องทั้งหลายนะ อย่าเพ่นพ่านๆ จนเกินไป เลอะเทอะมากนะชาวพุทธเรา เมืองไทยเราเวลานี้ นี่ละกิเลสออกเพ่นพ่านมันดีไหม ท่านทั้งหลายว่าดีๆ พวกหมาเดือน ๙ ก็ว่ามันดีนั่นแหละ แต่คนดูหมาเดือน ๙ มันดูไม่ได้นั่นซิ จำให้ดีนะ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

ฝนรู้สึกว่าลดน้อยๆ เป็นลำดับลำดานะ เรามาสร้างวัดป่าบ้านตาดได้เห็นอย่างชัดเจน นี่ละโทษแห่งการทำลายป่าเห็นชัดเจน เราเอาวัดป่าบ้านตาดตั้งเป็นศูนย์พิจารณาตามเรื่องเหล่านี้นะ เหล่านี้เป็นดงใหญ่ดงโต ฝนตกไม่เคยบกพร่อง น้ำไหลเจิ่งตามนี้นะ ตั้งแต่ทำลายป่ามาแล้วน้ำหน้าวัดนี้เลยจะไม่มี เป็นอย่างนั้นละโทษแห่งการทำลายป่า หนักมากอยู่นะ ทำให้เสียหายมากทีเดียว

วันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไร ถ้าพูดก็ให้เป็นเสียงธรรมนั้นชื่นหูชื่นใจดี ไอ้เสียงนรกจกเปรตนั่นซีเข้ามาผ่านๆ ให้ได้พูดอย่างนี้สกปรกมากนะ วันไหนพูดแต่เรื่องโลกเรื่องสงสารที่สกปรกๆ ได้พูดเรื่องธรรมแล้วสบายใจ เราเห็นได้ชัดเจนในวงกรรมฐานท่าน ไปอยู่ที่ไหนๆ เวลาท่านคุยกันนี้ไม่มีนะเรื่องโลก ไม่มีเลย ฟังแต่ว่าไม่มีเลย มีแต่ธรรมล้วนๆ ชื่นตาชื่นใจ

ยิ่งพระท่านไปเที่ยวในที่ต่างๆ เวลาท่านมาพบปะสมาคมกัน โอ๋ย น่าฟังนะ ไปอยู่ในป่านั้นเป็นยังไง ในเขาลูกนั้นเป็นยังไง ในถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏที่นั้นๆ เป็นยังไง ท่านเอาสถานที่นั่นเป็นพื้นฐานเป็นสนาม เอาธรรมเป็นผลขึ้นมาจากสนาม ไปบำเพ็ญธรรมอยู่ในสถานที่เช่นนั้นๆ เกิดความรู้ความเห็นความเป็นต่างๆ ขึ้นมาภายในจิตใจๆ เรานี้เรียนอยู่ตั้งแต่ภายนอกๆ ไปศึกษาเมืองนั้นเมืองนี้ ได้สำเร็จนั้นมาสำเร็จนี้มา ดอกเตอร์ดอกแต้มา ก็มาโม้มาคุยกัน แล้วเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นฟืนเป็นไฟเสริมทิฐิมานะตัวเองว่าเป็นผู้มีความรู้สูง มีเกียรติยศสูง แล้วก็เหยียบย่ำทำลายผู้น้อยลงไปโดยลำดับลำดา เพราะทิฐิมานะแห่งการศึกษาเล่าเรียนแบบโลกอย่างนั้น

แบบธรรมศึกษาเท่าไร ศึกษาเพื่อปฏิบัติๆ ไปอยู่ที่ไหนศึกษา ตา หู จมูก มองไปที่ไหนเป็นธรรมศึกษาโดยตลอด เป็นการศึกษาอรรถศึกษาธรรมไปตลอด เวลามาคุยกัน โถ มันของง่ายเมื่อไร นี่ละความรู้ภายในใจจากจิตตภาวนา ดังศาสดาองค์เอกประกาศธรรมสอนโลกสามโลกธาตุ ออกจากจิตตภาวนาของพระพุทธเจ้าเรานะ ไม่ได้ออกจากไปเรียนที่นั่นเรียนที่นี่มา เหมือนเขาเรียนวิชาทางโลกมา มักจะเป็นภัยมากกว่าจะเป็นคุณไปเสีย

อันนี้เรียนทางภาคปฏิบัติ ไม่มีใครพูดภาคปฏิบัติภาคอรรถภาคธรรมเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติ เราพูดเสียบ้างวันนี้ เพราะเราก็ได้ปฏิบัติมาตลอดเวลา เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ออกจากนั้นแล้วขึ้นเวทีฟัดกันกับกิเลส เรียนกิเลส ดูกิเลส กับดูธรรมไปในสนามเดียวกัน คือจิตใจของเราซึ่งเป็นที่เกิดที่อยู่ของกิเลสและธรรมอยู่ภายในใจ  สติธรรม  ปัญญาธรรม วิริยธรรม ความอดความทน ความอุตส่าห์พยายาม ประมวลเข้ามาสู่จุดสนามรบอันเดียวบนเวทีคือใจ เราจะได้เห็นทั้งความชั่วความดี เพราะอยู่ในใจนั้นแล้ว จึงเรียกว่ามหาเหตุ มหาเหตุใหญ่โตอยู่ที่นี่ ส่วนมากมีแต่มหาเหตุทางกิเลสตัณหา ธรรมไม่ค่อยมี เป็นมหาเหตุเหมือนกันแต่ไม่มีใครนำออกใช้ นอกจากกิเลสมันเหยียบย่ำไปหมดก็ไม่เห็น

ทีนี้เวลาขึ้นเวทีแล้ว วิธีการต่อกรกันนี้มีหลายแบบหลายฉบับ ดังที่พระวัดป่าบ้านตาดนี้ได้เห็นชัดเจน ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลย ขาดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดมา เบื้องต้นก็เกิดจากเรานี้แหละ เพราะเราเป็นผู้นำหมู่เพื่อน เป็นครูเป็นอาจารย์สอน ใครก็มาศึกษา อันใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้มาศึกษาอย่างไรแง่ใด ให้นำไปคิดไปอ่านเอาเวลาได้ยินได้ฟังจากอาจารย์แล้ว ว่างั้นความหมาย เราจึงต้องนำเอาอุบายวิธีต่างๆ มาสอนด้วยวิธีการที่เราดำเนินมา เช่นอย่างท่านอดอาหาร ท่านผ่อนอาหาร ท่านทรมานไม่หลับไม่นอนบ้าง เหล่านี้มีแต่วิธีการที่จะแก้กิเลส นี้เป็นเครื่องหนุนเพื่อแก้กิเลส ไม่ใช่อันนี้แก้กิเลสนะ อันนี้เป็นอุปกรณ์หนุนให้บำเพ็ญธรรมได้สะดวก แก้กิเลสได้ง่ายเข้าไปๆ ก็นำมาสอนท่าน

อย่างวัดนี้รู้สึกจะถูกจริตนิสัยทางอดอาหารผ่อนอาหารมากกว่าอย่างอื่น เพราะอันนี้มันหนักมาก เรื่องอาหารกับธาตุขันธ์ คืออาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ของเรา เวลาหล่อเลี้ยงแล้วธาตุขันธ์มีกำลัง เมื่อมีกำลังวังชามากแทนที่ธรรมจะมีกำลัง กลับธรรมหมอบ ธาตุขันธ์มีกำลังมาก กิเลสตัณหา ราคะตัณหาตัวสำคัญมาก มันมีกำลังมากมันทับจิตใจให้ภาวนาก้าวไม่ออกๆ เวลาตัดอันนี้ กำลังของร่างกายเกี่ยวกับเรื่องอาหารลงไปๆ การภาวนาก็ค่อยงอกเงยขึ้นไปๆ จึงต้องทำอย่างนั้นตลอด ท่านทำอย่างนั้นนะ

แล้วแต่นิสัยของใคร อุบายวิธีการของใคร จะหาอุบายวิธีต่างๆ แก้ไขตนเอง ไม่จำเป็นจะต้องไปดูคัมภีร์ทุกแห่ง ธรรมมีอยู่ทั่วไป ในหลักธรรมชาติแล้วกิเลสกับธรรมมีอยู่ทั่วไปเหมือนกันหมด ส่วนมากมีแต่กิเลสเหยียบธรรม ธรรมจึงไม่ค่อยปรากฏ โลกเจริญๆ ด้วยกิเลสทั้งนั้น เรื่องความเดือดร้อนวุ่นวายจึงมีทั่วดินแดนไม่มีที่ไหนสงบเลย เพราะไม่มีธรรมเข้าไปแฝง ถ้ามีธรรมเป็นสนามขึ้นในสถานที่ใดอย่างแบบเอาจริงเอาจัง สถานที่นั้นสงบนะ อย่างพระท่านตั้งใจปฏิบัติจริงๆ อยู่ด้วยกันมากน้อยท่านก็สงบ อยู่คนเดียวท่านก็สงบ มีแต่ความสงบ ระงับกิเลสตัววุ่นวายออกโดยลำดับลำดา ความสงบก็ค่อยแสดงตัวขึ้นมาๆ อย่างนั้นนะ

เพราะฉะนั้นอุบายวิธีการของกรรมฐานภาวนาจึงกว้างขวางมาก เราเรียนทางด้านปริยัติพอเป็นปากทางเป็นแนวทางแล้ว ก็นำนั้นละมาเป็นแผนผังทางก้าวเดิน วิธีการต่างๆ ทีนี้ออกทางด้านปฏิบัติแตกแขนงออกไปจากภาคปริยัตินั้นแหละที่เรานำมาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็สั่งสมเข้าไปภายในจิตใจ สติลงใจ ปัญญาลงใจ ความอุตส่าห์พยายามลงใจ เพื่อจะชะล้างสิ่งสกปรกเรื่อยๆ ไป จิตใจค่อยสง่างามขึ้นมาๆ ท่านทำอย่างนั้นนะ ต้องมีการชำระ ไม่ชำระไม่ได้ โลกอันนี้จะเป็นไฟไปทั่วโลกดินแดนนั่นแหละ ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว พูดอย่างเดียวชี้นิ้วเลย

ธรรมเท่านั้นจะระงับโลกทั้งหลายที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลานี้สงบลงได้ ด้วยความมีธรรมของผู้สนใจในธรรมทั้งหลายนำมาปฏิบัติ โลกนี้มองหน้ากันได้ทั่วไป ไม่ได้มองด้วยความอิจฉาบังเบียดหรือดูถูกเหยียดหยามกันแบบเย่อหยิ่งจองหอง คนเรามองกันมองอย่างนั้นนะ กิเลสมองมองอย่างนั้น ธรรมมองไม่ได้มองอย่างนั้น มองอันนั้นมาเป็นประโยชน์ ไม่ได้มองเพื่อความเพ่งโทษเพ่งกรรมแก่เขา แล้วนำโทษแห่งกรรมเข้ามาหาตัวเอง ท่านไม่มองอย่างงั้น ท่านมองเป็นธรรม ต่างกัน

ทีนี้โลกที่ไหนก็มีหัวใจ เอาหัวใจดวงเดียวขึ้นวัดทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ จนกระทั่งถึงสัตว์เดียรัจฉานมีจิตใจเหมือนกัน เขาต้องการความสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน แต่ทำไมจึงเจอตั้งแต่ทุกข์ๆ เพราะอุบายที่นำเอามาใช้ต่อกัน มันมีแต่เรื่องอุบายของกิเลส ที่จะสร้างความทุกข์เผาซึ่งกันและกัน โลกอันนี้จึงหาความสงบไม่ได้ ถ้าต่างคนต่างฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้ากับกิเลสตลอดไปแล้ว จะหาความสงบสุขไม่ได้ในโลกนี้ กว้างขนาดไหนกว้าง เจริญก็มีแต่เจริญฟืนไฟทั้งนั้น หาความเจริญด้วยอรรถด้วยธรรมสงบร่มเย็นแก่ตนไม่มีเลย ถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมแล้วอยู่ที่ไหนอยู่ได้สบายๆ พิจารณามองเห็นอะไร ก็ให้มีธรรมเข้าแทรก พินิจพิจารณาเพื่อเป็นผลประโยชน์ อันใดไม่ดีตัดออกๆ อย่างนั้นจึงเรียกผู้รักษาตัวด้วยธรรม นี่อะไรก็คว้ามับๆ มีตั้งแต่คว้าฟืนคว้าไฟมาเผาตัวเอง จะหาความสุขที่ไหนได้ไม่มี ขอให้พี่น้องทั้งหลายสนใจในธรรมบ้าง

เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองแห่งชาวพุทธ เดี๋ยวนี้มันเป็นสนามรบของกิเลสแล้ว พุทธไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้ แม้แต่พวกที่เป็นหัวหน้าในทางพุทธ ก็คือพระเจ้าพระสงฆ์ ก็ร้าวฉานกันไปหมดเวลานี้ ทั่วดินแดนแห่งประเทศไทยเรา ร้าวฉานก็คือสิ่งที่เลวร้ายนั่นละ มันเข้าไปทำลายสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ให้ได้เกิดความเดือดร้อนกระทบกระเทือนซึ่งกันและกันทุกวันนี้ เพราะความชั่วช้าลามกนั่นแหละ มันเข้าไปทำลายของดี ผู้ดีก็อยู่ไม่ได้ กระทบกระเทือนถึงกันไปหมด นี่เพราะความชั่วช้าลามก ใครสร้างขึ้นไม่ว่าพระว่าโยม เป็นความชั่วทั้งนั้นถ้าเป็นความชั่วแล้ว ความดีใครสร้างขึ้นดีด้วยกันหมด เราจึงควรได้พิจารณาเลือกเฟ้นทุกคน เราหาความสุขทุกคน

อย่ามีตั้งแต่ดูด้วยความเพลิดความเพลิน เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ดูจนกระทั่งวันตายไม่มีประโยชน์อะไรติดเนื้อติดตัวไปเลย มีแต่ความล่มจม ความผิดหวังไปเรื่อยๆ คนผิดหวังอยู่ที่ไหนมันดีเมื่อไร นั่งอยู่ก็ผิดหวัง นอนอยู่ผิดหวัง เป็นอยู่ก็ผิดหวัง ตายไปแล้วมันก็ผิดหวังอยู่อย่างงั้นแหละ คนไม่ดีสร้างความผิดหวังให้ตัวเอง ถ้าสร้างความหวังให้ตัวเองอยู่ไหนก็มีหวังๆ สมหวังมาเรื่อยๆ นั่นละทำอย่างนั้นนะ วันนี้พูดธรรมะให้ท่านทั้งหลายได้ฟังล้วนๆ สักหน่อย มันมีแต่เรื่องสกปรกเข้ามาให้ได้พูดอยู่ตลอดเวลา มันเข้ามาทำลายธรรม คือความสกปรกนั่นละ เรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มบ้านเต็มเมือง เพราะมีแต่คนก่อขึ้นสร้างขึ้น ส่งเสริมกันขึ้น ผู้ที่จะส่งเสริมอรรถธรรมในใจไม่มี จึงมีตั้งแต่ความรุ่มร้อนทั่วหน้ากันไปหมด

ถามกันเป็นยังไงสบายดีเหรอ ถามกันนะ เป็นยังไงสบายดีเหรอ สบายดียังไง พ่ออีหนูมันหนีไปจากบ้านหลายคืนแล้ว มันไปไหนก็ไม่รู้ละ แล้วถามอีก ทำไมหรือ แต่ผู้ชายไม่ค่อยพูดละ นานๆ จะพูดทีหนึ่ง ผู้หญิงมันตัวแสบเหมือนกัน ผู้ชายไม่ค่อยพูด แต่ตัวดื้อจริงๆ อยู่กับผู้ชายนะ ผู้ชายกับผู้หญิงเท่ากันเรื่องความดื้อ มันหากใช้กิริยามารยาทต่างกันบ้างเท่านั้นเอง แต่ความดื้ออยู่ภายในใจมันดื้อเหมือนกัน กิเลสตัณหาดื้ออยู่ในหัวใจใด ดื้อได้ทั้งนั้นแหละ ฟาดมันลงให้หมอบราบไปแล้วเรียบเลย พากันเข้าใจ

พวกนี้มีไหมกิเลสตัณหาอย่างว่า สบายดีเหรอ ไปถามกันดู สบายดีเหรอๆ สบายตายอะไรมันเอาฟืนเอาไฟมาเผากัน ผัวกับเมียอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกัน แน่ะ ก็เป็นอย่างงั้น ลิ้นกับฟันมันกัดเรื่อยๆ เลือดสาดๆ เลือดสาดออกก็เจ้าของนั่นละขาดทุน ฟันเป็นผู้กัดจะว่าฟันมันได้กำไร มันก็ขาดทุนเหมือนกัน เพราะฟันก็ฟันในปาก ลิ้นก็อยู่ในปาก กัดกันก็เราเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นทุกข์ด้วยกันหมดนั่นแหละ อย่าให้ลิ้นกับฟันกัดกันก็แล้วกันนะ ไปรับผิดชอบเอง เอาเท่านั้นละวันนี้พอ รักษาฟันกับลิ้นให้ดี เอาละเท่านั้นละ พูดทุกวันๆ

(เมื่อคืนนี้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านมีอารมณ์ขัน) นั่นละอุบายภาวนาของท่าน ท่านสิงห์ทองมีนิสัยอย่างนั้น ชอบตลกขบขัน เราได้สอนจริงๆ นะ สอนท่านสิงห์ทอง คือท่านสิงห์ทองนิสัยชอบเล่น ชอบพูดตลกขบขันชอบเล่นตลอดเวลา จนไม่มีสถานที่เวล่ำเวลา บุคคลใดไม่มี นิสัยชอบพูดเล่น เราก็สอนท่านสิงห์ทอง ท่านนับวันจะเป็นผู้ใหญ่ไปทุกวันๆ การวางตัวของท่านเพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้คิดให้ดี อย่างที่ท่านเป็นอยู่เวลานี้มันเหมือนกับลิง เราก็บอกชัดๆ อย่างนี้ ลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ ล้มระนาวไปหมด ท่านนิสัยหลุกหลิกยิ่งกว่าลิง การพูดเล่นอย่างนั้นอย่างนี้

เขามาหาเรา คนเคารพนับถือทั่วประเทศก็ดี ที่เคารพนับถือมากน้อยเพียงไรก็ดี เขามาหาเราเขาไม่ได้มาด้วยที่ว่าเราเป็นคนชอบพูดตลกขบขัน พูดหยอกพูดเล่นเหมือนลิง เขามาหาครูบาอาจารย์ต่างหาก สถานที่กาลเวลาใดที่ควรจะใช้กิริยาอย่างไร ให้นำมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานที่บุคคล เรายิ่งใหญ่ขึ้นไปทุกวันๆ โตขึ้นไปทุกวัน การวางตัวให้เหมาะสมกับความเป็นผู้ใหญ่ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้น้อยที่เข้ามาศึกษาอบรมกับเรา เวลานี้กิริยาอย่างนี้เป็นกิริยาของลิง ไม่มีใครจะมาละนอกจากลิงจะมาหาเราเท่านั้น ลิงเขาก็เบื่อ เขาก็เป็นลิงอยู่แล้ว มาเจอลิงเข้าอีกเขาก็เบื่อ เขาไม่อยากมาละ แล้วจะเป็นอย่างไง ให้พิจารณาดัดแปลงตนเองนะ เราจะโตขึ้นทุกวันใหญ่ขึ้นทุกวันเป็นครูเป็นอาจารย์ การวางตัวการแนะนำสั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เหมาะสม บอกทุกอย่าง

เวลาเราสอนจริงๆ ท่านสิงห์ทองจะหมอบนะ ไม่กล้ามาพูดเล่นได้นะ เพราะท่านสิงห์ทองกลัวเรามากอยู่ ก็พึ่งเป็นบ้าขึ้นตอนนี้ละ เพราะต่างคนต่างใหญ่ขึ้นมาแล้วก็เลยไม่สนใจกัน แต่ก่อนท่านสิงห์ทองกลัวเรามาก เพราะเคยอยู่กับเรามานาน กลัวมากจริงๆ คนอื่นไม่กลัวง่ายๆ กับเรานี่กลัวมากท่านสิงห์ทอง นี่ละสอนให้รู้จักวิธีการปฏิบัติตัวเอง การวางตัวต่อสังคมทั่วๆ ไป สมกับว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์ที่เขามาหาแล้ว ให้เขาได้รับผลประโยชน์ออกไป อย่าได้เอา ลิงเอาค่างที่ไหนมันก็มีอย่างนี้ ไม่เป็นประโยชน์ เขามาเคารพเราไม่มาเคารพด้วยกิริยาลิงอย่างนี้ สอนแล้วหมอบนะ นิ่ง พอออกจากเราไปแล้วเหมือนกับเราเอาโซ่พันคอลิง จับโซ่แล้วตีหัวลิง หมอบ พอวางโซ่แล้วก็เป็นอย่างงั้นอีก โอ๊ย มันไม่ได้เรื่องละเราก็เลยปล่อย ก็เลยเป็นไปตามนิสัย

มันเป็นไปตามนิสัยนะ ก็คิดดูซิท่านพูดเรายังไม่ลืม การเทศนาว่าการนี่ยกให้ท่านอาจารย์เทศน์เก่ง เท่าที่ผ่านมานี้ไม่มีใคร แต่การตอบปัญหาอีกอันหนึ่งนะ ถ้าการตอบปัญหาเป็นที่หนึ่ง สำหรับท่านอาจารย์การตอบปัญหานี้เป็นที่หนึ่ง ทีนี้ท่านก็ย้อนมาหาท่าน สำหรับกระผมมันไม่ได้เรื่อง นี่ละนิสัยหยอกเล่นนะ เวลาเขามาถามปัญหาอะไร อ้าปากอยู่ตอบเขาไม่ได้ จนกระทั่งเขากลับไปถึงบ้านถึงเรือนแล้ว จึงระลึกปัญหาได้ปาตามหลังเขาไป นั่นน่ะเห็นไหมนิสัยอันนี้ละ เขาไปถึงบ้านถึงเรือนแล้วจึงระลึกปัญหาได้ แล้วก็ปาตามหลังเขาไป นี่ละกิริยาอันนี้ ท่านไม่ได้ตั้งใจพูดนะมันหากมีนิสัยอย่างงั้น ปาตามหลังเขาไป ขบขันดี ไปพวกนี้ปาตามหลังไปนะ ถ้าไม่ไป เดี๋ยวนี้เราระลึกปัญหาไม่ได้ ให้ไปเสียก่อนเราจะปาตามหลัง ปัญหานี่นะ ไป    

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก