ย้อนจิตเข้ามาดูตัวเองอยู่เสมอ
วันที่ 22 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ย้อนจิตเข้ามาดูตัวเองอยู่เสมอ

 

ก่อนจังหัน

วันนี้วัดนี้พระออกมาฉัน ๒๘ องค์ ที่ไม่ฉัน อดไม่ฉัน ท่านอดเพื่อภาวนานี้มีเยอะ วัดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลย ขาดไปวันละมากๆ ไม่ใช่น้อยๆ คือท่านไม่ฉันจังหันนั้นท่านผ่อนทางธาตุทางขันธ์มันมีกำลังมาก ถ้าธาตุขันธ์มีกำลังมากเพราะฉันลงไปมาก ยิ่งอาหารเอร็ดอร่อยถูกกับธาตุกับขันธ์ได้ดี พร้อมกับการถูกกับกิเลส เสริมกิเลสได้ดี การภาวนาอืดอาดๆ ไม่ดี เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องผ่อนอาหารบ้าง อดอาหารบ้าง เพื่อการก้าวเดินทางด้านภาวนาได้คล่องตัว นี่คือวิธีการของท่านผู้ชำระกิเลสซึ่งเป็นความชั่วช้าลามกอยู่ภายในจิตใจให้เบาบางลงไป ความดีความสงบร่มเย็นจะได้ปรากฏขึ้นภายในใจ ด้วยวิธีการฝึกหัดโดยอาการต่างๆ แล้วแต่ท่านจะพินิจพิจารณาของท่านเอง

ในธรรมท่านก็บอกไว้เป็นข้อๆ ส่วนนอกจากที่ท่านระบุออกเป็นข้อๆ แล้ว ทั้งกิเลสทั้งธรรมมีเยอะไม่ได้ระบุ มาเยอะก็เยอะอยู่เต็มหัวใจเรานั้นแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องฝึกฝนอบรมวิธีการต่างๆ แล้วแต่ผู้ใดจะมีสติปัญญาพินิจพิจารณาในการแก้ไขตนหรือการบำเพ็ญตน เช่นอย่างท่านอดอาหาร ท่านไม่ได้อดอาหารเพื่อตรัสรู้ธรรม เพื่อบรรลุธรรม แต่การอดอาหารเป็นเครื่องหนุนในการประกอบความเพียรเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพาน ต่างกันอย่างนี้

บางคนก็จะว่าท่านอดอาหาร อย่างพระพุทธเจ้าอดอาหารตั้ง ๔๙ วันท่านไม่เห็นได้ตรัสรู้ นั้นพระองค์ทรงอดพระกระยาหาร เพื่อการตรัสรู้ด้วยการอดพระกระยาหารเท่านั้น ไม่ได้มีการจิตตภาวนาเข้าไปเกี่ยวข้องเลย จึงขัดกันหรือผิด ถ้าอดเฉยๆ เพื่อตรัสรู้..ผิดเหมือนกัน แต่อดเพื่อเป็นอุปกรณ์หนุนด้านการภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพานนั้นถูกต้อง นี่ละวิธีการชำระความชั่วที่มีอยู่ภายในตัวเอง ต้องหาวิธีการต่างๆ เพื่อความดีสำหรับเรานั้นแหละ

พระพุทธเจ้าเลิศเลอเพราะการฝึกฝนอบรมพระองค์ ตลอดพระสาวกผ่านการฝึกฝนอบรมมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ๆ ก็สำเร็จเป็นอรหัตอรหันต์ขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นวัดป่าบ้านตาดนี้จะมีแต่อรหัตอรหันต์นั่นแหละ ในวัดนี้ก็พระเต็มวัด อรหันต์เต็มวัด ในครัวก็มีแต่อรหัตอรหันต์เต็มวัดนั่นแหละ ไม่ต้องอบรม สำเร็จขึ้นมาๆ  แต่นี้มีแต่สำเร็จพวกเสื่อพวกหมอนที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงปรารถนา จึงต้องได้ใช้การพินิจพิจารณาหลายด้านหลายทาง

การฝึกฝนอบรมตนเพื่อเป็นคนดีนี้ให้ทำเถิด จอมปราชญ์ทั้งหลายชมเชย แต่สิ่งที่ชั่วช้าลามกทำลายตัวเองและส่วนรวมนี้อย่าทำ ไม่มีจอมปราชญ์พระองค์ใดชมเชยเลย ให้ตัดออกๆ อยู่ในตัวของเรานี้มีมากมีน้อยให้แก้ไขดัดแปลงและตัดออกไปเรื่อยๆ สั่งสมความดีเข้ามาใส่ตน นี่ชื่อว่าเราเป็นผู้มีศาสนา ศาสนาเป็นเครื่องซักฟอกจิตใจ กายวาจา ความประพฤติหน้าที่การงานของเราให้ราบรื่นดีงามไปโดยลำดับ ให้พากันจำเอานะ ทีนี้จะให้พร

หลังจังหัน

ท่านปัญญาเป็นพระสุขุมมากนะ มาอยู่กับเรานี้ไม่เคยได้ตักเตือนอะไรๆ เลย ท่านสุขุมมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหมดเลย ท่านมาขออยู่กับเรา ๕ ครั้งนะ คิดดูซิมาขออยู่กับเราถึง ๕ ครั้ง เรายังไม่รับๆ พอครั้งที่ ๕ ท่านบอกว่าถ้าไม่รับก็ขอมาพักชั่วคราว จะให้ไปเมื่อไรก็ได้ นั่นท่านเอาตรงนี้ ท่านฉลาดกว่าเรา เราโง่กว่าท่าน มาขอพักชั่วคราว เลยพักชั่วคราวตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไปเป็นเวลา ๔๑ ปี นั่นละท่านพักชั่วคราว คนเราเมื่อมาดีอยู่แล้วก็จะขับไล่ไสส่งไปไหน เราก็หาคนดีหาพระดีอยู่แล้ว ที่มีอยู่นี้ก็อยากให้ดี ที่ได้มาก็อยากให้ดี

ท่านอยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ เรียกว่า ๔๑ ปี รองลงมาท่านเชอร์รี่ จากนั้นมาก็องค์ละหลายปีพระฝรั่งมาอยู่ที่นี่ ท่านดิ๊กจะ ๒๐ กว่าปีแล้วมั้ง เดี๋ยวนี้เข้าๆ ออกๆ ไปที่นั่นแล้วเข้ามา แล้วไปที่โน่นแล้วเข้ามา ให้ท่านดิ๊กมาอยู่ที่นี่ ตามปรกติท่านอยู่ในป่าในเขา เช่น นาแห้ว ท่านชอบอยู่ในป่าในเขา เราเห็นว่าพระฝรั่งเข้ามามากมาอยู่ที่นี่ เมื่อท่านปัญญาจากไปแล้วใครจะให้คำแนะนำสั่งสอน ก็เลยให้ท่านดิ๊กมาอยู่ คอยแนะนำสั่งสอนแบ่งเบาภาระของท่านปัญญามาโดยลำดับ ทีนี้พอท่านปัญญาจากไปก็ให้ท่านรับแทนเลย ท่านดิ๊กก็ดีทางด้านจิตใจ

พระฝรั่งมาอยู่ที่นี่มีแต่อยู่นานๆ ทั้งนั้นแหละ แล้วก็ไม่ได้ต้องติที่ไหน องค์ไหนๆ มีดีทุกองค์ บรรดาพระฝรั่งดีทุกองค์ๆ พระไทยเราก็ไม่เคยได้ดุได้ด่าองค์ไหน แต่นี้ถือตามสมมุตินิยมเราก็บอกว่าพระต่างชาติเข้ามานี้ดีทั้งนั้น พระไทยเราก็ดี ทางด้านภาวนาก็ดีท่านปัญญา จะมาจากที่ไหนก็ตาม สำหรับวัดนี้เราพูดตรงๆ สอนสมบูรณ์แบบตามศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้เอาอะไรมาแฝงๆ แล้วทำแผลงๆ ไปไม่มี วัดนี้ไม่มี เช่นของขลังอะไรอย่างนี้ เข้าใจไหม มีแต่ของขลังเต็มย่าม ของขลังเต็มคอเราไม่เอา ให้มันขลังอยู่เต็มหัวใจ

พระพุทธเจ้าของขลังเต็มหัวใจ พระสาวกทั้งหลายของขลังเต็มหัวใจ คือมีแต่ธรรมอันเลิศเลอๆ เต็มหัวใจ ท่านขลังอย่างนั้น ส่วนพวกเราหาขลังแต่ภายนอก ไปลูบนั้นคลำนี้ อันนี้ดีๆ งัดออกมาจากย่าม นี่ของขลังนะโยมๆ เจ้าของไม่ทราบว่าขลังหรือไม่ขลัง อุ๊ย ทุเรศ ขายหน้าพระเรา จะสอนญาติสอนโยมสอนใครต่อใครต้องเอาแบบฉบับของพระพุทธเจ้าไปสอนถึงจะถูก ไม่งั้นไม่ถูก แบบอย่างนั้นมันมีอยู่ทั่วไปในโลกในสงสาร แบบฉบับที่ถูกต้องดีงามไม่ค่อยมีและไม่มี แบบพระพุทธเจ้าโดยแท้แล้วแบบเลิศเลอ ให้นำไปเถอะไปปฏิบัติ ทรงสอนไว้ตรงไหนๆ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทั้งนั้น ขอให้นำไปปฏิบัติให้ชอบธรรมตามที่สอนเถิด ผู้ปฏิบัติโดยชอบธรรมนั้นแหละจะเป็นผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพาน จะไม่มีผู้อื่นใดมาตักตวงมรรคผลนิพพานได้ นอกจากการกระทำของตนที่ถูกต้องดีงามตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ใครอย่าเอาอะไรมาอวดมาเก่ง ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ อย่ามาอวด ในโลกนี้ไม่มีอะไรเหนือธรรม ธรรมไม่มีผู้ใดที่จะทรงไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วค้นออกมาให้โลกได้เห็นยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า จับเอานี้ให้ดีนะ อย่าไปเอาสุ่มสี่สุ่มห้า เวลานี้ศาสนาแทบไม่มีนะ มีตั้งแต่เรื่องจอมปลอมๆ แฝงศาสนา แฝงพระแฝงเณรเข้ามา พระเณรจริงๆ ไม่มี คำว่าพระเณรจริงๆ คือพระต้องปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว นี่เรียกว่าพระจริง ถึงจะยังมีกิเลสก็จริงตามสมมุติ สมบูรณ์แบบของพระที่บวชตามสวากขาตธรรมพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นพระที่ชอบธรรม นี่เรียกว่าพระสมบูรณ์แบบ ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ก้าวเดินตามหลักธรรมหลักวินัย

มรรคผลนิพพานไม่ลำเอียง ทั้งกิเลสทั้งมรรคผลนิพพาน ท่านแสดงไว้ว่า อกาลิโก ว่าไง ธรรมที่ท่านแสดงไว้ในบทธรรมคุณ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว สนฺทิฏฺฐิโฏ  ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้ด้วยภาคปฏิบัติของตนเอง จะรู้ขึ้นในใจของตัวเองๆ อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาตัดทอนได้ถ้าตัวยังทำอยู่ นั่นเรียกว่า อกาลิโก เอหิปสฺสิโก ธรรมนี้เป็นเครื่องท้าทายอยู่ในหัวใจ คือองค์อริยสัจอยู่ในใจของเรา

เอหิปสฺสิโก นี้ถ้าแปลตามปริยัติดังที่ท่านแปลไว้แล้ว ท่านแปลตามปริยัติล้วนๆ  สามารถที่จะเรียกร้องคนอื่นมาดูได้ธรรมของจริง นี่ท่านแปลอย่างนั้น เอหิ มันบังคับบอกอยู่แล้วในบาลี เรียกคนอื่นมาดูได้..ธรรมของจริง นี้เป็นปริยัติล้วนๆ เราไม่ได้ปฏิบัติเราก็ไม่รู้อันนี้นะแต่ก่อน ไม่ได้อวดนะ เวลามาปฏิบัติ เอหิปสฺสิโก นั้น พระธรรมท่านสอนเรา เราปฏิบัติธรรม ธรรมท่านสอนเราให้ย้อนจิต สติสตัง ปัญญา เข้ามาสู่ที่นี่ ท่านว่างั้น เอหิ พระธรรมท่านเตือนเราผู้กำลังบำเพ็ญธรรมให้ย้อนจิตเข้ามาดูตรงนี้ องค์อริยสัจที่จะตรัสรู้ธรรมอยู่ที่นี่ ท่านว่า นี้เป็นภาคปฏิบัตินะ

ในปริยัติท่านสอนว่าอย่างนั้น เราก็ไม่ได้ค้านเพราะเราเรียนปริยัติเหมือนกัน ท่านแปลถูกต้องตามปริยัติ แต่แยกมาปฏิบัติที่เป็นที่แน่ใจยิ่งก็คือว่า เอหิปสฺสิโก เอาสติกระตุกความคิดความเห็นทุกอย่าง เอาสติเป็นสำคัญ ย้อนเข้ามาดูธรรมของจริง อริยสัจ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ สมุทัย ตลอด นิโรธ มรรค อริยสจฺจํ นี้องค์แห่งธรรมที่ตรัสรู้อยู่ที่ตรงนี้ ให้ย้อนเข้ามาดูที่นี่ ความคิดความปรุงจะเกิดขึ้นที่ใจ ใจนี้เป็นมหาเหตุ ส่วนมากมีแต่โรงงานของกิเลสนั่นละเกิดขึ้นมา ให้ย้อนจิตเข้ามาดูตัวนี้ จะได้รู้เหตุรู้ผล นี่ท่านว่า เอหิปสฺสิโก

         จะไปเรียกร้องคนอื่นมาดู ถ้าพิจารณาเผินๆ เขาจะว่าบ้า ไปไหนก็ “มาๆ มาดูธรรมของจริง” “ท่านเป็นบ้าเหรอ” เขาจะว่าอย่างนั้น จะว่ายังไงเขาล่ะ นี่แปลออกอย่างนั้นมันยังมีแผลงๆ ไปได้ให้เขาดูถูกได้อยู่นะ ถ้าแปลตามที่ว่านี้เป็นความจริง ถ้าเราปฏิบัติธรรมธรรมสอนเรา อย่าเผอเรอส่งจิตไปทางนู้นทางนี้ ให้ย้อนจิตเข้ามาดูตัวเองอยู่เสมอ ท่านว่าเอหิปสฺสิโก ให้ดู เอหิปสฺสิโก ให้ดูที่นี่จะรู้จะเห็นที่นี่ ท่านว่าเอหิให้ย้อนจิตเข้ามา สติเข้ามาดูที่นี่ ท่านว่าอย่างนั้น จะรู้จะเห็นขึ้นที่นี่ อันนี้เป็นภาคปฏิบัติเกิดขึ้นในตัวผู้ปฏิบัติ

         ในปริยัติท่านก็บอกไว้อย่างนั้นเราก็แปลมาแล้วเราไม่ค้าน เอหิปสฺสิโก คือเป็นธรรมของจริงสามารถจะเรียกร้องคนอื่นมาดูได้ นี่เขาจะว่าท่านเป็นบ้าหรือเรียกร้องอะไร เขาไม่เคยเห็นธรรมใช่ไหม อยู่ๆ ไปเรียกร้องเขามาดู ธรรมท่านสอนเรา สอนเราให้ย้อนจิตเข้ามาดูของจริงอยู่ในนี้ นั่นถูกต้อง เราปฏิบัติก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โอปนยิโก เห็นอะไรๆ ให้น้อมเข้ามาเป็นเครื่องสอนตนเสมอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดให้น้อมเข้ามา เห็นเขาเป็นทุกข์เป็นสุข เห็นเขาเพลิดเพลินหรือเศร้าโศรกเสียใจอะไรให้น้อมเข้ามาพิจารณาตัวเองเสมอๆ นั่น

         ท่านว่า โอปนยิโก ให้น้อมเข้ามา สิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์ให้น้อมเข้ามาเป็นเครื่องสอนตน นั่นท่านว่า นี่ภาคปฏิบัติพิสดารมากนะ ถ้าหากว่าเราไม่ได้เรียนปริยัติมานี้เขาก็จะว่า อีตาบัวมันเป็นบ้ามาแต่โคตรแต่แซ่ของมันนั่นแหละ มันจะเอาอรรถบาลีมาจากที่ไหนมันก็เอาป่าๆ รกๆ มาพูดอย่างนั้นเขาก็จะว่าอย่างนั้น แต่นี้มหาบัวฟังซิน่ะ ก็เรียนมาเหมือนกันกับคนทั้งหลาย เราก็แปลอย่างที่ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เราแปลได้หมดเลย นั่น แปลแล้วท่านแปลอย่างนั้น แต่เวลาภาคปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ที่ว่า เอหิปสฺสิโก ชัดเจนมากทีเดียว ให้น้อมจิตเข้ามา เราปฏิบัติธรรม ธรรมท่านสอนเรา ท่านเตือนเราให้ย้อนจิตเข้ามาๆ นี้ เอหิปสฺสิโก ย้อนจิตเข้ามาให้มาดูตรงนี้ๆ องค์อริยสัจตรงนี้

         ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน เอาจิตเข้ามานี้ เรื่องเหล่านี้ทั้งกิเลสทั้งธรรมจะรู้ที่นี่เลย ไม่รู้ที่อื่น ไปดูคัมภีร์เห็นแต่ตัวหนังสือ ถ้ามาดูกิเลสดูธรรมแล้วจะเห็นในหัวใจของคน ดูคัมภีร์เห็นกิเลสเห็นธรรมอยู่ในคัมภีร์เป็นตัวหนังสือ ครั้นเวลาดูเข้ามาที่นี่ เอหิปสฺสิโก น้อมเข้ามาที่นี่ เข้ามาสอนตนที่นี่แล้วเป็นธรรมขึ้นมาๆ นี้เป็นภาคพิเศษภาคปฏิบัติ เราเรียนเหมือนกัน ทีนี้เวลาเราพูดภาคปฏิบัติเราก็พูดออกมาได้เหมือนกัน เพราะเป็นอย่างนี้ เราแก้เราอย่างนี้ ได้สติสตังมาโดยลำดับ เพราะเหตุนี้เอง

         เอหิๆ ให้กระตุกจิตอยู่เรื่อยๆ อย่าให้มันส่ายแส่ข้างนอกนัก ให้ย้อนเข้ามาดูตัวเหตุคือมหาเหตุได้แก่ใจ มันคิดมันปรุงตลอดเวลา สมุทัยนั่นละรังใหญ่ของวัฏจักรอยู่ที่จิต สมุทัยดันให้เป็นสังขาร สังขารก็เป็นสังขารสมุทัยดันออกมาก็เป็นเรื่องกิเลสทั้งมวลไปเลย ทีนี้เวลา เอหิปสฺสิโก ย้อนจิตเข้ามาดูตัวสมุทัยที่มันกำลังลุกลาม เอาน้ำดับไฟลงไป นั่น เมื่อสติหยั่งเข้ามานี่แล้วก็เป็นน้ำดับไฟในตัว มันก็รู้ของมันเอง

         นี่ละภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติไม่ได้เหมือนกันนะ ถ้าหากว่าเราไม่ได้เรียนเขาก็จะก่นทั้งโคตรทั้งแซ่ นี่เราก็เรียนมาเหมือนกันจะว่าไง เรายอมรับนั่นก็ดี ส่วนที่เป็นภาคปฏิบัติจากปริยัติที่เรียนมาแล้วเราก็พูดให้ฟังอย่างนี้เอง ภาคปฏิบัติเมื่อรู้แล้วมันแน่นะ ภาคปริยัติก็เป็นแบบแปลนแผนผัง ภาคปฏิบัติปลูกบ้านสร้างเรือนขึ้นมาเห็นประจักษ์ ผิดถูกตรงไหนดูๆ เอาแปลนมากางดู มันก็เรียบร้อยไปโดยลำดับ ตึกรามบ้านช่อง สำเร็จไปจากแปลนแผนผังที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นตึกรามบ้านช่องขึ้นมาโดยสมบูรณ์

         นี้ปริยัติก็เป็นแบบแปลนของธรรมของมรรคผลนิพพาน จะเป็นอะไรที่ไหนไป  ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นแบบแปลนแผนผังของมรรคผลนิพพาน เอากางเข้ามานี้ๆ มาปฏิบัติอย่างนี้จะรู้อย่างนั้น เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือน มรรคผลนิพพาน ไม่ต้องถามที่ไหน เอาปริยัติเข้ามากางเป็นแผนผัง เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ให้เอามากางแล้วปฏิบัติตนให้ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติตนให้ถูกต้องแล้วมรรคผลนิพพานจะปรากฏขึ้นที่นี่ๆ

         แล้วยิ่งภาคปฏิบัตินี้ไม่ได้เหมือนภาคปริยัตินะ ผิดกันมากทีเดียว คือเราเรียน ภาคปริยัติเรียนไปตรงไหนแม้หนังสือเล่มเดียวกัน ถ้าเราอ่านไม่จบตรงไหน ตรงนั้นเราก็ไม่รู้ เราจำไม่ได้ อ่านตรงไหนไปเราก็รู้ตรงนั้น จำได้ตรงนั้นๆ แต่ภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น มันกลายเป็นว่าเหมือนไฟได้เชื้อ ฟังซิ เชื้อไฟอยู่ที่ไหน  ไม่ว่าหยาบไม่ว่าละเอียดอยู่ที่ไหนจ่อไฟเข้าไปซิ มันจะลุกลามไปหมด ไม่ว่าเชื้อหยาบเชื้อละเอียดอะไรมันจะลุกลามไปของมันหมด นี้ธรรมคือความจริงเหมือนกับไฟ ความรู้ สติ ปัญญาคือความจริงเหมือนกับไฟ จ่อเข้าไปตรงนี้สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้จะเป็นเหมือนเชื้อไฟ สติปัญญามันจะตามรู้ตามเห็นตามสอดตามส่องรู้ไปหมด

         กว้างขวางมากนะภาคปฏิบัติ เวลามันได้รู้นี่มันลุกลามไป เชื้อไฟอยู่ที่ไหน ไฟคือธรรม คือจิตใจ สติปัญญามันจะตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆๆ เข้าใจไปโดยลำดับ เข้าใจตามสภาพแห่งความจริง ความจริงเหมือนกับเชื้อไฟ สติปัญญาเป็นเหมือนไฟ ลุกลามตามรู้ตามเห็นไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ ให้ปฏิบัติเสียก่อนมันรู้เอง เวลารู้แล้วมันไม่ได้สะทกสะท้านนะ เวลารู้มันจริงมันจัง จริงจังมากทีเดียว ความรู้ภายในจิตใจที่เกิดจากภาคปฏิบัติไม่ได้ลูบๆ คลำๆ เหมือนความรู้ปริยัตินะ

         ความรู้ปริยัติท่านบอกว่ามรรคผลนิพพาน ท่านบอกไว้แล้วในปริยัติ ก็เอาความจริงมาพูด มรรคผลนิพพาน แต่มันไม่ยอมเชื่อนะ บาปบุญมี นรกมี สวรรค์มี มรรคผลนิพพานมี เปรตผีมี อ่านไปด้วยกันแต่มันไม่ได้เชื่อนะ มันจะต้อง อย่างน้อยมรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีนะ นอกจากนั้นลบไปหมด มรรคผลนิพพานไม่มี บาปบุญไม่มี สิ่งที่มีก็มีแต่กองไฟเผาหัวอกเจ้าของ มันไม่ว่ามีอันนี้เข้าใจไหม มันเผาอยู่นี่น่ะ นี่ละมันต่างกันนะภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติ

         มีแต่เรียนเฉยๆ ไม่ได้สนใจปฏิบัติมันก็ผิดอะไรกับหนอนแทะกระดาษ เรียนไปเท่าได้เท่าไรก็เอาความรู้จากการเรียนมามาเป็นสมบัติของตัว เป็นสมบัติของตัวได้ยังไง ประสาเรียนมาจำมาได้เฉยๆ จำมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานยังไม่มี ได้แต่ความจำเฉยๆ มันเป็นสาระอะไร ทีนี้ทางภาคปฏิบัติว่าอะไรปฏิบัติตามนั้นรู้ตามนั้นเห็นตามนั้น ว่าศีล ว่าสมาธิ ว่าปัญญา ว่ามรรคผลนิพพาน วิมุตติหลุดพ้น ตลอดเปรตผีนรกอเวจี มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้ นั่นเห็นไหมภาคปฏิบัติ ไปถามใคร พระพุทธเจ้าถามใคร

         นำแบบแปลนแผนผังที่เลิศเลอมาสอนโลก คือ ธรรม ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ที่กล่าวไว้พอประมาณนี้มาสอนโลก พระองค์ทรงเห็นหมดแล้วรู้หมดแล้วนำมาสอนโลก พวกเราไปอ่านตามนี้ไม่เชื่อๆ ผู้หนึ่งรู้ด้วยความจริงของตนแล้วมาสอนโลก โลกที่มีแต่ใจจอมปลอมมันก็ไม่ยอมเชื่อๆ ท่านสอนไว้ทั้งนั้น คัมภีร์ไหนก็ไปดู เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มีอยู่ตลอด แต่กิเลสมันก็ตามลบล้างตลอด บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี เพราะฉะนั้นโลกถึงได้ร้อนมากเวลานี้ เพราะมันเอากิเลสซึ่งเป็นของต่ำช้าเลวทราม เป็นของสกปรกไปเหยียบอรรถเหยียบธรรมให้จมไปเลยๆ ก็มีแต่ไฟเผาโลกเท่านั้น

         นี่ละความรู้ของกิเลส ที่โลกเอามาใช้อยู่ทุกวันนี้มีแต่ความรู้ของกิเลส พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้เอง ถ้าความรู้ของธรรมรู้ไปตรงไหนธรรมจะแทรกไปๆ ใครไม่บอกก็ตามรู้อยู่ภายในใจ ตรงไหนที่ควรไม่ควรรู้ทันทีๆ ปัดออกๆ อย่างนั้นนะ อันไหนที่ควรส่งเสริม ส่งเสริมขึ้นทันที อันไหนที่ไม่ควรปัดออกๆ นี่ภาคปฏิบัติ นี่ละเรียกว่าภาคปฏิบัติธรรม ธรรมรู้เห็นขึ้นภายในจิตจะรู้ผิดรู้ถูกในตัวเองโดยลำดับลำดา พระพุทธเจ้านำมาสอนโลกไปถามใคร เอาใครมาเป็นสักขีพยานมาสอนโลก เป็นสวากขาตธรรมอยู่เวลานี้ ตรัสธรรมสอนโลก นั่นละออกจากนั้น

         ทีนี้บรรดาสาวกทั้งหลายปฏิบัติตามนั้นก็เต็มภูมิของสาวกๆๆ มาสอนโลก ท่านผู้ที่สิ้นสุดจากกิเลสท่านจึงสอนโลกไม่มีสงสัย ท่านถอดออกมาจากหัวใจท่านตามภูมิของท่าน สาวกภูมิ พุทธภูมิ พุทธวิสัย สาวกวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้ากว้างขวางลึกซึ้งมากที่สุดไม่มีใครเกิน จากนั้นก็เป็นสาวกวิสัย วิสัยของสาวกก็รู้เต็มภูมิของวิสัยของสาวก แล้วนำมาสอนถูกต้อง ธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท ร้อยบาท พันบาท ใบไหนก็เป็นของจริงด้วยกัน ใบเล็กใบใหญ่เป็นของจริงด้วยกัน สาวกจะเป็นภูมิใดๆ เป็นธรรมของจริงด้วยกันหมด ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านสอนโลกท่านจึงไม่สะทกสะท้าน ท่านจะไปสะทกสะท้านอะไรก็ท่านรู้อยู่ในใจนี้แล้ว เอาของจริงมาสอน

ใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม ความจริงเต็มหัวใจท่าน ไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเขาเอง เขามาฟังแทนที่จะเอาไปปฏิบัติเขาจะเอาโทษก็เป็นเรื่องของเขาเอง ท่านจะเอาอะไรท่านพอทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกินพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ที่ว่าพอในหัวใจ ไม่รับดีรับชั่วจากคำตำหนิติเตียนของผู้ใดทั้งนั้น สอนด้วยความเมตตาล้วนๆ ใครจะเอาก็เอา ใครไม่เอาก็ไม่เอาเท่านั้น เป็นกรรมของสัตว์ๆ  ยกให้กรรมของสัตว์ไปเลย พวกเราให้ปฏิบัตินะ ธรรมพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอ อกาลิโกๆ ตลอดเวลา ให้บำเพ็ญไปเถอะ

ที่ว่ากาลนั้นสถานที่นี้ เวลานั้นเวลานี้มรรคผลนิพพานจะสิ้นจะสุด มันสิ้นสุดตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่นิพพาน มันไม่ปฏิบัติมันไม่สนใจ นอนเฝ้าคัมภีร์อยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์ นอนเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์ถ้าเจ้าของไม่สนใจปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติแล้ว สวากขาตธรรมนี้แลคือองค์แทนศาสดา ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วให้ปฏิบัติตามนี้นะ เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั่นแหละ ผู้นี้ละเป็นผู้ที่จะครองมรรคครองผล คือผู้ปฏิบัติตาม ผู้ไม่ปฏิบัติตามมีแต่ความจำมาเห่าว้อกๆ แว้กๆ มาอวดภูมิของตน นั้นก็คือหนอนแทะกระดาษ ไม่มีอะไรละ

ถ้าสนใจปฏิบัติ เรียกว่าดี ถูกต้อง ถ้าไม่สนใจปฏิบัติ เอาแต่ภูมิความจดความจำมาโอ้อวดโกหกมดเท็จไปด้วยกิเลสตัณหาเข้าแทรกภายในนั้น มีแต่กิเลสไปหมด เรียนธรรมเป็นกิเลสไปหมดเพราะใจพาเป็นกิเลส ความจดความจำได้มามากน้อยเป็นอรรถเป็นธรรมก็เป็นกิเลสไปหมด ไม่ได้เป็นธรรมได้นะ เป็นธรรมที่ใจเป็นธรรม เข้าใจไหมล่ะ ถ้าใจไม่เป็นธรรมเสียอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์อะไร พูดไปพูดมาก็เหนื่อยแล้ว นี่ก็เทศน์ทุกวันๆ ไม่ทราบไปเอาที่ไหนมาเทศน์นี่ก็ดี ใครจะว่าอะไรก็ตามก็คืออีตาบัวนั่นแหละ

นี่ได้ทราบว่าเขาจะมาถอดยศหลวงตาบัว คือหลวงตาบัวในนามของพี่น้องชาวไทยทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ ทั้งประชาชน ได้นำฎีกาเสนอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปตามความสัตย์ความจริง ความถูกต้องดีงาม ทีนี้พวกจอมปลอมมันก็สวนเข้ามา ตามรอยเข้ามา ทางนี้ออกด้วยความสัตย์ความจริงทั้งนั้น ถูกต้องดีงามทุกอย่าง เพราะเราเป็นผู้ตรวจตราทุกอย่าง เห็นว่าถูกต้องดีงามตามหลักธรรมหลักวินัยแล้วส่งเข้าไป นี่ละที่ว่าฎีกา ทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรเป็นยังไงๆ ก็ว่าตามนั้นไป ตามความสัตย์ความจริง ทีนี้พวกจอมปลอมมันก็สวมรอยเข้ามา จะมาถอดยศหลวงตาบัว เราก็ขี้เกียจฟัง ไม่อยากฟังละ ขี้เกียจล้างหูเลยเฉย อีตาบัวนี้ใครจะถอดไปไหนก็ถอดไปเถอะ ว่างั้นเลย ให้ยกโคตรมันมาถอดก็ถอดไป เราไม่สนใจ เกิดมากับพ่อกับแม่เรา เราไม่เคยมียศถาบรรดาศักดิ์ มีแต่บักบัวเท่านั่นละ เข้าใจไหม อ้า เขาจะเอาไปไหนก็เอาไปซินอกจากนั้น มาบวชเป็นพระก็เหลือแต่อีตาบัว ใครจะเอาไปไหนก็เอาไปเถอะนั่นอยู่บน

มีสองนะนั่น พัดยศอีตาบัวน่ะ เจ้าคุณบัวหนึ่ง เป็นพระราชญาณวิสุทธิอะไรจำไม่ได้แล้ว อันหนึ่งพระธรรมอะไร มันจำไม่ได้นะ มันมีแต่เจ้าคุณบัวอยู่โน้น อีตาบัวอยู่นี้ มันเลยไม่ไปดูกัน เวลาจะมาโม้บ้างเลยไม่ได้เรื่อง จำไม่ได้ขบขันดีนะ มาเอาเราบอก ยกทั้งโคตรมาก็เอาไปเลยเราบอก เราไม่ได้เสียดาย เกิดมากับพ่อกับแม่เรา ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์ติดตัวมา มีแต่บักบัวเท่านั้นละติดมาเข้าใจไหม นี่เขาก็จะมาถอดยศเรา มันขบขันดีไหม นี่ละพวกเลวมันเลวอย่างนี้ คนหนึ่งเอาความจริงออกแสดง คนหนึ่งเอาความจอมปลอมสวนเข้ามา มาทำลายของจริง จะทำลายได้ยังไงของจริง เอาไว้ในตู้ก็เป็นของจริงอยู่ในตู้ เอาไว้ที่ไหนก็กังวานอยู่ในนั่น คือของจริงของถูกต้อง สิ่งที่ไม่ดีออกเพ่นพ่านที่ไหนก็มีแต่กองมูตรกองคูถเพ่นพ่านออก เหม็นคลุ้งทั่วบ้านทั่วเมือง นั่นดีไหมล่ะ พิจารณาซิ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก