ขณะจิตจะเคลื่อนจากร่าง
วันที่ 20 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ขณะจิตจะเคลื่อนจากร่าง

 

(สมทบทุนสร้างสถานีวิทยุหนึ่งแสนบาทค่ะ) จะไปไหนหลวงตาทุ่มลงเพื่อชาติทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ได้ติดเลยกับตัวเอง ออกเพื่อชาติทั้งนั้น มีมากมีน้อยมาเท่าไรออกหมดๆ ตลอด นี่เสี่ยสมหมาย ร้อยเอ็ด ก็มา นี่เอาเลยเหมาใหญ่เลย ร้อยเอ็ดนี่จะครอบไปหมด เต็มยศเสี่ยโรงสี ถ้าไม่เต็มยศไม่ได้เสียศักดิ์ศรีของเสี่ย ต้องรักษาศักดิ์ศรีเสี่ยเอาไว้ เพราะฉะนั้นวิทยุจึงร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเปี๊ยะเลยเชียว เมื่อเร็วๆ นี้เราก็ไปดูวิทยุที่กำลังขึ้น นี่ก็จะเปิดแล้วนะ ไม่ใช่เล่นๆ นะ แล้วเป็นของเจ้าของหมดเลย ไม่เอามาจากที่ไหน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอะไรทุกสิ่งทุกอย่างเอาในโรงสีเลยเชียว ค่าไฟก็อยู่ในโรงสี อะไรอยู่ในโรงสี ขึ้นวิทยุเลย มันต้องอย่างนั้นซิ

ผู้มั่งผู้มีก็เท่ากับผู้มีความร่มเย็น สาดกระจายไปหาผู้รุ่มร้อนทั้งหลายให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขบ้าง อย่างนั้นละ เรียกว่ามีสมบัติเงินทอง เจ้าของเป็นคนใจบุญ กระจายออกไปเป็นประโยชน์แก่โลก สมบัติเงินทองข้าวของมาหากับคนใจคับแคบตีบตันยิ่งร้อนนะ คือมีแต่จะเอา ผู้ที่มีจิตใจคับแคบตีบตันนี้ มีแต่จะเอาละมาก ผู้มีจิตใจกว้างขวาง ได้มาออกๆ กระจายไปหมดเป็นประโยชน์

เมื่อกี้นี้เราพูดถึงเรื่องความตาย ก็มาเข้าถึงจุดคือเราเองให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง คราวนั้นมันจะไปละ ถ่าย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อาเจียนครั้งสุดท้ายนี่ละไม่ใช่อาเจียนธรรมดา คนหมดกำลังแล้ว ถ่ายถึง ๒๕ หนแล้ว อาเจียนครั้งสุดท้ายนี้ นู่นฝาส้วมอยู่โน่น เศษอาหารมันอาเจียนนี้พุ่งติดนู้นเลยๆ มันรุนแรงมาก อยู่ที่หนองผือ กลับมาจำพรรษาที่หนองผือ พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว พระแตกกระจัดกระจายหนีหมดเลย จะกลายเป็นวัดร้าง

            ทีแรกเราลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ มาก็บึ่งใส่อำเภอวาริชภูมิ เพราะถ้ำนั้นเคยอยู่แล้ว ตั้งหน้าจะไปจำพรรษาที่ถ้ำอะไรลืมชื่อแล้วแหละ เราเคยไปพักไปอยู่แล้วเห็นว่าเหมาะสม ออกจากวัดดอยธรรมเจดีย์ ลงจากนั้นเราก็บึ่งถึงโน้น เราไปอยู่ได้ไม่กี่วัน เพราะจวนพรรษาแล้วเราจะไปจำพรรษาที่นั่น ตกลงใจเรียบร้อยแล้ว ไปกับท่านเพ็งนี่แหละ ก่อนที่จะไปก็เปิดให้มันชัดเสียว่า ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์มาวัดสุทธาวาส ท่านเพ็งก็ติดตามมาด้วย เพ็งท่านเคยติดตามผมมานานแสนนาน แล้วคำพูดเช่นนี้ท่านเคยได้ฟังไหม ฟัง จะพูดให้ฟัง เราก็เล่าเรื่องฟ้าดินถล่มอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ บอกตรงๆ เลย ตื่นเช้าลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ เล่าเรื่องฟ้าดินถล่มให้ฟัง โอ๋ย ท่านตื่นเต้น บ้าตัวนั้นก็ดี โอ๊ะ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ยินก็ฟังเอาเสีย ท่านเคยติดตามผมมากี่ปีกี่เดือน คำนี้ผมเคยได้พูดไหม ก็พูดถึงฟ้าดินถล่มบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ให้ฟัง

นั่นละออกจากนั้นก็จะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิ เตรียมพร้อมแล้ว ไปเพ็ง ไปจำพรรษาที่ถ้ำโน้น บอก ไปด้วยกันสององค์ตั้งหน้าจะไปจำ หาความสงบสงัดสบาย พออยู่ได้สองสามวันเท่านั้น โยมก็อยู่แถวนั้นแหละแกเคยไปหนองผือเสมอ และแกทราบว่าเราไปอยู่ที่นั่นแกเลยขึ้นไป ไปเล่าสภาพบ้านหนองผือให้ฟัง สะดุดใจกึ๊กเลยเทียว ไม่พูดสักคำเลย แกมาเล่าเรื่องสภาพหนองผือ แต่ก่อนพระนี้เต็มวัดเต็มวา ประชาชนก็เหมือนกัน เวลานี้เหมือนวัดร้าง บ้านก็เหมือนบ้านร้าง เพราะพระเณรไม่มีเลย ยังเหลืออยู่หลวงตาสองสามองค์ โอ๊ย น่าสงสาร แกก็เล่าตามสบาย แกไม่ได้คิดว่าเราคิดยังไง สะดุดกึ๊กเท่านั้นละนะ

เราเห็นบุญเห็นคุณของพี่น้องชาวหนองผือเรา ๗๐ หลังคาเรือนพระไปบิณฑบาต ที่ไหนไม่มีตลาดลาดเล เขาหาอยู่หากินด้วยปลีแข้งของเขามาเลี้ยงพระ จำนวนเท่าไรเขาเลี้ยงได้หมด ทีนี้เวลาพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแล้วพระแตกหนีหมดไม่มีเหลือ มันเป็นไปได้หรืออย่างนี้เราว่า ตัดสินใจกึ๊กเลยไม่พูดสักคำกับโยมที่แกเล่าให้ฟัง แกไม่รู้ว่าเราคิดยังไงนะ แกเล่าแล้วแกก็กลับ เราไม่พูดสักคำเลย มันเข้าในนี้หมดแล้ว พอตื่นเช้ามาฉันจังหันเสร็จแล้ว ไปเพ็ง เตรียมตัว จะเตรียมตัวไปไหนอีก จะไปหนองผือ จะไปจำพรรษาที่นั่น อ้าว ก็ว่าจะมาจำพรรษาที่นี่ ทางนี้ไม่มีน้ำหนักเท่าหนองผือ เป็นเรื่องของเราโดยเฉพาะที่จะมานี่ หนองผือนี่เรื่องบุญเรื่องคุณครอบฟ้าแดนดิน ต้องขึ้นไปโน้นละ

พอมาถึงหนองผือขึ้น ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำก็วันเพ็ญเข้าพรรษา พอเราไปนั้นตั้งแต่วัน ๘ ค่ำถึง ๑๔-๑๕ ค่ำ พระหลั่งไหลเข้าไป ปีนั้นจำพรรษาตั้ง ๒๗-๒๘  องค์ มันก็คล้ายคลึงกันกับพ่อแม่ครูจารย์อยู่ อุ่นหนาฝาคั่ง ทีนี้ก็มาถึงจุดนี้นะ ไปฉันยาถ่ายเขา มันถ่ายเสีย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อาเจียนหนหลังนี่มันหมดกำลังแล้วนะ มันอาเจียนจะมีกำลังมาจากไหน เศษอาหารพุ่งติดฝาส้วมนู่นน่ะมันรุนแรง จากนั้นก็ยุบยอบเข้ามาเลยทันที ความรู้ทั้งหมด ฟังให้ดีนะ

นี่ละความมีสติสตังดูความเคลื่อนไหวของสังขารร่างกาย และกิริยาของจิตเคลื่อนไหวรับกันยังไงบ้าง พออาเจียนครั้งที่สองเสร็จลงไปแล้ว ทีนี้ความรู้นี้หดตัวเข้ามา หดเข้ามาตรงกลาง ทางนี้ขึ้นพร้อมกันเลย ความรู้สึกทั้งหมดหดเข้ามาปุ๊บ ทางนี้ขึ้น ทุกส่วนเข้าในจุดกลางนี้หมดเลย ร่างกายหมดความหมาย ทุกขเวทนาแสนสาหัสดับหมดเลย นั่นมันจะไปนะ คือพอร่างกายหมดความหมาย ทุกขเวทนาทั้งหมดก็หมดความหมายไปตามๆ กัน ทุกข์ไม่มีเลยในขันธ์ เงียบหมด จิตหดเข้ามาแล้วมาเหลือแต่ความรู้อันเดียว ความรู้เข้ามาอยู่ในจุดอันเดียว ความรู้ที่ซ่านไปหมด

ก็ถามเจ้าของ หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอ้า ไปก็ไป จิตจับเข้าไปตรงนั้นอีกทีหนึ่ง นี่เป็นสมมุตินะ อาการของจิตที่จับในขณะมันจะไป พอกำหนดจิตปั๊บเข้าไป ไม่นานนะ คือมันหดหมดแล้ว ทุกขเวทนาดับหมด ร่างกายหมดความหมาย ทุกขเวทนาแสนสาหัสดับสนิทหมด นี่ละคนเราเวลาจะไปจริงๆ ถ้ามีสติแล้ว ทุกขเวทนาแสนสาหัสนี้จะดับลงในเวลานั้นหมดก่อนจิตจะเคลื่อนย้ายนะ อันนี้มันดับหมดแล้ว ถ้าภาษาเราก็เรียกว่าเตรียมจะไป เรียกว่า ๙๙% เปอร์เซ็นต์หนึ่งก็เหลือแต่จะดีดออก จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอ้า ไปก็ไป กำหนดจิตปั๊บเข้าอีกทีหนึ่ง

แทนที่จะไป พอกำหนดจิตปั๊บเข้าไปนี้ ไม่นานนักความรู้สึกนี้คลี่คลายออกขึ้นข้างบน ความรู้ซ่านขึ้นข้างบนและลงข้างล่างพร้อมกันหมดเลย พอพร้อมกันหมดความรู้สึกรับทราบในประสาทส่วนต่างๆ ออกไปแล้ว ทุกขเวทนาก็เริ่มเกิดขึ้นมาตามเดิม กระแสของจิตออกรับกันไปหมด เรียกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ร่างกายมีความหมายขึ้นมา ทุกข์เกิดขึ้นมา หือ ไม่ไปเหรอ ไม่ไปก็อยู่ซี เลยอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ นี่ละแบบตายไม่หวั่นไม่ไหวดูเอาซิ ไม่หวั่นไหวเลย ไม่มีคำว่าหวั่นว่าไหว เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมด

เรื่องมันจะไปจะอยู่อะไรนี้เป็นอาการ เป็นสมมุติทั้งนั้น จิตดู จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ ทุกขเวทนาดับหมด คนเราถ้ามีสติสตังแล้ว ขณะที่จิตจะเคลื่อนย้ายจากร่างนี้ ทุกขเวทนาจะต้องดับหมด ออกเลย แต่นี้มันไม่มี ทิ้งเนื้อทิ้งตัวตกเตียงตกอะไรไป เพราะไม่มีสติ อันนี้มีก็บอกว่ามี นี่นำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายได้โกหกไหมพิจารณาซิ บอกจนถึงระยะจิตจะออก ไม่ออก กำหนดปั๊บเข้าไปตรงนั้น พลังของสมมุติก็มีขึ้นจากจิตกระจายออกไป ความรู้ออก ทุกสิ่งทุกอย่างร่างกายก็มีความหมาย ทุกขเวทนาก็เริ่มมีขึ้น หือ ไม่ไปเหรอ ไม่ไปก็อยู่ซี ก็เท่านั้นเองไม่เห็นมีอะไร นี่ละดูความตายดูให้มันชัดเจนอย่างนี้

จิตนี่ไม่ได้ตายนะ ร่างกายทั้งหมดหมดความหมายทุกอย่าง เข้าไปอยู่ที่จิต ทีนี้จิตคอยแต่จะดีดออก นี่ ๙๙ อยู่ พอร้อยก็ดีด หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ กำหนดปั๊บนี้เลยซ่านออกไปลดลงมา เลยไม่ตาย นี่ละจิตนี่ไม่ได้ตายนะ ดูให้ชัดเจน ดูให้รอบตัวเองแล้ว จิตนี้เมื่อได้ชำระซักฟอกทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเองแล้ว ไม่ได้หวั่นไหวกับอะไรเลย หือ จะไปก็ไป จะอยู่ก็อยู่ เพราะธรรมชาตินั้นไม่มีคำว่าอยู่ว่าไปแล้ว เหล่านี้มีอาการความเคลื่อนไหว ธรรมชาตินั้นไม่เคลื่อน เป็นอย่างนั้นละ การอบรมจิตให้มันรู้กันอย่างชัดเจน

เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเราไม่ได้ตายยากนะ เราบอกตรงๆ  นี่ละผลแห่งการปฏิบัติธรรมจากพุทธศาสนาของเรา คือการปฏิบัติธรรม ให้รู้ให้เห็นตามนี้แล้วจะไม่หวั่น จะไม่มีอะไรแปลกต่างกันเลย หือ จะไปก็ไป แน่ะ จะอยู่ก็อยู่ เท่านั้น จิตนี้ไม่มีเคลื่อนจากตัวเองคือหลักความเป็นจริงบริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องติตัวเอง อะไรจะไหวก็ไหวไป จะแตกก็แตกไป ธรรมชาตินี้ไม่ไหวไม่แตก รู้อย่างชัดเจน นี่ละการปฏิบัติธรรม

เรานำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ เราเอาธรรมอันนี้เองมาสอน เราไม่ได้นำธรรมหลอกๆ ลวงๆ มาสอนโลกนะ จะสอนแบบใดก็ตาม ไม่ว่าหนักเบามากน้อย ไม่ว่านิ่มนวลอ่อนหวาน ไพเราะเพราะพริ้งหรือเด็ดขาดเฉียบขาดขนาดไหน เป็นธรรมล้วนๆ ทั้งนั้น ไม่มีกิเลสแฝงออกมาแม้เม็ดหินเม็ดทราย เพราะหัวใจไม่มีกิเลสพูดให้มันชัดเจนเสีย กิเลสไม่มี แสดงออกมาท่าใดมีแต่พลังของธรรมๆ จะดุด่าว่ากล่าวเด็ดเผ็ดร้อนขนาดไหน เป็นพลังของธรรมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นพลังของกิเลส

ถ้าเรื่องกิเลส ลงแสดงอาการนั้นแล้วกัดฉีกกันแหลกเป็นเถ้าเป็นถ่าน พลังของธรรมยิ่งชุ่มยิ่งเย็น หนุนออกไปเท่าไรยิ่งชุ่มยิ่งเย็น นั่นละพลังของธรรม ใจเป็นธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้นเป็นไปหมด กิริยาอาการการพูดการจาหนักเบามากน้อย ดุด่าว่ากล่าวหรือเทศน์กระโชกกระชากแดกดันอะไรก็ตาม เป็นกิริยาของธรรมที่แสดงออกมาเหมือนฟ้าฝนตก ทั้งฟ้าร้องทั้งฝนตก ทั้งลูกเห็บลงมาพร้อมๆ กันให้แผ่นดินนี้ชุ่มเย็นไปหมด อันนี้ก็เหมือนกันอำนาจของธรรมที่ออกจากใจก็แบบเดียวกันกับฝนตก ทั้งฝนทั้งลูกเห็บ ทั้งฟ้าร้องฟ้าผ่า เสียงดังลั่นไปหมด อันนี้พลังของธรรมออกดังลั่นไปเหมือนกัน คำดุคำด่าว่ากล่าว เหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า แต่ฝนตกมามันเย็น พลังของธรรมที่ออกไปนี้เย็นอย่างนั้นละ

เราไม่ได้สงสัยอะไรที่นำธรรมมาสอนโลก แล้วยิ่งจวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งเน้นหนักเข้าไป ใครจะมาว่าโอ้ว่าอวดว่าอะไรเราไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ มีแต่มูตรแต่คูถคอยเหยียบคอยย่ำกัน เรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น เรื่องของธรรมไม่มี มีแต่เรื่องจะพยุงเท่านั้น ที่จะมาหาเหยียบย่ำอย่างนี้ไม่มีเรื่องธรรม นี้เราพูดออกมาจากหัวใจของเราที่ปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไร แล้วก็มาสอนโลกให้ได้ประพฤติปฏิบัติ พอมีร่องรอยแห่งธรรมติดหัวใจแล้ว ก็จะมีร่องรอยแห่งความสุขความสงบเย็นใจติดตามเข้ามาในหัวใจเรา จะได้เย็นสบายบ้าง

ไปที่ไหนมีแต่ความรุ่มร้อนเต็มแผ่นดินแผ่นหญ้า โอ๊ย มันน่าทุเรศนะ เราพูดจริงๆ อิดหนาระอาใจ วันไหนตื่นขึ้นมาได้ยินแต่เรื่องสกปรกโสมม เรื่องฆ่าเรื่องฟัน เรื่องติฉินนินทา กัดกันอยู่ทุกแห่งทุกหนเหมือนหมา จิตใจที่สะอาดดูสิ่งเหล่านี้มันเหมือนดูหมากัดกัน เอ้าฟังให้ชัดนะ จิตอันนี้ไม่ได้เหมือนโลกทั้งหลายที่เป็นกันอยู่ ทั้งกัดทั้งฉีก ติฉินนินทา แล้วสำคัญว่าตัวนั้นดีอยู่ตลอด จะเลวขนาดไหนก็สำคัญว่าตนดีตลอด กิเลสไม่ว่าชั่วแหละ ต้องว่าดี ชั่วขนาดไหนก็ให้ว่าดีๆ อยู่ตลอด แต่ธรรมดูมันดูไม่ได้ซิ นี่ละถึงน่าทุเรศนะ

ตื่นมาวันไหนได้ยินตั้งแต่เรื่องสกปรกโสมม จนได้พูดออกมาว่าขี้เกียจล้างหู หูสกปรกทั้งวัน ฟังแต่เรื่องสกปรก ใจจริงๆ สะอาดเต็มที่แล้วสกปรกที่ไหน นี่ละใจที่สะอาดกับเรื่องสกปรกมันเข้ากันไม่ได้ ต้องล้างหูว่างั้นเถอะ เหล่านี้ว่าเราพูดเล่นเหรอ เราสอนท่านทั้งหลายสอนเล่นๆ เหรอ เราสอนออกมาจากใจที่บริสุทธิ์สง่างามจ้าเลย ครอบโลกธาตุไปหมด เพราะฉะนั้นใครจะมาว่าอะไรๆ มันก็เหมือนหมาเห่าฟ้า หมาเห่าฟ้าว้อกๆ ฟ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หมาเห่าธรรมชาติที่บริสุทธิ์ก็เหมือนกัน เห่าเท่าไรก็เห่าว้อกๆ อยู่อย่างนั้น ให้มันเห่าไป เท่านั้นเอง

ถ้าสนุกพูดก็ว่าให้สูเห่าไป กูขี้เกียจฟัง ว่าเท่านั้นเอง มันเข้ากันได้ยังไง ก็อันหนึ่งเป็นสมมุติมีแต่ความสกปรกเต็มโลกเต็มสงสาร อันหนึ่งเป็นวิมุตติ เข้ากันได้ยังไง มันก็เหมือนหมาเห่าฟ้า มีแต่ว้อกๆ แว้กๆ อย่างที่เขาพูดหลวงตาบัวอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เขาว่าไป ให้สูยกโคตรสูมาว่าก็ได้ถ้าสูมีโคตร ถ้ากูมีโคตร โคตรกูอยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็แล้วแต่โคตรของกูแหละ เข้าใจไหม นี่ละเขาว่าหลวงตาบัวพูดกระโชกกระชากกระแทกแดกดัน กระแทกแดกดันอะไรเราก็พูดตามอรรถตามธรรม ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ ออกมาจากพลังของธรรมที่มาพูดนี่นะ ไม่ได้ออกมาจากกิเลสตัณหา พอจะทำความสกปรกกระทบกระเทือนใครให้เดือดร้อน ไม่มี เหล่านี้เป็นภาษาธรรมทั้งนั้น

เห็นพี่น้องทั้งหลายเข้ามาสนใจในอรรถในธรรมเราก็พลอยดีใจ บ้านเมืองเราจะมีความสงบบ้างนะ ถ้าไม่มีธรรมในใจ โลกไหนก็โลกเถอะว่างั้นเลย อย่าเอามาอวดธรรม ไม่มีทาง จมทั้งนั้นแหละถ้าใครอวดธรรม อวดดีต่อธรรม ถ้ายอมรับธรรมคนนั้นจะเย็น คนนั้นจะสูงขึ้น ถ้าใครอวดธรรมคนนั้นจะต่ำลงโดยลำดับลำดาละ คำว่าธรรมนี้สูงขนาดไหน ถึงขนาดพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว ทั้งที่ปรารถนาจะเป็นศาสดาสอนโลก ปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า

สร้างพระบารมีมา ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า พอมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ พอตรัสรู้ผางขึ้นมานี้ท้อพระทัยเลย มองดูเรียกว่าจนจะมองไม่ได้ มองดูโลกที่พระองค์เคยเกิดแก่เจ็บตายมาในโลกอันนี้แหละ แต่ก่อนท่านก็อยู่ได้ แต่พอจิตผางขึ้นมานี้มองดูแล้วสภาพของตัวเองและโลกทั่วๆ ไปมันดูไม่ได้เลย แล้วการจะสอนโลก สอนไปที่ไหนมีแต่มืดบอดจะว่าไง ดำเหมือนถ่านไฟที่ไม่มีไฟ ดำปี๋อย่างนั้น แล้วจะสอนไปหาอะไร ท้อพระทัย พอได้ตรัสรู้จริงๆ แล้วกับธรรมชาติที่ได้ตรัสรู้และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเข้ากันไม่ได้ เราตัวเท่าหนูมันก็เป็น พูดตรงๆ อย่างนี้นะ อ่อนใจเหมือนกัน

พูดจะให้เป็นคนดิบคนดี ยังกลายมาเป็นคนชั่วช้าลามก ยังมาเป็นข้าศึกศัตรูต่ออรรถต่อธรรมคือคำสอนนี้ไปอีก มันไม่ได้รับเอาไปปฏิบัตินะ มันเอาตั้งแต่มูตรแต่คูถเข้ามาโปะธรรมๆ โปะเท่าไรมันก็โปะตัวเองนั้นแหละ ให้ถูกธรรมไม่มี มีแต่โปะตัวเองทำลายตัวเอง ให้พากันพินิจพิจารณา ให้ดูตัวเอง สังเกตตัวเอง ความเคลื่อนไหวคือจิตเป็นมหาเหตุอยู่ที่นั่น ท่านจึงสอนให้ภาวนา ให้เข้าไปดูที่จิต จิตนั่นเป็นตัวมหาเหตุ ส่วนมากมีแต่กิเลสสร้างมหาเหตุขึ้นมาตลอด เพราะธรรมไม่มีกำลัง ไม่รู้ไม่เห็น ทีนี้เวลาสร้างธรรมขึ้นมาๆ มันก็รับกัน

ดีชั่วเมื่อมีสองแล้วมันก็เป็นคู่แข่งกันได้ เมื่อดีขึ้นมาแล้วก็เห็นชั่วชัดเจนๆ ดีมากเท่าไรยิ่งเห็นชั่วมากลงไปโดยลำดับลำดา จากนั้นก็ดีดจากชั่วไปหาดีหมดเลย นั่น พากันจำเอานะ วันนี้พูดเท่านั้นละ พอสมควร วันนี้พูดให้สบายๆ สบายลมสบายปากสบายธรรมบ้างเถอะ วันไหนมีแต่ความสกปรกรกรุงรัง กระทบกระเทือนทางโน้นมาทางนี้มา วันนี้มีแต่ธรรมล้วนๆ สอนท่านทั้งหลายให้นำไปปฏิบัติ เอาละพอ มีอะไรอีกล่ะ

ผู้กำกับ        สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติมีหนังสือไปถึง ณ.หนูแก้ว เขาก็นำไปลงเป็นการแก้ต่างตามที่เขาว่า

หลวงตา       ฟัง มันจะดีจะชั่วคอยฟัง หูจะเตรียมล้างหรือจะเตรียมเสริมกันยังไง เอ้าว่าไป

ผู้กำกับ        แถลงการณ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

เรื่อง มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 20/2547

 

            ตามที่ ณ. หนูแก้ว เขียนบทความคอลัมน์ “วิจารณธรรม” ในหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 9 มีนาคม 2548 โดยพาดหัวตัวใหญ่ว่า “มติมหาเถรจอมปลอม” ความโดยสรุปว่า การประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งมีวาระสำคัญเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช การประชุม เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 แล้วเสร็จประมาณ 17.00 น. เศษ (มีภาพอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำลังตอบคำถามผู้สื่อข่าวหลังเลิกประชุมเวลาประมาณ 17.00 น.) และหลังจากมีมติต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลถึงที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน (ซึ่งไม่น่าจะแล้วเสร็จทัน วันที่ 20 กรกฎาคม 2547) แต่กลับมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 ได้  ณ. หนูแก้ว เห็นว่าเป็นการพิมพ์ราชกิจจานุเบกษาไว้ก่อนแล้ว และสรุปทันทีว่า “มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 20/2547 จึงเป็นสิ่งจอมปลอมที่ผลจะต้องเป็นโมฆะ” นั้น

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อทราบโดยทั่วกันว่า

1.         มีการประชุมมหาเถรสมาคม วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 จริง ผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม มีวาระการประชุม และขั้นตอนการประชุมดำเนินไปตามระเบียบว่าด้วยการประชุมของมหาเถรสมาคม  มหาเถรสมาคมกำหนดให้มีการประชุมทุก 10 วัน (ในวันที่ 10, 20, 30) ของเดือน ถือใช้มาจนทุกวันนี้

2.         การประชุมในวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 เริ่มตามเวลาปรกติของการประชุมมหาเถรสมาคม คือประมาณ 14.00 น. แล้วเสร็จเวลาประมาณ 16.50 น. การประชุมในวันนั้นมีรองนายกรัฐมนตรี 2 ท่าน (พลเอก ชวลิต  ยงใจยุทธ, ดร.วิษณุ เครืองาม) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้ชี้แจงด้วย

3.         หลังจากวาระรับรองรายงานการประชุมแล้ว ได้มีการพิจารณาวาระสำคัญเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นวาระแรก และใช้เวลาไม่นานนัก (เพราะที่ประชุมเห็นพ้องและมีมติเป็นเอกฉันท์)

4.         เมื่อวาระสำคัญแล้วเสร็จ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้ขอตัวออกจากที่ประชุมเพื่อดำเนินการตามมติโดยเร็ว ผู้ช่วยเลขาธิการมหาเถรสมาคม (นางจุฬารัตน์  บุญยากร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม) ขึ้นทำหน้าที่เลขานุการที่ประชุม ดำเนินการประชุมวาระอื่นๆ ต่อไป

5.         ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินการโดยออกหนังสือ 2 ฉบับ ดังนี้

5.1       ที่ พศ 0006/7152 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2547

กราบเรียนนายกรัฐมนตรีทราบมติมหาเถรสมาคม และขอความเห็นชอบที่จะนำความกราบบังคมทูลทรงทราบ  รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ  ซึ่งอยู่ในที่ประชุมด้วย ได้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีรับทราบมติ และเห็นชอบให้นำความกราบบังคมทูลทรงทราบ

5.2       ที่ พศ 0001/7153 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 แจ้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ทราบบัญชาของนายกรัฐมนตรี (ตาม 5.1) และเตรียมการนำความขึ้นกราบบังคมทูล

6.         เมื่อนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลทรงทราบแล้ว เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือที่ นร 0507/4614 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2547 แจ้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ/มหาเถรสมาคมทราบ จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์และพระราชกำหนด แก้ไข เพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วย) มติมีผล

7.         ขั้นตอนที่กำหนดไว้ดังกล่าวในข้อ 6 นั้น ไม่มีขั้นตอนที่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น วัน เวลา ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงถูกนำมาพิจารณาจนลงความเห็นว่า “มติปลอม” ไม่ได้ มหาเถรสมาคมให้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย เพื่อความเหมาะสม รัฐบาลจึงสนองความประสงค์นั้น และเตรียมการดำเนินการไว้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอเรียนเป็นข้อสังเกตว่า ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 นั้น นอกจากนักกฎหมายของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้ว ยังมีทั้ง ดร.วิษณุ เครืองาม และ ดร.บวรศักดิ์  อุวัณโณ ซึ่งถือกันว่าเป็นปรมาจารย์ด้านกฎหมายในปัจจุบันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ความบกพร่องด้านกฎหมายจึงไม่น่าจะเกิดมีขึ้นได้

8.         คนไทยทุกคนคงเห็นตรงกันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวมีความละเอียดอ่อนมาก จึงควรที่ทุกคนจะช่วยกันประคับประคองเหตุการณ์ให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระธรรมวินัย และกฎหมาย ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นต่างกันอยู่ในกรณีนี้ (และกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ด้วย) ได้โปรดคำนึงถึงมาตรา 44 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 อยู่เป็นนิจ

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน  สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

 

                                                            ณ. หนูแก้ว

ผู้กำกับ        เขามาแก้ต่างหรือแก้ตัวนั่นละครับ เพราะ ณ.หนูแก้ว ไปลงว่าเป็นมติปลอมใช้ไม่ได้อะไรอย่างนี้ เขาเลยแก้ตัวไปให้ทาง ณ.หนูแก้ว หนังสือพิมพ์เขาเลยเอามาลง

หลวงตา       ที่มันทำลายชาติอยู่เวลานี้มีแต่กฎหมอยเข้าแทรกกฎหมายนะ ตั้งทำท่าว่ากฎหมายอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมันเป็นกฎหมอย ทำลายหัวใจของคนทั้งประเทศอยู่เวลานี้คืออะไร ก็คือกฎหมอย ถ้ากฎหมายจะมีปัญหาอะไร เรื่องธรรมวินัยท่านดีอยู่แล้ว มันไปตั้งกฎหมายกฎหมอยขึ้นมามายุ่งกับธรรมวินัย เรื่องศาสนาก็เลยยุ่งไปตาม ท่านไม่มีอะไรศาสนา หลักธรรมวินัยพระสงฆ์ท่านปฏิบัติมาด้วยดีอยู่แล้วไม่เห็นมีอะไร อันเรื่องกฎหมายกฎหมอยแทรกเข้าไปนี้ซีมันถึงได้มีเรื่องยุ่งอยู่เวลานี้ มาตรานั้นมาตรานี้ มาตราพระพุทธเจ้าสอนไว้ยังไง ดูตรงนี้มันเถียงกันได้หรือคนเรา ที่มันเถียงกันคือมันไม่ได้ดูความจริง มันไปหาเรื่องจอมปลอมมาหลอกกันอยู่อย่างนี้ละ เท่านั้นแหละ ว่าจะไม่พูดมันก็ได้พูดอยู่อย่างนี้ เอาละพอ จะให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก